วิชชาจรณสัมปันโน - พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท)

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย aprin, 14 เมษายน 2014.

  1. aprin

    aprin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    7,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +22,514
    [​IMG]

    ในวาระนี้จักได้แสดงในวิชชาจรณสัมปันโนต่อไป วิชชาจรณสัมปันโนนี้ เป็นพระคุณสมบัติของพระองค์อันสำคัญส่วนหนึ่งควรที่พุทธบริษัทจะพึงมนสิการกำหนดไว้ เพื่อรู้ว่าจักถึงพระคุณนามนั้นอย่างไรในวิชชาญาณของพระองค์นั้น คือ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ 1 จุตูปปาตญาณ 1อาสวักขยญาณ 1 ปรจิตตวิชชาญาณ 1 ทิพพจักษุญาณ 1 ทิพพโสตญาณ 1 อิทธิฤทธิวิชชาญาณ 1 วิปัสสนาญาณ 1 เพราะพระองค์ทรงคุณสมบัติเช่นนี้จึงได้ทรงพระคุณนามว่า วิชชาจรณสัมปันโน

    พระคุณนามนี้ไม่มีผู้ใดตั้งแต่งถวาย แม้เทพยดาหรืออินทร์พรหมผู้หนึ่งผู้ใดก็มิได้แต่งตั้งถวายเป็นเนมิตกนาม คือ พระวิชชาคุณของพระองค์นั้นเป็นขึ้นเอง เป็นนิมิตต์เครื่องหมายให้ประชุมชนร้องเรียกพระองค์เช่นนั้น จึงชื่อว่า เนมิตกนาม ทรงรู้แจ้งในบุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ระลึกชาติหนหลังตั้งแต่ชาติหนึ่ง สองชาติ สามชาติ ร้อยชาติ พันชาติ จนสังวัฏฏกัป และวิวัฏฏกัป พระองค์ได้เป็นอะไรมาบ้าง และได้รับสุขทุกข์อย่างไร ได้ทำสิ่งอันใดก็ทรงทราบทั้งสิ้น

    ส่วนพวกเราที่จะถึงพระคุณของพระองค์นั้น ก็ต้องระลึกได้เพียงชาติปัจจุบันเท่านั้น เพราะฌานยังอ่อน ที่จะระลึกดังเช่นพระองค์นั้นไม่ได้ ก็ต้องระลึกแต่เพียงว่าตั้งแต่วันนี้ถอยกลับไปจนถึงวานนี้ และวันต่อๆ ไปจนถึงปีกลายปีก่อนๆ นี้ขึ้นไปว่า เราได้มีคุณความดีอะไรขึ้นบ้าง ทำอย่างนั้นได้รับสุขอย่างไร ทำอย่างนี้ได้รับทุกข์อย่างไร ในวันนี้ ได้มีคุณความดีอย่างไร

    เมื่อระลึกอยู่เช่นนี้ก็พอจะถึงพระคุณได้ชั้นหนึ่ง ไม่ต้องไประลึกถึงชาติอื่น
    ส่วนจุตูปปาตญาณนั้น คือ รู้จุติและปฏิสนธิแห่งตนและผู้อื่น คือ กรรมที่ได้ทำไว้อย่างไร จะต้องสู่จุติปฏิสนธิอย่างนั้น เมื่อมีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติกามมิจฉาจาร กล่าวมุสา เสพสุรา เป็นต้น ก็เป็นด้วยความโลภบ้าง ความโกรธบ้าง ความหลงบ้าง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเป็นทางหลั่งไหลมาแห่งผัสสะเวทนา ตัณหา อุปาทานชาติภพอยู่ดังนี้ ไม่มีที่สิ้นสุด

    เมื่อเว้นจากเวร 5 เหล่านี้เสีย ก็มีแต่ความสุขกายสุขใจได้
    เมื่อรู้ของตนดังนี้ ก็รู้ของผู้อื่นได้เหมือนกัน

    ส่วนปรจิตตวิชชานั้น ก็เป็นคุณสมบัติอันสำคัญส่วน 1 คือ รู้วาระน้ำจิตต์ของผู้อื่น ส่วนพระองค์รู้ลึกซึ้ง ใครจะคิดจะตรองอะไรอยู่ไกลหรืออยู่ใกล้อาจจักเพ่งเห็นได้ ส่วนพวกเราควรจะน้อมมาใช้ตามความสามารถ เช่นกับเราจะมีเจ้ามีนายก็ต้องรู้จักอัธยาศัยของเจ้านาย เมื่อเรามีบ่าวก็ต้องรู้จักน้ำใจของบ่าว เช่นกับนายก็ต้องรู้จักใจบ่าว บ่าวก็ต้องรู้จักใจนาย หรืออาจารย์ก็ต้องรู้จักศิษย์ๆ ก็ต้องรู้จักใจอาจารย์ เพื่อได้ประพฤติผ่อนผันให้ถูกใจกันและกัน ไม่เช่นนั้นก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ ดังนี้เป็นคุณเป็นประโยชน์ส่วนหนึ่ง

    ส่วนทิพพจักขุที่เห็นอะไรได้ไกลๆ หรือทิพพโสตที่ได้ยินอะไรได้ไกลๆ หรืออิทธิฤทธินั้น เรายังเป็นผู้มีฌานอ่อนก็เป็นไปได้ยาก เพราะเช่นนั้นก็ไม่ควรคิด และวิปัสสนาญาณเป็นสิ่งสำคัญที่ควรจะตรวจตรอง

    ส่วนอาสวักขยญาณนั้น คือ ความหมดไปสิ้นไปแห่งอาสวะกิเลส คำว่าสิ้นไปแห่งกิเลสนั้น ไม่ใช่ว่าหมดไปไหนยังอยู่ แต่หมดไปด้วยความไม่ทำ เช่นกับเราไม่ฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ ประพฤติกามมิจฉาจาร กล่าวมุสา เสพสุรา เช่นนี้ก็เรียกว่าสิ้นกิเลสไปชั้น 1 การฆ่าสัตว์ได้ลักทรัพย์ได้นั้น เป็นอาการของมีอยู่ คำที่ว่าสิ้นไปนั้น สิ้นไปด้วยไม่ทำ ดังนี้เป็นกิเลสอย่างหยาบ ส่วนกิเลสอย่างกลางนั้น คือ กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา นี้ ถ้าเจริญสมาธิให้แก่เข้า กิเลสเหล่านี้ก็ดับ ทนอยู่ไม่ได้เพราะกำลังน้อย แต่ไม่หมดไปไหนยังมีอยู่
    ส่วนกิเลสอย่างละเอียดซึ่งเป็นตัวอนุสัย นอนเนื่องอยู่ในสันดานนั้น ถ้าวิปัสสนาญาณแก่หนักเข้าก็ดับไปอีก เมื่อรู้ความสิ้นไปแห่งอาสวะเช่นนี้ วัฏฏะจึงหยุดหมุน ได้แสดงในบทวิชชาจรณสัมปันโนพอได้ใจความแต่เพียงนี้แล้วต่อไปจึงจะแสดงให้ยิ่งขึ้นไปอีก

    เมื่อพุทธบริษัทได้ฟังแล้วจงมนสิการ ตรวจตรองในพระคุณนี้แล้วปฏิบัติตาม ก็จะมีแต่ความวุฒิเจริญในสาสนธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยนัยดังวิสัชชนามา ด้วยประการฉะนี้

    พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท)

    วิชชาจรณสัมปันโน 1 - โพสต์ทูเดย์ ข่าวธรรมะ-จิตใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2014

แชร์หน้านี้

Loading...