รวมปุจฉา-วิสัชนา ของฤษีลึกลับ กับเคล็ดลับการฝึกกรรมฐานฮะ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย คนขายธูป, 13 สิงหาคม 2007.

  1. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ไปค้นมาจากที่ไหน ขอเก็บเป็นความลับ ฮิๆๆ
    ลองดูเอานะฮะ ว่าใช้ได้ผลไหม ต้องลองดูฮะ

    (b-ping)
     
  2. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา:ทำไมบางท่านนั่งสมาธิแล้วเห็นอะไรเยอะจังแต่ผมไม่เห็นอะไรกับเขาบ้างเลยทำอย่างไรให้ก้าวหน้าครับ?


    วิสัชนา


    ความก้าวหน้าของการฝึกกรรมฐานไม่ได้อยู่ที่เห็นอะไรนอกเสียจากอนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา การไปเห็นนรก-สวรรค์ เรียกว่าแค่ตีนบันได ยังไม่ได้ขึ้นบ้านกินข้าวแล้วก็นอนเลย การเห็นไตรลักษณ์ต่างหากที่เรียกว่าก้าวหน้า ซึ่งต้องเห็นด้วยตัวเองกับจิต ผ่านอายตนะใดอายตนะหนึ่ง พ้นขอบเขตของอายตนะ (ประสาทรับสัมผัส) ปกติไปแล้วเท่านั้นจึงเรียกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2007
  3. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา:ฝึกสติปัฏฐานสี่ครูสอนว่าให้ดูเฉยๆไม่ต้องทำอะไรฝึกมาเลย ปีแล้วไหนว่าอย่างช้าปีบรรลุธรรม?


    วิสัชนา


    การฝึกดูเฉยๆ คือ การฝึกสมาธิ คือจิตนิ่งอยู่แต่กับการดู แต่ถ้าเห็นความเปลี่ยนแปลงแล้วเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่ดูนั้นๆ ก็เรียกว่าสติพัฒนาขึ้น แต่สองอย่างนี้ไม่ทำให้บรรลุธรรม การบรรลุธรรมต้องอาศัยปัญญาเข้าถึง เรียกว่าปัญญาเฉียบแหลมรู้แจ้งแทงตลอดทะลุทะลวงไปถึงทุกสรรพสิ่งว่าท้ายที่สุดก็ไตรลักษณ์เช่นกัน การที่ดูเฉยๆ ไม่มีสมมติฐาน เรียกว่า
     
  4. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา:ครูสอนให้ดูจิตโดยดูอย่างเดียวโดยไม่คิดอะไรให้รู้เท่าทันว่าจิตไปถึงไหนคิดอะไรแล้วอย่างนี้ถูกต้องไหม?


    วิสัชนา


    ไม่ผิด นั่นคือการฝึกสติบนฐานจิต อย่าลืมว่าสติปัฏฐานสี่ มีสี่ฐาน คือ สติตั้งในฐาน กาย, เวทนา, จิต, ธรรม หากตั้งในฐานกายก็ดูแต่การเคลื่อนไปทุกอิริยาบถ เช่น เดินจงกลม หากเดินผิดก็รู้ว่าผิดก็วางเฉย รู้เร็วๆ แล้วไม่ต้องไปทำอะไรต่อ หรือไม่ต้องไปรู้สึกผิด สักแต่ว่ารู้ว่าไม่ใช่ เรียกว่า สติ หากดูเวทนา ก็ดูแค่สุข, ทุกข์ หรือเฉยๆ หากทุกข์ก็คลายลงเร็วๆ จึงได้สติ หากดูจิตก็ดูได้มากมายเช่น ดูจิตทั้ง ๑๒๑ ดวงที่เกิดดับสลับกันไป หรือดูลึกเข้าไปถึงเจตสิกเลย จำแนกแยกแยะ และหยุดยั้งได้ทัน ก่อนจะเกิดจิต หรือถ้าดูฐานธรรม ก็ดูแค่รูปนาม แยกว่าอะไรคือตัวรู้ อะไรเป็นตัวถูกรู้ อะไรเกิด อะไรดับลง ไม่ต้องใส่ความคิดเข้าไปปรุง แต่ต้องรู้ถึงการเกิดดับของสิ่งที่ดูอยู่ให้เร็วๆ จึงได้สติไว และปัญญาด้วยเพราะเห็นการเกิดดับคือไตรลักษณ์นั่นเอง ทว่า เมื่อเลิกฝึกสติปัฏฐานเราก็ใช้ความคิดได้ตามปกติ อย่าไปยึดกรรมฐานจนไม่อาจใช้ธรรมชาติที่เขามีให้เรามาได้ตามปกติ เดี๋ยวมันจะกลายเป็นคนไม่ปกติ มันก็ไม่ใช่ธรรมะ ไม่ใช่ธรรมชาติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2007
  5. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา: ฝึกสมาธิตามหลักวิชชา
     
  6. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา: คนที่ไปฝึก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2007
  7. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา: คนที่ไปฝึก
     
  8. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา: คนที่ไปฝึก
     
  9. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา: คนที่ไปฝึกที่สันติอโศกมา เหมือนเป็นลัทธิประหลาดแล้วไม่เห็นมีอะไรเลย เหมือนโดนหลอกให้ไปทำงานให้ฟรี ?


    วิสัชนา


    ที่สันติอโศกเป็นแนวเซน คือ ใช้วิปัสสนาลืมตา ไม่ต้องไปนั่งสมาธิ หากจับหลักได้ เวลาทำงานก็สามารถได้ถึงฌานสี่ได้เหมือนกัน คือ ภาวะที่จิตสงัดจากนิวรณ์ห้า ไม่มีวิตก, วิจาร, ปีติ และสุข มีแต่อุเบกขาและเอกัคตาเท่านั้น ซึ่งไม่ยากเกินไปหากมีจิตใจที่สมถะ เรียบง่ายอยู่แล้ว แต่หากยังมีกามคุณห้ามาก ก็จะเผาใจให้ร้อนรุมอยากหนีอยากออกมา ไม่สามารถฝึกฌานแบบเซนก้าวหน้าได้เลย ส่วนการทำงานนั้นล้วนเป็นการทำเพื่อการกุศลย่อมไม่มีค่าจ้างแรงงานอยู่แล้ว ที่สำคัญ คือ เราได้สุขใจที่ได้ทำกุศลกรรม นั่นแหละผลบุญที่ได้ทันทีในชาตินี้ ส่วนชาติภพต่อไป ก็ได้อีก แต่ไม่สำคัญเท่ากับการสิ้นชาติสิ้นภพไม่เกิดอีก ที่จริง สันติอโศกไม่ใช่ลัทธิประหลาด เป็นพุทธแท้จริงถูกต้องและเคร่งครัดมีหลักเศรษฐกิจพอเพียงในตัวเองมานานแล้ว เพียงแต่ปัจจุบันของที่ถูกต้องเราไม่เคยเห็นเลยคิดว่าประหลาดเท่านั้นเอง เห็นคนไทยเห่อ ท่านติช ณัช ฮัน ซึ่งท่านก็เป็นเซนจริงๆ แต่กลับดูถูกเหยียดหยามคนไทยด้วยกันเองที่เป็นเซน แปลกดี ขอให้เปิดใจกว้างก่อน อย่าใจแคบ อย่าตัดสินคนโดยไม่ให้เขามีโอกาสได้พูดกันเราตรงๆ ลองฝึกอย่างจริงจังจนเห็นผลก่อนวิจารณ์ ฝึกให้เป็นนิสัย อย่าตัดสินคนด้วยคำพูดคนอื่น หรือข่าวที่เราได้ยินมา ต้องไปเจอตัวเขาเอง ไปรับวิชชาจากเขา แล้วลองฝึกดู แล้วจะรู้เองว่าจริงหรือไม่จริง อันนี้ขอไม่บอกละกัน อนึ่ง คนเราริเป็นใหญ่อย่าใจแคบ โลกยังกว้างสำหรับประเทศไทย หากคิดจะให้ไทยครองโลก มันต้องเข้าใจประเทศอื่นเขาก่อน เปิดใจกว้างให้ได้ก่อน อย่ายึดความเป็นตัวตนมากไป
     
  10. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา: ที่สันติอโศกบอกว่าพระอรหันต์ตายแล้วเกิดใหม่ได้ และพระสมณโพธิรักษ์ก็บอกว่าเป็นพระสารีบุตรมาเกิด ?


    วิสัชนา


    อยากรู้ว่าจริงหรือไม่ก็ต้องไปปฏิบัติอย่างจริงจัง อย่าตั้งแง่ เปิดใจเข้าไปเหมือนเด็กหัวอ่อนก่อน แต่อย่าเพิ่งเชื่อ ให้ปฏิบัติทดลองและพิสูจน์ด้วยตนเอง คุณเห็นว่าสมณโพธิรักษ์เป็นคนขี้โกหกหรือ? ในเมื่อท่านถือศีลเคร่งครัดมากที่สุดคนหนึ่งในประเทศไทยทีเดียว ส่วนเรื่องที่อรหันต์แล้วเกิดใหม่ได้นั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ของพุทธเพราะมหายานเขารู้มานานแล้ว ส่วนที่เรามองว่าแปลกใหม่เพราะเราเป็นเถรวาท อนึ่ง
     
  11. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา: บางสำนักอ้างว่าเป็นโพธิสัตว์มาเกิด นิตยโพธิสัตว์เสียด้วย จะเชื่อถือได้ขนาดไหนครับว่าไม่ถูกหลอกต้ม ?


    วิสัชนา


    เขาหลอกเอาอะไรเราละ? เหมือนบางที่ที่ให้ไปดูนรก-สวรรค์แล้วทำบุญด้วยเงินมากๆ หรือเปล่า? อันที่จริงดูไม่ยากหรอก อย่างสันติอโศกหรือธรรมกาย หากไม่มีบารมีเก่าจริง เขาคงไม่อยู่ได้ถึงขนาดนี้ และหากไม่มีบุญ ใครจะไปทำบุญสร้างอะไรให้ขนาดนั้นละ? ดังนั้น ก็ขอให้ดูผลที่เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ในปัจจุบัน อย่าไปยึดความเชื่อเก่าของตนเองเป็นบรรทัดฐาน สักแต่ว่าเพียงเพื่อดูอะไรต่างจากความเชื่อเดิมตนก็ฟันธงว่าผิด หรือนั่นไม่ใช่ทางที่ถูกต้องแล้ว เพราะเริ่มต้นจากการยึดความเชื่อตนก็ผิดแล้ว ต้องเริ่มจากการเปิดใจกว้างไว้ สักแต่ว่าดู แล้วเข้าไปสัมผัสและพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติอย่างจริงจังจนเห็นผลแล้วเท่านั้น จึงจะมาสรุปผลและวิจารณ์ได้ว่าใช่หรือไม่ อนึ่ง ฤษีเห็นคนไทยไปนับถือสหจโยคะ ซึ่งไม่ผิด แต่ไม่ใช่พุทธ นั่นหมายความว่าอะไร และยังมีราชาโยคะ ถอดวิญญาณท่องสวรรค์ และอย่างอื่นอีกมากมาย ตกลงเราจะเป็นพราหมณ์หรือพุทธแท้ และเราจะใกล้เกลือกินด่างแบบนี้ไปอีกนานไหม? ส่วนเรื่องที่เขาเทศน์อะไรเลยไปจากความเชื่อเรา ก็ใช้อุเบกขา เฉยไว้ ไม่ต้องไปสรุปถูกหรือผิด เพราะเราเองยังปฏิบัติไม่ถึง จะไปประเมิณคนที่สูงกว่าไม่ได้ เชื่อก็ไม่ใช่ ไม่เชื่อก็ไม่ใช่ สักแต่ว่าฟังไว้เฉยๆ อย่าปากเร็วใจร้อน เดี๋ยวจะกลายเป็นกรรมด่วนได้ เคยเห็นไหม พระพุทธเจ้าไม่เทศนาเรื่องบางเรื่องให้สาวกบางรูปฟัง เรื่องอะไรที่พิสดารมากๆ ท่านก็เทศน์ให้แต่คนมีปัญญาสูงๆ เท่านั้น เช่น พระสารีบุตร ของแบบนี้ยิ่งพูดไปก็กลายเป็นเรื่องถกเถียง คนพูดเขาก็คงได้รับบทเรียน และระวังตัวมากขึ้นแล้วละ


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2007
  12. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา: แนวทางของสหจโยคะ, ราชาโยคะ และแบบของท่านโคเอ็นก้านั้นถูกต้องไหมในทางพุทธศาสนา เชื่อถือได้ไหม ?


    วิสัชนา


    ถ้าจะทดลองขอเอาวิชชา เหมือนดังที่พระพุทธเจ้าทรงไปเรียนกับพราหมณ์ แล้วมาพัฒนาให้กิเลสเกลี้ยงไป ก็ไม่ผิดอะไรเลย ได้บารมีอีกต่างหาก เพราะทดลองผิดลองถูกด้วยตนเอง แนวทางทั้งหมดนั้น เป็นหลักสมาธิและโยคะที่ดีที่เดียวเลย ถูกต้องและใหม่เหมาะกับคนปัจจุบัน แต่ถ้าหลงใหลได้ปลื้มจนลืมหลักธรรมตามพุทธศาสนาแล้ว ก็ได้แค่สมาธิแต่ปัญญาอาจไม่เกิด เหมือนพระพุทธเจ้าท่านก็ได้แค่นั้นตอนที่ไปเอาวิชชาจากพวกพราหมณ์มา แต่จะไปลบหลู่อาจารย์ที่สอนเราเก่าก่อนไม่ได้ เพียงแต่สุดท้ายแล้วเราต้องพึ่งตนเอง จึงจะบรรลุ ไม่ใช่ยึดมั่นกับตัวอาจารย์ และเราชาวพุทธจำต้องไม่ลืมคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระศาสดาเอกของโลก เป็นที่สุด เป็นพระสัพพัญญูผู้รู้ทุกสรรพสิ่งอยู่แล้ว เกิดมาได้เจอพระพุทธศาสนาแล้วก็อย่าให้พลาดไปได้ อาศัยครูสอนสมาธิแต่ละท่านปูพื้นที่ดีพอ แล้วลัดเข้าด้วยปัญญาเลยดีกว่า
     
  13. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา: การฝึกสมาธิแนวอื่นๆ เช่น การประทับจิตตามแนวของอนุตราจารย์ชิงไห่ และแนวท่านติช ถูกต้องหรือไม่?


    วิสัชนา


    ถูกและดีทั้งคู่ ขอให้ไปพิสูจน์ด้วยตนเองจะดีกว่า และควรตั้งใจไปด้วยความศรัทธาเปิดใจให้กว้างก่อนแต่อย่างเพิ่งเชื่อในทันที ให้ตั้งสติปัญญามาพิจารณาแล้วพิสูจน์ด้วยตนเอง ก็จะรู้ได้ว่าที่กล่าวรับรองว่าถูกต้องนั้นเชื่อถือได้หรือไม่ แนวทางของอนุตราจารย์ชิงไห่ คือ การใช้อภิญญานำจิตของผู้ถูกประทับออกไปดูสุขาวดี เมื่อได้เห็นจริงกับตนเองก็จะหันมาเร่งเพ็ญเพียรทำความดี เป็นมโนมยิทธิที่ไม่ต้องฝึก อาศัยกำลังของอนุตราจารย์แทน แต่บางท่านอาจได้เห็นเพียงแสงบางอย่างเท่านั้น เพราะการถอดจิตไม่ใช่จะได้ง่ายนัก ส่วนแนวทางของท่านติช นัช ฮันห์ เป็นแนวเซนเหมาะกับคนทุกระดับและคนในปัจจุบัน คือ อาศัยการทำงานเป็นเครื่องฝึกจิต ทั้งนี้ ควรไปศึกษาและฝึกฝนวิธีให้ชำนาญก่อน เพราะไม่ใช่ว่าฟังหรือคิดเอาแล้วจะใช้การทำงานมาฝึกจิตเองได้เสมอไป


     
  14. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา: จริงหรือไม่ที่ไปฝึกกรรมฐานต่างๆ แล้วเป็นบ้า และคนส่วนใหญ่หากรู้ว่าเราฝึกก็จะมองเราแปลกๆ หาว่าเราบ้า?


    วิสัชนา


    ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ โดยไม่มีการแลกเปลี่ยน นี่คือกฎธรรมชาติอย่างหนึ่ง คือ หลัก
     
  15. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา: นั่งสมาธิแล้วมองไม่เห็นอะไรเหมือนใครเลย เห็นแต่ความมืดและว่างเท่านั้น ผิดวิธีไหม และจะเห็นได้อย่างไร?


    วิสัชนา


    เมื่อนั่งสมาธิแล้วเห็นแต่ความว่างก็ใช้ความว่างนั้นแหละเป็นอารมณ์กรรมฐาน ให้จิตเพลินอยู่ในความว่างจนเกิดสมาธิละจากความฟุ้งซ่านในกามคุณห้า และเรื่องนอกตัวต่างๆ จนอาการวิตก คือ การยกอารมณ์กรรมฐานนั้นๆ มาส่งแรงให้ไม่มีอีกต่อไป อารมณ์กรรมฐานก็เกิดเอง โดยไม่ต้องยกมา นั่นคือ วิตกสิ้นไป ทีนี้ก็ดับวิจาร คือ ไม่แช่ในอารมณ์กรรมฐาน จิตต้องปล่อยวางแม้นอารมณ์กรรมฐานนั้นๆ คราวนี้ จิตจะเริ่มเป็นอิสระจากสิ่งภายนอก และภายใน ก่อนที่จะเป็นอิสระจะแสดงอาการออกมาเป็นปีติ คือ พลังจิตที่ก่อให้ตัวโยกโคลงบ้าง เห็นแสงวูบวาบบ้าง เมื่อละจากอาการเหล่านี้ได้แล้ว ก็เข้าสู่สุข คือ เพลินในสมาธิ เหมือนได้พักหลับนานเป็นปีๆ จากนั้น ละจากสุขนั้น จนจิตอิสระแม้นแต่ความรู้สึกสุข จิตก็ไม่รับไม่เข้าไปเสพ นี่ละ ถึงสุดยอดของฌานแล้ว


     
  16. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา: ในการนับความก้าวหน้าในการฝึกฌาน ดูได้อย่างไรว่าก้าวหน้า และทำอย่างไรจึงเข้าฌานได้ดีและก้าวหน้า?


    วิสัชนา


    เป็นความยากประการหนึ่ง ของการตรวจดูจิตซึ่งอยู่ภายใน โดยเฉพาะการวัดผลการฝึกจิตแนวฌาน อย่างไรก็ตาม มีวิธีการสอบอารมณ์ หลังเข้าฌานและการสังเกตอื่นๆ เช่น การนั่งฌานแล้วเพลินติดใจจนอยากนั่งนานๆ บ่อยๆ หรือประจำๆ แบบนี้แสดงว่าก้าวหน้าแล้ว แต่ยังไม่ถึงที่สุด เพราะการติดฌานได้อย่างมากเพียงอนาคามี ยังไม่ที่สุดคืออรหันต์ ส่วนการสอบอารมณ์นั้นต้องทำเป็นรายๆ ไป เพราะหากเปิดเผยหมด คนก็จะจำเป็นสัญญาขันธ์ ไปตั้งเป็นธงไว้ว่าจะเห็นแบบนั้น จะได้แบบนั้น แล้วนึกเอาเองว่าได้ก็มี ถามแล้วตอบถูกหมดแต่ไม่ได้จริงๆ ก็มี ส่วนวิธีการวัดผลอีกแบบคือดูจาก
     
  17. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา: ตอนนี้ฝึกกสิณกำหนดให้เห็นตามหลักกสิณได้แล้ว แล้วอย่างไรต่อครับ เพราะเห็นอย่างนั้นประจำไม่ได้อะไร?


    วิสัชนา


    กสิณเป็นวิชาเก่าของพวกพราหมณ์ พระพุทธองค์ทรงไปเรียนเอามรรคมา แล้วปรับใหม่โดยใส่สติปัญญาเข้าไป คือไตรลักษณ์ หากฝึกกสิณไม่เห็นไตรลักษณ์ก็ไม่บรรลุ ยกตัวอย่าง พระสาวกท่านหนึ่ง เพ่งดูดอกบัว พระพุทธองค์ทรงล่วงรู้ด้วยญาณว่าจะบรรลุธรรมในวันนั้น ท่านจึงใช้อภิญญาบันดาลให้ดอกบัวเหี่ยวเฉาลงขณะพระสาวกทำกสิณพอดี พระสาวกเห็นอนิจจัง ขณะจิตมีสมาธิมั่นรองรับก็สิ้นอวิชชา บรรลุอรหันต์ ดังนี้ กสิณไม่ใช่เรื่องน่าเอามาพูดคุยว่าเห็นนั่นเห็นนี่ เพราะเป็นปัจจัตตังที่จิตผู้ฝึกกำหนดภาพกสิณขึ้นมาสอนตัวเองเท่านั้น แท้แล้วสัจธรรมที่ยอมรับเป็นสากลพูดได้ทั่วไปและถูกตลอดกาลคือ
     
  18. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา: นั่งสมาธิแล้วเห็นแสงสีม่วงพุ่งอยู่ข้างหน้า ต้องทำอย่างไรต่อไปครับ แล้วแสงที่เห็นนั้นคืออะไรกันแน่?


    วิสัชนา


    ไปได้หลายทาง หากจะฝึกฌานการที่เห็นอะไรนี้นั้นไม่ใช่อารมณ์ฌาน อย่าเสียสมาธิ อารมณ์อรูปฌาน มีแค่สี่ประการ เช่น กำหนดความรู้สึกว่าง เปล่าเป็นอารมณ์ (อากาสานัญจายตนะ) , การแผ่ฌานหรือวิญญาณออกไปเป็นอารมณ์ (วิญญาณัญจายตนะ), การเอาจักรวาลไร้ขอบเขตเป็นอารมณ์ (อากิญจัญญายตนะ), หรือการตรวจละเอียดทุกๆ จุดในร่างกายจิตใจให้หมดจดไม่เหลืออะไรเป็นอารมณ์ (เนวสัญญานาสัญญายตนะ) ซึ่งปกติเมื่อจิตไร้นิวรณ์แล้วก็เข้าสู่ความว่างเปล่าเป็นอารมณ์แล้วแผ่ออกจนไร้อบเขตแล้วตรวจละเอียดไม่เหลือความรู้สึกแล้วไหลเข้าองค์ฌานลึกเข้าไปอย่างนี้ก็ได้ครบ แต่หากจะฝึกกสิณก็เอาสีนั้นแหละเป็นอารมณ์เสียเลย ยกเข้ามา (วิตก) เป็นอารมณ์เป็นบริกรรมนิมิต จากนั้นหากเกิดได้เองไม่ต้องยกมาอีกก็ได้อุคคหนิมิต จากนั้นให้ย่อขยายเป็นปฏิภาคนิมิต


     
  19. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา:ฝึกสมาธิกับท่านฤษีแล้วไม่ได้อะไรติดมือเลยทำไมไม่เน้นให้ได้อะไรบ้างจะได้ไปคุยให้คนอื่นฟังได้?


    วิสัชนา


    อย่าลืมว่าแก่นแท้ของพุทธศาสนาคือการหลุดพ้นทุกข์ทั้งปวงไม่ใช่การไปแสดงความสามารถพิเศษในการอดทนทุกข์แบบทุกขกิริยาเพื่อเอาอิทธิฤทธิ์ และยิ่งไม่ใช่การมาไขว่คว้าหาอะไรสนองกิเลสตัดหาติดมือ หรือหลงกับคำสรรเสริญนินทา จนไม่เป็นตัวของตัวเอง ในการปฏิบัติกรรมฐานที่ถูกต้องจริงๆ แล้วนั้น ผู้ฝึกควรได้สัมผัสความสุขที่แท้จริงจากความสงบนั้นในทันที หรือหลังจากได้ใช้ความเพียรบ้าง นี่เรียกว่า ฝึกถูกต้อง ซึ่งถ้าก้าวหน้าจะยิ่งเห็นความสุขทางโลกนั้น ไม่เที่ยง หยาบ ฉาบฉวย และเสี่ยงต่อกรรมมากมาย จนไม่อยากจะไปก่อกรรมอีกเลย ดังนั้น การที่ไม่เห็นอะไรนอกจากความสุขจากความสงบ จนเริ่มเบื่อเรื่องทางโลกและการก่อกรรม นั่นแหละที่เรียกว่าได้หัวใจพุทธศาสนา ส่วนการได้อย่างอื่นเป็นเพียงผลพลอยได้ เป็นอุบายให้กำลังใจเท่านั้น

     
  20. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    ปุจฉา: ฝึกลมปราณกับท่านฤษีเป็นประจำแล้วไม่เห็นได้อะไรแบบกรรมฐานแนวอื่น อย่างนี้เปลี่ยนดีไหม?


    วิสัชนา


    เห็นคุณมีความสุขและสนุกในการฝึก นั่นแหละสิ่งที่คุณได้รับแท้จริง เพราะเรามาหาความสุข ซึ่งเป็นเหตุใกล้แห่งนิพพาน เป็นความสุขจากความสงบเรียบง่าย หนีการก่อกรรมทำเข็ญ และการอบรมอินทรีย์ห้าให้พร้อมเข้าไว้ ส่วนนาทีทองในการบรรลุธรรมนั้น เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทั้งในเวลาทำงาน, บำเพ็ญเพียร, และเข้ากรรมฐาน ที่สำคัญการระลึกถึงธรรม เป็นภาวนาที่ก่อปัญญาได้เร็วที่สุด ตรงที่สุด และถึงจุดหมายตรงทีเดียว ไม่อ้อมไปเอาอภิญญา หรือบ้าทำบุญใดๆ ดังนั้น จึงถือว่าลัดและรวดเร็ว เพราะเราไม่รู้ความตายจะมาเมื่อใด ดังนั้นเราต้องมีมรณานุสติระลึกว่าอาจไปได้ทุกเมื่อ อนึ่ง การบรรลุเมื่อใดนั้น ไม่มีใครทำนายได้ ขอเพียงคุณอบรมอินทรีย์ห้าให้พร้อมตลอดเวลา แม้นกระทั่ง ณ นาทีสุดท้ายของลมหายใจ หากได้สติเห็นอนิจจังแล้วปล่อยวางก็ได้ทันที
     

แชร์หน้านี้

Loading...