วิธีป้องกันการตกนรกอย่างง่ายๆ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย White Sage, 26 กรกฎาคม 2014.

  1. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    เวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิต

    โดย พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน


    [​IMG]


    เวลาที่สำคัญที่สุดของนักเรียนนักศึกษา คือตอนสอบไล่
    เวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิตคนเรา คือ อารมณ์จิตก่อนตาย
    จะไปสวรรค์ พรหม พระนิพพานหรือแดนอบายภูมิ
    ก็อยู่ที่จิตก่อนตายของท่านจะผ่องใสหรือเศร้าหมอง


    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และพระคุณเจ้าที่เคารพ ที่กล่าวมาแล้ว กล่าวถึงความตาย
    ความจริงเรื่องความตายมีเรื่องเล่าสู่กันฟัง บรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านบอกว่า
    "คนเราจะตาย จะเห็นนิมิตก่อน"

    ตามที่หนังสือโบราณท่านเขียนไว้ แล้วก็คนโบราณ โบราณสมัยนี้ สมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็เขียนไว้ ท่านบอกว่าลอกมาจากตำรา ก็ไม่ทราบว่า ตำราเล่มไหนเหมือนกัน ท่านบอกว่า คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต เรื่องนี้สำคัญบรรดาท่านพุทธบริษัท คนจะตายต้องเห็นนิมิต คือ

    ๑. เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นไฟ กองไฟ หรือดวงไฟ แสดงว่า คนนั้นตรงไปนรกทันที ไม่ผ่านสำนักของพระยายม
    ๒. ถ้าเห็นป่า จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    ๓. ถ้าเห็นก้อนเนื้อ จะเกิดเป็นคน
    ๔. ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล ของที่เคยให้ทานหรือวัดที่เคยทำบุญ พระที่เคยไหว้ จะเป็นพระพุทธรูปก็ตาม พระสงฆ์ก็ตาม เป็นอันว่า สิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล อย่างนี้ก็จะไปเกิดบนสวรรค์ ไปสู่สุคติ

    ตามที่ท่านเขียนมาอย่างนี้ อาตมาก็ไม่ใช่ต้องการพิสูจน์ แต่ก็เข้าไปประสบโดยคาดไม่ถึง นั่นก็คือ มีอยู่ว่า มีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ชื่อ จวน นามสกุลว่าอย่างไรก็จำไม่ได้ อยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    เมื่อเวลาสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยท่านจอมพลแปลก เป็นนายก ฯ เวลานั้นก็เกณฑ์คนไปทำงานที่เพชรบูรณ์ ตามลีลาที่เขาเล่ากันบอกว่า ตั้งใจจะต่อต้านญี่ปุ่น ว่าอย่างนั้นชาวบ้านพูด แต่ท่านจอมพลแปลกไม่ได้พูดให้ฟัง แต่ท่านมาแถลงการณ์ทางวิทยุทีหลัง ก็คล้ายคลึงแบบนี้ ต้องการจะเอาคนงานทั้งหมดเป็นทหารต่อต้านญี่ปุ่น จะเอานักเรียนนายร้อยไปไว้ที่นั่น เป็นผู้บังคับหมวด อย่างนี้เป็นต้น

    ก็เป็นอันว่า เมื่อเลิกสงคราม เธอเลิกงานมาแล้ว ก็ปรากฎว่าเป็นโรค เป็นไข้ ต่อมาก็เป็นวัณโรค คือ เป็นโรคฝีในท้อง เป็นโรคปอด วันหนึ่ง เป็นวันสุดท้ายของชีวิตของเธอ อาตมาไปเทศน์ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ก็พอดีกลับมา เขาบอกว่า จวนป่วยหนัก เป็นเวลาเย็น ประมาณสัก ๔ โมงเย็น

    ก็นิมนต์พระไปเป็นเพื่อน ๔ องค์ อาตมาด้วย ๑ องค์ เป็น ๕ องค์ ที่ไปเป็นเพื่อนไม่ใช่คิดว่ากลัวใครจะทำร้าย ที่นำไปแบบนั้นก็คิดว่าคนป่วยหนัก ถ้าเห็นพระอาจจะเป็นมงคลก็ได้ เพราะว่าตามตำราท่านบอกว่า ถ้าเป็นสิ่งที่เป็นกุศล คนนั้นจะไปสวรรค์

    พอไปถึงเข้าจริง ๆ จวน ก็อาการหนักจริง ๆ หายใจเบา หายใจช้า ๆ แล้วก็เบาลง ๆ แต่ว่าอาตมาไปนั่งข้าง ๆ ก็เรียกชื่อ "จวน จำฉันได้ไหม?"
    เธอเหลียวหน้ามา ก็พยักหน้าตอบว่า "จำได้" เสียงเบามาก

    ก็ถามเธอว่า "เวลานี้เห็นอะไรไหม? ไม่ใช่เห็นฉัน มีภาพอะไรลอยข้างหน้าบ้าง?"
    เธอก็ตอบว่า "เวลานี้มีภาพไฟลอยข้างหน้า" เธอก็แสดงอาการหวาดกลัวมาก กลัวไฟ

    เมื่อฟังเท่านั้นก็ตกใจ คิดว่า ท่าจะไม่ได้การแล้ว นิมิตตามที่ท่านเขียนไว้ปรากฏ นึกในใจ ไม่พูด คิดว่า นิมิตอย่างนี้ ถ้าเห็นไปนรกทันที ก็คิดอะไรไม่ถูก

    ถามว่า "จวน ภาวนา พุทโธ ไหม ?"
    เธอส่ายหน้าบอกว่า "คิดไม่ออก"

    จึงหันไปหาภรรยาเขา อาตมาก็จำชื่อภรรยาไม่ได้ ลืมเสียแล้ว ถามว่า "มีสตางค์ไหม?"
    เธอก็บอกว่า "มี"

    ก็เลยบอกว่า "ถ้ามีละก็ ขอสัก ๒๐ บาทได้ไหม?"
    เธอก็นำธนบัตรใบละ ๒๐ บาทมาให้

    อาตมาก็ไปใส่มือจวน เอามือทั้งสองประกบกันในท่าพนมมือ บอกว่า
    "จวน เอาอย่างนี้นะ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เราจะตายหรือไม่ตายนั้น ไม่มีความสำคัญ ตั้งใจทำบุญก็แล้วกันนะ เวลานี้ฉันมาพร้อมกัน ๔ องค์ ขอจวนตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ คิดว่าของต่าง ๆ ในวัดทั้งหลาย ที่มีพระสงฆ์ก็ดี หรือไม่มีพระสงฆ์ เป็นวัดร้างมีพระพุทธรูปก็ดี หรือว่าเป็นวัดร้างไม่มีพระพุทธรูปก็ตาม หรือเป็นที่ธรณีสงฆ์ ไม่มีสภาพเป็นวัดก็ตาม เราไปนำอะไรมาจากที่นั่นก็ตาม จะเป็นของหนักก็ดี ของเบาก็ดี ของน้อยก็ตาม ของมากก็ตาม มีค่ามากก็ตาม มีค่าน้อยก็ตาม ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงิน ๒๐ บาท"

    เธอก็พูดเบา ๆ ตาม แล้วก็น้อมทำท่าผงกศีรษะนิดหน่อย
    ก็เลยบอกพระท่านบอกว่า "คุณทั้งหลาย ถ้าเห็นชอบ ให้ สาธุ พร้อมกันนะ"
    พระทั้งหลายก็ "สาธุ" พร้อมกัน

    พอพระสงฆ์สาธุพร้อมกัน รู้สึกว่าจิตใจของเธอสดชื่นขึ้นมามาก
    ถามว่า "จวน เวลานี้เห็นภาพอะไร ไฟหายไปแล้วหรือยัง"
    เธอก็ตอบ "ไฟหายไปแล้ว"

    ถามว่า "เธอเห็นภาพอะไร"
    เธอบอก "เห็นภาพพระประธานในอุโบสถวัดบางนมโค"
    เพราะว่าเธอบวชวัดนั้น เธอก็ไปทำวัตรเป็นประจำ

    ถามว่า "เห็นชัดไหม"
    เธอก็บอก "เห็นชัด อยู่ใกล้มาก"

    ก็บอก "จวน นึกในใจก็ได้นะ ออกเสียงมันจะเหนื่อย นึกภาวนาในใจว่า พุทโธ"
    แทนที่เธอจะนึกในใจ เธอก็ออกเสียงว่า "พุทโธ ๆ ๆ ๆ" เบา ๆ
    เธอว่าไปสัก ๓ - ๔ ครั้ง รู้สึกว่าหายใจเบาลง แต่ว่ามีเสียงเล็กน้อย

    ถามว่า "จวน เวลานี้เห็นพระไหม"
    เธอตอบว่า "เห็นพระ"

    ถามว่า "ชัดขึ้นไหม"
    เธอก็ตอบว่า "ชัดเจนแจ่มใสมาก สุกสว่างมาก ใหญ่กว่าเดิมมาก"

    บอก "ถ้าอย่างนั้น นึกถึงพระเป็นที่พึ่งนะ นึกถึงเวลานี้เราอยู่กับพระพุทธเจ้า ภาพที่เห็น คือ ภาพพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามาสงเคราะห์ จะหายจากโรค ถ้าจำเป็นต้องตายก็ไปสวรรค์"

    เธอยิ้มนิดหนึ่ง เธอตอบว่า "พอพูดจบก็มีวิมานลอยมาอยู่ข้างหน้า พระก็ชี้ แสดงว่า วิมานนี้เป็นของเธอ"

    จึงถามเธอว่า "เวลานี้ ต้องการอยู่บ้านหรือต้องการอยู่วิมาน"
    เธอก็ตอบเบา ๆ ว่า "ต้องการวิมานครับ"

    ก็ไม่ต้องการรบกวนให้เหนื่อยต่อไป ก็บอกว่า "ตั้งใจไปวิมานนะ ภาวนาว่า พุทโธ"
    เธอก็ภาวนาเบา ๆ ว่า "พุทโธ ๆ ๆ ๆ"
    ในที่สุดก็เงีบบไปพร้อมกับคำภาวนา และลมหายใจเข้า-ออก
    รวมความว่า เธอตายคู่กับพุทโธ

    เป็นอันว่า นิมิตเครื่องหมายนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท มีจริง อาตมาผ่านแบบนี้มาหลายสิบราย ที่พบมาเองนะ ไม่ใช่หลายราย หลายสิบราย และวิธีแก้ของอาตมาก็มีวิธีเดียววิธีนี้ เพราะว่าอย่างอื่นเวลานั้น มันแก้กันไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินชำระหนี้สงฆ์ ถ้าบังเอิญไม่เป็นหนี้สงฆ์ ก็เป็นสังฆทานและวิหารทาน รวมความว่า เป็นบุญใหญ่ที่เขาจะพึงได้รับ นี่เป็นอันว่า มนุษย์เราที่ตายนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ทุกคนจะเห็นนิมิตก่อน


    ที่มา เว็บศูนย์พุทธศรัทธา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 กรกฎาคม 2014
  2. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    ความสำคัญของการชำระหนี้สงฆ์ เพื่อเป็นการป้องกันการตกนรก

    จากตอนที่แล้วจะเห็นได้ว่า คนทุกคนที่ใกล้จะถึงคราวตายนั้น จะมีนิมิตให้เห็นเป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นถึงภพภูมิต่างๆที่บุคคลนั้นจะต้องไปเกิดในชาติต่อไป ซึ่งนิมิตดังกล่าวก็มีความแตกต่างกันออกไปตามแต่ละภพภูมิ ทั้งนี้ท่านที่ชื่อ"จวน"นั้น แม้จะเคยทำความดีมาก่อนในชีวิต เช่น การบวชเป็นพระภิกษุ เป็นต้น แต่อาศัยกรรมที่เคยติดหนี้สงฆ์(อาจจะด้วยความไม่รู้หรือไม่ตั้งใจ) จึงเป็นเหตุให้อกุศลกรรมดังกล่าวดลบันดาลให้ท่านไม่สามารถเห็นนิมิตที่เป็นกุศลหรือความดีที่เคยทำมาได้เลย เนื่องจากกรรมที่เป็นหนี้สงฆ์นั้นเป็นกรรมที่หนัก และเป็นกรรมที่ปิดบังกุศลทั้งหมดที่บุคคลนั้นๆเคยทำมา ดังนั้นเราจึงต้องรู้จักการชำระหนี้สงฆ์ ดังที่หลวงพ่อท่านได้ให้ท่าน"จวน" ตั้งใจอธิษฐานขอชำระหนี้สงฆ์ทั้งหมดด้วยเงิน ๒๐ บาทนั่นเอง

    สำหรับโพสต์นี้ก็จะขอนำเรื่องราวการชำระหนี้สงฆ์ เพื่อเป็นการป้องกันการตกนรกอีกทางหนึ่งมาฝากกันค่ะ



    การชำระหนี้สงฆ์

    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน



    [​IMG]


    ผู้ถาม : ทำกรรมอะไรถึงลง อเวจี คะ.?

    หลวงพ่อ : อเวจีนี่ทำกรรมหนักมากมันจึงจะลง ก็มี
    อนันตริยกรรม อาจิณกรรม ขโมยของสงฆ์ ของสงฆ์ นี่แตะนิดเดียว ลงอเวจีเลยนะ แม้แต่เศษเล็ก ๆ

    เรื่อง อนันตริยกรรม เช่น ฆ่าพ่อแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ยุให้สงฆ์แตกกัน เป็นต้น พระยายมมาบอกหลวงพ่อว่า "ทุกคนอย่าได้ทำเด็ดขาด ท่านช่วยไม่ได้เลย"

    ส่วน อาจิณกรรม เช่น แม่ครัวทุบหัวปลา แกงเป็นประจำ เป็นต้น

    สำหรับ ขโมยของสงฆ์ หลวงพ่อได้ยกตัวอย่างให้ฟังดังนี้



    (หนี้สงฆ์-มัคทายกยักยอกของสงฆ์)


    [​IMG]


    หลวงพ่อ : มีญาติพระเจ้าพิมพิสาร เป็นทายกในตอนต้นก็ดี ซื่อตรงต่อการบุญการกุศล แต่มาตอนกลาง ๆ มือถึงท้ายมือไม่ค่อยดี เริ่มหยิบแล้วทีแรกก็เป็น ทายก ต่อมาก็เลยเป็น ทายัก ของอะไรดี ๆ ก็ยังเอาไปเสียบ้าง เอาไว้ให้ลูกให้เมียเอาไว้เป็นประโยชน์ส่วนตนเสียบ้าง ของที่เขาจะถวายสงฆ์ เขาตั้งใจจะทำอาหารถวายสงฆ์ เนื้อ ดี ๆ ก็ยักเอาไว้บ้าง แกงดี ๆ ก็ยักเอาไว้บ้าง

    บางทีไม่ยกของสด ไอ้ของที่สำเร็จรุปที่เขาไม่ทันจะถวายพระ ก็ยักเอาไว้เสียบ้าง ญาติของพระเจ้าพิมพิสารเป็นทายักแบบนี้ ตายแล้วลงนรกสิ้นระยะเวลา ๑ กัป พ้นจากนั้นแล้ว ก็มาตก ยมโลกียนรก คือ ผ่านนรกบริวาร ๔ ขุม แล้วก็มาตกยมโลกีนรกตามลำดับมาเป็น เปรต ๑๑ จำพวก สุดท้ายก็เป็น เปรตพวกที่ ๑๒ สมัยพระพุทธเจ้าของเรานี้



    (หนี้สงฆ์-ของสงฆ์เล็กๆน้อยๆที่คนเรามักจะมองข้าม)


    [​IMG]


    จำไว้ด้วยนะ ของสมบัตินิดหนึ่งน่ะ แม้จะเป็นก้อนดินก้อนหนึ่ง กระเบื้องหัก ๆ ก้อนหนึ่งก็ตาม ถ้าเราถือเอาเข้าบ้านด้วย อาการของขโมย เสร็จ..สะเด็ดไม่เหลือ ลูกหมากรากไม้ที่มีอยู่ในวัด เราจะไปขอเด็กขอพระไม่มีประโยชน์ ของสงฆ์สงฆ์ต้องประชุมกัน เมื่อประชุมกันแล้วตกลงกันว่ายังไง ต้องปฏิบัติตามนั้น ขายหรือให้ใครต้องปฏิบัติตามนั้นนะ

    แม้แต่ "ดอกไม้บูชาพระ" ก็เหมือนกัน ถ้าท่านผู้ปลูกยังมีชีวิตขอเฉพาะท่านได้ ถ้าท่านผู้ปลูกตายไปแล้วหรือสึกไปแล้ว อันนี้เป็นของสงฆ์ ต้องเป็นเรื่องของสงฆ์วินิจฉัย ไม่ใช่พระองค์ใดองค์หนึ่งเป็นผู้ให้ หรือไปขอเก็บเด็กวัดอันนี้ไม่ถูกต้อง ลงอเวจี

    และอีกเรื่องหนึ่ง กากะเปรต สมัยที่เกิดเป็น "กา" แย่งข้าวในขันที่เขานำไปจะถวายพระ ข้าวสุกนั้นเขานำไปยังไม่ถึงพระ ยังไม่ใช่ของสงฆ์ จะถือว่าเป็นของชาวบ้านก็ไม่ได้ เพราะเขาตั้งใจถวายสงฆ์แล้วกรรมเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ตายไปแล้วไปลง อเวจี แล้วแถมมาเกิดเป็น เปรต


    (หนี้สงฆ์-กินข้าวพระที่ญาติโยมนำมาทำบุญ)

    ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ คนที่กินข้าวที่พระอนุญาติแล้ว ทำไมถึงตกนรก และพระที่ให้ก็ต้องตกนรกด้วยครับ....?

    หลวงพ่อ : ถ้าอาหารที่พระให้ต้องเป็นของญาติโยมที่ถวายเฉพาะองค์นั้น ไม่มีโทษแน่ แต่ที่เป็นอย่างนี้ต้องเป็นอาหารที่เขาถวายเป็นส่วนกลาง คือเป็นของสงฆ์ ของสงฆ์นั้นพระองค์ใดองค์หนึ่งไม่มีสิทธิ์ให้ นอกจากสงฆ์จะประชุมตกลงให้พระองค์นั้นเป็นผู้จ่ายแทนสงฆ์

    ตัวอย่างของสงฆ์เช่น อาหารวันพระ ที่มีข้าวใส่บาตรเหลือมากๆ แล้วทายกใส่ถ้วยเอาไปกินบ้าน โดยที่คณะสงฆ์ไม่มีส่วนรู้เห็น อย่างนี้ แม้แต่เจ้าอาวาสเองยังไม่มีสิทธิ์ให้ตามลำพัง บางทีกินอาหารที่พระฉันเหลือ ถ้าพระอนุญาติแล้วไม่มีโทษ (สำหรับโยมที่ไปในงาน ทางวัดเขาตั้งใจเลี้ยงก็ไม่เป็นไร)

    แต่บางท่านก็หยิบของที่พระฉันแล้วเอามาเฉยๆ บางท่านก็ขอเอาดื้อๆ ให้หรือไม่ให้ก็ตาม ออกปากขอแล้วยกไปเลย พระยังไม่ทันอนุญาติ ท่านทายกประเภทนี้ ท่านช่วยยกคนที่กินกับท่านลงอเวจีแบบสะดวก เมื่อจะขอต้องดูว่าอาหารมากไหม ถ้ามากจนเหลือเฟือ ก็ขอให้พระท่านให้ตามความพอใจของท่าน เพราะท่านอาจมีกังวลนำอาหารไปให้ใครก็ได้ ที่ท่านมีภาระต้องเลี้ยง ถ้าถือเอาตามความพอใจก็ต้องถือว่าแย่งอาหารจากพระมีโทษ 100 เปอร์เซ็นต์



    (หนี้สงฆ์-อาหารถวายพระพุทธรูป จากญาติโยมที่มาทำบุญที่วัด)


    [​IMG]


    และอาหารถวายพระพุทธรูป ก็เหมือนกัน อาหารประเภทนี้ดูเหมือนจะเป็นเหยื่อล่อให้ทายกลงอเวจีสะดวกสบายมาก อาหารที่เขานำมาวัด เขาตั้งใจถวายพระสงฆ์ การนำไปถวายพระพุทธรูปนั้นเป็นความดี เพราะเป็นพุทธานุสสติด้วย เป็นพุทธบูชาด้วย แต่อาหารประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องใช้มาก เพราะพระพุทธรูปไม่ได้ฉัน ท่านจะฉันหรือไม่ฉันก็ตาม อาตมาคิดว่าทายกทายิกาไม่มีสิทธิ์จะกิน หลายวัดหรือส่วนใหญ่ ทายกมักจะเอาอาหารดีๆ และมากๆ ไปทุ่มเทถวายพระพุทธรูป

    เมื่อพระฉันเสร็จแล้ว ต่างก็ยกเอามากิน ตอนนี้ไม่ถูกด้วยประการทั้งปวง ต้องเอาไว้ถวายพระตอนเพลจึงจะถูก ทายกทายิกาจะกินได้เฉพาะอาหารที่เหลือเป็นเดนจากพระฉันเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์สถาปนาตนเองเป็น ลูกศิษย์พระพุทธรูป แต่ประการใด

    รวมความว่า ของที่ถือว่าเป็นของสงฆ์นั้น คือของในวัดทุกประการที่เขาถวายเป็นของสงฆ์แล้ว แม้แต่ดอกไม้ ผลไม้ในวัดเศษไม้ที่คิดว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว เอามาทำฟืนบ้าง ทำอย่างอื่นเล็กๆ น้อยๆ บ้าง จงอย่าคิดว่าไม่มีบาป แม้แต่เศษกระเบื้องที่ทิ้งแล้ว ก็เป็นของสงฆ์ มีผลเสมอกัน

    เว้นไว้แต่ดอกไม้ผลไม้ที่พระหรือท่านผู้ใดปลูกในวัด ถ้าท่านเจ้าของยังอยู่ในเขตวัดนั้นและท่านอนุญาติ อย่างนี้เอามาได้ไม่บาป ด้วยท่านเจ้าของมีสิทธิ์สมบูรณ์ให้ได้ รับมาได้ไม่มีโทษ ถ้าท่านผู้ปลูกออกไปจากวัดนั้นหรือตายไปแล้ว ของนั้นเป็นของสงฆ์โดยตรง ไปเอามามีโทษตามกำลังบาป ขโมยของสงฆ์

    และอีกประการ หนึ่ง วัดร้างที่ไม่มีพระอยู่ แต่มีสภาพเป็นวัด กับที่ของสงฆ์ที่เป็นไร่นาไปแล้ว ไม่มีสภาพเป็นวัด ถ้าเราไปนำมานิดเดียวแม้แต่หญ้าต้นเดียว เขาถือว่า เป็นหนี้สงฆ์ อันนี้อันตรายมาก สมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็แนะนำให้คน ชำระหนี้สงฆ์ บาทสองบาทสลึงสองสลึง บางคนไม่มีเงินเอามาทำงานแทน ทำอะไรก็ได้ไม่บังคับ คือ ดายหญ้าก็ตามไม่เอาค่าแรง


    (หนี้สงฆ์-รับพระเครื่องที่ถูกขโมยมา)


    [​IMG]


    ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ พระเครื่อง ที่เขาไปขโมยมาแล้วเราเอามาห้อยคอ อย่างนี้จะบาปไหมครับ..?

    หลวงพ่อ : เดี๋ยวก่อน..พูดเรื่อง พระเครื่อง ก่อนพระที่คุณห้อยน่ะ ไม่มีเครื่องหรอก.. พระเครื่องต้องอย่างฉันนี่เดินได้ วิ่งได้ ใช่ไหม...อย่างนั้นเขาไม่เรียก "พระเครื่อง" เขาเรียก "พระห้อย" เขาขโมยมาจากใครล่ะ..?

    ผู้ถาม : ก็ไม่ทราบแน่ครับ อาจจะขโมยเจาะกรุมาก็ได้ครับ

    หลวงพ่อ : เสร็จ..ไอ้นี่พังแน่..!

    ผู้ถาม : อย่างนี้จะบาปไหมครับ......?

    หลวงพ่อ : รับของโจรมันก็บาปซิ

    ผู้ถาม : แต่ถ้าเราไม่ทราบนี่คงไม่เป็นไรนะครับ

    หลวงพ่อ : เราไม่ทราบก็บาป เราทราบก็บาป ไอ้บาปนี้เขาแปลว่า "ชั่ว" คนไปขโมยมาจากกรุ กรุมันเป็นของสงฆ์ ลักษณะของอาการมันเป็นของชั่ว ถ้าเราเอาของชั่วมาอยู่กับเราก็ชั่วด้วย อย่างใน "มงคลสูตร" ข้อหนึ่ง ท่านบอกว่า "อะเสวะนา จะ พาลานัง" อย่าคบคนพาล ถึงแม้นตัวราจะไม่พาล ถ้าเราเดินกับคนพาลเขาก็คิดว่าพาลไปด้วย" และท่านก็มีข้อเปรียบเทียบ ท่านบอกว่า

    "ใบตองนี่ ไอ้ความเน่าของเนื้อสัตว์มันจะไม่ซึมลง แต่ว่าถ้าเราเอาใบตองห่อของเน่า แล้วเอา ของเน่าทิ้งไปแต่กลิ่นเน่าเหม็น มันยังติดใบตองอยู่" "ทีนี้การรับของโจร ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้ ก็ต้องถือว่าเราร่วมมือด้วยโดยไม่เจตนา ก็ต้องเอาเหมือนกัน"


    ผู้ถาม : ของหนูก็มีพระที่ขโมยมาเหมือนกันค่ะ เป็นพระบูชาแต่ว่าอยากเอาไว้ที่บ้านเอาไว้บูชา ถ้าเราชำระหนี้สงฆ์จะได้ไหมคะ..?

    หลวงพ่อ : ทีนี้วิธี "ชำระหนี้สงฆ์" เขาให้มีค่าเสมอของเดิมนะ เสมอของเดิมหมายความว่า ไม่ใช่พระรุ่น แบบนี้ เหมือนกับอย่างเขาเล่นกันนะ เขาไม่ใช้นะ ไปดุว่าที่ร้านเจ๊กหน้าตักขนาดนี้เขาขายเท่าไร แล้วเอาเงินไป ชำระหนี้สงฆ์ตามราคานั้น ถ้ามากกว่านั้นไม่เป็นไรนะ เท่านั้นก็ใช้ได้ เอาไปวัดใดวัดหนึ่งขอชำระหนี้สงฆ์ ขอมอบเงินจำนวนนี้และขอเอาพระไปบูชา ก็เท่านี้แหละ

    เป็นอันว่าไม่มีอะไรผิด (ใครก็ตามได้รู้อย่างนี้ก็ใจเสียแล้ว เวลาไปเอามาไม่รู้เท่าไหร่ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ก็มีคนหัวดี กล้าถามหลวงพ่อว่า ถ้าจะชำระหนี้สงฆ์ทั้งหมด ตั้งแต่ที่เคยทำมาตั้งแต่ต้นจนปัจจุบันนี้ จะทำอย่างไร เราจึงได้รู้เรื่องการสร้าง "พระชำระหนี้สงฆ์" ขึ้นมา)


    ที่มา Facebook เพจ คำสอนหลวงพ่อฤาษี(ลิงดำ)



    การสร้างพระชำระหนี้สงฆ์


    [​IMG]



    ผู้ถาม : แล้วเรื่องพระชำระหนี้สงฆ์มีความเป็นมาอย่างไรครับ...?

    หลวงพ่อ : เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ฉันไปที่ศรีราชา ญาติโยมเขาถาม เรื่องพระชำระหนี้สงฆ์ ถ้าหลายๆ ชาติ เราไม่รู้เอาอะไรมาบ้าง ถามว่าจะทำอย่างไร ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน พอตอบไม่รู้ก็เห็นพระท่านลอยมา ท่านบอก

    "ถ้าจะชำระให้ครบถ้วน เป็นเงินเท่าไรก็ไม่พอ ให้สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก"
    พระหน้าตัก ๔ ศอก ถือว่าเป็นพระประธานมาตรฐาน ท่านบอกว่า "พระพุทธรูปนี่ไม่มีใครตีราคาได้ ใช้ในการชำระหนี้สงฆ์ หนี้สงฆ์ที่แล้วๆ มา ถือเป็นการหมดกันไป"


    ฉันพูดแล้วก็กลับมาวัด ต่อมาพวกนั้นก็มาถามใหม่ว่า "สร้างพระองค์เดียวได้คนเดียวหรือกี่คน" ฉันก็ไม่รู้อีกซิ ก็นึกถึงท่าน ท่านก็มาใหม่ ท่านบอกว่า

    "ถ้าไม่ปิดทองได้คนเดียว ถ้าปิดทองครบถ้วนได้ทั้งคณะ" คำว่า "คณะ" หมายความว่าบุคคลหลายคนก็ได้ ตัดบาปเก่า ถ้าสร้างใหม่เอาอีกนะ สร้างหนี้ใหม่ต่อเป็นหนี้ใหม่เหมือนกันนะ"


    ผู้ถาม : ถ้าหากว่าเรามีสตางค์น้อยๆ แล้วถวายพระจะได้ไหมครับ....?

    หลวงพ่อ : ถ้าเรามีสตางค์น้อยๆ ก็ใส่ซองเขียนหน้าซองว่า "ชำระหนี้สงฆ์" คือว่าไม่ได้จำกัด ทำไปเรื่อยๆ ให้ใจสบาย บาทสองบาทตามกำลังที่พึงทำได้ เขาไม่ได้เกณฑ์ว่าจะสร้างพระ หลวงพ่อปานท่านทำอย่างนี้มาก่อน เรื่องสร้างพระนี่เขาถามก็บอก ท่านมาบอกอัตรานี้โละกันเลยนะ คือไม่ใช่จะเกณฑ์ให้ไปสร้างพระเพราะทุนไม่พอใช่ไหม เราก็ทำไปเรื่อยใจสบาย มีสตางค์รับเงินเดือนมาทีทำ 5 บาท ใส่ซองถวายพระบอก "ขอชำระหนี้สงฆ์"

    ท่านไม่รู้ท่านใช้ผิด ท่านลงนรกเอง ไม่ต้องห่วง ถ้าไปกินเป็นส่วนตัวละเรียบร้อย เงินชำระหนี้สงฆ์มันมีค่ากว่าเงินสังฆทานและวิหารทาน ถ้าไปใช้เป็นส่วนตัวไม่ได้ ต้องใช้เป็นส่วนกลาง อันตรายกับพระ แต่ช่างเถอะ ถ้าบวชแล้วอยากโง่ให้ลงนรกไป ใช่ไหม....?"



    ผู้ถาม : ถ้ามีญาติโยมเอาเงินไปถวายพระ แต่ก็เอาเงินไปปลูกบ้านบ้าง ให้ญาติโยมไปออกดอกออกช่อบ้าง อยากทราบว่าผลบุญที่ลูกได้ทำแล้ว จะมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบหรือไม่เจ้าคะ...?

    หลวงพ่อ : เขาถวายเป็นของ สงฆ์ใช่ไหม เขาถวายเข้าไปในวัดใช่ไหม แล้ววัดไม่ได้ทำอะไร แต่คนในวัดเแาไปปลูกบ้าน เงินนั้นไปที่อื่นใช่ไหม เขาถวายอานิสงส์ มันได้ตั้งแต่ถวาย มีอานิสงส์ครบถ้วน นั่นเขาครบ 100 เปอร์เซ็นต์เลยนะ คนอื่นเอาไปใช่ไหม อย่าไปยุ่งกับเขาเลยนะ อานิสงส์ มันได้ตั้งแต่เริ่มให้ ยิ่งให้ก็ยิ่งอานิสงส์หนักขึ้นเวลาให้ต้องให้ด้วยตนเองใช่ไหม ขณะที่พระรับก็เกิดธรรมปิติอิ่มใจ อานิสงส์มันเพิ่ม แต่ว่าคนที่นำเอาไปใช้พิเศษคนนั้นลงอเวจีแน่

    ผู้ถาม : โอ้โฮ...หนักถึงขนาดนั้นเลยหรือครับหลวงพ่อ.....?

    หลวงพ่อ : ยังเบานะ ถ้า 2-3 คราว ลงโลกันต์..!

    ผู้ถาม : นี่ดีนะ...ที่สึกออกมาก่อน ไม่งั้นไปอยู่ใต้พระเทวทัตแน่ๆ

    หลวงพ่อ : ใต้พระเทวทัตน่ะไม่มีความทุกข์นะ ความทุกข์มันอยู่แค่อเวจี ต่ำกว่าอเวจีก็ไม่ถึงโลกันต์


    จาก หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๑ โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2014
  3. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    ปฏิบัติศีล ๕ และกรรมบถ ๑๐ แบบง่ายๆ

    จากเรื่องราวทั้งหมดด้านบน เราจะเห็นได้ว่าการชำระหนี้สงฆ์นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพราะการติดหนี้สงฆ์นั้นไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ รู้หรือไม่รู้ก็ตาม ก็ล้วนส่งผลในทางที่ทำให้เราต้องตกนรกทั้งสิ้น ดังนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องทำบุญชำระหนี้สงฆ์เพื่อเป็นการไม่ประมาท และป้องกันอันตรายที่จะเกิดจากกรรมดังกล่าวนั่นเอง

    อนึ่ง การทำบุญชำระหนี้สงฆ์หรือการทำบุญใดๆก็ตามนั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำคราวละมากๆ แต่ให้ทำไปเรื่อยๆตามกำลังทรัพย์ที่เรามี โดยอาจจะเป็นครั้งละหนึ่งบาทหรือสองบาทก็ได้ และวิธีการนั้นก็ไม่ยุ่งยากแต่อย่างใด เพียงแค่ไปร่วมบุญกับหมู่คณะที่สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก 4 ศอกพร้อมทั้งปิดทองทั้งองค์เท่านั้นเอง(ตรงนี้ถ้าหากเขาไม่ได้ระบุว่าเป็นการสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ก็ให้เราอธิษฐานด้วยว่าจะขอชำระหนี้สงฆ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน) แต่ถ้าหากยังไม่มีโอกาสได้ร่วมบุญสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ เราก็สามารถถวายพระสงฆ์โดยเขียนระบุไว้ให้ชัดเจนว่า"ทำบุญชำระหนี้สงฆ์"

    ทั้งนี้ขณะที่เราทำบุญชำระหนี้สงฆ์ก็ให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า "เงินจำนวนนี้ขอถวายชำระหนี้สงฆ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถ้าเคยไปหยิบหรือนำของสงฆ์มาโดยเจตนาหรือไม่ได้เจตนาก็ตาม"


    [​IMG]


    หลังจากที่เราทราบเรื่องราวการชำระหนี้สงฆ์ อันเป็นการป้องกันการติดหนี้สงฆ์ซึ่งเป็นกรรมหนักแล้ว ในขั้นต่อไปเราก็จะมาพูดถึงการปฏิบัติเพื่อหนีการตกนรกอย่างง่ายๆกันค่ะ


    วิธีปฏิบัติศีล ๕ และกรรมบถ ๑๐ แบบง่ายๆ

    ท่านที่มีอาชีพหนัก มีเวลาน้อย จะไปนั่งรักษาศีลและกรรมบถที่วัดที่วา หรือไปจำศีลภาวนานานๆ ที่ไหนนั้นไม่ได้แน่ เพราะท้องมันหิว ต้องหากินเป็นประจำวัน ให้ทำอย่างนี้ คือตั้งใจไว้ว่า เราจะรักษาศีลและประพฤติกรรมบถ ๑๐ ให้บริบูรณ์วันละ ๑ หรือ ๒ หรือ ๓ ชั่วโมง จะเอาเวลาเท่าไหร่ เมื่อไรจัดเวลาเอาเองแล้วก็ตั้งใจรักษาตามเวลานั้นให้เคร่งครัด ทำอย่างนี้ไม่เกิน ๓ เดือน อารมณ์จิตจะชิน จะสามารถรักษาศีล ๕ ประพฤติในกรรมบถ ๑๐ ได้ครบถ้วนตลอดเวลา อย่างนี้มีผลไม่ลงนรกทุกชาติ จนกว่าจะเข้าถึงพระนิพพาน

    จาก หนังสือ หนีนรก โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


    สำหรับท่านที่เริ่มต้น หากรู้สึกว่าตนเองนั้นยังไม่สามารถที่จะรักษาศีล ๕ ให้ครบทุกข้อได้(ในระยะเวลาสั้นๆตามที่ปรากฎข้างบน) ให้ใช้วิธีเลือกปฏิบัติเอาจริงเอาจังเป็นข้อๆ เท่าที่พอจะทำได้ โดยให้เอาชนะจริงๆข้อใดข้อหนึ่งไปเลย และเมื่อชนะข้อใดข้อหนึ่งแน่นอนแล้ว ก็ค่อยๆเลือกเอาข้อที่เห็นว่าง่าย สุดท้ายก็จะสามารถชนะได้หมดทุกข้อค่ะ


    ท่านที่มีอาชีพขวาง

    มีหลายท่านมีความประสงค์ดี คืออยากจะปฏิบัติให้ได้ตามที่แนะนำ แต่อาชีพขวาง คือเป็นชาวนา ชาวไร่ ต้องใช้ยาฆ่าแมลง ถ้าไม่ใช้เธอก็กินพืชหมด ถ้าใช้ก็บาป อยากจะหนีนรกกับเขาบ้าง นรกก็ย่องเข้าประตูบ้าน คืออารมณ์ใจทุกวันไม่รู้จะทำอย่างไรดี มีมาหารือมากท่าน

    สำหรับท่านที่มีอาชีพขวางนี้ ข้อให้ปฏิบัติตามบุคคลตัวอย่าง เวลาฉีดยาฆ่าแมลงหรือหาปลาเลี้ยงชีพ ก็ว่ากันไปตามปกติ อาตมาไม่แนะนำให้เลิก เพราะถ้าบอกให้เลิกต้องมีทุนทดแทน อาตมาก็ไม่มีทุน มีแต่หนี้สร้างวัดตั้งหลายล้านบาท ก็เลยไม่ขัดคอกัน

    ถ้าจะถามว่า "ท่านที่มีอาชีพอย่างนี้ จะหนีนรกกับเขาตลอดกาลได้ไหม?"

    ก็ต้องขอตอบว่า "สุดแล้วแต่กำลังใจ ถ้ามีความเด็ดเดี่ยวในกำลังใจ รับรองว่าหนีนรกได้แน่นอน"


    ถ้าถามว่า "ถ้าเลิกอาชีพเดิมเขาจะอดตาย ท่านจะทำอย่างไร"

    ก็ต้องขอตอบว่า "ยังไม่แนะนำให้เลิกอาชีพเดิม แต่ขอแนะนำให้มีอารมณ์มั่นคงในขณะที่ทำบุญ อย่างนี้รับรองว่าหนีนรกได้ตลอดกาล"


    ถ้าจะถามว่า "ทำบุญก็ไม่มีทุนมาก เพราะยากจนจึงต้องฆ่าสัตว์"

    ก็ต้องขอตอบว่า "ทำบุญที่มีบุญมากมหาศาล ไม่มีทรัพย์สินเงินทองเลยก็สามารถทำได้ และไม่ต้องไปทำบุญไกล ทำบุญที่บ้านของท่านนั่นแหละ ได้บุญมหาศาล"


    ถ้าจะถามว่า "จะทำอย่างไร"

    ก็ขอตอบว่า "ใช้บทภาวนาเท่านั้นเอง" ใช้ตามนี้

    เมื่อจะนอน เวลาทั้งวันต้องหากิน ก่อนหลับก็ตัดสินใจว่า พรุ่งนี้ตั้งแต่ ๖ โมงเช้าถึง ๗ โมงเช้า เราจะทรงศีล ๕ หรือกรรมบถ ๑๐ ให้ครบถ้วน และตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไปจนกว่าจะหลับ หรือตื่นขึ้นมาใหม่ๆ จนกว่าจะถึง ๗ โมงเช้า เราจะเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ด้วยศรัทธาแท้ หลังจากนั้นก็เอาใจนึกถึงพระพุทธรูปที่บ้าน หรือพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง ที่ไหนก็ได้ที่ชอบมาก นึกถึงท่านตามกำลังใจที่จะนึกถึงได้ ใช้เวลาไม่นานก็ได้ ถ้ามีพระที่บ้านเอง นั่งหรือนอนก็ได้ มองดูท่านด้วยความเคารพ จำได้แล้วก็หลับตานึกถึงรูปท่าน เมื่อภาพเลือนจากใจก็ลืมตาจำภาพใหม่ แล้วก็หลับตานึกถึงท่าน อย่าทำให้นานเกินไป พอใจเริ่มไม่สงบก็เลิก หรือถ้าจะหลับก็ปล่อยหลับไปเลย ค่อยๆ ทำแบบนี้ ตามเวลานี้ ไม่ช้าก็จะชนะนรก

    จาก หนังสือ หนีนรก โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2014
  4. buakwun

    buakwun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    2,830
    ค่าพลัง:
    +16,613
    กราบอนุโมทนา สาธุธรรม ในคำสอนของหลวงพ่อฤาษี
    เหล่าพุทธศาสนิกชนทุกท่านมาร่วมกันชำระหนี้สงฆ์
    เพืื่อให้หลุดพ้นจากเวรกรรมและพ้นจากนรกด้วยกันเถิด สาธุ
     
  5. Earth n Water

    Earth n Water เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    965
    ค่าพลัง:
    +2,088


    ขออนุโมทนาสาธุเป็นอย่างยิ่งกับการนำเอาคำแนะนำของ
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
    มาให้อ่านกัน จะได้ประโยชน์มหาศาล หลบหลีกนรกกันได้

    ขอกราบระลึกถึงคุณของหลวงพ่อพระราชพรหมยานที่
    มีเมตตาสูง อยากให้คนพ้นจากนรก จึงแนะนำสอนวิธีให้

    ขอขอบคุณคุณ White Sage ด้วยค่ะ
    ขอให้การเผยแพร่คำแนะนำวิธีไม่ให้ตกนรกของ
    หลวงพ่อพระราชพรหมยานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการ
    ชำระหนี้สงฆ์สำหรับคุณ White Sage ด้วยนะคะ
    ฉันขอร่วมอนุโมทนาสาธุในบุญนี้ด้วยเป็นอย่างสูงค่ะ


     
  6. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    ถาม-ตอบ ปัญหาเรื่องการรักษาศีล

    ก่อนอื่นต้องขอกราบอนุโมทนาสาธุกับทุกท่านที่ได้อนุโมทนาและเผยแพร่เป็นธรรมทานต่อๆไปด้วยนะคะ

    ในวันนี้บังเอิญว่าได้พูดคุยกับคนใกล้ชิดเรื่องการรักษาศีล ๕ โดยลองพูดถึงวิธีการที่หลวงพ่อท่านแนะนำตามโพสต์ข้างบน ซึ่งก็ได้รับการยืนยันว่ามีความรู้สึกว่าเป็นวิธีที่ง่ายดี ถ้าหากว่าจะลองรักษาศีลเป็นช่วงเวลาซักหนึ่งหรือสองชั่วโมงก่อน แต่อย่างไรก็ตามจากการพูดคุยพบว่า บุคคลดังกล่าวยังมีประเด็นข้อข้องใจในเรื่องของศีล ๕ อยู่หลายอย่าง ซึ่งส่วนตัวตอนเริ่มรักษาศีลใหม่ๆก็มีปัญหาทำนองนี้อยู่เหมือนกัน เช่น บางทีนั่งอยู่แล้วรู้สึกคันที่ขา มือก็เผลอไปปัดโดนยุงเข้าโดยไม่รู้ตัว ทำให้รู้สึกวิตกว่าศีลขาด เป็นต้น ดังนั้นในวันนี้จึงได้รวบรวมการถาม-ตอบปัญหาในเรื่องการรักษาศีลมาไว้ เพื่อให้ท่านที่สนใจเกิดความรู้ความเข้าใจในการรักษาศีลให้ยิ่งๆขึ้นไปค่ะ


    ถ้าเราไม่มีโอกาสสมาทานศีลจะถือว่าเป็นการรักษาศีลได้หรือไม่ ?


    [​IMG]


    "การสมาทานศีลนี่เป็นแต่เพียงการศึกษาศีลเท่านั้น ถ้าเราไม่มีโอกาสสมาทานศีลมันจะเป็นศีลได้หรือไม่ ข้อนี้ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทสงสัยก็พึงทราบว่า ศีลนี่เราจะสมาทานหรือไม่สมาทาน ก็ไม่ได้มีความหมายอะไร ความสำคัญอยู่ที่การงดเว้นเท่านั้น มันจึงจะเป็นศีล ถ้าเราไม่มีโอกาสสมาทาน แต่ทว่าสิกขาบททั้ง 8 ประการก็ดี หรือว่าสิกขาบททั้ง 5 ประการก็ดี เราระงับได้อย่างครบถ้วนอย่างนี้ เราไม่สมาทานเลยมันก็เป็นศีล แล้วก็มีอานิสงส์เท่ากับที่สมาทาน ถ้านึกว่าเราจะสมาทานศีลสักวันละพันครั้ง แต่ว่าจิตใจของเราไม่ได้ผูกพันอยู่ในศีล ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร ศีลไม่ได้อยู่กับใจของเรา"

    จาก หนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อพระราชพรหมยานเล่ม 14 หน้า 36 (พิมพ์ปี พ.ศ. 2543)


    เหยียบสัตว์เล็กๆ หรือปัดยุง (ศีลข้อที่ ๑)


    [​IMG]


    ผู้ถาม : ถ้าเราเดินไปเหยียบสัตว์เล็ก ๆ หรือปัดยุงแล้วไปโดนยุงตาย อย่างนี้ศีลจะขาดไหมคะ.....?

    หลวงพ่อ : ถ้าเป็นสัตว์เล็ก ๆ เดินไปเราไม่เห็น บังเอิญเราไปเหยียบตายอย่างนี้ศีลไม่ขาด หรือสัตว์เล็ก ๆ มันมาเกาะกินเลือดของเราเราไม่คิดจะฆ่ามัน ถ้ามันเกาะนานเกินไปก็ค่อย ๆ เอามือลูบให้มันหนีไป แต่บังเอิญมันหนีไม่ทัน ไปถูกมันตาย อย่างนี้ศีลไม่ขาดเพราะไม่มีเจตนาจะฆ่า


    ขโมยเงินพ่อแม่ (ศีลข้อที่ ๒)


    [​IMG]


    ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ ขโมยเงินพ่อแม่นี่บาปไหมคะ มีคนเขาบอกว่าขโมยเงินพ่อแม่นี่ไม่บาป เพราะพ่อแม่ต้องจ่ายอยู่แล้วค่ะ

    หลวงพ่อ : ไอ้บาปนี้แปลว่าชั่ว การขโมยเงินมันเป็นบาปทั้งหมด ถ้าเราขโมยท่าน ท่านไม่ชอบใจ ท่านก็ทำเฉย การขโมยของพ่อแม่ท่านชอบไหมล่ะ การกระทำอย่างนี้ชั่ว ฉะนั้นจึงบาป

    ผู้ถาม : ถ้าหากท่านเห็นเล่าคะ แล้วเราหยิบไปเลย อย่างนี้บาปไหมคะ........?

    หลวงพ่อ : ก็สาธุก็แล้วกัน ดีแล้วที่ไม่ว่าฉัน ถ้าเราหยิบไป ท่านเห็นแล้วไม่ห้ามปราม ไม่ว่าอะไรก็ไม่เป็นไร ถ้าหากท่านไม่ให้ ท่านห้ามเราก็ไม่หยิบก็หมดเรื่องไป การขโมยนี่จิตมันเริ่มชั่ว ตั้งแต่ก่อนที่จะกระทำ คิดจะขโมยน่ะ จิตมันชั่วแล้วนะ


    กลัวผิดศีลข้อ ๓


    [​IMG]


    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพ ก่อนที่ดิฉันจะแต่งงานกับสามีคนสุดท้าย ไม่รู้เรื่องว่าเมื่อก่อนเขาเคยมีเมียมาแล้ว ลูกก็เลยได้เสียกับเขาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ลูกอยากถามว่า เมื่อลูกรู้ภายหลังอย่างนี้ จะเรียกว่าศีลขาดข้อ กาเมสุมิจฉาจาร หรือเปล่าเจ้าคะ?

    หลวงพ่อ : เจตนาแย่งในตอนต้นเขาไม่มี เขาไม่รู้ ไม่ผิดหรอกนะ

    ผู้ถาม : อ๋อ...ถ้าไม่มีเจตนา ไม่เป็นไรหรือครับ?

    หลวงพ่อ : “เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ” ต้องมีเจตนา ศีลนี่ต้องตั้งใจ ถ้าขาดความตั้งใจ ไม่เป็นการละเมิด


    พาลูกสาวเขาหนี (ศีลข้อที่ ๓)

    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างยิ่ง มีการเถียงกันระหว่างผมกับแฟน เรื่องศีลข้อที่ ๓ ตอนแรกไม่ได้ คิดถึงศีล ตกลงสองคนพากันไปก่อน เมื่อเรียบร้อยแล้วกลับมาขอขมาภายหลัง พ่อแม่ก็โอเค แต่สงสัยว่าตอนที่พาไปกลับมาขอขมาเรียบร้อยแล้ว จะเรียกว่าผิดศีลหรือเปล่าขอรับ?

    หลวงพ่อ : มันจบไปแล้ว พ่อแม่อภัยให้แล้ว...เลิกกัน อย่างขโมยของเขาไป ต่อมาเจ้าของบอกฉันไม่เอาโทษละก็แล้วกันไป


    เรื่องโกหกสามี (ศีลข้อที่ ๔)


    [​IMG]


    ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ ดิฉันไปซื้อดอกไม้แถวสนามหลวงราคา ๑๕๐ บาท พอกลับถึงบ้าน บอกกับสามีว่าต้นไม้ราคา ๕๐ บาท ที่บอกอย่างนั้นเพราะเกรงว่าสามีจะดุเอา ตอนหลังมานึกดูรู้สึกเสียใจค่ะ ไม่น่าโกหกเขาเลย อย่างนี้ศีลจะขาดไหมคะ.....?

    หลวงพ่อ : อย่างนี้เป็นการรักษาประโยชน์ไว้ ไม่ได้ทำลายประโยชน์ ข้อมุสาวาท จะขาดมันต้องทำลายประโยชน์ของบุคคลอื่น แต่นี่เป็นการพูดเพื่อรักษากำลังใจเขา มันมีประโยชน์แต่ว่าไปโกหกอย่างอื่นเอาเรื่องนะ อย่างเช่น ของเลวบอกว่าของดี ของราคาถูกบอกของราคาแพง อันนี้มันทำลายประโยชน์


    ศีลข้อมุสาวาท (ศีลข้อที่ ๔)


    [​IMG]


    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อเจ้าคุณที่เคารพอย่างสูง...

    หลวงพ่อ : เอ๊ะ! วันนี้เป็นเจ้าคุณ ฉันขาดหลวงปู่ไปตำแหน่งนะนี่ หลวงตามาแล้ว ขาดหลวงปู่...หลวงทวด

    ผู้ถาม : ลูกมีปัญหากลุ้มใจนิดเดียว เกี่ยวกับเรื่องศีลของหลวงพ่อ คือ ลูกเป็นแม่ค้าก็จำเป็นที่จะต้องโกหกอยู่เสมอ ไม่งั้นจะไม่ค่อยมีกำไร ลูกพยายามทุกอย่างแล้ว ธรรมะของหลวงพ่อทำครบหมด แต่ข้อนี้ทำไม่ได้ จึงขอบารมีหลวงพ่ออโหสิกรรมให้ลูกด้วยเถิดเจ้าค่ะ

    หลวงพ่อ : เอาอย่างนี้ซิ...ฟังให้ดีนะ จุดธูปตอนเช้า วันนี้ขอลาศีลมุสาวาทชั่วคราว...(หัวเราะ) เอาอย่างนี้ซิ...วิธีพูดน่ะ เราซื้อของมาถูก ต้องขายแพงตามท้องตลาดใช่ไหมล่ะ ก็บอกต้นทุนมันแพง ลดจากนี้ไม่ได้หรอกจ๊ะ เท่านี้หมดเรื่องกันไป ไม่โกหก อย่าไปบอกซื้อมาบาทนี่ขาย ๑๐ บาท นี่ซื้อมา ๙๙.๙๐ บาท โธ่...ได้กำไร ๑๐ สตางค์ กลัวศีลขาด บอกต้นทุนมันแพง ลดจากนี้ไม่ได้น่ะ นี่มันมีความจำเป็น ถ้าต้นทุนถูกลดจากนี้ได้มาเยอะแยะ แค่นี้ไม่ผิด

    ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ บางครั้งเราก็ไม่เจตนาไอ้เรื่องโกหกนี่มันอยู่ในสังคม บางครั้งอย่างนี้นะ เขาจะมาเบียดเบียนเราน่ะ เราโกหกเขาว่าเราไม่มี

    หลวงพ่อ : อันนี้ต้องรู้คำว่า มุสา นี่ ต้องทำลายผลประโยชน์เขาไอ้ตัวนี้ไม่ใช่โกหก ไม่ใช่มุสา

    ผู้ถาม : บางครั้งก็ไม่เข้าใจนะคะ

    หลวงพ่อ : ดี...ถามอย่างนี้นะดี ทีนี้คำว่า “มุสา” นี่ต้องทำลายผลประโยชน์เขา แต่นี่เราทำเพื่อรักษาผลประโยชน์เรา ใช่ไหม...ยังไม่อยู่ในเกณฑ์มุสา อย่างนี้เขาไม่ถือว่าขาดศีล ๕

    ผู้ถาม : บางครั้งพูดแล้วมันเสียดใจ มันตรงเกินไป

    หลวงพ่อ : ก็ใช่ แต่เปล่า...ก็ต้องบอกเรารู้นี่ว่า ไอ้หมดนี่ถ้าหากมาขอยืมทีไร มันไม่ใช้ให้ทันที ใช่ไหม...นี่เราขืนให้ไปเราก็ไม่ได้ มีอยู่เหลือเฟือนี่ ไอ้เงินน่ะเรามี แต่เงินที่เราจะให้ยืมมันไม่มี เราก็บอกไม่มี เราก็บอกไม่มีเฉย ๆ ว่ายืมไม่ได้ ความจริงเรามีแต่เราจะต้องใช้นี่ ใช่ไหม...ถ้าเขาเอาไปเขาไม่เอามาส่งคืนเราก็ลำบาก ถ้าเรามีเหลือเฟือนี่มันไม่เป็นไร อันนี้เราถือว่าเรารักษาผลประโยชน์เรา เขาไม่ถือว่าเป็นมุสานะ

    อย่างพวกค้าขายนี่ก็เหมือนกันละ ลงทุนมาบาทเดียวแต่ขาย ๑๐ บาท เราขายตามราคาท้องตลาดเขาขอลดเราบอกลดไม่ได้หรอก ต้นทุนมันแพง มันแพงเท่าไรนี่เราไม่ได้บอก เราอย่าไปบอก ๙ บาท ๕๐ สตางค์ซิ เราบอกแพงเฉย ๆ ตามความนิยมของท้องตลาด อันนี้มันไม่เป็นไรนะ ไม่ถือว่าเป็นมุสาวาท อันนี้เข้าใจนะโยม ข้อนี้มีคนข้องใจกันมาก

    แต่ว่าถ้าเราพูดไปเพื่อรักษาประโยชน์ของเรา เพราะอะไร...เพราะว่าถ้าเราไม่รักษาประโยชน์เราให้ไป มันก็ไม่คืนซักที ทีนี้เราก็พังละซิใช่ไหม...อย่างนี้ยังไม่ถือว่าเป็นมุสาวาท มุสาวาทมันต้องเป็นอย่างนี้ คือประโยชน์ของเขาที่จะพึงมีอยู่ด้วยเหตุนั้น เราไปบอกนี่แกอย่าไปทำเลยแบบนั้น ขาดทุนตาย แต่ว่าเราจะเอาซะเอง

    ก็เหมือนกับผู้ใหญ่เลี้ยงเด็ก ไอ้เด็กเกินไปชานบ้าน ถ้าขืนปล่อยไป เดี๋ยวมันหล่นใต้ถุนตายใช่ไหม...บอกไอ้หนูอย่าไป เดี๋ยวหล่นใต้ถุน เด็กมันไม่เชื่อ แต่เด็กมันกลัวงู ก็บอกแก บอกอย่าไปนะไอ้งูมันมี ตุ๊กแกมันมี เด็กก็กลัว อันนี้เรารักษาประโยชน์ของเด็ก ไม่เป็นมุสาวาท มันเป็นเมตตา แต่ว่าถ้าเราพูดตรงไปตรงมาเด็กเขาไม่เชื่ออาจจะหล่นใต้ถุนบาดเจ็บหรือตาย ถ้าเราบอกแบบนั้นก็เป็นการรักษาอวัยวะ หรือรักษาชีวิตของเขาใช่ไหม...อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นมุสาวาทนะ เป็นเมตตาจิต มันเป็นคุณ ไม่ใช่โทษ แล้วยังไงล่ะ?

    ผู้ถาม : พอพูดแล้ว มันไม่สบายใจค่ะ

    หลวงพ่อ : นี่ทีหลังเอาใหม่ซิ บอกว่าข้าไม่พูด ๆ ๆ

    ผู้ถาม : มันไม่ได้ล่ะค่ะ

    หลวงพ่อ : ทำไมล่ะ?

    ผู้ถาม : มันต้องพูดกันอยู่นะคะ

    หลวงพ่อ : ถ้าพูดกันอยู่ก็บอกว่า ไม่ได้หรอก สตางค์ที่ให้แกยืมน่ะ ไม่มีล่ะเว้ย ข้ามีเหมือนกันละ มีแค่จะซื้อข้าวสารกินหรือซื้อกับข้าวกิน ใช่ไหม ข้ามีอยู่เล็กน้อยแบ่งไม่ได้ เราต้องบอกมีเล็กน้อย เราก็ไม่มีมากใช่ไหม มันมีอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ความจำเป็นมันมีอยู่สำหรับเราก็ถือว่า มีเล็กน้อย ใช่ไหม ไม่ใช่มีมาก ถ้ามีมากเราต้องมีจนเหลือเฟือ ถ้าเขาถามมีไหม...บอกว่าจะว่าไม่มีเลยก็ไม่ใช่ มันมีเหมือนกัน แต่จะซื้อกับข้าวตอนเย็นนี่นะ แล้วไอ้ภาพกิจอื่นมันมีมันไม่ไหว ถ้าคุณเอาไปเสีย ฉันก็ให้ไม่ได้

    หรือบางทีเราก็ต้องบอกไปเลย
    บอกเงินให้ยืมไม่มีละ ฉันไม่มีแล้ว ใช่ไหม เราตัดไปจุดนั้นเลย ตัดไปจุดตะรางที่ว่า “ให้ยืมไม่มีไอ้คนตื๊อนี่ บอกมีเล็กน้อยเดี๋ยวมันเอานะ เราก็ต้องตัดไปว่า เงินให้ยืม นั้นไม่มีจริง ๆ ฉันไม่มีหรอกใช่ไหม อันนี้เราพูดถึงเงินให้ยืมใช่ไหม ไอ้เงินที่เรามีอยู่มันจำจะต้องใช้ อันนี้ก็ไม่ถือเป็นมุสาวาทนะ


    จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๑๐


    หมายเหตุ สำหรับปัญหาต่างๆในการรักษาศีลนั้น ท่านใดที่สนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=902 ตรงนี้จะเป็นหน้าเว็บวัดท่าซุงที่เป็นแหล่งรวมหนังสือคำสอนของหลวงพ่อ โดยให้ท่านเลื่อนลงมาเรื่อยๆ จนเห็นคำว่า "หลวงพ่อตอบปัญหา" เมื่อเห็นแล้วให้ท่าน click ตรงคำว่า "เล่ม 10" ท่านจะได้ไฟล์ pdf หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๑๐ ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับปัญหาในการรักษาศีลค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2014
  7. Earth n Water

    Earth n Water เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    965
    ค่าพลัง:
    +2,088


    ขอสารภาพว่า วันนี้มีความจำเป็นที่ได้
    ฆ่าแมลงที่คลานไปทั่วในบางห้องที่บ้าน
    เพราะเพิ่งรู้ว่ามันแอบขยายพันธ์ุใน
    ถุงเมล็ดพืชที่เก็บไว้ในบ้านเพื่อไว้เลี้ยงนก
    ข้างนอกที่หิวโหยที่อยู่ในธรรมชาติ
    จะไม่กำจัดแมลงเหล่านั้นในบ้านก็ไม่ได้
    เลยจำใจต้องทำ ผิดศีลไปแล้ววันนี้
    ไม่สบายใจที่ต้องทำเช่นนั้น


     
  8. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    วิธีการทำทานแบบง่ายๆ แต่ได้อานิสงค์สูงสุด

    สวัสดีค่ะ หลังจากที่ได้พูดถึงวิธีปฏิบัติศีล ๕ แบบง่ายๆแล้ว ในวันนี้ก็จะมาพูดถึงวิธีการหนีนรกด้วยการให้ทานแบบง่ายๆแต่ได้อานิสงค์สูงสุดกันนะคะ

    อานิสงค์ของสังฆทาน และวิหารทาน


    [​IMG]


    ถวายทานกับพระอรหันต์ 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานกับพระพุทธเจ้า 1 ครั้ง

    ถวายทานกับพระพุทธเจ้า 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน 1 ครั้ง

    และ ถ้าถวายสังฆทาน 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายวิหารทาน 1 ครั้ง คือ สร้างวิหาร มีการก่อสร้าง เช่น สร้างส้วม ศาลาการเปรียญ

    กุฏิ โบสถ์ วิหาร เป็นต้น



    การถวายสังฆทาน 1 ครั้งในชีวิต และถวายด้วยจิตที่บริสุทธิ์มีศรัทธาแท้ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผลของสังฆทานนี้จะดลบันดาลให้แก่บุคคลผู้ถวาย เกิดไปทุกชาติ ขึ้นชื่อว่าความยากจนเข็ญใจ ไม่มี ในแดนใดที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลาบากขัดสน คนที่ถวายสังฆทานแล้วจะไม่เกิดในที่นั้น ผลที่ให้ไปไกลมาก ท่านกล่าวว่า แม้แต่พระพุทธญาณเอง ก็ยังไม่เห็นผลที่สุดของการถวาย สังฆทาน

    คำว่า “ไม่เห็นผลที่สุดของการถวายสังฆทาน”หมายความว่า แม้แต่บุคคลผู้เป็นเจ้าของสังฆทาน บำเพ็ญเพียรบารมีแล้ว แล้วเกิดไปอีกกี่แสนชาติก็ตาม จนกระทั่งเข้าพระนิพพาน อานิสงส์นั้นก็ยังไม่หมด นี่เป็นอำนาจของการถวายสังฆทาน


    การจะทำสังฆทานนั้น จะต้องประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ?


    [​IMG]


    ผู้ถาม : "ดิฉันเคยอ่านเจอในหนังสือที่หลวงพ่อเขียนบอกว่า การถวายสังฆทานควรมี พระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร และอาหาร อันนี้จำเป็นจะต้องมีครบ ตามนี้ไหมคะ..?"

    หลวงพ่อ : "ความจริงเราไม่ทำถึงขนาดนี้ก็ได้ การถวายสังฆทาน ในที่บางแห่งใช้เครื่อง 5 เครื่อง 8 น่ะเป็นการสร้างขึ้น เรามีข้าวเพียงช้อนหนึ่ง แกงเพียงช้อนหนึ่ง น้ำเพียงช้อนหนึ่งแล้วถวายไป บอกว่า เป็นสังฆทาน เพียงเท่านี้ก็ใช้ได้ แต่ว่าที่เขียนไว้ในหนังสือว่าควรทำแบบนี้เพราะว่า ผีกี่ร้อยกี่พันรายก็ตามมาขอกันแบบนี้เรื่อย คือขอเหมือนกัน ที่ฉัน แนะนำเขาตามที่ผีเขาขอนะ เลยถามเขาว่า "ผลจะได้แก่พวกเอ็งเป็นยังไง..?" เขาบอกว่า

    1. ถวายพระพุทธรูปเป็นของสงฆ์ อานิสงส์ก็คือถ้าเป็นเทวดามีรัศมีกายสว่างไสวมาก เพราะว่าเทวดาหรือพรหม เขาไม่ดูกันที่เครื่องแต่งตัว เขาดูแสงสว่างจากกาย
    2. ผ้าไตรจีวร หรือผ้าสักผืนหนึ่ง เขาจะได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์ เครื่องแต่งตัวทิพย์
    3. อาหารหรือของกิน จะทำให้มีร่างกายเป็นทิพย์"



    วิธีการทำสังฆทานอย่างง่ายๆ

    การทำบุญใส่บาตรเป็นสังฆทาน



    [​IMG]


    ผู้ถาม : "การที่เราทำบุญใส่บาตรตามหน้าบ้านกับพระที่เรารู้จักตามวัด แล้วไปทำที่วัด อันไหนจะมีอานิสงส์มากกว่ากันเจ้าคะ.?"

    หลวงพ่อ : "คือว่าการใส่บาตรตามหน้าบ้านไม่เฉพาะเจาะจง พระอะไรมาก็ใส่ อย่างนี้ก็เป็นสังฆทาน ทีนี้ไปใส่บาตรตามที่พระชอบ ใช่ไหม..?"

    ผู้ถาม : "ไม่ใช่ชอบค่ะ คือว่าศรัทธาค่ะ"

    หลวงพ่อ : "ชอบกับศรัทธาก็ครือ ๆ กันละ ถ้าศรัทธาฉันตั้งแต่ 4 องค์ขึ้นไป เป็นสังฆทานมีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ถ้าหากท่านฉันตั้งแต่ 1 องค์ ถึง 3 องค์ อย่างนี้เป็น "ปาฏิปุคคลิกทาน""

    ผู้ถาม : "มีอานิสงส์มากไหมคะ..?"

    หลวงพ่อ : "มีโยม ถ้าเป็นปาฏิปุคคลิกทาน ถ้าวัดกันตามลาดับแย่นะ ไล่เบี้ยตั้งแต่ให้ทานกับคนไม่มีศีล จนถึงพระอรหันต์มีอานิสงส์ไม่เท่ากัน แต่จะพูดสรุปโดยย่อว่า

    ถวายทานกับพระอรหันต์ 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานกับพระพุทธเจ้า 1 ครั้ง
    ถวายทานกับพระพุทธเจ้า 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน 1 ครั้ง
    และ ถ้าถวายสังฆทาน 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายวิหารทาน 1 ครั้ง คือ สร้างวิหาร มีการก่อสร้าง เช่น สร้างส้วม ศาลาการเปรียญ กุฏิ โบสถ์ วิหาร เป็นต้น"


    ผู้ถาม : "แล้วอย่างการใส่บาตรโดยเราลงมือใส่เอง กับให้ลูกจ้าง คือ เด็กของเราใส่แทน อย่างไหนจะได้บุญมากกว่าคะ..?"

    หลวงพ่อ : "เราไปไม่ได้แต่ให้คนอื่นไป ได้บุญเท่ากัน แต่เราใส่เอง เราเกิดความปลื้มใจอันนี้ได้กำไรอีกนิด แต่ผลของทานมันเสมอกัน"

    ผู้ถาม : "เวลาเราใส่บาตรไปแล้ว ถ้าหากว่าพระไม่ได้ฉันอาหารของเรา เราจะได้บุญไหมคะ..?"

    หลวงพ่อ : "บุญมันเริ่มได้ตั้งแต่คิดว่าจะให้แล้วนะ พระจะฉันหรือไม่ฉัน ไม่ใช่ของแปลก คือการให้ทาน ตัวให้นี่มันตัดความโลภ และตัวให้นี่กันความจนในชาติหน้า อันดับรองลงมาก็ "ทานัง สัคคโส ปาณัง" ทานเป็นบันไดให้เกิดในสวรรค์

    ทีนี้พอเราเริ่มให้ปั๊บ มันเริ่มได้ตั้งแต่เราตั้งใจ การตั้งใจน่ะ มันตัดสินใจเด็ดขาดแล้วนะ เช่น คิดว่าพรุ่งนี้จะใส่บาตรข้าวขันนี้ เราไม่กินแน่นอน คิดว่าเราจะไม่กินเอง ตั้งแต่วันนี้คิดว่าจะใส่บาตร นี่บุญมันเกิดตั้งแต่เวลานี้

    แต่พอถึง พรุ่งนี้ต้องใส่จริง ๆ นะ อย่านึกโกหกพระ ไม่ได้นะ ไม่ใช่แกล้งนึกทุกวัน ๆ คิดว่านึกได้บุญ เลยไม่ได้ใส่บาตรสักที นี่ดีไม่ดีฉันพูดไปพูดมาเสียท่าเขานะ แต่คิดว่าจะทำจริง ๆนะ คือพรุ่งนี้จะใส่บาตรแน่ ๆ แต่ว่าวันนี้เกิดตายก่อน นี่ได้รับ 100 เปอร์เซ็นต์เลย ก็อย่างที่พระพุทธเจ้าบอกนั่นแหละ “เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ" "ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าตัวตั้งใจเป็นตัวบุญ"

    พระพุทธเจ้าบอกว่า มันมีผลตั้งแต่การตั้งใจเริ่มสละออก พอคิดว่าเริ่มจะทำ อารมณ์มันตัดตั้งแต่ตรงนั้นแล้ว ถือว่าไม่ได้เป็นของเราแล้ว มันได้ตั้งแต่ตอนนั้น"



    เห็นพระบางองค์ดูลักษณะไม่สำรวม ถ้าเราไม่ใส่บาตรพระแบบนี้เราจะเป็นบาปไหม..?


    [​IMG]


    ผู้ถาม : "เห็นพระบางองค์ดูลักษณะไม่สำรวม ท่านวนเวียนคอยรับบาตรบ้านคนโน้นคนนี้แล้วก็ถ่ายใส่ถัง ถ้าเราไม่ใส่บาตรพระแบบนี้เราจะเป็นบาปไหมคะ..?"

    หลวงพ่อ : "บาป เขาแปลว่า ชั่ว บุญ เขาแปลว่า ดี ถ้าเราไม่ใส่ก็ไม่ชั่วตรงไหนนี่ เพราะว่ามันเป็นทรัพย์สินของเรา ถ้าเราให้เขา เขาแสดงอาการไม่เป็นที่เลื่อมใส เราไม่ให้ก็ไม่เห็นจะแปลก เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า การให้ทานก็จะต้องเลือกให้เหมือนกัน เพราะผู้รับถือว่าเป็น เนื้อนาบุญ

    ถ้าหว่านพืชลงไปในนาลุ่มน้ำก็ท่วมตาย ถ้าดอนเกินไปน้าไม่ถึงก็ตาย ต้องหว่านในเนื้อนาที่เหมาะสม ถ้าเราเห็นนามันไม่ควร เราก็ไม่ให้ ทำไม่เหมาะไม่สม ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ถ้าให้ก็เป็นการเลี้ยงโจร

    แต่ว่าถ้าพูดถึงทาน การให้ เจตนาเราจะตั้งอย่างไรก็ตาม ตัวนี้มันเป็นผลตัดโลภะอยู่ตลอดเวลา ส่วนใหญ่จริง ๆ ที่มีอานิสงส์สูงสุด คือ ตัดโลภะ ความโลภ เพราะคนที่มีความโลภนี้ ให้ทานไม่ได้ เงินที่จะให้ทานนี้มันตัดความสุขของเจ้าของ หากว่าเจ้าของเขาไม่ให้ เขากินเขาใช้ก็มีความสุข เขาอุตส่าห์ตัดความสุขของเขาส่วนนี้ออกไป เป็นการตัดโลภะ ความโลภ เป็นก้าวหนึ่ง ที่จะถึงพระนิพพาน อันนี้เขาไม่ต่ำ มันเป็น จาคานุสสติกรรมฐาน

    จาคานุสสติกรรมฐานนี่ไม่ต้องไปภาวนา จิตคิดว่าจะให้ทานทุกวัน ๆ นี่นะ จิตคิดว่าถึงเวลานั้นเราจะใส่บาตร มากหรือน้อยก็ตาม อันนี้เป็น จาคานุสสติกรรมฐาน และการใส่บาตรหน้าบ้าน เขาถือว่าเป็นสังฆทาน ถ้าพระองค์ไหนมีจริยาไม่สมควร เราไม่ให้มันก็ไม่แปลก การถวายสังฆทานมันก็มีผล สำหรับพระผู้รับ ถ้าผู้รับไม่ดีก็ลงอเวจีไปเอง"



    อาหารที่กินค้างไว้ ใส่บาตรได้หรือไม่ ?


    [​IMG]


    ผู้ถาม : "หลวงพ่อครับ ใส่บาตรตอนเช้าบังเอิญหากับข้าวไม่ทัน เอาปลาเค็มที่กินค้างเมื่อวานนี้ ใส่ไป เพราะความจำเป็นอย่างนี้มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าครับ..?"

    หลวงพ่อ : "มีแน่ เป็นผลร้ายแรงมาก"

    ผู้ถาม : "ขนาดไหนครับหลวงพ่อ..?"

    หลวงพ่อ : "ตายแล้วเป็นเทวดา นี่เป็นจริง ๆ นะ"

    ผู้ถาม : "ก็นี่เขากินเหลือนี่ครับ"

    หลวงพ่อ : "เดี๋ยวก่อน..เคยอ่านเจอในพระไตรปิฎกไหม ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปในที่แห่งหนึ่ง เวลานั้นสายเกินไป เลยเวลาอาหารตอนเช้าใช่ไหม พร้อมกับพระสงฆ์ ก็มีพราหมณ์คนหนึ่งบอกว่า "อาหารของข้าพเจ้ามี แต่เวลานี้มันเป็นเดนเสียแล้ว การถวายพระพุทธเจ้าพร้อมไปด้วยพระสงฆ์เกรงจะเป็นบาป" พระพุทธเจ้าถามว่า "เธอคิดว่าเป็นเดนน่ะ เธอตักกินในหม้อหรือเปล่า" เขา บอกว่าเปล่า เขาตักออกมาใส่ถ้วยแล้วกิน พระพุทธเจ้าบอกว่า "อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นเดน ถวายพระสงฆ์หรือพระพุทธเจ้าก็ดี จะมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบ" แล้วท่านก็ตรัสต่อไป "ถึงแม้ว่า อาหารจะเป็นเดน คือ กินในถ้วยนั้นแล้ว แต่ถ้าพระท่านหิว ถ้าเอาไปถวาย ก็มีอานิสงส์สมบูรณ์แบบเหมือนกัน ไม่มีโทษมีแต่คุณ"


    อยากจะทำบุญใส่บาตร แต่คิดว่าของที่จะใส่บาตรทำบุญมันไม่ดี


    [​IMG]


    ผู้ถาม : "กระผมอยากจะทำบุญใส่บาตรเหมือนกันครับ แต่คิดว่าของที่จะใส่บาตรทำบุญมันไม่ดี ก็เลยอายไม่อยากใส่ กะไว้ว่าถ้ามีอาหารดีเมื่อไรจะใส่บาตร ผมคิดอย่างนี้ถูกไหมครับ ..?"

    หลวงพ่อ : "การทำบุญทำไมจะต้องอาย เคยมีนักเทศน์เขาถามกันว่า "มียายกับตา 2 คน แกหุงข้าวแฉะแล้วแฉะอีก ไอ้แกงก็เปรี้ยวแล้วเปรี้ยวอีก แกกินไม่ลง ของมันกินไม่ได้ เวลาพระมาบิณฑบาตแกก็บอกใส่บาตรดีกว่า พระนักเทศน์เขาก็ถามกันว่า "อย่างนี้จะได้อานิสงส์ไหม.." ก็ต้องตอบว่า "ได้อานิสงส์ แต่ผลที่เขาจะได้รับก็เป็นทาสทาน"

    ผู้ถาม : ทาสทานเป็นยังไงคับ...?

    หลวงพ่อ : "คำว่า ทาสทาน หมายความว่า ให้ของเลวกว่าที่เรากินเราใช้ เวลาที่เราใช้สอย มันก็ต้องเลวกว่าที่เขากินเขาใช้กัน ได้ก็ได้ของเลว

    ถ้าให้ของเสมอที่เรากินอยู่ หรือที่เราใช้อยู่ เขาเรียกว่า สหายทาน ผลที่เราจะได้รับ ก็เสมอกับที่เรากินเราใช้

    ถ้า ให้ของที่ดีกว่าที่เรากินเราใช้ เขาเรียกว่า สามีทาน สามีทานเขาไม่ได้แปลว่า ผัวทานนะ สามี เขาแปลว่า นาย เวลาที่จะได้รับผลเราก็จะได้ของเลิศ


    ถ้าจะถามว่า ทาสทานมีอานิสงส์ไหม ก็ต้องดูตัวอย่าง ท่านอาฬวีเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์ 80 โกฏิ พระราชาตั้งเป็นมหาเศรษฐี แต่ว่าผ้าที่แกนุ่งนี่ ผ้าใหม่แกนุ่งไม่ได้ นุ่งผ้าช้าแล้ว ใกล้จะขาดแกจึงนุ่งได้ ข้าวที่จะกินเม็ดสวย ๆ ก็กินไม่ได้ต้องเป็นข้าวหัก หรือปลายข้าวแกจึงจะกินได้ ของทุกอย่างที่แกใช้ต้องเป็นของเลว แต่อย่าลืมว่าเขาก็เป็นมหาเศรษฐีได้นะ"

    หลวงพ่อปรารภเพิ่มเติมว่า

    หลวงพ่อ : "การตั้งใจว่าจะใส่บาตรด้วยของดี ๆ น่ะดี แต่ว่าวันไหนมีอาหารที่เราคิดว่าไม่ดีก็ใส่บาตรได้ การ ให้ทาน พระพุทธเจ้าบอกว่า อย่าให้เบียดเบียนตัวเอง ถ้าเบียดเบียนตัวเองเป็น อัตตกิลมถานุโยค เป็นการทรมานตัว"



    การใส่บาตรให้มีอานิสงค์สูง ต้องอย่างไร ?


    [​IMG]


    หลวงพ่อ : การให้ทานพระพุทธเจ้าให้ดูว่า ควรให้หรือไม่ควรให้ ถ้าให้ในเขตของคนเลวอานิสงส์ก็น้อย อาจจะไม่มีเลย รู้ว่าคนนี้ควรจะให้เราก็ให้ ถ้าไม่ควรให้เราก็ไม่ให้ ให้แล้วไปกินเหล้าเมายา ไปสร้าง อันตรายกับคนอื่น เราไม่ให้ดีกว่าเป็นการต่อเท้าโจร ให้พลังแก่โจร เวลาจะให้ท่านวางกฎไว้ดังนี้

    1.ผู้ให้บริสุทธิ์ บริสุทธิ์หรือไม่เขาจึงให้สมาทานศีลก่อน ถ้าสักแต่ว่าสมาทานนี่ซวย เวลานั้นต้องตั้งใจรักษาศีลจริง ๆ จิตตอนนั้นมันจึงจะบริสุทธิ์ คืออยู่ในช่วงว่างจากกิเลส ถ้าตั้งใจสมาทานศีลด้วยดี จิตตอนนั้นบริสุทธิ์

    2.ผู้รับบริสุทธิ์ หมายความว่า ถ้าผู้รับเป็นพระ ก็พยายามให้เป็นพระจริงๆนะ ถ้าถวายสังฆทานนี่ไม่ต้องห่วง ผู้รับบริสุทธิ์แน่ พระองค์ไหนถ้าไม่บริสุทธิ์ กินแล้วตกนรก

    3.วัตถุทานบริสุทธิ์ ถ้าไม่ได้ฆ่าสัตว์เอามาทำบุญ ไม่ได้ขโมยสตางค์เขามาทำบุญ เป็นของที่เราหามาได้โดยชอบธรรม

    อย่างนี้ของดีก็ตาม ของเลวก็ตามมีอานิสงส์มาก อานิสงส์คือความดี ความชื่นใจมาก ถ้าผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ วัตถุทานไม่บริสุทธิ์ ความดีก็ลดน้อยลง แต่ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับไม่บริสุทธิ์ วัตถุทานไม่บริสุทธิ์ ให้บาทหนึ่ง จะได้สักสตางค์หรือเปล่าก็ไม่รู้ รวมความว่า ต้องบริสุทธิ์ 3 อย่าง ถ้าลดไปอย่างใดอย่างหนึ่งอานิสงส์ก็ลดตัวลงมา ถ้าลดเสียหมดเลยก็ไม่มี"



    หลวงพ่อ : "และการให้ทาน พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อีกประเภทหนึ่ง ต้องให้ครบ 3 กาล จึงจะมีอานิสงส์สูง คือ

    1. ก่อนที่จะให้ก็ตั้งใจว่าจะให้
    2. ขณะที่ให้ก็ดีใจ
    3. เมื่อให้แล้ว ก็เกิดความเลื่อมใส


    มี เรื่องเล่าว่า ในสมัยหนึ่ง เมื่อท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี จนลง ขนาดข้าวเป็นเม็ดแทบไม่มีกิน ต้องกินปลายข้าว แต่ว่าศรัทธาของท่านยังไม่ถอย ท่านนิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมไปด้วยพระสงฆ์ไปฉันภัตตาหารที่บ้าน ท่านก็เอาปลายข้าวละเอียด เรียกว่า ข้าวปลายเกวียนต้ม แล้วก็เอาน้าผักดองเปรี้ยว ๆ เค็ม ๆ ทำเป็นกับมาถวายพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลพระพุทธเจ้า

    "เวลานี้ทานของข้าพระพุทธเจ้าเศร้าหมอง พระพุทธเจ้าข้า"

    พระพุทธเจ้าถามว่า "เธอมีเจตนาในการถวายทานมีความรู้สึกอย่างไร..?"

    ท่านบอกว่า "ก่อนจะให้เต็มใจพร้อมเสมอ ในขณะที่ให้ก็ปลื้มใจ เมื่อให้แล้วก็เกิดความเลื่อมใส ดีใจว่าให้แล้ว พระพุทธเจ้าข้า"


    พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า "ดูก่อน มหาเศรษฐี สุขัง วา ปะณีตัง วา" หมายความว่า ถ้าคนให้ทานมีเจตนาพร้อมเพรียงทั้ง 3 กาลอย่างนี้ ของดีก็ตาม ของเลวก็ตาม ย่อมมีอานิสงส์เลิศ มีอานิสงส์สูง แต่ที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีท่านทำนั้น ท่านถวายพระพุทธเจ้า และพระที่ฉันก็เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด นับเป็นยอดของทาน

    ถ้า หากว่าเราไม่รู้จะเลือกยังไง องค์นี้จะเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์หรือเปล่า หรือเป็นพระโปเก พระเชียงกง ถ้าเราไม่รู้ก็ถวายเป็นสังฆทานเลย เพราะสังฆทานอานิสงส์สูงมาก รองจากวิหารทาน"



    "การถวายสังฆทาน 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายวิหารทาน 1 ครั้ง"


    [​IMG]


    "การถวายสังฆทาน 100 ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายวิหารทาน 1 ครั้ง คือ สร้างวิหาร มีการก่อสร้าง เช่น สร้างส้วม ศาลาการเปรียญ กุฏิ โบสถ์ วิหาร เป็นต้น"

    ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ แล้วอย่างทำบุญแค่เพียงเล็กน้อย เช่น การสร้างโบสถ์นี่นะคะ คือไม่ได้ทำทั้งหลัง ค่ะ ทำเฉพาะประตูไม้ เขามาเรี่ยไรก็ร่วมทำบุญไปกับเขาค่ะ อย่างนี้บุญคงน้อยกว่าการทำบุญทั้งหลังใช่ไหมคะ..?"

    หลวงพ่อ : "ถ้าเราทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างกุฏิ สร้างศาลา ทั้งหมดนี่เราไม่ได้ทำเต็มหลัง คือราคาไม่เต็มหลังแต่ว่าไม่ใช่เราได้นิดเดียวนะ เราก็ได้เต็มหลัง วิมานจะปรากฏเลย ถ้าเราได้มโนมยิทธิจะสามารถไปเที่ยวดูได้"

    ผู้ถาม : "รู้สึกว่า สมบัติที่เราทำไปมันน้อย ก็คิดว่าบุญคงได้น้อยค่ะ"

    หลวงพ่อ : "สมบัติมันเล็กน้อยก็จริง แต่ว่าอานิสงส์มันไม่เล็กน้อย ก็แบบซื้อลอตเตอรี่ใบเดียวถูกรางวัลที่หนึ่งน่ะ อย่างทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างอาคาร สร้างส้วม เขาเรียกว่า วิหารทาน อันนี้จัดเป็นบุญสูงสุด ตัวอย่างตอนที่พระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็น มฆมานพ ท่านกับเพื่อนอีก 32 คน ช่วยกันทำศาลาหลังหนึ่งไว้เป็นที่พักของคนเดินทาง มีช้างสาหรับลากไม้หนึ่งเชือก มีนายช่างหนึ่งคนเวลาตายไปแล้ว ท่ามฆมานพก็ไปเป็นพระอินทร์ เพื่อนอีก 32 คนก็ไปเทวดา มีวิมานคนละหลัง นายช่างไปเป็น วิษณุกรรมเทพบุตร ช้างที่ลากไม้เป็น เอราวัณเทพบุตร มีวิมานคนละหลัง นี่เป็นเรื่องอานิสงส์นะ"


    ธรรมทานมีอานิสงค์สูงกว่าวิหารทาน


    [​IMG][​IMG]


    ผู้ถาม : "หลวงพ่อครับ กุศลชนิดใดที่มีอานิสงส์มากกว่าวิหารทานบ้างครับ..?"

    หลวงพ่อ : "สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ" การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง ให้ธรรมทานซิคุณ หนังสือเรียนของเด็ก หนังสือเรียน ของผู้ใหญ่ หนังสือเรียนของพระ หนังสือธรรมะต่าง ๆ ดูตัวอย่าง พระสารีบุตร ให้ปัญญากับประชาชนทั้งหลาย เพราะอานิสงส์ได้เคยสร้างพระธรรมซึ่งเป็นถ้อยคำที่มีประโยชน์ถวายพระพุทธเจ้า เกิดมาชาติหลังสุดเป็นพระที่มีปัญญามาก

    อย่างเงินที่เขาถวายฉัน ไว้นี่ พอกลับไปถึงวัดก็เรียบร้อย เลี้ยงอาหารพระบ้าง ค่ากระแสไฟฟ้าบ้าง ค่าก่อสร้างบ้างโดยเฉพาะเทปคาสเซทที่ขายม้วนละ 25 บาท ถ้าเอาทุนจริง ๆ แล้วมันไม่พอ รวมความว่า ที่ท่านตั้งใจนี่มีผล 4 อย่าง

    1. สร้างพระพุทธรูป
    2. วิหารทาน
    3. สังฆทาน
    4. ธรรมทาน

    ทั้งหมดนี้ใช้ทุนไม่ต้องมากก็ได้ เอาสัก 50 สตางค์ เป็นอันว่าการทำบุญเอาแค่พอควรนะ แต่ให้มันเป็นบุญใหญ่ เขามุ่งแบบนั้นนะ คือเราเอาไปผสมกับเขาก็แล้วกัน ไม่ต้องสร้างทั้งหลัง"


    ผู้ถาม : "กระผมสงสัยเรื่องการทำบุญ บางคนก็ทำช้า บางคนก็ทำไว อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า การทำบุญช้าบ้าง เร็วบ้าง ยืดยาดบ้าง อานิสงส์จะต่างกันหรือไม่ขอรับ..?"

    หลวงพ่อ : "ต่างกัน คือได้ช้า ได้เร็ว ก็เหมือน ท่านจูเฬกสาฎก ท่านฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า ตั้งใจถวายทานตั้งแต่ยามต้น และยามที่ 2 จิตเป็นห่วงยาย ที่บ้านไม่มีโอกาสจะฟังเทศน์เพราะไม่มีผ้าห่ม พอยามที่ 3 ใกล้สว่าง จึงตัดสินใจถวายแล้วประกาศว่า "ชิตัง เม ชิตัง เม" พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ยินก็ทราบว่า ชนะความตระหนี่ จึงนำผ้าสาฎกและทรัพย์สินต่าง ๆ มาให้มีฐานะเป็นคหบดีคนหนึ่ง ต่อมาพระพุทธเจ้าตรัสว่า "ถ้าพราหมณ์นี้ถวายในยามต้นจะได้เป็น มหาเศรษฐี ถ้าถวายยามที่ 2 จะได้เป็นอนุเศรษฐี ยามที่ 3 จะได้เป็นคหบดีใหญ่ ที่ได้น้อยเพราะถวายช้าเกินไป" พระองค์จึงตรัสว่า การบำเพ็ญกุศลผลความดีในศาสนาของเรานี้จงอย่าให้เนิ่นช้า ต้อง "ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง" คือ เร็ว ๆ ไว ๆ"


    การทำสังฆทาน วิหารทาน และธรรมทานแบบง่ายๆ สำหรับผู้ที่มีสตางค์น้อย


    [​IMG]


    ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ ถวายสังฆทานให้พระองค์เดียวได้ไหมคะ.?"

    หลวงพ่อ : "ได้ แต่พระไปกินองค์เดียวพระองค์นั้นลงนรก นี่เรื่องจริงนะ อย่างฉันรับนี่ฉันรับองค์เดียว แต่ว่าองค์เดียวนี่ถือว่าเป็นผู้แทนคณะสงฆ์นะ อย่าไปกินไปใช้แต่ผู้เดียวนี่ไม่ได้ ของเขาย่อมมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบ พระองค์เดียวหรือพระ 3 องค์ ถือว่าเป็นตัวแทนสงฆ์ พระ 3 องค์ก็แบ่งไปใช้แค่ 3 องค์ไม่ได้ จะต้องไปรวมทั้งคณะ คาว่า สังฆทาน สังฆะ เขาแปลว่า หมู่"

    ผู้ถาม : "ลูกเป็นคนยากจนมีเงินน้อย อยากจะได้อานิสงส์มาก ๆ จะทำบุญอย่างไรดีคะ...?"

    หลวงพ่อ : " คืออานิสงส์จริง ๆ ต้องทำบุญให้มากที่สุดเท่าที่จะพึงทำได้ สมมุติว่าเรามีเงินอยู่ 10 บาท จะไปมาที่นี่เสียค่ารถ 6 บาท กินก๋วยเตี๋ยว 3 บาท ได้ครึ่งชามแล้ว หมดไป 9 บาท เหลือ 1 บาท เขียนที่หน้าซองเลยว่า เงินนี้ถวายสังฆทาน วิหารทาน และ ธรรมทาน อันนี้อานิสงส์มากเหลือเกิน จำนวนเงินเขาไม่จำกัด เขาจำกัดกำลังใจ ถ้ากำลังใจมุ่งด้านดีนะ

    การทำบุญ มาก ๆ คำว่า "ทำมาก" หมายความว่า ทำบ่อย ๆ แต่คำว่า "บ่อย" ไม่ต้องทุกวันก็ได้นะ คำว่า "มาก" หมายความว่า ทำเต็มกำลังที่พึงทำ ไม่ใช่ขนเงินมามาก เวลาทำบุญ ต้องดูก่อนว่า ค่าใช้จ่ายเรามีความจำเป็นเพียงไร ไอ้เงินที่มีความจำเป็นอย่านำมาทำบุญ มันจะเดือดร้อนภายหลัง และให้เหลือส่วนนั้นไว้บ้าง แล้วแบ่งทำบุญพอสมควร


    และ ประการที่ 2 การทำบุญถ้าใช้วัตถุมาก แต่กำลังใจน้อยก็มีอานิสงส์น้อย ถ้าหากใช้วัตถุน้อยกำลังใจมีมากก็มีอานิสงส์มาก อย่างถวายสังฆทานที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทนำมานี่ ลงทุนไม่มาก แต่อานิสงส์มหาศาล

    ความจริง ถ้าจะพูดถึงอานิสงส์กันจริง ๆ ละก็ รู้สึกว่าจะมากกว่าจัดงานที่บ้านหรือที่วัดตั้งเยอะแยะ ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าถวายสังฆทานเราทำกันแบบเงียบ ๆ ไม่มีกังวล การบำเพ็ญกุศลแต่ละคราว ถ้ามีกังวลมาก อานิสงส์มันก็น้อย เพราะว่าจิตที่เราเข้าสู่กุศล มันห่วงงานอื่นมากกว่า ไม่ตั้งจิตโดยเฉพาะ



    จาก หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม 1 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2014
  9. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    ถ้าไม่มีเงินทำทานเลยจะทำอย่างไรดี ?

    ถ้าไม่มีเงินทำทานเลยจะทำอย่างไรดี ?

    (ปัตตานุโมทนามัย กับ ไวยาวัจจมัย)



    [​IMG]


    ผู้ถาม : มี คนฝากให้มาถามหลวงพ่อว่า พ่อแม่ไม่ค่อยทำบุญแต่เป็นคนดี คนซื่อ ถ้าบุตรหลานทำให้แล้วจะใส่ชื่อเขาด้วย อยากทราบว่า ท่านจะได้หรือไม่ครับ

    หลวงพ่อ :เขา โมทนาด้วยหรือเปล่า ถ้าลูกไปบอกว่า "พ่อ(หรือแม่) ฉันทำบุญให้แล้ว ถ้าท่านยินดีด้วย ท่านได้แน่นอน ถ้าบอก กูไม่รู้โว้ย ด่าตะเพิด อันนี้ไม่ได้แน่

    ผู้ถาม : อย่างเวลาเลิกพระกรรมฐานแล้ว ก็มีคนไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ แต่หนูไม่มีของก็ยกมืออนุโมทนาด้วย อย่างนี้จะมีอานิสงส์ไหมคะ...?

    หลวงพ่อ : อานิสงส์ที่จะพึงได้ก็คือ ปัตตานุโมทนามัย เป็นผลกำไรจากการเจริญพระกรรมฐานไม่ ต้องลงทุน ถ้าตั้งใจจริงถึง ๙๐ เปอร์เซ็นต์ เจ้าของได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เราได้ครั้งละ ๙๐ ผ่านไป ๑๐ คนเราได้ ๙๐๐ มากกว่าเจ้าของ เอ้า! เยอะจริงๆ มันทำบารมีให้เต็มเร็ว เร็วมาก

    การโมทนา เขาแปลว่า ยินดีด้วย ต้องยินดีด้วยความจริงใจนะ สักแต่ว่า สาธุ มันไม่ได้อะไร คาว่า "สาธุ" ไม่จำเป็นต้องออกเสียง ไม่จำเป็นต้องยกมือไหว้ก็ได้ เอาใจยินดีใช้ได้เลย และการแสดงความยินดีมันก็คือ มุทิตา เป็นตัวหนึ่งใน พรหมวิหาร ๔ นี่บุญตัวใหญ่ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า "จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา" ถ้าก่อนตายจิตผ่องใส ก็ไปสู่สุคติ หมายถึง สวรรค์ ก็ได้ พรหมก็ได้ นิพพานก็ได้ สุดแล้วแต่กำลังใจเรา

    และการโมทนานี่ทำให้ชุ่มชื่นใจ ใช่ไหม....เขาทำดีเรายินดีด้วย ยินดีกับความดีของเขา ไม่ช้าเราก็ดีตามเขา เพราะเราเห็นเขาดี เราก็ชอบดีไหม... แต่อย่าไปชอบดีเฉยๆ นะ ต้องทำดีด้วยนะ ทำบุญด้วยตนเองบ้าง


    ผู้ถาม : หลวงพ่อครับปัตตานุโมทนามัย กับ ไวยาวัจจมัย นี่เหมือนกันไหมครับ....?

    หลวงพ่อ :ไวยาวัจจมัย เขาแปลว่าขวนขวายในกิจการงาน เช่น เขาส่งสตางค์มาทำบุญ เราช่วยส่งต่อ ก็พลอยได้บุญไปด้วย มีอานิสงส์ต่ำกว่าบวชเณร ไม่เบานะ แต่ปัตตานุโมทนามัย ไม่ต้องลงทุน แต่พวกถือมานี่ยังต้องออกแรงนะ พวกโมทนานี่ไม่ต้องออกแรงเลย ก็เป็นปัตตานุโมทนามัย แต่อย่าลืมนะ เอาแต่โมทนาอย่างเดียวไม่ดีนะต้องอาศัยคนต้นตลอด ถ้าไม่ได้อาศัยคนต้นจริง ๆ จะสำเร็จมรรคผลไม่ได้ เช่นเดียวกับพระนางพิมพาต้องอาศัยพระพุทธเจ้าตลอด

    จาก หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม 1 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


    ดังนั้น ทุกท่านอย่าลืมโมทนาบุญกันนะคะ แม้ว่าเราจะไม่มีสตางค์ทำบุญหรือว่าทำบุญเสร็จแล้ว เราก็สามารถเอาใจไปยินดีกับการทำบุญของคนรอบๆตัวเราได้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน การรักษาศีล การสวดมนต์ หรือการทำสมาธิภาวนา เป็นต้น และถ้าเกิดมีอะไรที่พอจะช่วยได้ในการทำบุญนั้นๆ ก็ให้ตั้งใจเข้าไปช่วยเหลือด้วยความเต็มใจอย่างเต็มที่ จะได้ถือโอกาสทำบุญที่มีอานิสงค์เป็นอย่างยิ่ง(ต่ำกว่าบวชเณรหน่อยนึง)ที่เรียกว่าไวยาวัจจมัย(ขวนขวายในกิจการงาน)กันค่ะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 สิงหาคม 2014
  10. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    วิธีป้องกันการตกนรกแบบง่ายๆ สำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย

    ท่านสาธุชนคนที่มีเวลาน้อย เพราะต้องประกอบอาชีพ ถ้าจะหาเวลาไปนั่งกรรมฐานก็ทำได้ยาก เพราะเวลาว่างมีน้อย ให้ทำตามนี้จะมีผลสมบูรณ์แน่นอน และไม่เสียเวลาประกอบการงาน ตายแล้วรับรองไม่ลงนรกแน่

    เจริญพุทธานุสสติแบบง่ายๆ

    ให้จัดของบูชาพระพุทธรูปทุกวัน ที่ท่านเรียกว่า ถวายข้าวพระพุทธรูป ของที่ถวายก็ไม่จำเป็นต้องหามาเป็นพิเศษ เอาอาหารเท่าที่มีอยู่ หรือผลไม้ที่หาได้ง่ายเวลาเช้าหรือตอนสายก็ได้ ให้นำของที่หาได้ถวายพระพุทธรูปที่บ้าน ทำเป็นประจำเวลาถวายคิดในใจหรือว่าออกเสียงก็ได้ดังนี้


    [​IMG]


    "ข้าพระพุทธเจ้า ขอถวาย ข้าว แกง และน้ำ แด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเป็นการบูชาพระคุณ ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพระพุทธเจ้าได้เข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด"

    เวลาถวายให้ตั้งใจดูภาพพระพุทธรูปด้วยความเคารพ และจดจำรูปของท่านไว้ ตั้งใจทำอย่างนี้ทุกวัน อารมณ์ใจจะมีความคิดถึงและห่วงใยในพระพุทธรูป จะคิดเสมอว่า วันนี้เรามีของอย่างนี้ถวายท่าน วันพรุ่งนี้เราจะหาอะไรถวายท่าน การทำและคิดอย่างนี้เป็นปกติ ไม่จำเป็นต้องคิดทุกวัน เมื่อจิตมีอารมณ์ว่างจากงานอื่น จิตจะคิดขึ้นมาเอง และเราก็ห่วงการถวายของแก่ท่านทุกวัน การทำอย่างนี้จนมีอารมณ์ชิน ถึงเวลาทนทอดทิ้งไม่ไหว ต้องหาของเท่าที่จะพึงหาได้ถวายท่าน อารมณ์ใจอย่างนี้ท่านเรียกว่า มีฌานในพุทธานุสสติกรรมฐาน เป็นมหากุศลใหญ่ ตายเมื่อไรไปสวรรค์เมื่อนั้น


    เจริญธัมมานุสสติแบบง่ายๆ


    [​IMG]


    ท่านให้ทำดังนี้ ตั้งใจบูชาพระ และสวดมนต์เป็นประจำเวลา วันละหนึ่งหรือสองครั้ง หรือกี่ครั้งก็ได้ กำหนดเวลาไว้ ถ้าถึงเวลานั้นต้องบูชาพระและสวดมนต์ การสวดมนต์ไม่ต้องสวดมาก ขอให้สวดตามที่จะพึงทำได้ เช่น อิติปิโส ฯลฯ เป็นต้น เท่านี้ก็มีบุญเหลือหลายแล้ว เพราะบท อิติปิโสฯ พรรณาความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ครบถ้วน หรือถ้าสวดมนต์ไม่ได้เลย ก็บูชาแบบสั้นๆ แต่มีผลดีครบถ้วน เช่น ตั้งนโมฯ ๓ จบ แล้วว่า

    "พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ"

    แปลเป็นภาษาไทยว่า "ข้าพเจ้า ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง ขอถึงพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง" เพียงเท่านี้ก็ดี มีอานิสงค์มากมาย

    เวลาบูชา ตั้งใจจำภาพพระพุทธรูป แล้วตั้งใจว่า ตามที่กล่าวมาแล้วด้วยความตั้งใจจริง ทำให้ชิน จะทำเวลาไหนก็ได้ ถ้าเหนื่อย หรืออ่อนเพลียมาก นั่งบูชาไม่ไหว นอนยกมือไหว้แล้วตั้งใจคิดตามที่กล่าวมาแล้ว ถ้าอยู่ในระหว่างการเดินทาง เมื่อถึงเวลาบูชาพระ แล้วก็คิดในใจตามที่ปฏิบัติมา ถ้าทำอย่างนี้เป็นอารมณ์ชิน ถึงเวลาถ้าไม่ได้ทำไม่สบายใจ หรือถ้ามีเทปบันทึกเสียงธรรม เวลานอนฟังเสียงธรรมที่ชอบใจ หรือบันทึกเสียงพระสวดมนต์ไว้ ตั้งใจฟังก่อนหลับเป็นปกติ อารมณ์ใจขนาดนี้ท่านว่า มีฌานในธัมมานุสสติกรรมฐาน บุญใหญ่มาก ตายแล้วลงนรกไม่ได้ เกิดใหม่เป็นคนฉลาด เพราะมีปัญญามาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2014
  11. White Sage

    White Sage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +1,743
    การอธิษฐานเวลาทำบุญ และการอุทิศส่วนกุศลที่ถูกต้อง

    สรุปว่าวิธีการป้องกันการตกนรกอย่างง่ายๆนั้น มีหลายวิธีดังนี้ คือ

    1. การชำระหนี้สงฆ์ อันเป็นการป้องกันกรรมหนักที่จะทำให้เราต้องตกอเวจี และไม่สามารถนึกถึงกรรมดีที่เคยทำมาในขณะใกล้ตาย ซึ่งมีวิธีการง่ายๆ คือ

    วิธีที่ ๑ สมัยหลวงพ่อปาน ท่านจะแนะนำให้คน ชำระหนี้สงฆ์ บาทสองบาทสลึงสองสลึง บางคนไม่มีเงินเอามาทำงานแทน ทำอะไรก็ได้ไม่บังคับ คือ ดายหญ้าก็ตามไม่เอาค่าแรง

    วิธีที่ ๒ ไปร่วมบุญกับหมู่คณะที่สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก 4 ศอกพร้อมทั้งปิดทองทั้งองค์ จะเป็นเงินเพียงบาทหรือสองบาทก็ได้ (ตรงนี้ถ้าหากเขาไม่ได้ระบุว่าเป็นการสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ก็ให้เราอธิษฐานด้วยว่าจะขอชำระหนี้สงฆ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน)


    2. การรักษาศีล อันเป็นการทำบุญ(ความดี)ที่ให้อานิสงค์สูงกว่าการให้ทานทั้งหมด แม้ว่าเราจะรักษาเพียงแค่ ๑ ชม. หรือแค่ข้อใดข้อหนึ่งก็ตาม

    3. การให้ทาน เช่น สังฆทาน(การใส่บาตร) วิหารทาน และธรรมทาน ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำคราวละมากๆ ให้ทำตามกำลังทรัพย์ที่เรามีแต่ได้อานิสงค์สูงสุด คือ

    3.1 เงินหรือสิ่งของที่นำมาทำบุญต้องหามาโดยชอบธรรม ถ้าเรามีเงินน้อยแต่อยากทำบุญให้ได้อานิสงค์มากๆ ก็ให้เขียนที่หน้าซองเลยว่า เงินนี้ถวายสังฆทาน วิหารทาน และธรรมทาน (แม้จะเป็นเงินเพียงแค่ ๕๐ สตางค์ หรือ ๑ บาท ก็ทำได้และมีอานิสงค์ครบถ้วนทุกประการ)

    3.2 ก่อนให้ทานให้ตั้งใจรักษาศีล หรือตั้งใจสมาทานศีล แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆแต่ก็มีอานิสงค์มหาศาล และทำให้ทานนั้นมีอานิสงค์สูงสุด

    3.3 ทำด้วยใจบริสุทธิ์และมีศรัทธาแท้ต่อพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ นับตั้งแต่เราเริ่มคิดจะให้ทาน ในระหว่างที่เรากำลังให้ทาน และหลังจากที่เราให้ทานเสร็จแล้ว


    4. การอนุโมทนาบุญ และการช่วยเหลือในงานบุญ/งานต่างๆในพระศาสนา อันเป็นการได้บุญแบบไม่ต้องใช้สตางค์แต่ได้อานิสงค์มาก ทั้งนี้เพราะ

    - การอนุโมทนาบุญด้วยใจจริงจะทำให้เราได้บุญนั้นด้วยถึง ๙๐ เปอร์เซ็นต์

    - นอกจากนี้ การอนุโมทนาบุญยังถือเป็นบุญใหญ่อีกอย่างหนึ่ง เพราะเป็นการปฏิบัติในพรหมวิหาร ๔ ที่ว่าด้วยมุทิตา อันหมายถึงการยินดีในความดีของบุคคลอื่นด้วยใจจริงนั่นเอง

    - การช่วยเหลือในงานบุญนั้นมีอานิสงค์ต่ำกว่าบวชเณรเพียงเล็กน้อย


    5. การบูชาพระ(พุทธานุสติกรรมฐาน) และสวดมนต์/ฟังธรรม(ธัมมานุสสติกรรมฐาน) อันเป็นการทำความดีที่ให้อานิสงค์สูงสุด เหนือกว่าการให้ทานและการรักษาศีลหลายร้อยหลายพันเท่าโดยไม่ต้องใช้สตางค์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...