วิบากกรรมจากการทำลายและขัดขวางลาภสักการะของพระอรหันต์

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 10 ธันวาคม 2020.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,436
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,022
    ค่าพลัง:
    +70,063
    UzXH7iNvEXFaeAWGmuYX_gKEAYukc3om88x5fJL4Xz6I&_nc_ohc=o4wpkrTLgBQAX-mPjHr&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg

    ."วิบากกรรมจากการทำลายและขัดขวางลาภสักการะของพระอรหันต์ "
    .
    " โลสก คือเรื่องราวหนึ่งที่มีอยู่จริง
    ของพระอรหันต์องค์หนึ่ง นามว่า "โลสกติสสะเถระ" ในยุคพุทธกาล สมัยพระพุทธเจ้าสมณะโคดม
    .
    ประวัติของพระโลสกนั้น
    ค่อนข้างจะมีเรื่องราวที่น่าสนใจทีเดียว
    กล่าวกันว่าโลสกคือพระอรหันต์ผู้ที่อาภัพที่สุด
    เป็นพระอรหันต์ผู้ที่ไม่เคยได้ฉันอาหารอิ่มสักมื้อเดียว
    .
    .
    เพราะอดีตชาติของพระโลสกนั้น
    ได้ทำอกุศลกรรมอันหนักไว้
    นั่นคือ ในอดีตกาล ครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ทรงพระนามว่า "กัสสปะ"
    .
    พระโลสกได้ทำลายและขัดขวาง
    ลาภสัการะของพระภิกษุผู้เคร่งครัด
    ในวัตรปฏิบัติองค์หนึ่ง
    .
    ซึ่งพระภิกษุรูปนั้น แท้จริงแล้ว
    คือ พระบริสุทธิสงฆ์ที่หลุดพ้นแล้ว
    กล่าวคือเป็น "พระอรหันต์" นั่นเอง
    .
    .
    พระโลสกได้ทำลายและขัดขวาง
    ลาภสัการะของพระภิกษุรูปนั้นยังไง
    ได้มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก กล่าวคือ
    .
    .
    ในอดีตชาติของพระโลสกนั้น
    สมัยได้เกิดเป็นภิกษุรูปหนึ่ง
    ปกครองอารามอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง
    .
    .
    ซึ่งสถานที่แห่งนี้ตนเองนั้น
    ได้อยู่มานานกว่าใครและที่ผ่านมา
    ยังไม่มีใครได้เดินทางมาร่วมพำนักด้วย
    ชาวบ้านแถบนั้นก็ได้ทำบุญ
    แต่กับพระโลซกรูปนี้เรื่อยมา
    .
    .
    อยู่มาวันหนึ่ง ได้มีภิกษุรูปหนึ่ง
    ได้รอนแรมมาจากต่างที่ต่างถิ่น
    และมาร่วมพำนักพักอาศัย
    อยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ด้วย
    จากการกราบอาราธานิมนต์ของชาวบ้าน
    .
    .
    ซึ่งพระภิกษุรูปนี้
    ถือเป็นภิกษุผู้เคร่งครัด
    เพียรปฏิบัติตนอย่างดีพร้อมหมดจด จนไร้ข้อติติง
    .
    .
    พระโลสกซึ่งตอนนั้นได้พำนักอยู่ในบริเวณนี้
    อยู่เป็นเวลาช้านาน โดยที่ไม่มีภิกษุรูปใด
    มาร่วมพำนักด้วยด้วย
    .
    ชาวบ้านก็พากันทำบุญแต่กับตน
    ด้วยว่าละแวกนั้นหาได้มีผู้ทรงศีลรูปอื่น
    แต่แล้ววันหนึ่งอยู่ ๆ ได้มีพระผู้ปฏิบัติดี
    ที่เคร่งครัดในวัตรปฏิบัติมาร่วมพำนักพักอาศัยด้วย
    .
    และพระโลสกก็ได้แอบเฝ้าสังเกตุมาโดยตลอด
    ว่าภิกษุผู้ทรงศีลรูปนี้นั้น
    เป็นพระที่เคร่งครัดในข้อปฏิบัติเป็นอย่างมาก
    .
    .
    เมื่อเห็นเช่นนั้น จึงได้มีความคิดขึ้นมาว่า
    เห็นทีในอนาคตหากพระรูปนี้ยังอยู่ต่อไป
    ตัวของเขาเองจะขาดลาภสักการะเป็นแน่แท้
    .
    .
    ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนี้
    จะต้องปันใจศรัทธาและลาภสักการะ
    ไปให้พระรูปนี้อย่างแน่นอน
    .
    ตนจึงได้แต่แอบคิดหาวิธีกำจัด
    ภิกษุผู้ทรงศีลรูปนี้ไปให้พ้นเสียที
    แต่ยังหาโอกาสที่เหมาะสมไม่ได้
    .
    .
    อยู่มาวันหนึ่งได้สบโอกาสที่รอคอยมานาน
    ด้วยว่าวันนั้นมีชาวบ้านคหบดีของหมูบ้านนั้น
    จะจัดงานทำบุญบ้าน
    จึงได้ขอโอกาสอาราธนานิมนต์
    พระโลสก ที่คุ้นเคยกันดี
    .
    รวมถึง ภิกษุผู้ทรงศีลผุ้ปฏิบัติดี
    ที่เพิ่งทราบข่าวว่าได้เดินทางมาพำนักอยู่ ณ สถานที่นี้ด้วย
    ให้เมตตามาที่งานทำบุญพร้อมกัน โดยขอเมตตาให้พระโลสกเป็นผู้ดำเนินการนิมนต์ภิกษุใหม่รูปนี้มาด้วย
    .
    .
    ปรากฎว่าเมื่อคราววันงาน
    ที่กำหนดจะมีการทำบุญบ้านของคหบดีนั้น
    พระโลสกได้ทำการเคาะระฆัง
    เพื่อที่จะส่งสัญญาณเป็นเสมือนการบอกล่าว
    แก่ภิกษุผู้ปฏิบัติดีรูปนั้น
    .
    หากแต่ว่าการเคาะระฆังส่งสัญญาณที่ว่านี้นั้น
    พระโลสก กลับใช้กลเล่ห์
    ด้วยการใช้เล็บเคาะระฆังและเคาะประตู
    ในการส่งสัญญาณให้พระภิกษุรูปนั้น
    รับทราบเพียงเท่านั้น
    .
    จากนั้นเมื่อใช้นิ้วเคาะระฆังและประตูเสร็จแล้ว
    พระโลสกก็รีบเดินทางออกจากอาราม
    ที่ตนเองเองพักอยู่ทันที
    .
    หาได้รอภิกษุผู้ปฏิบัติดีรูปนั้นแต่อย่างใดไม่ (ซึ่งนั่นก็เป็นไปตามเป้าประสงค์ของพระโลซกอยู่แล้ว)
    .
    .
    ผลปรากฎว่าเมื่อพระโลกสกได้เดินทางไปถึง
    บ้านของคหบดีที่จะมีการทำบุญ
    ที่ได้อาราธนาให้พระทั้งสองเดินทางไปร่วมงานนั้น
    พระโลสกก็ได้กล่าวขึ้นกับเจ้าของบ้าน
    ซึ่งเป็นผู้ที่อาราธนานิมนต์พระทั้งสองขึ้นมาทันที
    ด้วยการใส่ร้ายพระผู้ทรงศีลรูปนั้นทำนองว่า
    .
    " ภิกษุรูปนั้นไม่ยอมมาร่วมงานทำบุญ
    ตามคำอาราธนานิมนต์ของคหบดี
    ทั้งที่ตนเองก็ได้ทำการเคาะระฆังเป็นการส่งสัญญาณแล้ว
    แต่ก็หาได้มีเสียงตอบรับใด ๆ กลับมาไม่
    คงจะด้วยฉันภัตตาหารมากไปในวานนี้
    ทำให้พระรูปนี้ไม่ยอมตื่นขึ้นมาปฏิบัติกิจของตน
    .
    เมื่อตนเห็นเช่นนั้น
    จึงรีบเดินทางมาร่วมงานทำบุญที่บ้านก่อน
    เพราะเกรงว่าจะไม่ทันเวลาทำบุญ
    เพราะอย่างไรโยมนิมนต์แล้ว
    พระก็จะต้องมาร่วมงานให้ได้ "
    .
    คหบดีบ้านหลังนั้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น
    ก็ไม่ได้กล่าวอะไร หากแต่เมื่อพระโลกสกฉันเสร็จแล้ว
    คหบดียังจัดแจงภัตตาหารอย่างดี
    ใส่ในบาตรและขอโอกาสฝากฝัง
    ให้พระโลกสกนำไปถวายให้แก่ภิกษุผู้ทรงศีลรูปนั้น
    ที่อยู่ยังอารามด้วย
    .
    .
    หลังจากเสร็จกิจที่บ้านคหบดีแล้ว
    ขณะกำลังเดินทางกลับ
    ด้วยจิตอคติและอกุศลที่ยังคงมีอยู่ในหัวใจ
    จึงทำให้พระโลสก ตัดสินใจทำลายและขัดขวาง
    ลาภสักการะของภิกษุผู้ปฏิบัติดีรูปนี้
    ที่คหบดีได้ขอเมตตาฝากธุระมาให้พระโลกสก
    ช่วยดำเนินการ
    .
    พระโลสกตัดสินใจนำบาตร
    ที่คหบดีใส่ภัตตาหารด้วยความศรัทธาแก่พระผู้ปฏิบัติดี
    ไปเททิ้งเสียทั้งหมด ไม่เหลือร่องรอยใด ๆ ไว้
    หาได้นำบาตรที่บริบูรณ์ด้วยภัตตาหารนี้
    ไปถวายแก่พระผุ้ทรงศีลรูปนั้นไม่
    ตามความประสงค์ของคหบดีที่ได้ฝากฝังมา
    .
    ทุกอย่างดำเนินไปจนเรียบร้อย
    จากนั้นพระโลสกได้เดินทางกลับอารามของตนดังเดิม
    แต่ครานี้เหตุการณ์ได้แปรเปลี่ยนไป นั่นคือ ภิกษุผู้ทรงศีลรูปนี้กลับไม่ได้อยู่ ณ อารามแห่งนี้เสียแล้ว
    โดยได้เดินทางจาริกธุดงค์ต่อไปยังสถานที่ใหม่
    .
    .
    โดยในความเป็นจริงนั้น
    เหตุที่ภิกษุรูปนี้ได้เดินทางจาริกธุดงค์
    ไปยังสถานที่แห่งใหม่ ก็ด้วยทราบโดยญาณทัศนะว่า
    .
    หากตนเองอยู่สถานที่นั้นต่อไป
    พระโลสกรูปนี้จะยิ่งสร้างบาปอย่างมหันต์
    ให้กับตัวเขาเองและบาปที่พระโลสก
    กำลังประพฤติอยู่นั้น รุนแรงเสียยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
    .
    .
    ภิกษุรูปนี้เมื่อทราบด้วยญาณทัศนะเช่นนั้นแล้ว
    จึงตัดสินใจเดินทางไปยังสถานที่อื่นเสียโดยพลัน
    เพื่อว่าพระโลสกจะไม่ต้องสร้างกรรมหนักอีกต่อไป นั่นเอง
    .
    .
    ครานี้หลังจากที่พระโลสกได้หมดสิ้นอายุขัยในชาตินั้นแล้ว
    .
    .
    .
    ผลปรารกฎว่าไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เกินกรรม
    เพราะผลกรรมที่พระโลสก
    ได้กระทำต่อพระภิกษุผู้ปฏิบัติดีที่เป็นพระอรหันต์นั้น
    .
    ส่งผลให้พระโลสกได้รับโทษทัณฐ์
    อย่างแสนสาหัสในอเวจีมหานรก
    เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในมหานรกแห่งนั้นหลายแสนปี
    .
    และเศษของผลกรรม
    ยังนำให้ไปเกิดเป็นยักษ์ถึง ๕๐๐ ชาติ
    เกิดเป็นสุนัข ๕๐๐ ชาติ ด้วยกรรมหนัก
    ที่ได้กระทำกับพระอรหันต์ขีณาสพผู้ปฏิบัติดี
    .
    .
    จนถึงกาลในห้วงเวลาหนึ่ง
    ที่ซึ่งพระโลสกได้เสวยทุกขเวทนา
    อย่างแสนสาหัสจนถึงที่สุดแล้ว
    .
    ก็ได้จุติขึ้นมาเกิดเป็นบุตรของกลุ่มชาวประมงครอบครัวหนึ่ง
    ที่ซึ่งประกอบอาชีพหาเลี้ยงปากท้องด้วยการทำประมง
    โดยอยู่กันเป็นหมู่บ้าน เป็นชุมชน
    .
    .
    แต่กระนั้นเมื่อพระโลสกพ้นทุกข์
    จากการเสวยกรรมในมหานรกแล้ว
    และได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นมาในโลกมนุษย์
    กระนั้นเศษเสี้ยวของอกุศลกรรมที่ตนได้กระทำไว้แต่กาลก่อนต่อพระบริสุทธิ์สงฆ์ ก็ยังคงมีเหลืออยู่
    .
    .
    ปรารฏว่าแม้พระโลสก
    ได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์แล้ว
    กลายเป็นว่าเดิมทีชุมชนชาวประมง ครอบครัวชาวประมงเหล่านี้มีความเป็นอยู่ที่อุดมสมบูรณ์ ทำการประมงก็ได้กำไรมาโดยตลอด มีชีวิตความเป็นอยู่กันอย่างผาสุก
    .
    แต่เมื่อปรากฏสมาชิกใหม่ขึ้นมาในหมู่บ้านชาวประมง
    ชุมชนชาวประมงที่ว่านี้ เรื่องร้าย ๆ ต่างๆ ก็เกิดขึ้นมากมาย
    .
    ปลาที่เคยจับได้ก็ไม่สามารถจับได้
    กำไรที่เคยมีก็หายไป เกิดเหตุเพทภัยขึ้นมาต่าง ๆ นานา
    กับชุมชนชาวประมงที่ว่านี้
    เหตุการณ์ต่าง ๆ เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น
    .
    .
    จนท้ายสุดเหล่าชาวบ้านเริ่มหาต้นตอและสาเหตุของที่มาที่ไปว่าด้วยเพราะเหตุอะไร นั่นคือ แบ่งกลุ่มชาวประมงออกไปสองกลุ่ม ทำการออกหาปลา และดูว่าฝั่งไหนจับปลาได้ มีเหตุที่ไม่ดีอะไรบ้าง จนท้ายสุดก็ทราบว่ามีฝั่งหนึ่งจับปลาได้ และไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ส่วนอีกฝั่งหนึ่งกลับมีเหตุเภทภัยโดยไร้สาเหตุ
    .
    .
    กลุ่มชาวบ้านรวมตัวกันหาที่มาที่ไปลักษณะเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ
    จากกลุ่มใหญ่ ไล่จนมาเหลือกลุ่มเล็ก คัดลงมาเรื่อย ๆ จนเหลือสองครอบครัว และพิสูจน์สองครอบครัวนี้ว่าต้นตอสิ่งไม่ดีมาจากครอบครัวไหน ครอบครัวใดเป็นกาลกิณี ที่ทำให้ชุมชนชาวประมงแห่งนั้นต้องประสบกับเหตุเภทภัยที่ว่านี้
    .
    .
    จนท้ายสุดสืบสาวราวเรื่องไปตามความเชื่อ จึงได้ทราบว่า
    ต้นตอของสิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นในชุมชนชาวประมงนั้นก็คือ ครอบครัวของที่พระโลสกไปเกิดนั่นเอง
    .
    .
    จนท้ายสุดครอบครัวของโลสกก็ต้องถูกขับออกจากชุมชนชาวประมงที่ว่านี้ พ่อแม่และโลซกก็ต้องออกจากชุมชนแห่งนั้น ครานี้พ่อและแม่ของโลสกเองเมื่อเห็นเช่นนั้น ก็ทราบว่าต้นเหตุของกาลกิณี ต้นเหตุของสิ่งที่ไม่ดีทั้งหมดนั้น นั่นก็คือ ลูกน้อย ที่พวกเขาได้ให้กำเนิดขึ้นมานั่นเอง
    .
    .
    เมื่อเห็นเช่นนั้น พ่อแม่ของพระโลสกจึงตัดสินใจนำโลสกไปทิ้งในขณะที่โตพอเริ่มวิ่งเล่นได้ ด้วยว่าหากจะต้องอยู่ด้วยกันต่อไปจะยิ่งมีแต่ความวิบัติ มีแต่สิ่งไม่ดีอีกเป็นแน่แท้
    .
    .
    ท้ายสุดปรากฎว่าทั้งพ่อและแม่ของพระโลสกนั้นได้นำลูกชายไปทิ้ง ด้วยไม่กล้าที่จะเลี้ยงอีกต่อไป เด็กน้อยถูกทิ้งให้ต้องกำพร้าพ่อแม่ ด้วยเกรงถึงความอัปมงคลต่างๆ ซึ่งนั่นคืออกุศลกรรมที่ยังเหลืออยู่ที่โลซกจะต้องชดใช้ ที่เคยได้ทำไว้กับพระบริสุทธิ์สงฆ์ในกาลก่อน
    .
    .
    ตั้งแต่นั้นมา เขาก็อยู่อย่างเดียวดาย เที่ยวหากินไปตามประสา หลับนอน ณ ที่แห่งหนึ่ง ไม่ได้อาบน้ำ ไม่ได้ปรนนิบัติร่างกาย ดูเหมือนปีศาจคลุกฝุ่น เลี้ยงชีวิตมาได้โดยลำบาก
    เขามีอายุครบ ๗ ขวบ โดยลำดับ เลือกเม็ดข้าวกินทีละเม็ด
    .
    .
    พระโลกซกหลังจากถูกครอบครัวทิ้ง ด้วยว่าเป็นต้นเหตุของกาลกิณีและเรื่องราวไม่ดีต่าง ๆ ปรากฎว่ายังมีบุญกุศลที่ยังเหลืออยู่บ้าง ด้วยว่ามีพระบริสุทธิ์สงฆ์รูปหนึ่งในยุคพุทธกาลได้มาพบเข้า จึงได้เก็บโลสกไปอุปการะด้วยความสงสารและเวทนา แต่กระนั้นพระบริสุทธิ์รูปนี้ก็ทราบด้วยญาณวิถีเป็นอย่างดีแล้วว่า
    .
    โลสกได้กระทำกรรมอะไรมาในกาลก่อน จึงต้องชดใช้กรรมนั้นในชาติปัจจุบันนี้ โดยพระที่เมตตารับโลสกมาเลี้ยง
    และดูแล
    .
    พระรูปนั้นนั่นก็คือ "พระสารีบุตร" อัครสาวกเบื้องขวาในองค์สมเด็จพระสัมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นเลิศด้านปัญญา ที่นำโลสกมาเลี้ยงด้วยความเมตตาตั้งแต่เด็ก ทั้งอาบน้ำให้เอง ดูแลอย่างดี เมื่ออายุครบก็บรรพชาให้ และอุปสมบทให้ตามลำดับ
    .
    .
    หลังจากรับโลกสกมาเลี้ยงดูด้วยความเมตตาแล้วนั้น
    พระสารีบุตรก็ได้เมตตาบวชให้กับโลสกได้เจริญเติบโตใต้ร่มบวรพระพุทธศาสนา ดังเช่นที่เคยปฏิบัติมาเมื่อกาลก่อน
    แต่กระนั้นอกุศลกรรมอันหนักที่พระโลสกได้กระทำไว้ ก็ยังหาได้หมดไปเสียสิ้น โลสกยังต้องชดใช้และเสวยกรรมนั้นอีกต่อไปเมื่อจะได้ก้าวเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์แล้วก็ตาม
    .
    .
    นั่นคือ แม้พระโลสกจะได้บวชเป็นพระภิกษุโดยพระสารีบุตรแล้ว แต่เวลาพระโลสกออกบิณฑบาตรนั้นก็ไม่เคยได้ภัตตาหารดี ๆ หรือบางทีก็แทบจะไม่ได้ฉันข้าวหรือฉันอะไรเลย มีเพียงบาตรเปล่าๆ เท่านั้นกลับยังอาราม ไปไหนก็ไม่เคยมีผู้จะทำบุญด้วย เป็นผู้ที่อาภัพเรื่องลาภสักการะเป็นอย่างมาก
    .
    .
    แต่กระนั้น "พระโลสก" ก็หาได้โอดครวญอันใดไม่ กลับปฏิบัติกิจของสงฆ์อย่างสม่ำเสมอมิเคยได้ขาด มีให้ฉันเท่าไหร่ก็ฉันเท่านั้น หากไม่มีให้ฉันก็จะไม่ฉัน ยอมที่จะอด ยอมที่จะหิว
    .
    .
    พระโลสกถือปฏิบัติเช่นนี้มาโดยตลอด โดยไร้ความย่อท้อ ย่นย่อใด ๆ มีเพียงแต่ความมุ่งมั่น และการพิจารณาแห่งเหตุที่เกิดขึ้น จากที่ตอนแรกก็ได้ตั้งข้อสัยและมีคำถามเกิดขึ้นมากับตนเอง ว่าเหตุใดจึงเป็นผู้อาภัพและไร้วาสนาถึงเพียงนี้
    คงอาจจะด้วยผลแห่งกรรมไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งที่ตนได้เคยกระทำมาแต่อดีตชาติ
    .
    แต่กระนั้นเมื่อวันเวลบาผ่านไป และได้อยู่กับความจริงและการพิจารณา พระโลสกก็ได้เข้าใจว่า ทุกอย่างย่อมมีที่มาที่ไป ผลของความอาภัพอย่างถึงที่สุด ที่ตนได้รับผลกระทบอยู่นี้นั้นก็ด้วยเกิดจากการกระทำของตนนั่นเอง แม้จะหาเหตุไม่ได้ ตนก็จะต้องยอมรับและชดใช้สิ่งที่กระทำนี้ให้ได้
    .
    .
    ท้ายสุดแล้วเมื่อยู่กับความอาภัพและไร้วาสนาอย่างถึงที่สุด
    อดอยากอย่างมากถึงมากที่สุด พระโลสกก็ปลงตกพร้อมพิจารณาและได้เข้าถึงธรรม จากผลแห่งความอดอยากที่ว่านี้ จนได้ตรัสรู้ถึงหนทางแห่งการดับทุกข์
    .
    พร้อมเข้าถึงพระสัทธรรมที่จริงแท้และแน่นอน นั่นคือ พระโลสกได้สำเร็จธรรมและบรรลุเป็นพระอรหันต์
    .
    .
    แม้อาหารทางร่างกาย พระโลสกจะไม่เคยฉันอิ่มสักมื้อ
    แต่สิ่่งที่ได้ตรัสรู้คืออาหารทางธรรม หรืออาหารทางใจนั่นเอง พระโลสกปลงตก พิจารณาความทุกข์ยากจนแตกขาด
    .
    ปลงจนขาดจากความอดอยากไปเลยทีเดียว และท้ายสุดองค์ท่านก็ได้ลิ้มรสของความหอมหวานแห่งการหลุดพ้น ลิ้มรสของพระธรรมที่จริงแท้และแน่นอน
    .
    .
    นี่คือเรื่องราวของพระโลสก ที่เรื่องราวของท่านน่าสนใจมาก และอาภัพน่าสงสารมาก เป็นพระอรหันต์ที่ว่ากันว่าอาภัพที่สุด ขาดลาภสักการะมากที่สุดด้วยผลกรรมอันหนัก ที่ครั้งหนึ่งได้เคยขัดขวางหรือทำลายลาภสักการะของพระอรหันต์รูปหนึ่งในอดีตชาติ ...
    .
    ทำให้ท่านต้องเวียนว่ายตายเกิดพบกันความอาภัพต่าง ๆ นานา ด้วยผลจากสิ่งที่ตนได้กระทำไว้ แต่ท้ายสุดด้วยบุญกุศลที่ท่านได้กระทำไว้บ้าง รวมถึงกำลังใจและการพิจาณาพร้อมกับการปลงสังเวชจากความทุกข์ยากต่าง ๆ ทำให้องค์ท่านได้บรรลุและเข้าถึงพระสัทธรรมในที่สุด โดยใช้ความอดอยากที่ว่านี้มาเป็นเครื่องพิจารณานั่นเอง
    .
    นี่คือเรื่องราวที่มีอยู่จริงและเกิดขึ้นจริง ของพระอรหันต์ยุคพุทธกาลรูปหนึ่ง ที่ซึ่งเป็นเครื่องสอนเราได้เป็นอย่างดี เวลาที่อยู่ใกล้พระบริสุทธิสงฆ์ การสำรวมกาย วาจา ใจ เป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันสำคัญมากจริง ๆ กับพระอรหันต์
    .
    หากเราปฏิบัติเป็นอานิสงส์ก้มากมายมหาศาล ในทางกลับกันหากปฏิบัติตรงกันข้าม บาปนั้นที่เราจะได้รับก็มีมหันต์เช่นเดียวกัน เหมือนกับเรื่องราวของพระโลสกที่ว่านี้ ... บุญบาปเกิดที่เดียวกัน คือ ที่ใจ พิจารณาและเฝ้าดูมันให้ดี ไม่ต้องดูใคร ดูใจเราอย่างเดียว "
    .
    ........................
    .
    โอวาทธรรม
    เรื่อง " พระโลสก พระอรหันต์ผู้อาภัพ
    ที่ไม่เคยได้ฉันอาหารอิ่มสักมื้อจนกระทั่งละสังขาร"
    .
    หลวงปู่บุญส่ง ฐิตสาโร
    วัดสันติวนาราม จ.จันทบุรี
    .
    .
    เมตตาแสดงธรรมให้ฟัง
    ณ บริษัท เวลทรอน รอยัล เทค จำกัด
    โพธิ์แก้ว 3 แยก 6 ลาดพร้าว 101 กทม.
    .
    วันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม 2560
    .
    .
    .................................
    .
    .
    *ปล."โลสกติสสเถระ" ความหมายคือ พระไม่มีบุญ มีลาภน้อย ซึ่งพระสารีบุตรเป็นผู้ตั้งให้ขณะทำการอุปสมบท โดยรื่องราวของ "พระโลสกติสสเถระ" หรือ "พระอรหันต์โลสกะ"
    มีปรารกฎอยู่ในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก
    อรรถกถาอัตถกามวรรคที่ ๕ อรรถกถาโลสกชาดกที่ ๑
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...