สงสัยเรื่องวิบากกรรม ช่วยตอบหน่อยคะ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมมะในใจ, 27 พฤษภาคม 2010.

  1. ธรรมมะในใจ

    ธรรมมะในใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +696
    สงสัยคำว่า วิบากกรรม ทุกคนเกิดมาต้องมีกรรมใช่ไหมคะ แล้วไอ้วิบากกรรมจะกินเวลายาว....และนาน... ขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรบ้าง...
    ถ้าเรารู้เหตุแห่งกรรมและที่มาแล้ว พยายามทำดี ทำบุญ และอุทิศให้เพื่อชดใช้ให้เจ้ากรรมนายเวร จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีเป็นหลายๆปี ทำทุกวัน ประมาณว่าทำดีทำบุญทำอย่าง เค้าจะเลิกจองเวรกับเราไหมคะ และความดีที่เราทำให้กับเค้าสามารถย่นระยะเวลาวิบากกรรมให้สั้นลงไหมคะ
     
  2. พธบ

    พธบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    720
    ค่าพลัง:
    +2,348
    คำตอบมันอยู่ในนี้ครับ

    มีคนสงสัยกัน เยอะ และบางคนไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงแก้กรรมได้ สาเหตุอยู่ ณ เบื้องหน้าท่านทั้งหลายแล้วครับ

    *แต่เราต้องรู้ ด้วยว่า กรรมที่กำลังจะมาเล่นงานเรานั้น มันเป็นกรรมที่มาจากส่วนไหนใน กรรม12 ที่เอามาให้ท่านทั้งหลายได้ทัศนากันครับ

    ** ซึ่งอันนี้เป็นหน้าที่ของผู้แนะนำแล้วครับว่า จะชัวร์หรือมั่วนิ่ม....ครับ

    *** ในที่นี้ ผมขออนุญาติ ไม่อธิบายมากเกินไปครับ เอาเพียงแค่พอรู้ เดี๋ยวจะกลายเป็นการ เขียนกระทู้ไป......

    กรรม 12 ประเภท

    กรรมประเภทที่1 กิจจจตุกกะ คือ ประเภทแห่งกรรมที่ว่าโดยหน้าที่
    1.1 ชนกกรรม กรรมที่ทำหน้าที่ยังวิบากให้เกิดขึ้น
    1.2 อุปัตถัมภกกรรม กรรมที่ทำหน้าที่อุปถัมภ์ค้ำชูกรรมอื่น
    1.3 อุปปีฬกกรรม กรรมที่ทำหน้าที่เบียดเบียนกรรมอื่น
    1.4 อุปฆาตกกรรม/อุปัจเฉทกกรรม กรรมที่ทำหน้าที่เข้าไปฆ่าหรือเข้าไปตัดรอนกรรมอื่น

    กรรมประเภทที่2 ปากทานปริยายจตุกกะ คือ ประเภทแห่งกรรมที่ว่าโดยลำดับการให้ผล
    2.1 ครุกรรม กรรมหนักซึ่งมีอำนาจให้ผลเป็นอันดับ1
    2.2 อาสันนกรรม กรรมที่กระทำในเวลาใกล้จะตาย
    2.3 อาจิณณกรรม/พหุลกรรม กรรมที่กระทำบ่อยๆ
    2.4 กตัตตากรรม กรรมที่สักแต่ว่ากระทำ

    กรรม ประเภทที่3 ปากกาลจตกกะ คือ ประเภทแห่งกรรมที่ว่าโดยกาลเวลาที่ให้ผล
    3.1 ทิฐธรรมเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันคือให้ผลในชาตินี้
    3.2 อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในชาติหน้า
    3.3 อปราปริยเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในชาติที่3เป็นต้นไป
    **3.4 อโหสิกรรม กรรมที่สำเร็จเป็นกรรมแล้ว แต่กลายเป็นหมันไป ไม่มีโอกาสให้ผลในตรีกาล คือ 3 กาลครับ ได้แก่ อดีตกาล ปัจจุบันกาล อนาคตกาล

    **และเมื่อสังเกตุให้ดี ข้อสุดท้ายสำคัญที่สุด เพราะมันคือ ประเด็นที่เรา คุยๆกันอยู่ครับ ที่หมอเขาทักบอกว่า เขาจะได้อโหสิกรรมให้ยังไงล่ะครับ

    **ที่นี้เมื่อคุณรู้แล้วว่า มันมีเจ้าตัว อโหสิกรรม มาเป็นเครื่องมือให้เรา เลี่ยงๆหลบๆได้ เราก็ต้องทำไงต่อครับ ก็ทำอย่างนี้ไงครับ

    บุญกิริยาวัตถุ 10
    1.ทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการบริจากทาน
    2.สีลมัย บุญที่สำเร็จด้วยการรักษาศีล
    3.ภาวนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
    4.อปจายนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงตนเป็นคนอ่อนน้อม
    5.ไวยยาวัจจมัย บุญที่สำเร็จด้วยการขวานขวายช่วยในกิจการที่ชอบ
    6.ปัตติทานมัย บุญที่สำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
    7.ปัตตานุโมทนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
    8.ธัมมสวนมัย บุญที่สำเร็จด้วยการฟังพระสัทธรรม
    9.ธัมมเทสนามัย บุญที่สำเร็จด้วยการแสดงพระธรรมเทศนา
    10.ทิฏฐุชุกรรม การกระทำความรู้ความเห็นแห่งตนให้ตรง

    **อาจจะไม่ต้องทำถึงทั้งหมด แต่ที่แสดงทั้งหมด เพราะทั้ง 10 อย่างนี้ นอกจากจะช่วยคุณให้พ้นเคราะห์กรรมแล้ว ยังตัดภพ ตัดชาติได้ด้วยครับ หากคุณทำให้ถึงที่สุด แบบสุดๆ ไม่กี่ชาติหลอกครับ สัก 500 ชาติ...มั้งครับ (ล้อเล่นครับ)

    *** แต่อย่างน้อยที่สุด ชีวิตคุณจะดีขึ้น ดีขึ้น และดีขึ้น อย่างแน่นอนครับ ผมยืนยัน นั่งยัน และนอนยัน ครับ


    ***ขอลงเพียงเท่านี้นะครับ ที่เหลือให้เพื่อนสมาชิกท่านอยู่ได้เพิ่มเติมครับ

    <!-- google_ad_section_end --> __________________
     
  3. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแสดงเหตุที่คนบางคนทำบาปเหมือนกัน แต่วิบากกรรมส่งผลไม่เหมือนกัน ด้วยกรรมเดียวกันบางคนถึงกับตกนรก แต่บางคนก็ได้รับผลเล็กน้อย โดยทรงอุปมาที่บอกถึงบาปว่าเปรียบเหมือนเกลือ บุญก็เปรียบเหมือนน้ำ ถ้าน้ำน้อยเกลือมาก เวลากินก็แสบคอกินไม่ได้ แต่ถ้าน้ำมากเกลือน้อย น้ำนั้นก็แค่กร่อยๆแต่ก็พอกินได้ ทั้งที่เกลือก็มีปริมาณเท่าเดิม แต่ส่งผลต่อเราไม่เท่ากัน
    ดังนั้นถ้าเราหมั่นทำบุญ ก็เหมือนเติมน้ำไปเจือจางเกลือ แม้ว่าถึงคราวที่บาปส่งผล แต่บุญก็จะช่วยให้เจือจางผลของบาปให้เบาบางลงพอที่เราจะทนได้ไม่ยาก
     
  4. ying_tuy

    ying_tuy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    277
    ค่าพลัง:
    +1,120
    อ้างอิงให้เครดิต คุณดังตฤณ

    <TABLE class=MsoNormalTable style="BACKGROUND: #e4f3f3; WIDTH: 100%; mso-cellspacing: 1.5pt" cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #f0f0f0; PADDING-RIGHT: 0.75pt; BORDER-TOP: #f0f0f0; PADDING-LEFT: 0.75pt; PADDING-BOTTOM: 0.75pt; BORDER-LEFT: #f0f0f0; PADDING-TOP: 0.75pt; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent">ความคิดเห็นที่ 6 : (ดังตฤณ) ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>

    - ใจที่ทำกรรมไม่ดำไม่ขาวอย่างแท้จริงนั้นเข้าฝ่ายอโหสิอยู่แล้ว
    กล่าวคือเมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นแม้ความโกรธความพยาบาทอาฆาตว่าเป็นตัวตน
    เราอาศัยมันเป็นที่ตั้งให้ระลึกว่าสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นด้วยเหตุสิ่งนั้นย่อมดับลงเป็นธรรมดาในที่สุด
    แม้ความโกรธ เกลียด ชัง หมั่นไส้ก็เป็นแค่สภาวธรรมปรากฏต่อใจ
    ความดำมืดของโทสะจึงเข้าไม่ถึงจิตผู้รู้
    แต่ถูกจิตผู้รู้ผู้มีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์
    มองเห็นอย่างแจ่มชัดว่านั่นไม่ใช่ตนนั่นเป็นของแปลกปลอม
    นั่นคือสิ่งที่เกิดแล้วต้องดับลงเป็นธรรมดาไม่น่ายึดมั่นถือมั่น



    ในแง่ของการปรับเปลี่ยนผังกรรม
    ขอให้มองเป็นทางเดินชีวิตก็จะเข้าใจง่ายขึ้น
    หากกรรมดำห่อหุ้มจิตจนมืดมิด
    ก็มีแต่แรงดึงดูดเข้าหาเรื่องต่ำ
    หากกรรมขาวฉายสว่างกระจ่างใจ
    ก็มีแต่เรื่องชักนำให้เจอสิ่งดีงาม
    แต่หากทำกรรมไม่ดำไม่ขาวมากกว่ากรรมชนิดอื่น
    ก็หมดเรื่องน่าติดใจทั้งทางร้ายและทางดี
    มีแต่ความเป็นอยู่ที่ "เหนือดี"ปรากฏแทน
    ใจไม่ข้องแวะไปในทางใดทางหนึ่งนอกจากสภาพสันโดษ
    การใช้ชีวิตถึงแม้ต้องข้องเกี่ยวกับผู้คนก็ไม่ยินยลกับผู้คน
    เขาดีหรือร้ายมาก็เห็นสักแต่เป็นกรรมของเขา
    หน้าที่มีต่อสังคมอย่างไรก็ก้มหน้าก้มตาทำโดยไม่ใฝ่สูง
    ไม่พอใจเอาอะไรมากกว่าธรรมในตน
    อย่างนี้ถ้าจะต้องเจอใครที่รู้สึก "คบได้" ก็คงพวกที่จิตใกล้กันกรรมใกล้กัน
    และแม้ไม่เจอก็ยังอยู่กับตนเองได้โดยไม่เสียศูนย์
    เส้นทางจึงเป็นคนละสายกับคนในโลกที่ล้วนเป็นสัตว์สังคม
    ต้องการการยอมรับต้องการศักดิ์ศรี ต้องการฐานอำนาจ
    ต้องวิ่งวุ่นไขว่คว้าหากามที่ตนชอบต้องแก้แค้นเบียดเบียนอริให้สาสมฯลฯ



    แต่แม้ว่าผู้ประกอบกรรมไม่ดำไม่ขาวอย่างยิ่งยวดจะไม่ติดใจแม้กรรมขาว
    ทว่าภาวะที่ใกล้เคียงที่สุดกับจิตปล่อยวางเต็มขั้นก็คือกุศล
    เหมือนที่สีขาวนั้นใกล้เคียงกับความไร้สีมากกว่าอย่างอื่น
    เพราะฉะนั้นจิตที่ปลอดโปร่งจากสีนั้น
    หากต้องปะปนอยู่ในโลกที่ยังเปรอะเปื้อนด้วยสี
    ก็ต้องพึงใจหรือยอมตนเป็นสีขาวมากกว่าสีอื่นนั่นเองครับ<O:p></O:p>



    </TD></TR><TR style="mso-yfti-irow: 1; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #f0f0f0; PADDING-RIGHT: 0.75pt; BORDER-TOP: #f0f0f0; PADDING-LEFT: 0.75pt; PADDING-BOTTOM: 0.75pt; BORDER-LEFT: #f0f0f0; PADDING-TOP: 0.75pt; BORDER-BOTTOM: #f0f0f0; BACKGROUND-COLOR: transparent">จากคุณ : ดังตฤณ [ 19 ต.ค. 2546 / 10:09:40 น. ]
    [ IP Address : 202.133.160.136 ] <O:p></O:p>



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    วิบากรรม กรรมที่เกิดจากหรือมีเจ้ากรรมนายเวรนั้น เราสามารถที่จะทำ
    การแก้ไขได้ ถ้าหากบุคคลคนนั้นมีอภิญญาจิต มีศีลที่บริสุทธิ์และมีธรรม
    เพราะจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่ใช้ในการเจรจาหรือชี้แนะให้กับเจ้ากรรมนายเวร
    ไม่เช่นนั้นเจ้ากรรมนายเวรเขาจะไม่ยอมและเชื่อฟังเรา ถ้าหากเจ้ากรรมนาย
    เวรของใครที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนต้องแก้เอง แก้โดยทั้งคู่อโหสิกรรมให้ซึ่ง
    กันและกัน เพื่อผลของกรรมจะไม่ได้ต่อเนื่องและก็ข้ามภพข้ามชาติต่อไป
    อีก ถ้าเราขอหรือให้อโหสิกรรมกับเขาแล้วแต่เขาไม่ยอม เราไม่คิดติดใจ
    อะไรแล้ว แต่เขายังมีและคิดผูกโกรธ อาฆาตพยาบาทอยู่คนเดียวมันก็จะ
    กลายเป็นมโนกรรมของเขาและจะเป็นวิบากกรรมติดตัวเขาคนเดียวต่อไปถ้า
    หากเขาไม่หยุดนึกคิดนั้นเสีย กรรมทางกายและทางวาจานั้นกระทำไปแล้ว
    ยังมีคนรู้เทวดาเห็น ส่วนกรรมทางจิตใจ ทางความรู้สึกนึกคิดของเรานั้น
    ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น นอกจากตัวของเราเองเท่านั้น ใครจะคิดดีหรือคิด
    ไม่ดีมันก็จะเก็บเอาไว้ในจิตในใจของคนๆนั้นตลอดไป สะสมกันไปดีบ้างไม่
    ดีบ้าง เป็นบุญบ้างเป็นบาปบ้างแล้วแต่อะไรจะมากกว่ากัน ถ้าอะไรมี
    มากกว่าอันนั้นก็ส่งผลก่อนและก็ทำให้อย่างอื่นรอบข้างที่มีพลังอำนาจ
    เหมือนกันส่งผลเพิ่มเข้ามาอีก นี่เเหละวิบากกรรม วิบากกรรมนี้แก้ไม่ได้
    ดังคำกล่าวในทางพระพุทธศาสนาที่ว่า " ทำกรรมสิ่งใดย่อมได้รับผลอย่าง
    นั้น ปลูกพืชชนิดไหนก็ย่อมได้ผลของพืชชนิดนั้น " เป็นกรรมที่ทำให้เรา
    ต้องมาเวียนเกิดเวียนตายกันไม่รู้จบและส่งผลให้เราทั้งทุกข์และสุขคละกันอยู่
    ในทุกวันนี้ จึงเป็นเหตุที่ต้องให้มีพระพุทธเจ้า จึงต้องมีการเรียนรู้และ
    ศึกษาธรรม จึงต้องมีการฝึกจิตฝึกสมาธิกัน เพื่อยกจิตให้สูงขึ้นไม่ให้ตก
    ต่ำ ฝึกจิตมุ่งสู่การหลุดพ้น ( พระนิพพาน ) กรรมชนิดนี้ถ้าเข้าพระนิพพาน
    เมื่อไรก็จะกลายเป็นอโหสิกรรมทันที วิบากกรรมนี้ทุกคนต้องแก้เอง ไม่มี
    ใครช่วยเราได้เลย ไม่ต้องวิ่งเสาะแสวงหาให้คนอื่นช่วยเหลือ ก็ตนเป็นที่
    พึ่งแห่งตนนี่แหละ เพราะบุญกุศลบารมีต้องสร้างและทำเอาเอง ไม่มีวาง
    ขายไม่มีแจกและไม่มีแถม คนอื่นๆเป็นได้แค่คนที่ชี้แนะแนวทางให้เราเท่า
    นั้น นอกจากนี้ยังมีกรรมที่ได้รับจากพ่อและแม่ของเราอีก เรารับมาทั้งสอง
    ฝ่ายๆละ ๒๕% รับเมื่อเราเริ่มปฏิสนธิในครรภ์มารดา รวมเป็น ๕๐% ติด
    ตัวของเรามาอีก ๕๐% รวมก็เป็น ๑๐๐% มีทั้งส่วนที่เป็นกุศล(ดี) และ
    อกุศล(ไม่ดี) ถ้าหากเกิดมามีส่วนที่ดีมากเราก็จะสบายไม่ทุกข์ร้อนอะไร
    แต่ถ้าหากตอนนี้เราทุกข์ยากลำบาก ไม่สบาย มีปัญหา ก็แสดงว่าอกุศล
    (ไม่ดี) มันส่งผลให้กับเราแล้ว วิธีแก้ของเราก็คือการสร้างบุญสร้างกุศล
    สร้างความดีให้มากๆเพื่อจะได้ไปกดทับพลังที่ไม่ดี(อกุศล)ไม่ให้มันส่งผลเท่า
    นี้เองก็หมดปัญหา แต่การกระทำตรงนี้เราต้องมีและใช้ความเพียรพยายาม
    และความอดทนมากจึงจะสำเร็จ ไม่เหมือนกับการทำความไม่ดีหรือทำ
    ความชั่วใช้ความเพียรน้อยแต่ส่งผลมากและเร็ว พอกรรมวิบากที่เป็นฝ่ายไม่
    ดีนี้ส่งผลเมื่อไร อย่างอื่นที่ไม่ดีก็จะแทรกทันที เช่น เจ้ากรรมนายเวรที่รอ
    จังหวะที่จะเล่นงานเราอยู่ มารหรือซาตานก็จะมีพลังเพิ่มขึ้น คุณไสยมนต์
    ดำ ลมเพลมพัดก็จะเข้าแทรกได้ทันที จิตวิญญาณต่ำก็เข้าแฝง ที่เขา
    เรียกว่า " ดวงตก " พอดวงตกผีก็ซ้ำ มารก็ขวาง วิญญาณก็แทรก
    ทุกข์ทั้งกายทั้งใจเลยละทีนี้ อย่าวิ่งไปหาและขอความช่วยเหลือจากใคร
    เลย เร่งสร้างบุญบารมีกันเถอะ จะได้หมดทุกข์หมดโศกมีแต่ความสุขกัน
    ทุกๆคนเสียที .........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤษภาคม 2010
  5. ying_tuy

    ying_tuy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    277
    ค่าพลัง:
    +1,120
    ถ้าเรารู้เหตุแห่งวิบากกรรม แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรเราทุกวัน อาจจะช่วยบรรเทาวิบากกรรมลงได้ ผ่อนหนักให้เป็นเบา หรือสวดมนต์ไหว้พระของหลวงพ่อจรัส เราว่าได้ผลดีจริงๆคะ
     
  6. acspclubs

    acspclubs เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +579
    ตั้งใจปฏิบัติธรรมครับ

    เจ้ากรรมนายเวรจะเอาอานิสงส์จากการปฏิบัติ แทน ชีวิต ทรัพย์สิน หรืออื่นๆ

    รักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ ทำบุญทำทานมากๆ นะครับ

    อนุโมทนา
     
  7. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    จะตอบทีละประเด็นนะครับ

    1 ทุกคนเกิดมาต้องมีกรรมใช่ไหม ?

    ใช่ครับ และก็โดยทั่วไป ทุกคนก็มีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว เกิดมาเพื่อมาเสวยผลของกรรมนั้น และมาทำกรรมเพิ่ม แต่ถ้าไม่ต้องเกิดเลย ก็เป็นการหลุดพ้นไปจากบ่วงกรรม ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว แต่ตราบใดที่ต้องมาเกิดอยู่ ก็หลีกหนีไม่พ้นกับคำว่า "กรรม"

    2 วิบากกรรมจะกินเวลายาวและนาน ขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรบ้าง

    ขึ้นอยู่กับว่า

    1 ส่งผลหรือยัง ถ้ายังไม่ส่งผล กรรมนั้นก็จะเป็นเงาตามตัว ที่จะสลัด ก็สลัดไม่หลุด รอเวลาส่งผลเท่านั้นเอง
    2 เมื่อส่งผลแล้ว กรรมนั้นได้มีการใช้ ชดใช้ หรือเสวยผลกรรมหมดสิ้นหรือยัง ซึ่งตรงนี้ไม่มีใครตอบได้ว่า เมื่อกรรม (ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว) ตามทัน ผลแห่งกรรมนั้นจะสิ้นสุดเมื่อไหร่

    3 ถ้าเรารู้เหตุแห่งกรรมและที่มาแล้ว พยายามทำดี อุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวร เค้าจะเลิกจองเวรมั้ย และจะช่วยย่นระยะเวลาวิบากกรรมให้สั้นลงมั้ย

    คำตอบก็คือ มีความเป็นไปได้สูงที่เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรมให้กับเรา ด้วยพลังบุญที่เราอุทิศให้ทุกๆวัน ก็ถือว่าเป็นการย่นระยะเวลาวิบากกรรมให้สั้นลง

    เรื่องการทำกรรมนี้ ต้องเข้าใจว่าการทำกรรมชั่วนั้น ก่อให้เกิดผล 2 ประการคือ

    1 ถูกลงโทษจากกฎที่ตราไว้ เป็นกฎที่บังคับกับทุกคน ไม่เลือกยากดีมีจน เรียกว่ากฎแห่งกรรม
    ถ้าจะเห็นภาพก็คือ ถูกทรมานในนรกนั่นแหละ หรือถ้าจะเปรียบเทียบในทางโลกก็คือ เราฆ่าคน เราก็ต้องถูกจำคุกหรือประหารชีวิต เป็นไปตามกฎหมายบ้านเมือง

    2 มีเจ้ากรรมนายเวร หรือถ้าจะเปรียบเทียบกับในทางโลกก็คือ "เจ้าทุกข์" ซึ่งจ้องจะทำร้ายเรา เป็นความอาฆาตส่วนตัว ตรงนี้ก็จะเกิดการทำร้ายกันไปมาชนิดข้ามภพข้ามชาติ

    เพราะฉะนั้น วิบากกรรม (ซึ่งผมแปลของผมเองอย่างง่ายๆว่า กรรมที่ทำให้เกิดความลำบาก) ก็จะประกอบด้วย

    1 เศษกรรม หลังจากที่เราใช้กรรมในนรกแล้ว
    2 แรงอาฆาตของเจ้ากรรมนายเวร

    การอุทิศส่วนกุศลนั้น่ จะไปช่วยลดการจองเวรของเจ้ากรรมนายเวร ถือว่าเป็นการบรรเทาเบาบางวิบากกรรมลงส่วนหนึ่ง แต่ในส่วนของเศษกรรมนั้น คงไม่ได้
    ตัวอย่างเศษกรรมเช่น พอเกิดมาก็ปัญญาอ่อน ตรงนั้นแหละเป็นวิบากกรรม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วไปทำกรรมอะไรมา แม้ชดใช้ไปบ้างแล้ว แต่เศษของกรรมนั้นยังส่งผลอยู่ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องน่ากลัวมาก เพราะเพียงแค่เศษกรรม ยังเจอขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นผลกรรมแบบเต็มๆละ ?

    สิ่งที่สำคัญกว่าเรื่องที่รู้ว่า กรรมจะส่งผลเมื่อไหร่ สิ้นผลเมื่อไหร่ มีที่มาที่ไปอย่างไรนั้น ก็คือ "เมื่อเราต้องผจญกับวิบากกรรม แล้วเราจะทำอย่างไร ?"

    นั่นแหละ เป็นสิ่งที่สำคัญกว่า.....
     

แชร์หน้านี้

Loading...