มีพระพุทธเจ้า อยู่ในอีกจักรวาลหนึ่งในอนันตจักรวาลซึ่งเผยแผ่พุทธศาสนา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 21 กันยายน 2004.

  1. เด็กบ้านยางสีสุราช

    เด็กบ้านยางสีสุราช Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2004
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +48
    มีครับ มี เด็กบ้านยางได้ฟังเทศน์ หลวงพ่อบอกว่าท่านไม่อยากเทศน์แล้ว เพราะเหมือนกับคนฟังไม่รับ แล้วก็มีพระพุทธองค์บอกว่า เลิกเทศน์ไม่ได้ ท่านต้องเทศน์ต่อ เป็นพระพุทธเจ้าจากอีกจักรวาลหนึ่งครับท่านกำลังประกาศศาสนาอยู่ในขณะนี้ครับ หลวงพ่อท่านบอกว่า ขอดูพระโฉมของพระองค์หน่อย ท่านก็ให้ดู รูปร่างเหมือนกับมนุษย์โลกเราเลย แต่ว่ารูปงามมากมากครับ :D :D
     
  2. กรุงเก่า

    กรุงเก่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    149
    ค่าพลัง:
    +335
    คุณเด็กบ้านยางครับ หลวงพ่อที่ว่าชื่อใด อยู่วัดไหน ตำบล จังหวัดอะไรครับ และขณะที่เทศน์นั้นเป็นธรรมะเรื่องอะไรครับ
     
  3. เด็กบ้านยางสีสุราช

    เด็กบ้านยางสีสุราช Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2004
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +48
    หลวงปู่เกษม วัดป่าน้ำหนาว จังหวัดอะไรนี้ล่ะครับ
    เด็กบ้านยางได้จากพี่นกกระจาบ แล้วก็พี่สั_จร แล้วก็ใครไม่รู้ส่งมาให้แต่เขาไม่ยอมบอกชื่ออ่ะครับ

    แต่ในลานธรรมก็มีครับ ป้าปางบุ_ก็แจก ไปตามลิงค์เลยนะครับ พักนี้เด็กบ้านยางไม่ค่อยได้ฟังเทศน์เท่าไรเลย เพราะหาทางที่ตัวเองจะไปได้แล้ว แต่กำลังใจยังไม่เข้มแข็งอ่ะ

    ไปตามลิงค์เลยนะครับ หลวงพ่อเทศน์ได้เมามันมาก ๆ อ้อ พึ่งไปเปิดดูในลานธรรมเมื่อกี้นี้ ล่าสุดเขาแจก vcd เลยแฮะ ตามลิงค์นะครับ


    larndham.net/index.php?showtopic=12886&st=0

    ส่วนซีดีก็อยู่ในหมวดนั้นล่ะครับ ไม่รู้ว่าป้าปางบุ_เลิกแจกยัง ไปหา หาดูนะครับ
     
  4. เด็กบ้านยางสีสุราช

    เด็กบ้านยางสีสุราช Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2004
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +48
    อู๊ย อีกอย่างเกือบลืม ถ้ามีคนถามเด็กบ้านยางในกระทู้แล้วเด็กบ้านยางไม่ตอบอย่าเคียดกันเด้อ บางทีเด็กบ้านยางก็ไม่ได้เข้าไปดูอีกอ่ะ :eek: :eek:
     
  5. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,763
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    จักรวาลในทาง ตันตระ พุทธธิเบต

    [​IMG]


    เขาจะมองเป็นแนวระนาบ จะมี โลกธาตุ อาณาจักรพระพุทธเจ้า มากมาย แต่ในทางตันตระ เขา จะมีตระกูล พระพุทะเจ้า ทั้ง 5 ประจำทิศต่างๆ

    ในปริมณฑลของ ตถาคตทั้งห้า คือตัวแทนของ พลัง ห้าแบบของพุทธภาวะ

    ซึ่งจะแบ่งเป็น

    1.ศูนย์กลางแห่งมณฑล - พระไวโรจนะพุทธเจ้า
    2.ตะวันออก - พระอักโษภยะพุทธเจ้า
    3.ตะวันตก - พระอมิตตาพุทธเจ้า
    4.ใต้ - พระรัตนสัมภวพุทธเจ้า
    5.เหนือ - พระอโฆสิทธิพุทเจ้า

    รายละเอียด ปลีกย่อย หาอ่านเองครับ แค่ ผม จะแนะ นำ ให้กว้างขึ้น ว่า จักรวาลพุทธ มัน กว้างมากกกกกกกก

    และ ยังมี พระพุทธเจ้า ตาม จักวาล ต่างๆ อีก เท่าที่ผมจะ หามาให้ ได้ ครับ เพื่อเปิดมุมมอง ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2005
  6. ...

    ... บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    แล้วถ้ามีหลายจักรวาล เวลาเราตายไปแล้วเราจะเกิดในโลกเดิมรึเปล่าครับ มีสิทธิ์ไปเกิดอีกจักรวาลหนึ่งรึเปล่า และถ้าเราไม่มีสิทธิ์ไปเกิดจักรวาลอื่น แสดงว่าจักวาลต่างๆเป็นระบบที่แยกจากกันรึเปล่าครับ ถ้าแยกจากกันแล้วนิพพานจะเป็นที่เดียวกันไหมครับ
     
  7. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    ที่ผมเคยเห็นมานะครับ มีผลไม้อยุ่ชนิดหนึ่งเรียกว่า ผลไม้พระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ซึ่งลักษณะของมันจะเป้นผลไม้ลูกเล็กๆ มี 5 เหลี่ยม มีสั_ลักษณ์
    คล้ายๆพระพุทธเจ้าอยู่ประจำทิศทั้ง 5 ครับ ถ้ามีโอกาสได้ไปเอามาผมจะถ่ายรูปมาให้ดูนะครับ มันอยู่ในดินแดนอาถรรพ์หรือเมืองลับแล
     
  8. satan

    satan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    5,015
    ค่าพลัง:
    +17,915
    เว็บสโนว์แก้ไขสคริปร์เสร็จแล้วครับ ผมพยายามจะบอกคุณมาหลายวันแล้ว เพราะผมกลายร่างเป็นคนอื่นตั้งหลายคนนะ
    เป็นผู้ห_ิงก็มี เป็นผู้ชายก้มี ถ้าอยากรู้ว่าผมกลายร่างเป็นใครบ้างก็ดูที่ ใครบ้างที่ชอบแย้งกับคุณเทวดานะ อืม...
    ต้องขอบคุณเจ้าของชื่อด้วยนะที่ไม่ได้ออกมาว่าให้นะ และขอโทษด้วยละกัน แต่ช่วงนั้นพอล็อกอินชื่อSATAN ทีไร
    กลายเป็นคนอื่นไปหมดเลย
     
  9. ปฐมแสงธรรม

    ปฐมแสงธรรม บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    สัตว์โลกทั้งหลายอย่าสงสัยในเรื่องไกลตัวเลยดูวาระจิตของตนอย่าให้ส่งสายออกไปอย่านำเข้าให้ระลึกรู้อยู่ที่จิตเท่าทันในอารมณ์แต่อย่าตามอารมณ์ อย่าสงสัยในพระพุทธพระธรรมพระอริยสงฆ์แล้วจะเห็นความจริงที่บริสุทธิ์ไม่ใช่สิ่งที่ปรุงแต่งกันขึ้นมา รู้ให้ทันอารมณ์ปัจจุบันเถิด....เอวัง
     
  10. Kamen rider

    Kamen rider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    3,763
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +1,998
    จักรวาล, กาแลกชี่, เอกภพ,โลกธาตุ ทางวิทยาศาสตร์ เทียบกับ พุทธศาสนา

    มีอีก

    http://larndham.net/index.php?showtopic=12900
     
  11. bluewing

    bluewing Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +42
    อืมคนในนี้มีความรู้เรื่องมหายานเยอะนะครับ นับถือๆ...
    ขอบคุณ websnow เรื่องพระพุทธเจ้าในจักรวาลอื่นน่าสนใจมาก
     
  12. clex

    clex สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +20
    ขอบคุณ ปฐมแสงธรรม ที่เตือนสติ
    ด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่สิ้นสุดของมนุษย์ พยายามค้นหาสิ่งที่อยู่รอบกาย ยิ่งรู้จักสิ่งที่ใกลเท่าไหร่ ก็ยิ่งคิดว่าตัวเองมีความสุข สนองกิเลสความอยากรู้ หารู้ไม่ว่าสิ่งที่เราควรศึกษายิ่งกว่าคือ ตัวเราเอง
     
  13. ลูกแก้ว

    ลูกแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +705
    เรื่องพวกนี้รู้ไว้ให้พอรู้เท่านั้นก็พอครับ ไม่ควรไม่สนใจมากเกินไปเพราะไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อชีวิตสักเท่าไหร่ มาสนใจการปฏิบัติเพื่อให้ถึงที่สุดแห่งวัฏฏสงสารกันดีกว่าครับ รู้ก็สักแต่ว่ารู้ และสกัดมาใช้เฉพาะที่เป็นสาระแห่งชีวิตที่มีประโยชน์ดีกว่านะคร้าบ รู้มากก็ปวดเศียรเวียนเกล้าเพราะแค่โลกเราใบนี้ใบเดียวยังรู้กันไม่จบไม่สิ้น ยิ่งจำกัดไปเฉพาะตัวของเราเราก็เรียนรู้ยังไม่แตกฉานเลยคร้าบ ยังงงๆกับตนเองอยู่เลยเนี่ยทุกวันเนี๊ยะ
     
  14. deneta

    deneta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    2,712
    ค่าพลัง:
    +5,723
    เห็นว่าน่าสนใจ ในความสงสัย ของ เวปฯมีเรื่องน่าสนใจตามมาน่าอ่านครับ อนุโมทนา สาธุ
     
  15. ขอบเขต

    ขอบเขต สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +1
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ WebSnow [​IMG]
    ที่ผมสงสัยคือ

    1. นิพพาน ของจำนวนอนันตจักรวาล จะเป็นที่เดียวกันไหม
    หรือว่าจะมีนิพพานของแต่ละจักรวาลไม่ยุ่งเกี่ยวกับนิพพานของอีกจักรวาล

    2. แล้วพระพุทธเจ้าที่นิพพานแล้วหน้าตารูปลักษณ์หน้าตาคล้ายคล้ายเราไหม
    ใครที่ได้มโนมยิทธิแล้วถอดจิตไปนิพพานเมืองแก้ว เคยเห็นพระพุทธเจ้าจากจักรวาลอื่นบ้างไหม ?

    3.สมเด็จองค์ประถมคือใคร ?
    สมเด็จองค์ปฐมที่หลวงพ่อกล่าวถึงหมายถึง
    1. พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกในอนันตจักรวาล ?
    2. หรือพระองค์เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกในจักรวาลที่เราอยู่ ?
    3. หรือเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกในล้านพระองค์
    ตอบสั้นๆนะครับ
    -นิพพานในอนันตจักรวาลเป็นที่เดียวกัน
    -จริงแล้วคนเราหรือไม่ว่าจะสิ่งมีชีวิตใดๆรูปร่างดั้งเดิมเหมือนกันหมดครับ(ธรรมกาย)ไม่เว้นแม้แต่พระพุทธเจ้า
    -พุทธองค์ปฐมเป็นพุทธองค์แรกครับที่มีตัวตนขึ้นมาจริงๆครับและหมายถึงตามข้อ1ครับ
    จากเวบ http://www.geocities.com/flare333/ ในพระสูตรไตรภาค
    โปรดใช้วิจารณญาณนะครับ
     
  16. ปลาทอด

    ปลาทอด Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +44
    เปิดมุมมองใหม่ เปิดแนวความรู้ใหม่ อนุโมทนาค่ะ ^__^

    เอ่อพออ่านก็มีคำถามขึ้นมาในจิตใจ ถ้าอีกจักรวาลนั้นมีพระพุทธเจ้าอีกหลายองค์ประจำดาวนั้นประจำจักรวาลนั้นๆ แล้วเมื่อคนตายไปเป็นวิญญาณเป็นจิตหรืออะไรก็แล้วแต่ในอีกภพภูมิหนึ่งอยากจะทราบว่าเหลือเกินว่าจะเป็นไปได้ไหมว่าจะมีการเกิดข้ามภพข้ามจักรวาล เช่นตายจากโลกนี้แล้วไปเกิดอีกจักรวาลหนึ่ง แล้วถ้าอีกจักรวาลรูปร่างสัดส่วนความใหญ่โตของร่างกายต่างกันเหมือนเม็ดงากับแตงโม หรือเม็ดงากับบอลลูน วิญญาณที่เกิดนั้นจะอยู่ในร่างที่ต่างกันได้หรือไม่ ถ้าเปรียบน้ำที่ปริมาณใส่แก้วเก่าเท่าเดิม แล้วเปลี่ยนไปใส่โอ่งใส่น้ำที่ใหญ่กว่าในปริมาณน้ำเท่าเดิมนั้น น้ำขอเปรียบเทียบเป็นวิญญาณ ส่วนแก้วกับโอ่งคือร่างกายเนื้อที่วิญญาณจะใช้ในการเกิด คืออยากทราบว่าจะมีการเกิดข้ามจักรวาลกันได้หรือไม่ หรือเขตปกครองนั้นแยกกันจึงไม่สามารถปะปนกันได้ อนุโมทนาค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2009
  17. god-war

    god-war สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2009
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +1
    ตอบคุณปลาทอดนะครับ
    อันว่าโลกธาตุนั้นซับซ้อนแม้ในรูขุมขนเรานั้นก็ยังมีจักรวาลซ้อนซ้อนอยู่ครับ แต่ไม่ต้องพุ่งเป้าไปตรงนี้ก็ได้ พุ่งเป้าไปที่วิญญาณที่คุณว่าดีกว่า อ
    - อันว่าเดิมทีนั้นวิญญาณมีมาเพื่อทำหน้าที่เป็น ตัว"รับรู้"ของจิต ไม่ว่าจิตจะอยู่ในรูปใดหรือแม้แต่อรูป ในมิติใดๆก็แล้วแต่
    อนึ่งจิตเป็นสิ่งที่เดิมไม่ได้มีตัวตนอยู่ เพราะเหตุใดฤา เพราะจิตหยั่งลงที่ความว่าง อาศัยความว่างเกิด-ดับ แปรผันกันอยู่ทุกขณะจิต เป็นกรรมนั่นแหละครับ จากที่กล่าวมาสามารถสรุปออกได้2แบบ คือ
    1.การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง แต่เป็นในแง่การประชุมกันขององค์ธรรมต่างๆ แต่ไม่มีตัวตนแท้จริง
    2.คนเราเกิดหนเดียวตายหนเดียว นั่นก็ถูกอีก เพราะทั้งหลายทั้งปวงย่อมไม่ใช่ตัวตน แล้วมันจะพาตัวตนไปเกิดที่ไหนได้อีก
    ดังนี้ครับ
     
  18. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ความคิดเห็น....ก้ดีนะครับ แต่สิ่งที่ไม่ควรคิด 4อย่าง เพราะเป็นสาเหตุของการเป็นบ้า
    1. พุทธวิสัย
    2. ฌานวิสัย
    3.โลกวิสัย
    4.แปะไว้ก่อนเดี๋ยวมาตอบใหม่

    ท่านจรถามหน่อย...นิพพานเป็นเมืองแก้วเหรอครับ
     
  19. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
     
  20. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    นิพพาน อันปรากฎแก่ผู้สิ้นตัณหา

    ต่อไปนี้ เป็นเนื้อความ ในธัมมัตถาธิบาย ขยายคำในพระพุทธอุทาน ต่อจากอรรถกถาออกไปอีก
    เพื่อให้เป็นที่เข้าใจแก่ผู้ใฝ่ใจทั้งหลาย กล่าวคือ ในพระพุทธอุทานนั้นมีเนื้อความว่า
    สิ่งที่ไม่มีเครื่องน้อมไปเป็นของที่เห็นได้ยากของจริงไม่ใช่เป็นของที่เห็นได้ง่าย
    เครื่องกังวลย่อมไม่มีแก่ผู้แทงตลอดตัณหาแล้วรู้อยู่เห็นอยู่ ดังนี้ คำเหล่านี้พระอรรถกถาจารย์
    ได้แก้ทุกคำแล้ว คือ คำว่า เห็นได้ยากนั้น พระอรรถกถาจารย์แก้ไขไว้ว่า ผู้ที่ไม่ได้สะสมญาณบารมี
    ไม่อาจเห็นได้ เพราะนิพพานเป็นของลึก ตามสภาพ เป็นของละเอียดสุขุมอย่างยิ่ง ดังนี้
    คำของพระอรรถกถาจารย์นี้ เป็นคำปฏิเสธว่า ไม่เห็นเสียเลย ไม่ใช่ว่าเห็นได้ยาก

    นัยที่ ๒ พระอรรถกถาจารย์แก้ไขไว้ว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงการบรรลุนิพพานได้ยาก
    ด้วยคำว่าเห็นได้ยาก โดยอ้างเหตุว่า การอบรมสิ่งที่ไม่มีปัจจัย ไม่ใช่เป็นของที่สัตว์โลกทั้งหลายจะทำได้
    ง่ายโดยเหตุว่าสัตว์โลกทั้งหลาย ได้อบรมสิ่งที่มีปัจจัยด้วยกิเลสมีราคะเป็นต้น ซึ่งเป็นของทำปัญญา
    ให้ทุผลภาพเสียกำลังดังนี้ ฯ ได้ใจความตามนัยที่ ๒ นี้ว่า ที่ว่าเห็นได้ยากนั้น คือ สำเร็จได้ยาก ฯ
    โดยเหตุนี้ขอให้ท่านทั้งหลายจงจำไว้เถิดว่า คำว่าเห็นได้ยากนั้น พระอรรถกถาจารย์ว่าไว้ ๒นัย

    นัยที่๑ ว่า ผู้ไม่ได้สะสมญาณบารมีไว้ไม่อาจเห็นได้ นัยนี้ชี้ให้เห็นว่า เห็นไม่ได้ทีเดียว ฯ

    นัยที่ ๒ ว่าสำเร็จได้ยาก ฯ นัยนี้ชี้ให้เห็นว่า ต่อเมื่อไรได้สำเร็จจึงจะเห็นได้ การสำเร็จนั้นย่อมเป็นการสำเร็จได้ยากฯ

    ขยายคำข้อนี้ออกไปอีกชั้นหนึ่งว่า การจะเห็นพระนิพพานนั้น ต้องเห็นได้ด้วยปัญญาจักษุ
    อันเป็นปัญญาที่ประเสริฐ ปัญญาจักษุนั้น เป็นของที่ทำให้เกิดขึ้นได้แสนยาก ด้วยเหตุว่า ต้องอบรมบารมี
    มีทาน ศีล ภาวนาเป็นต้น อยู่จนตลอดกาลนาน จึงอาจทำปัญญาจักษุ คือ ดวงปัญญาอันประเสริฐ
    ให้เกิดขึ้นได้ ขอให้ดูแต่พระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายเป็นตัวอย่างเถิด คือพระพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย
    พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญบารมี มาตลอด ๔ อสงไขยกับอีกแสนมหากัลป์ นับแต่ได้พุทธพยากรณ์มาแล้ว

    ก่อนแต่ยังไม่ได้พุทธพยากรณ์มานั้น พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญมาแล้วตลอดกาลนานคือ ทรงบำเพ็ญในเวลา
    ที่ตั้งความปรารถนาในใจว่า จะเป็นพระพุทธเจ้านั้นอีก สิ้น ๙ อสงไขย จึงได้พุทธพยากรณ์จาก
    สำนักพระพุทธเจ้าทั้ง ๒๔ พระองค์มี พระทีปังกรเป็นต้น รวมเวลาบำเพ็ญบารมีทั้ง ๓ ตอน เข้าด้วยกัน
    ก็เป็น ๒๐ อสงไขย เศษแสนมหากัลป์ จึงจะทำพระปัญญาจักษุอันประเสริฐให้เกิดขึ้นแต่ถึงอย่างนั้น
    พระองค์ก็ยังทรงทำได้แสนยากต้องทนลำบากพระองค์บำเพ็ญทุกขกิริยาอยู่ถึง ๖ พรรษาเพื่อแสวงหา
    ดวงจักษุ คือ ปัญญาอันประเสริฐจึงได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงเห็นพระนิพพานแจ่มแจ้งด้วยพระองค์เอง โดยไม่เกี่ยวกับทุกขกิริยาที่ทรงกระทำมานั้น ไม่ใช่เป็นหนทางให้พระองค์ได้ตรัสรู้
    ส่วนหนทางที่ให้พระองค์ตรัสรู้นั้น ได้แก่ อัฏฐังกิมรรค ๘ ประการ มีสัมมาทิฐิเป็นต้น มีสัมมาสมาธิ
    เป็นปริโยสาน ที่พระองค์ทรงทำให้เกิดขึ้นด้วยทรงเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐาน คือ ทรงตั้งพระหฤทัย
    กำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์ เมื่อพระองค์ทรงบ่ม อานาปานสติ การกำหนด ลมหายใจเข้าออก
    นั้นให้แก่กล้านั้นก็เกิดเป็นสมาธิชั้นที่ ๑ ที่๒ ที่๓ ที่๔ ซึ่งเรียกตามบาลีว่า ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน
    จตุตถฌาน เมื่อ จตุตฌานเกิดขึ้นแล้ว พระหฤทัยของพระองค์ดำรงมั่นบริสุทธิ์ผ่องใส ปราศจากเครื่องเศร้าหมอง อ่อนโยน ละมุนละไม ตั้งอยู่ในฐานะที่จะบังคับได้ดังประสงค์ ดำรงมั่นไม่หวั่นไหวแล้ว

    พระองค์ก็ทรงน้อมพระหฤทัยไป เพื่อให้เกิด บุพเพนิวาสญาณ ให้ระลึกการหนหลังได้ ในลำดับนั้น พระองค์ก็ทรงระลึกกาลหนหลังได้ ตั้งแต่ ชาติหนึ่งเป็นต้นไป จนกระทั่งถึงปลายกัลป์ หากำหนดมิได้ พร้อมทั้งอาการและอุเทศ คือทรง ระลึกได้ว่า ในชาติโน้น พระองค์มีพระนาม และโครต ผิวพรรณ วรรณะ
    อาหาร สุขทุกข์ อายุ อย่างนั้นๆ จุติจากชาตินั้นแล้ว ได้มาเกิดในชาติโน้น ทรงระลึกได้อย่างนี้
    เป็นลำดับมา จนกระทั่งชาติปัจจุบันนั้น บุพเพนิวาสญาณ การระลึกชาติหนหลังนี้ ได้เกิดมีแก่พระองค์ในปฐมยาม ฯ ในปฐมยามนั้น พระองค์ทรงพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท โดยอนุโลมจนตลอดแล้ว ก็ทรงเปล่ง
    อุทานขึ้น ดังที่แสดงมาแล้วในกัณฑ์ ที่ ๑ โน้น เมื่อถึง มัชฌิมยาม พระองค์น้อมพระหฤทัยไปเพื่อให้รู้
    การจุติ และอุบัติของสัตว์โลกทั้งหลาย พระองค์ก็ได้ทรงเห็นสัตว์โลกทั้งหลายที่จุติ และเกิดได้ทุกจำพวก
    คือจำพวกที่เลวและดี ทั้งพวกที่มีผิวพรรณดีและไม่ดี ทั้งจำพวกที่ไปดีและไปไม่ดีด้วยทิพพจักษุญาณ

    คือพระองค์ทรงทราบว่าพวกที่ประกอบด้วย กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยะเจ้า
    เป็นมิจฉาทิฐิ ถือมั่นมิจฉาทิฐิทำกาลกิริยาตายแล้ว ก็ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก การที่พระองค์
    ทรงทราบนั้น คือ ทรงเล็งเห็นด้วย ทิพพจักษุ เหมือนกับบุคคลยืนอยู่บนปราสาทซึ่งเล็งเห็นผู้ที่อยู่รอบ
    ปราสาทฉะนั้น เมื่อพระองค์ทรงได้ทิพพจักษุอันเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าจตูปปาตญาณแล้ว พระองค์ก็ทรง
    พิจารณา ปฏิจจสมุปบาทในฝ่ายปฏิโลม แล้วทรงเปล่งอุททานเป็นครั้งที่ ๒ ดังที่แสดงมาแล้ว ในกัณฑ์
    ที่ ๒ โน้น เมื่อพระหฤทัยของพระองค์บริสุทธิ์ดังที่แสดงมาแล้วในกัณฑ์ที่ ๓ โน้น ฯ ในขณะที่พระองค์
    ทรงไว้ อาสวักขยญาณอันทำให้สิ้น อาสวะกิเลสนั้น สรรพปรีชาญาณทั้งสิ้น คือ เวสารัชชญาณ ๔
    ทศพลญาณ ๑๐ และสัพพัญญุตญาณเป็นต้น ก็เกิดขึ้นพร้อมกัน ฯ เป็นอันว่าในขณะนั้น พระองค์ได้ตรัสรู้
    พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลก เป็นอันว่าพระปัญญาจักษุ
    คือ ดวงปัญญาอันวิเศษ ซึ่งเป็นเหตุให้เห็นพระหฤพาน ก็เกิดมีขึ้นแก่พระองค์ พร้อมทั้ง
    พระพุทธจักษุพระสมันตจักษุ ทิพพจักษุทุกประการ ฯ เท่าที่สังวัณณนาการแล้วนี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า
    พระนฤพานนั้น เป็นของที่เห็นได้แสนยาก เพราะเหตุว่า เป็นของละเอียดลึกซึ้งไม่มีสิ่งจะเทียมถึง
    โดยเหตุนี้ ควรที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จะอุตสาหะบำเพ็ญ บารมีทั้ง ๑๐ ประการ
    คือ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี
    เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี อันกล่าวโดยย่อว่า ได้แก่ ทาน ศีล เนกขัมมะ บรรพชา ปัญญา วิริยะ ขันติ
    สัจจะ อธิฐาน เมตตา อุเบกขา ตามกำลังสามารถของตน ตามภูมิชั้นของตน ๆ ที่ปรารถนาเป็น สาวก
    สาวิกา หรือเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามโอกาส บริสุทธิ์ มาด้วยบุพเพนิวาสญาณ และ จุตูปปญาณ ในปฐมยาม และมัชฌิมยามดังนี้แล้ว พระหฤทัยของพระองค์ก้ผ่องแผ้วยิ่งขึ้น
    พระองค์จึงทรงน้อมพระหฤทัยไปเพื่อให้เกิดอาสวักขยญาณ ทำให้สิ้น อาสวะจากสันดานของพระองค์ ฯ

    พระองค์ก็ทรงทราบตามความเป็นจริงว่า สิ่งไรเป็นทุกข์ สิ่งไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ สิ่งไรเป็นความดับทุกข์
    สิ่งไรเป็นทางดับทุกข์ฯ พระองค์ก็ทรงทราบตามความเป็นจริงว่า สิ่งเหล่านี้เป็นอาสวะ เป็นเหตุ
    ให้เกิดอาสวะ เป็นความดับอาสวะ เป็นทางให้ดับอาสวะ ฯ เมื่อพระองค์ทรงรู้เห็นอย่างนั้น พระหฤทัย
    ของพระองค์ก็หลุดพ้นจาก กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ฯ เมื่อพระหฤทัยของพระองค์หลุดพ้นจาก
    อาสวะ ทั้ง ๓ อย่างนั้นแล้ว ก็เกิดพระปรีชาญาณขึ้นว่า พระหฤทัยของเราหลุดพ้นแล้ว พระองค์สิ้นความ
    เวียนตายเวียนเกิดอยู่ในกำเนิด ๔ คติ ๕ สัตตาวาส ๙ อันนับเข้าในสงสารเสร็จแล้ว พระองค์สำเร็จ
    พรหมจรรย์แล้ว ได้ทรงทำสิ่งที่ควรทำ สำเร็จแล้ว ลำดับนั้น พระองค์ก็ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท
    กลับไปกลับมาทั้งฝ่าย อนุโลมและปฏิโลม แล้วทรงเปล่งอุทานขึ้นเป็นครั้งที่ ๓ ดังที่ได้ ที่ควรกระทำ

    เมื่อผู้ใดพยายามบำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ มีทานเป็นต้น ตามสมควรแก่เวลาแล้ว ผู้นั้นก็ใกล้ต่อการเห็นนิพพาน
    ไปโดยลำดับ ด้วยเหตุว่า จิตใจของผู้นั้น จะผ่องใสไปโดยลำดับ เหมือนกับทองที่ช่างทองได้ไล่ขี้ไป
    โดยลำดับฉะนั้น ฯ ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ทรงสอนไว้ว่า บุคคลผู้มีปัญญา ควรกำจัด
    มลทินของตนไปทีละน้อยๆ ไปตามขณะสมัย ในเวลาอันสมควร ให้เหมือนกับช่างทองไล่สนิมทองฉะนั้น
    ดังนี้ ฯ


    แต่ขอเตือนท่านทั้งหลายอีกอย่างหนึ่งว่า ท่านทั้งหลายอย่าท้อใจว่า กว่าจะได้เห็นนิพพานนั้นต้อง
    บำเพ็ญบารมีอยู่ตลอดกาลนาน เพราะเหตุว่าเมื่อเราทำไป วันเวลาเดือนปี ก็สิ้นไปตามลำดับ
    เมื่อเราดับจิตแล้ว เราก็เกิดชาติใหม่ เมื่อเราเกิดชาติใหม่แล้วเราก็ลืมชาติเก่า เรานึกไม่ได้ว่าเราได้
    บำเพ็ญบารมีมานานแล้ว เมื่อเราเกิดอยู่ในชาติใด เราก็นึกได้แต่เพียงชาตินั้น อันนี้ไม่เป็นเหตุให้เรา
    เบื่อหน่าย ท้อทอยต่อการบำเพ็ญบารมี ถ้าเราไม่ลืมชาติหนหลัง เหมือนดั่งเราเดินทาง แล้วไม่ลืมระยะทาง
    ที่เดินมาแล้วในวันก่อนๆนั้นแหละ จึงจักทำความหนักใจท้อถอยให้แก่เรา อีกประการหนึ่ง การเดินทางนั้น
    ย่อมทำให้เกิดความเหนื่อยมากในวันแรก และวันที่ ๒ ที่ ๓ เท่านั้น สำหรับวันต่อๆไป ความเหนื่อยนั้น
    ก็คลายลงไปทีละน้อยๆ ด้วยเหตุว่า ความคุ้นเคยต่อการเดินทางนั้น ย่อมมีขึ้นกับเท้าและแข้งขาของเรา
    การบำเพ็ญบารมี ก็ทำให้เรามีความชำนิชำนาญขึ้นทีละน้อยๆ ฉันนั้น เหมือนเราไม่เคยให้ทาน รักษาศีล
    ฟังพระสัทธรรมเทศนา เราย่อมรู้สึก ลำบากใจ เห็นว่าเป็นของทำได้ยาก แต่ว่าเมื่อเราทำได้มากขึ้นแล้ว
    ก็จะเห็นว่าเป็นของทำได้ง่ายขึ้นทุกทีฯ อีกประการหนึ่งการบำเพ็ญบารมีเพื่อปรารถนาเป็น สาวก สาวิกา
    ปกตินั้น ย่อมไม่กินเวลานานเท่าไรนัก กินเวลาเพียงแสนมหากัลป์เท่านั้น ส่วนปรารถนาเป็นมหาสาวก
    และอัครสาวก พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จึวกินเวลานานมากกว่ากันขึ้นไปเป็นลำดับ ฯ
    เมื่อเราทั้งหลายไม่เห็นพระนิพพานอยู่ตราบใด ก็ไม่เห็นความสิ้นทุกข์อยู่ตราบนั้น เหมือนกับเรายังไม่เห็น
    ความมั่งมีตราบใดเราก็ไม่เห็นการสิ้นความจนอยู่ตราบนั้น ฉะนั้นโดยเหตุนี้ จึงควรที่ทุกคนจะพยายาม
    บำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ ที่มีทานบารมีเป็นต้น ให้มีขึ้นในตนเสมอไป แก้ไขมาในคำว่า นิพพานเห็นได้ยาก
    ก็พอเป็นที่เข้าใจของพุทธศาสนิกชนทั้งหลายแล้ว จึงจะได้อธิบายคำอื่นต่อไป


    มีคำว่า นิพพาน ไม่มีเครื่องน้อมไปเป็นต้น คือ คำว่า นิพพานไม่มีเครื่องน้อมไปนั้น พระอรรถกถาจารย์
    อธิบายว่าตัณหาชื่อว่าเป็นเครื่องน้อมไป เพราะน้อมไปในอารมณ์ทั้งหลาย มีรูปเป็นต้นและน้อมไปในภพ
    ทั้งหลาย มีกามเป็นต้น ซึ่งท่านย่นใจความว่า นิพพานนั้นไม่มีตัณหา ฯ คำของพระอรรถกถาจารย์ที่
    อธิบายดังนี้ เป็นอันได้ความแจ่มแจ้งแล้ว คือ พระนิพพานนั้น ไม่มีตัณหาที่จะให้น้อมไปในอารมณ์
    และภพอันใดอันหนึ่ง จึงเป็นที่เกษมสุขอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า สิ่งที่มีตัณหานั้น เป็นสิ่งที่ให้เกิดทุกข์ทั้งนั้น
    คำว่านิพพานไม่มีเครื่องน้อมไป คือตัณหานี้ เป็นเครื่องชี้คุณของนิพพานให้เห็นว่าไม่มีเหตุที่จะให้เกิด
    ทุกข์ จึงจัดเป็นเอกันตบรมสุขอย่างยิ่ง สมกับคำว่า นิพพานัง ปรมัง วทันติ พุทธา พระพุทธเจ้า
    ทั้งหลายย่อมกล่าวว่า นิพพานเป็นบรมสุขดังนี้ คำว่า ของจริงไม่ใช่เห็นได้ง่ายในพระอุทานนั้น

    พระอรรถกถาจารย์อธิบายไว้ว่า นิพพานนั้นชื่อว่าเป็นของจริง เพราะเป็นของไม่วิปริต เป็นของมีอยู่โดยแท้
    ใครจะแก้ไขให้เห็นว่า นิพพานไม่มีนั้นเป็นอันไม่ได้ นิพพานนั้น ถึงผู้ได้สะสมบุญญาณไว้ได้ตลอดกาลนาน
    ก็ยังยากที่จะเห็นได้ ดังนี้ คำของพระอรรถกถาจารย์นี้เป็นคำที่แจ่มแจ้งอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องชี้แจงซ้ำ
    อีกให้พิสดารเป็นแต่จับใจความว่า ตามถ้อยคำของพระอรรถกถาจารย์นี้มีมาว่า นิพพานซึ่งเป็นของจริงนั้น
    ถึงผู้บำเพ็ญบารมีมานานแล้ว ก็ยากที่จะสำเร็จได้ คำว่าแทงตลอดตัณหานั้น พระอรรถกถาจารย์ว่า ได้แก่
    ละตัณหาอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ฯ คำว่าผู้รู้ผู้เห็นนั้น ได้แก่ ผู้รู้เห็นอริยสัจด้วยอริยมรรคปัญญา ฯ คำว่า
    ไม่มีความกังวลนั้นได้แก่ไม่มีกิเลสวัฏฏ์ กรรมวัฏฏ์ วิปากวัฏฏ์ คือ ความวนเวียนแห่งกิเลส และกรรม
    กับทั้งผลแห่งกรรม ดังนี้ ฯ ถ้อยคำของพระอรรถกถาจารย์เหล่านี้ ก็มีใจความแจ่มแจ้งแล้วทั้งนั้น
    โดยเหตุนี้ จึงของดธัมมัตถาธิบายในพระพุทธอุทาน ที่ ๗๒ อันมีเนื้อความว่า ธรรมชาติอันใดไม่มี
    เครื่องน้อมไปเป็นของเห็นได้ยาก เพราะของจริงไม่ใช่เป็นของเห็นได้ง่าย เครื่องกังวลย่อมไม่มีแก่
    ผู้แทงตลอดตัณหาแล้วรู้อยู่เห็นอยู่ ดังนี้ ......



    ที่มา กัณฑ์ ที่ ๗๒ คัมภีร์ ขุททกนิกาย พุทธอุทาน ว่าด้วยนิพพานอันปรากฎแก่ผุ้สิ้นตัณหา......

    ข้อมูลนี้ละครับท่าน ...บางทีอ่านแล้วก็รู้สงสัย
     

แชร์หน้านี้

Loading...