วิบากรรม

ขอเรียนถามท่านที่ศึกษาธรรม...เกี่ยวกับเรื่องวิบากกรรมซ้ำที่เกิดขึ้นกับคน มีจริงหรือไม่ อะไรคือสาเหตุ

 

มีสิ ไม่เคยเห็นเหรอ
กรรมคือสาเหตุ

 

วิบากกรรมก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ จขกท. ต้องมาตั้งกระทู้ถามเช่นนี้ยังไงละครับ แม้แต่เกิดมาเป็นมนุษย์ก็คือวิบากกรรมชนิดหนึ่ง

1.โจรย่องขึ้นบ้านหลังหนึ่งขโมยของซ้ำแล้วซ้ำเล่า
2.ชาย-หญิง คู่หนึ่งแอบเป็นชู้ลักลอบได้เสียกันหลายครั้ง
3.นาย ก. เคยฆ่าไก่ 1 ตัวเมื่อตอนอายุ 15 หลังจากนั้นพอเขาอายุ 30 เขาก็ฆ่าไก่อีก 1 ตัว
4.นาย ข. ดื่มสุราเป็นประจำตั้งแต่อายุ 20 - 50 ปี
5.นาย A ใส่บาตรตอนเช้าสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ปีนึงก็ประมาณ 50 ครั้ง 10 ปีผ่านไปนาย A ก็ใส่บาตรไปแล้ว 500 ครั้ง
6.นาย B ทำบุญสร้างวิหารทานต่างๆมากมาย ตลอดอายุขัยของเขา เขาได้ทำบุญสร้างวิหารทานทั้งสิ้น 60 ครั้ง
7.นางสาว C ถือศีลอุโบสถเป็นประจำในวันพระ เดือนนึงก็ 4 ครั้ง ปีนึงก็ประมาณ 50 ครั้ง 40 ปีผ่านไป นางสาว C ถือศีลอุโบสถไปแล้ว 2,000 วัน

คำว่า "ซ้ำ" ระดับวิบากนั้นเขาซ้ำกันข้ามภพข้ามชาติ 10 ชาติ 100 ชาติ หลายชาติยาวนานไปจนถึงกัป 3 4 10 20 30 40 50 60 70 80 มากกว่า 80 กัปไปจนกว่าจะบรรลุนิพพาน เช่น สังฆทาน ไม่ใช่แค่ชาติเดียว ปีเดียว หรือแค่ 100 ปี

 

เพราะ อนิจจัง

 

วิบากกรรม คือผลของการกระทำที่เราเคยผัสสะมาแต่ก่อนเก่าตั้งแต่กี่ชาติต่อกี่ชาติมาแล้ว เมื่อถึงวาระที่มันแสดง มันก็จะแสดงตามเหตุปัจจัยตามแต่ที่มันต้องเป็นไป ตามธรรมดาของวิบากที่มันถึงวาระที่ส่งผล และผลนั้นก็เป็นเหตุสืบต่อไป ไม่ว่าจะผัสสะอะไรก็ตาม ทุกข์ สุข ชอบ ไม่ชอบนั้นคือเหตุปัจจัยที่สืบเนื่องให้เกิดวิบากกรรมต่อไปไม่สิ้นสุด หมุนเวียนไปตามกาล. ตามธรรมดาที่ยังไม่พ้นสังสารวัฏนี่ 55555. มนุษย์จะรุ้ไหมหนอจะต้องเสวยวิบากแห่งกรรมอีกนานเท่าไรจึงจะพ้นจาก วิบากแห่งกรรม.
ป.ล. วิบากกรรมนี้มันรวมถึงกรรมทั้ง2ด้านคือกรรมขาวและกรรมดำ มันจะสลับหมุนเวียนกันแสดงผลให้เราได้เสวยตามแต่เหตุปัจจัย และผลนั้นก็จะเป็นเหตุปัจจัยสืบต่อๆกันไปตามกาล55555

 

...ลองศึกษาตัวอย่างเรื่องนี้ดู จะได้ทราบว่า ผลของอกุศลกรรมที่เกิดซ้ำซ้อนในคนคนหนึ่งเป็นเช่นไร...

 

..ในสังสารวัฏอันหาเบื้องต้นและที่สุดไม่ได้นั้น สัตว์ทั้งหลายย่อมทำกรรมทั้งดีและชั่วมาแทบทุกอย่าง เมื่อทำกรรมไว้มากมาย ผลกรรมที่สอดคล้องกันย่อมมีมากมาย เช่นกัน..

เมื่อผลกรรมมี ก็พร้อมที่จะมาส่งให้ตนได้รับในเวลาใดเวลาหนึ่งตามกำลังของเหตุปัจจัยสำคัญคือ คติ ภพูมิที่เกิด อุปธิ รูปร่าง หน้าตา กาล ช่วงเวลาที่เกิด ปโยคะ ความเพียรใหม่ของตนในปัจจุบัน..

 

วิบาก หมายถึง สิ่งที่เกิดตามเนื่องกัน ห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้
เมื่ิอสิ่งนึงมี อีกสิ่งจะต้องมี ไปบังคับบัญชาให้เปนอื่นตามใจไม่ได้

วิบากที่เกิดซ้ำ เพราะ เหตุมันยังเกิดซำ้

เหตุคือ อุปทานในขันธ์5 ยังมี วิบากจึงมี

การละอุปทานขันธ์นั้น จะต้องภาวนาอย่างถูกวิธี

ไม่อาจละได้ด้วย อุปทาน ซำ้ซ้อน

หนทางคือ ตรัสรู้ชอบด้วยตนเอง ไม่ใช่
การปลงใจเชื่อใคร หรือแค่ทำตามๆกันไป

 

ตัวอย่าง การใช้อุปทานซำ้ซ้อนที่โลกใช้อยุ่

เช่น หลักนิติ หลักปรัชญา ตรรกศาสตร์ วิทยาศาสตร์

ใช้แล้วจะทำให้ต้องเวียน รับวิบาก ไม่จบ

แน่นอน ธรรมขาวย่อมให้วิบากขาว
ธรรมดำ ย่อมให้วิบากดำ

ธรรมกระดำกระด่าง ก็มีวิบากกนะดำกระด่าง


ธรรมไม่ดำไม่ขาว ให้ผลพ้นดำพ้นขาว คือ โพชฌงค์7
อันเปนเรื่อง การภาวนาอย่างถูกวิธี นั้นมีอยุ่

จะรู้ทั่วถึงได้ ต้องปฏิบัตพิสูจน์ ไม่ใช่อุปทานปลงใจเชื่อ

 

จิต พระพุทธองค์ตรัสว่า เปนธรรมที่มีอาหาร ไม่ใช่ไม่มีอาหาร

จิต จึงเปน วิบากที่ให้ผลเวียนซำ้

ถ้าไม่มีอาหาร จิตก็ตั้งขึ้น หรือให้วิบากไม่ได้

จะอุปทานละจิต วางจิต ย่อมมีวิบากเปนจิตซำ้ วิกลจิต


อุบายนำออกอย่างถูกวิธีมีอยู่


พระพุทธองค์ ผู้รู้จริง ท่านชี้ทางนั้นไว้
อย่างเปิดเผย พร้อมให้พิสุจน์ได้ทุกเวลา

ง่าย เมื่อปฏิบัติ

ยาก เพราะพยายามใช้อุปทาน

 

ติเตียนผู้รุ้ ทันชัง ชอบ เฉยนี้คือกรรมหนักที่สุดแต่เป็นกรรมขาวเพราะไอ้คนกล่าวมันหลงในรุ้ทันยึดว่ากรุรุ้ทันตามสัญญา มันมีแต่มโนทัน เพื่อมิให้ผู้ไม่รุ้หลงทางตามไป นี่กรรมหนักสุดๆ นั่งรอกรรมสนองกรรมอยุ่นึ้แหละ เมื่อไรกรรมจะส่งผลสักที พระอรหันต์เจ้าทุกๆพระองค์ไม่เคยกล่าวว่าใครติเตียนพระองค์จะเป็นกรรมชั่วที่หนัก เหตุเพราะพระองค์คือพระผู้พ้นสมมุติ แต่มีธาติขันต์ พระองค์เลี่ยงมิให้ใครทำร้ายพระองค์ได้ แต่คนไม่รุ้ว่าท่านคือพระอรหันต์เท่านั้น แต่สามารถรุ้ได้ด้วยธรรม มุโตทัย ที่ออกจากจิตท่าน ผุ้ที่กล้าเปล่งสุรเสียงดังก้องทั้งพิภพนั้นแหละพระอรหันต์ ท่านไม่เคยรับว่าท่านเป็นรึไม่เป็น แต่ใครหาญกล้าขึ้นกล่าวร้ายท่านนั้นแหละเตรียมตัวไปนรกได้ตั๋วฟรีทันที55555
ส่วนไอ้คนที่กล้าประกาศว่าคนกล่าวติเตียนผู้รุ้ทัน ชอบ ชัง เฉยแล้วมีกรรมหนักนั้นมัน มีสติสัมปชันยะที่พิกลพิการไปแล้ว จะประกาศว่าตนเป็นอรหันต์กลายๆยังนั้น พระพุทธเจ้ายังไม่เคยตรัสเลย. ว่าใครทำร้ายพระองค์มีกรรมหนัก มีแต่พระสาวกถามท่านก็ตอบแต่ท่านมิได้ตอบตรงๆ.
มีแต่ไอ้คนยกหางตนเองขึ้นแล้วกล่าวนั้นแหละ. สำคัญว่าตนเป็น เป็นจริงแต่เป็นได้แค่อรหันซ้าย-ขวาแล้วลงคลองเท่านั้น55555
ขี้เหม็นเหมือนกันเป็นสัตว์มนุษย์เหมือนกัน ต่อให้เทวดา รึพรหม หากผิดธรรมใครๆก็กล่าวติเตียนได้ทั้งนั้นแหละ. อย่ายกหางตนเองแล้วข่มขุ่คนอื่นให้กลัวเลย ผุ้มีธรรมไม่เคยกลัวหรอกไปหลอกเด็กไป5555555