ลำดับพุทธพยากรณ์

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 29 มีนาคม 2007.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราพระองค์นี้ ทรงได้รับการพยากรณ์ว่าจักเป็นพระพุทธเจ้าต่อจากพระทีปังกรพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อมาอีก ๒๓ พระองค์ ดังนี้
    <table border="0" width="85%"><tbody><tr bgcolor="#fffff0"><td height="190">

    สมัยของพระโกณฑัญญะพุทธเจ้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย เสวยพระชาติเป็น พระเจ้าจักรพรรดิ พระนามว่า วิชิตาวี ประทับอยู่ ณ กรุงจันทวดี ทรงปกครองแผ่นดินอันเป็นที่ตั้งแห่งน้ำและขุมทรัพย์ พร้อมทั้งขุนเขาสุเมรุและยุคันธร อันทรงไว้ซึ่งรัตนะหาประมาณมิได้โดยธรรม ไม่ใช้อาชญา ไม่ใช้ศาสตรา ทราบข่าวการเสด็จมาของพระบรมศาสดา จึงออกไปรับเสด็จ ทรงถวายมหาทานแต่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน นิมนต์ให้ประทับอยู่ในพระนครตลอดไตรมาส ทรงถวาย อสทิสทาน แก่ภิกษุสงฆ์ หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์ ทรงสละราชสมบัติ ออกผนวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎก เมื่อสิ้นสุดพระชนมายุได้เสด็จอุบัติในพรหมโลก
    </td></tr></tbody></table>


    <table bgcolor="#f0fff0" border="0" height="441" width="85%"><tbody><tr><td height="457">
    สมัยของพระมังคละพุทธเจ้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเกิดเป็น พราหมณ์ นามว่า สุรุจิ ในหมู่บ้าน สุรุจิพราหมณ์ เป็นผู้จบไตรเพท ชำนาญร้อยแก้วและร้อยกรอง ทั้งเชี่ยวชาญในโลกายตศาสตร์และมหาปุริสลักษณศาสตร์ ได้ฟังธรรมกถาของพระมังคละพุทธเจ้าแล้ว มีความเลื่อมใสขอถึงสรณะ นิมนต์สงฆ์ถวายภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น กลับไปบ้านแล้วคิดว่า ภิกษุเท่านี้เราสามารถเราสามารถถวายภัตตาหารและผ้าได้ แต่สถานที่รับรองจะทำอย่างไร ความคิดของพราหมณ์นี้ร้อนไปถึงท้าวสักกะเทวราช จึงได้เนรมิตมณฑปแก่นไม้สำเร็จด้วยรัตนะ ๗ ประการ ขำแรกพื้นดินโผล่ขึ้นมาทันที
    ต่อแต่นี้ พร้อมกับความคิดว่า พวงดอกไม้ ของหอม อาสนะ เครื่องลาดมีค่าเป็นของกัปปิยะ และเครื่องรองทั้งหลาย สำหรับภิกษุจำนวนเท่านั้นจงชำแรกแผ่นดินผุดโผล่ขึ้น ในทันใดนั้นของดังกล่าวก็ผุดขึ้น ในทันใดนั้นของดังกล่าวก็ผุดขึ้น พราหมณ์คิดว่าจะตั้งหม้อน้ำไว้ทุกมุมๆ ละหม้อ ทันใดนั้นหม้อน้ำทั้งหลายเต็มด้วยน้ำสะอาด หอมเย็นอย่างยิ่งก็ตั้งขึ้น ทุกอย่างปรากฏขึ้นด้วยเนรมิตของท้าวสักกะ
    พราหมณ์จึงนิมนต์เหล่าภิกษุอันมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน นั่ง ณ มณฑปนั้นแล้วถวายทานชื่อ ควปานะ (คือขนมแป้งผสมนมโค) เป็นเวลา ๗ วัน ในวันสุดท้ายสุรุจิพราหมณ์ให้ล้างบาตรภิกษุทุกรูป บรรจุด้วยเนยใส เนยข้น น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นต้น ถวายพร้อมด้วยไตรจีวร ซึ่งเป็นของมีค่านับแสน หลังจากได้รับฟังพุทธพยากรณ์ เพิ่มพูนปีติ อธิษฐานข้อวัตรให้ยิ่งขึ้น เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้เต็มบริบูรณ์ ได้บวชในสำนักพระบรมศาสดา เรียนพระพุทธวจนะ เป็นผู้ทรงไตรปิฎก เจริญพรหมวิหารภาวนา ยังอภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ได้เกิด เมื่อสิ้นอายุได้ไปบังเกิดในพรหมโลก
    </td></tr></tbody></table>



    <table bgcolor="#fff0ff" border="0" height="149" width="85%"><tbody><tr><td>
    สมัยของพระสุมนะพุทธเจ้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเกิดเป็น นาคราช นามว่า อตุละ มีฤทธานุภาพมาก ทราบว่าพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้วในโลก จึงออกจากนาคพิภพ พร้อมด้วยเหล่านาคทั้งหลาย บูชาพระผู้มีพระภาคสุมนะซึ่งมีภิกษุทั้งหลายเป็นบริวาร ด้วยดนตรีทิพย์ ถวายมหาทาน ถวายคู่ผ้ารูปละคู่ แล้วตั้งอยู่ในสรณะ ได้ฟังพุทธพยากรณ์แล้ว เกิดความเลื่อมใส อธิษฐานข้อวัตรยิ่งขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมีให้บริบูรณ์ เมื่อสิ้นอายุได้ไปบังเกิดในเทวโลก
    </td></tr></tbody></table>


    <table bgcolor="#f2feeb" border="0" width="85%"><tbody><tr><td>
    สมัยของพระเรวตะพุทธเจ้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเกิดเป็น พราหมณ์ นามว่า อติเทวะ ในรัมมวดีนคร ถึงฝั่งในพราหมณธรรม ฟังพระธรรมกถาของพระเรวตะพุทธเจ้าแล้ว ตั้งอยู่ในสรณะกล่าวสดุดีพระทศพลด้วยคาถาพันโศลก ทำการบูชาพระบรมศาสดาด้วยผ้าอุตตราสงค์มีค่าเรือนพัน ได้ฟังพุทธพยากรณ์แล้ว มีใจเบิกบานประกอบกุศลกรรมทั้งหลาย เพื่อบำเพ็ญพุทธการกธรรมให้บริบูรณ์ เมื่อระลึกถึงพุทธธรรมนั้นแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มพูนความเลื่อมใส คิดจักนำพุทธธรรมที่ปรารถนาหนักหนานั้นมาให้ได้ สิ้นอายุได้ไปบังเกิดในเทวโลก
    </td></tr></tbody></table>


    <table border="0" width="85%"><tbody><tr bgcolor="#ffeeee"><td>
    สมัยของพระโสภิตะพุทธเจ้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเกิดเป็น พราหมณ์ นามว่า อชิตะ ฟังพระธรรมเทศนาของพระโสภิตะพุทธเจ้าแล้วตั้งอยู่ในไตรสรณะ ถวายมหาทานตลอดไตรมาสแต่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ได้ฟังพุทธพยากรณ์แล้ว ตั้งหน้าทำความเพียรอย่างแรงกล้าเพื่อบำเพ็ญพุทธการกธรรมให้บริบูรณ์ เมื่อสิ้นอายุได้ไปบังเกิดในเทวโลก
    </td></tr></tbody></table>


    <table bgcolor="#fff5ec" border="0" width="85%"><tbody><tr><td>
    สมัยของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเกิดเป็น อธิบดี แห่งพวกยักษ์หลายแสนโกฏิ มีฤทธานุภาพมาก พระโพธิสัตว์นั้นสดับว่าพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้วในโลก จึงมาเนรมิตมณฑปสำเร็จด้วยรัตนะ ๗ งามน่าดูอย่างยิ่ง ได้ถวายมหาทานแด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ณ มณฑปนั้น ๗ วัน ในเวลาอนุโมทนาภัตทาน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์แล้ว มีความร่าเริง เกิดปีติโสมนัส อธิษฐานข้อวัตรให้ยิ่งขึ้นเพื่อบำเพ็ญบารมีธรรม ๑๐ ประการให้บริบูรณ์ เมื่อสิ้นอายุได้ไปบังเกิดในสวรรค์
    </td></tr></tbody></table>


    <table bgcolor="#ecf5ff" border="0" width="85%"><tbody><tr><td>
    สมัยของพระปทุมะพุทธเจ้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเกิดเป็น ราชสีห์ ในป่าใหญ่ที่พระตถาคตประทับอยู่ เห็นพระพุทธเจ้าประทับเข้านิโรธสมาบัติ ๗ วัน มีจิตเลื่อมใสได้ทำประทักษิณ บันลือสีหนาท ๓ ครั้ง เกิดปีติโสมนัส ไม่ละปีติที่มีพระพุทธคุณเป็นอารมณ์ ๗ วัน ด้วยปีติสุขนั่นแลไม่ออกไปหาเหยื่อ ยอมสละชีวิต
    ล่วงไป ๗ วัน เมื่อพระปทุมะพุทธเจ้าทรงออกจากนิโรธสมาบัติ ตรวจดูราชสีห์นั้น มีพระดำริว่า ขอราชสีห์นั้นจงมีจิตเลื่อมใสในพระสงฆ์ ครั้งนั้น พระปทุมะพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาล ราชสีห์นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า ฟังพุทธพยากรณ์แล้ว ได้ทำความอุตสาหะเพื่อบำเพ็ญบารมีให้บริบูรณ์ เมื่อสิ้นอายุได้ไปบังเกิดในสุคติภูมิ
    </td></tr></tbody></table>


    <table border="0" width="85%"><tbody><tr bgcolor="#fff2fb"><td>
    สมัยของพระนารทะพุทธเจ้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเกิดเป็น ดาบส ได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ สร้างอาศรมอาศัยอยู่ข้างภูเขาหิมพานต์ ได้เนรมิตอาสรมให้เป็นที่ประทับแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมทั้งภิกษุบริวารอันมีพระอรหันต์ และพระอนาคามี เป็นต้น สรรเสริญพระคุณของพระบรมศาสดาสิ้นทั้งคืน ฟังะรรมกถาของพระนารทะพุทธเจ้า ในวันรุ่นขึ้นไปอุตตรกุรุทวีป นำอาหารมาจากที่นั้น ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งบริวารอย่างนี้ ๗ วัน บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยจันทน์แดงอันหาค่ามิได้ ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วร่าเริงใจ จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้น เพื่อเพิ่มพูนบารมี ๑๐ ประการให้บริบูรณ์ เมื่อสิ้นอายุได้ไปเกิดในพรหมโลก
    </td></tr></tbody></table>


    <table border="0" width="85%"><tbody><tr bgcolor="#f0f0ff"><td>
    สมัยของพระปทุมมุตระพุทธเจ้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเกิดเป็น มหารัฏฐิ คือ ผู้ครองรัฐใหญ่นามว่า ชฎิล มีทรัพย์มากมายหลายโกฏิ ได้ถวายทานอย่างดีพร้อมทั้งจีวรแด่พระภิษุสงฆ์ อันมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว เกิดปีติโสมนัสเป็นยิ่งนัก ได้ทำความเพียรอธิษฐานข้อวัตรให้ยิ่งขึ้น เพื่อบำเพ็ญพุทธการกธรรมให้บริบูรณ์ เมื่อสิ้นอายุได้ไปบังเกิดในเทวโลก
    </td></tr></tbody></table>


    <table border="0" width="85%"><tbody><tr bgcolor="#eef7fb"><td>
    สมัยของพระสุเมธะพุทธเจ้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเกิดเป็น มาณพ นามว่า อุตตระ เป็นยอดของคนทั้งปวง สละทรัพย์ ๘๐ โกฏิที่ฝังเก็บไว้ ถวายมหาทานแด่พระภิกษุสงฆื มีพระสุเมธะพุทธเจ้าเป็นประธาน ฟังธรรมของพระพุทธองค์ในครั้งนั้น ก็ตั้งอยู่ในสรณะแล้วออกบวช ได้สดับพุทธพยากรณ์แล้วศึกษาไตรสิกขาเพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์ ไม่นานนักได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ทรงพระไตรปิฎก ยังศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้งดงาม เมื่อสิ้นอายุได้ไปบังเกิดในพรหมโลก
    </td></tr></tbody></table>


    <table bgcolor="#fff1ec" border="0" width="85%"><tbody><tr><td>
    สมัยของพระสุชาตะพุทธเจ้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายนั้นเกิดเป็น พระเจ้าจักรพรรดิ ได้ทรงสดับพระธรรมกถาแล้ว ทรงถวายราชสมบัติในมหาทวีปทั้ง ๔ พร้อมทั้งรัตนะ ๗ ประการ แด่พระภิกษุสงฆ์มีพระสุชาตะพุทธเจ้าเป็นประธาน ทรงผนวชในสำนักของพระบรมศาสดา ชาวทวีปทั้งสิ้นรวบรวมรายได้ที่เกิดในรัฐเพื่อบำรุงพระศาสนา ด้วยการถวายมหาทานเป็นประจำแก่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว ปลื้มพระทัยแสนโสมนัส ทรงศึกษาพระพุทธพจน์ บำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์ เจริญพรหมวิหารภาวนา ไม่นานนักก็ได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ทรงพระไตรปิฎกยังพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้งดงาม เมื่อสิ้นพระชนมายุได้ไปบังเกิดในพรหมโลก
    </td></tr></tbody></table>


    <table bgcolor="#fbefee" border="0" width="85%"><tbody><tr><td>
    สมัยของพระปิยทัสสีพุทธเจ้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเกิดเป็น พราหมณ์ ชื่อว่า กัสสปะ คงแก่เรียนทรงมนต์ จบไตรเพท ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระปิยทัสสีพุทธเจ้าแล้ว เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้า บริจาคทรัพย์แสนโกฏิ สร้างสังฆารามอันน่ารื่นรมย์ถวาย แล้วดำรงตนอยู่ใตรสรณะและศีล ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว สุดแสนจะยินดี ตั้งหน้าอุตสาหะบำเพ็ญพุทธการกธรรมให้บริบูรณ์ บำเพ็ญกุศลกรรมตลอดชีวิต เมื่อสิ้นอายุก็ไปสู่เทวโลก
    </td></tr></tbody></table>


    <table bgcolor="#eeeeee" border="0" width="85%"><tbody><tr><td>
    สมัยของพระอัตถทัสสีพุทธเจ้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเกิดเป็น พราหมณ์มหาศาล มีนามว่า สุสีมะ สละทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้แก่คนกำพร้าและคนเข็ญใจ เป็นต้น แล้วเข้าไปยังป่าหิมพานต์ บวชเป็นดาบสได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ เป็นผู้มีฤทธานุภาพมาก แสดงความมีโทษแห่งอกุศลธรรม และความไม่มีโทษแห่งกุศลธรรมทั้งหลายให้แก่มหาชน เมื่อได้สดับพระธรรมกถาของพระอัตถทัสสีพุทธเจ้าแล้วเกิดความเลื่อมใส ไปยังโลกสวรรค์นำเอาทิพยบุปผา มีดอกมณฑารพ ดอกปทุม และดอกปาริฉัตตกะมาจากเทวโลก เมื่อจะแสดงอานุภาพของตนจึงปรากฏตัว ยังฝนดอกไม้ให้ตกลงในทิศทั้ง ๔ ประดุจดังมหาเมฆตกใน ๔ ทวีป แล้วสร้างสิ่งที่สำเร็จด้วยดอกไม้ มีที่บูชาเสาระเนียด ข่ายทอง และมณฑปดอกไม้โดยรอบ บูชาพระทศพลด้วยฉัตรดอกมณฑารพ ดาบสได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว ก็มีจิตผ่องแผ้ว ตั้งใจมั่นเพื่อบำเพ็ญพุทธการกธรรมให้บริบูรณ์ กลับเข้าป่าหิมพานต์บำเพ็ญกสิณบริกรรม เมื่อสิ้นอายุได้ไปบังเกิดในพรหมโลก
    </td></tr></tbody></table>


    <table bgcolor="#ffecff" border="0" height="103" width="85%"><tbody><tr><td height="15">
    สมัยของพระธัมมทัสสีพุทธเจ้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเกิดเป็น ท้าวสักกเทวราช แวดล้อมด้วยทวยเทพในเทวโลกทั้งสอง เสด็จมาบูชาพระธัมมทัสสีพุทธเจ้าด้วยทิพยคันธมาลา และทิพยดุริยางค์ ทรงสดับพุทธพยากรณ์แล้ว เกิดความบันเทิงใจ เสด็จคืนสู่เทวโลก จำเดิมแต่นั้นได้เสด็จมาบูชา ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า และทรงสับธรรมเทศนาเป็นหลายคราว
    </td></tr></tbody></table>


    <table bgcolor="#e3eaee" border="0" width="85%"><tbody><tr><td>
    สมัยของพระสิทธัตถะพุทธเจ้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเกิดเป็น พราหมณ์ นามว่า มังคละ ในสุรเสนนคร จบไตรเภท และเวทางคศาสตร์ บริจาคกองทรัพย์นับได้หลายโกฏิ เป็นผู้ยินดีในวิเวก บวชเป็นดาบส ยังฌานและอภิญญาให้เกิด ทราบข่าวว่าพระสิทธัตถะได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลกแล้ว จึงเข้าไปเฝ้า เมื่อสดับพระธรรมกถาของพระสิทธัตถะพุทธเจ้าแล้ว สำแดงฤทธิ์ไปยังมหาชมพูพฤกษ์ (ต้นหว้าใหญ่ประจำชมพูทวีป) นำผลจากต้นหว้านั้นมา นิมนต์ให้พระบรมศาสดาประทับในสุรเสนมหาพุทธพยากรณ์แล้วสุดแสนดีใจ ทำความเพียรให้มั่นคงเพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการให้บริบูรณ์ เข้าป่าทำกสิณบริกรรม เมื่อสิ้นอายุได้ไปบังเกิดในพรหมโลก
    </td></tr></tbody></table>


    <table bgcolor="#f1f1e4" border="0" width="85%"><tbody><tr><td>
    สมัยของพระติสสะพุทธเจ้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเกิดเป็น พระราชา พระนามว่า สุชาตะ กรุงยสวดี ทรงสละราชอาณาจักรที่มั่นคงรุ่งเรือง สละกองทรัพย์หลายโกฏิ และคนใกล้ชิดที่มีใจจงรักภักดี สังเวชใจในทุกข์ มีชาติทุกข์ เป็นต้น ออกผนวชเป็นดาบส บรรลุอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ เป็นดาบสผู้มีฤทธิ์และมีอานุภาพมาก ทราบข่าวว่าพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้ว เกิดปีติซาบซ่านไปทั่วทั้งร่าง ดำริว่า เราจักบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยดอกไม้ทิพย์ จึงไปยังเทวโลก เข้าไปสู่สวนจิตรลดา บรรจุผอบแก้วประมาณคาวุตหนึ่งให้เต็มด้วยดอกไม้ทิพย์ มีดอกปทุม ดอกปริฉัตตกะ และดอกมณฑารพ แล้วถือเหาะมาบูชาพระพุทธเจ้า กั้นดอกมณฑารพซึ่งมีก้านเป็นมณี มีเกสรเป็นทอง มีใบเป็นแก้วทับทิม ต่างฉัตรไว้เบื้องพระเศียรของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วยืนอยู่ท่ามกลางบริษัท ๔ ได้รับพุทธพยากรณ์แล้วเลื่อมใสเป็นที่ยิ่ง ได้พากเพียรบำเพ็ญพุทธการกธรรมให้ถึงที่สุด เข้าสู่ป่าหิมพานต์ ยังเวลาให้ล่วงไปด้วยสุขอันเกิดแต่ฌาน เมื่อสิ้นอายุได้ไปบังเกิดในพรหมโลก
    </td></tr></tbody></table>


    <table bgcolor="#fff4ea" border="0" width="85%"><tbody><tr><td>
    สมัยของพระปุสสะพุทธเจ้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเกิดเป็น พระราชา พระนามว่า วิชิตาวี ในอรินทมนคร เมื่อได้สดับพระธรรมของพระปุสสะพุทธเจ้าพระองค์นั้นแล้ว ทรงเลื่อมใสในพระศาสนา ถวายมหาทานแด่พระพุทธองค์ สละราชสมบัติแล้วทรงผนวชในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก เป็นธรรมกถึกกล่าวธรรมกถาแก่มหาชน บำเพ็ญศีลบารมี ได้สดับพุทธพยากรณ์เกิดอุตสาหะเพิ่มพูน เป็นผู้มีความเพียรมั่นคง ทรงได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ งดงามด้วยศีลและปัญญาในพระพุทธศาสนา เจริญพรหมวิหารภาวนา เมื่อสิ้นพระชนมายุได้ไปบังเกิดในพรหมโลก
    </td></tr></tbody></table>


    <table bgcolor="#ecebe3" border="0" width="85%"><tbody><tr><td>
    สมัยของพระวิปัสสีพุทธเจ้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเกิดเป็น พญานาค นามว่า อตุละ มีฤทธานุภาพมาก มีหมู่นาคทั้งหลายเป็นบริวาร ได้ทราบว่าพระบรมศาสดาอุบัติขึ้น ปรารถนาจักกระทำการสักการะ จึงให้สร้างโรงพิธีด้วยแก้ว ๗ ประการ นิมนต์พระภิกษุสงฆ์ มีพระวิปัสสีพุทธเจ้าเป็นประธาน ถวายทิพยสมบัติเป็นมหาทานอันควรแก่ศรัทธาตลอด ๗ วัน แล้วได้ถวายตั่งทองคำประดับด้วยรัตนะทั้งปวง รุ่งเรืองด้วยประกายโชติช่วงแห่งแสงแก้วมณี แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว บำเพ็ญเพียรยิ่งขึ้นเพื่อให้บารมี ๑๐ บริบูรณ์ เมื่อสิ้นอายุไปบังเกิดในเทวโลก
    </td></tr></tbody></table>


    <table bgcolor="#e7e9f1" border="0" width="85%"><tbody><tr><td>
    สมัยของพระสิขีพุทธเจ้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเกิดเป็น พระราชา ทรงพระนามว่า อรินทมะ ในปริภูตนคร เมื่อพระสิขีพุทธเจ้าเสด็จมาถึงพระนคร พระราชาพร้อมทั้งราชบริพารได้ออกไปรับเสด็จ ทรงต้อนรับบูชาและถวายมหาทานอันสมควรแก่อิสริยราชสกุล สมบัติและศรัทธาตลอด ๗ วัน รับสั่งให้เปิดคลังภูษา ถวายผ้ามีค่ามากแด่พระภิกษุสงฆ์ มีพระสิขีพุทธเจ้าเป็นประธาน ทั้งได้ทรงถวายช้างตระกูลเอราวัณอันประเสริฐของพระองค์ ซึ่งสมบูรณ์ด้วยกำลัง รูป และลักษณะ ประดับด้วยข่ายทองและมาลัย คู่งาสวมปลอกทองใหม่งาม ใบหูใหญ่และอ่อน ศีรษะงามได้รูปทรง และทรงถวายกัปปิยภัณฑ์มีน้ำหนักประมาณเท่าช้างนั้นดุจกัน เมื่อท้าวเธอทรงสดับพุทธพยากรณ์แล้ว ทรงอิ่มเอิบพระหฤทัยเป็นล้นพ้น ทรงอธิษฐานข้อวัตรให้ยิ่งยวดขึ้น เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์ จุติจากอัตภาพนั้นแล้วบังเกิดในพรหมโลก
    </td></tr></tbody></table>


    <table bgcolor="#f1edeb" border="0" width="85%"><tbody><tr><td>
    สมัยของพระเวสสภูพุทธเจ้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเกิดเป็น พระราชา ทรงพระนามว่า สุทัสสนะ แห่งสรภวดีนคร เมื่อพระเวสภูพุทธเจ้าเสด็จมาถึงพระนคร ทรงต้อนรับ ทรงสดับพระธรรมกถา ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว มีพระหฤทัยเลื่อมใส ทรงกระพุ่มพระหัตถ์ขึ้นเหนือพระเศียร ถวายมหาทานพร้อมทั้งไตรจีวรแด่พระภิกษุสงฆื อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ตรัสสั่งให้สร้างพระคันธกุฎี สำหรับเป็นที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้า สร้างเสนาสนะล้อมพระคันธกุฎีนั้น ทรงสละพระราชทรัพย์ทั้งสิ้นไว้ในพระศาสนา ผนวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นแล้วทรงสมบูรณ์ด้วยอาจารคุณ พอพระทัยในธุดงคคุณ ๑๓ ประการ ยินดียิ่งนักในการแสวงหาพระโพธิญาณ ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว เกิดความอุตสาหะ มีความเพียรมั่นคง สมบูรณ์ด้วยวัตรปฏิบัติ งดงามอยู่ในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยศีล สมาธิ และปัญญา เมื่อสิ้นพระชนมายุได้ไปบังเกิดในพรหมโลก
    </td></tr></tbody></table>


    <table bgcolor="#eae6ee" border="0" width="85%"><tbody><tr><td>
    สมัยของพระกกุสันธะพุทธเจ้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเกิดเป็น พระราชา ทรงพระนามว่า เขมะ ทรงถวายบรรพชิตบริขารมีบาตร จีวร และเภสัชทั้งหลาย มียาหยอดตาเป็นต้น แด่พระภิกษุสงฆ์มีพระกกุสันธะพุทธเจ้าเป็นประธาน ถวายมหาทานโดยสมควรแก่อิสริยยศของพระองค์ พระราชาทรงสดับพระธรรมกถาแล้ว มีพระทัยเลื่อมใส ผนวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงบำเพ็ญศีลาจารวัตรให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ทรงสดับพุทธพยากรณ์แล้ว โสมนัสเป็นที่ยิ่ง เกิดความอุตสาหะ ตั้งพระหฤทัยเด็ดเดี่ยว มีความเพียรมั่นคง บำเพ็ญพุทธการกธรรมให้บริบูรณ์ ทรงงดงามอยู่ในพระธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อสิ้นพระชนมายุได้ไปบังเกิดในเทวโลก
    </td></tr></tbody></table>


    <table bgcolor="#ede4e6" border="0" width="85%"><tbody><tr><td>
    สมัยพระโกนาคมนะพุทธเจ้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเกิดเป็น พระราชา พระนามว่า ปัพพตะ ครองราชสมบัติในมิถิลานคร ทรงทราบช่าวการเสด็จมาของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงพร้อมด้วยข้าราชบริพาร เสด็จไปต้อนรับบูชา ทูลนิมนต์เพื่อทรงรับมหาทาน แล้วทูลอาราธนาพระโกนาคมนะพุทธเจ้าให้ประทับจำพรรษาในเมืองมิถิลา ทรงปฏิบัติบำรุงพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมทั้งพระสงฆ์สาวกตลอดไตรมาส ถวายผ้ามีค่ามากเช่น ผ้าไหม ผ้ากัมพล ผ้าแพร ผ้าเปลือกไม้ ผ้าฝ้าย เป็นต้น และถวายฉลองพระบาททอง กับทั้งบริขารอย่างอื่นอีกเป็นอันมาก ทรงสดับพุทธพยากรณ์แล้ว สละราชสมบัติ ผนวชแล้วทรงศึกษาพระพุทธพจน์ ทรงบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์ เมื่อสิ้นพระชนมายุไปบังเกิดในพรหมโลก
    </td></tr></tbody></table>


    <table bgcolor="#f0eef7" border="0" width="85%"><tbody><tr><td>
    สมัยของพระกัสสปะพุทธเจ้า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายเกิดเป็น มาณพ ชื่อว่า โชติปาละ ในตำบลบ้านเวหลิงคะ เป็นสหายที่รักใคร่ชอบใจของช่างปั้นหม้อชื่อ ฆฏิการะ ผู้เป็นอุปัฏฐากดีเลิศของพระกัสสปะพุทธเจ้า ฆฏิการะได้ชวนโชติปาละไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลขอให้ทรงแสดงธรรมโปรดโชติปาละ สองสหายพากันรื่นเริงบันเทิงใจ อนุโมทนาพระธรรมกถาของพระบรมศาสดา ฆฏิการะทูลขอพระผู้มีพระภาคเจ้าประทานบรรพชาอุปสมบทให้แก่โชติปาละ เมื่อโชติปาละได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว เป็นผู้ปรารภความเพียรเรียนนวังคสัตถุศาสน์ อันเป็นพระพุทธดำรัสตลอดทั้งหมด ฉลาดในข้อวัตรใหญ่น้อย ยังพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้งดงาม
    พระกัสสปะพุทธเจ้าทรงเห็นความอัศจรรย์ของพระโชติปาละนั้น ทรงพยากรณ์ว่า ในภัทรกัปนี้ท่านผู้นี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้า ได้ตรัสพุทธพยากรณ์แก่เหล่าภิกษุว่า
    </td></tr></tbody></table>



    ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงดูภิกษุผู้ประพฤติตามคำสอนของเรา ในภัทรกัปนี้ท่านผู้นี้จักตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระตถาคตจะเสด็จออกจากพระนครกบิลพัสดุ์ ทรงเริ่มตั้งความเพียร บำเพ็ญทุกรกิริยา พระตถาคตจักประทับนั่ง ณ ควงไม้อชปาลนิโครธ ทรงรับข้าวปายาส ณ ที่นั้น แล้วเสด็จไปยังแม่น้ำเนรัญชรา พระชินเจ้าพระองค์นั้นจักเสวยข้าวปายาส ณ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วเสด็จเข้าไปยังควงไม้โพธิพฤกษ์ ตามมรรคาอันประเสริฐที่ตกแต่งไว้อย่างดี ต่อแต่นั้นพระตถาคตผู้มียศใหญ่ จักทำประทักษิณโพธิมณฑลอันยอดเยี่ยม ประทับนั่งขัดสมาธิและตรัสรู้ ณ โพธิบัลลังก์อันประเสริฐ ต้นไม้ที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ชาวโลกเรียกว่า อัสสัตถะ พระมารดาผู้ให้กำเนิดพระตถาคตนี้มีพระนามว่ามายา พระบิดามีพระนามว่าสุทโธทนะ พระตถาคตนี้จักมีนามว่าโคตม พระเถระนามว่าสารีบุตรและโมคคัลลานะจักเป็นพระอัครสาวก พระเถระนามว่าอานนท์จักเป็นพระอุปัฏฐากปฏิบัติพระชินเจ้านั้น พระเถรีนามว่าเขมาและอุบลวรรณาจักเป็นอัครสาวิกา จิตตคฤหบดีและหัตถกอาฬวกะชาวเมืองอาฬวีจักเป็นอัครอุบาสก นางอุตราและนางขุชชุตตราจักเป็นอัครอุบาสิกา

    เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ได้สดับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ต่างพากันร่าเริงยินดี กระทำสาธุการมากมาย แล้วตั้งความปรารถนาที่จักได้มรรคผลนิพพานในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้ในอนาคตกาล
    ส่วนโชติปาละภิกษุ ได้รับคำพยากรณ์จากพระกัสสปะพุทธเจ้าแล้ว ยินดีอย่างยิ่ง เกิดความอุตสาหะบำเพ็ญพุทธการกธรรมให้บริบูรณ์ ยกย่องคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้งดงาม เมื่อสิ้นอายุก็ไปบังเกิดในเทวโลก
    พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย ได้รับพยากรณ์ในสำนักของพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ มาตลอดถึง ๔ อสงไขยหนึ่งแสนกัป ด้วยประการฉะนี้
    ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐ ๐
     

แชร์หน้านี้

Loading...