เสียงธรรม สติเป็นนายคุมงาน

ในห้อง 'ธรรมเพื่อความหลุดพ้น' ตั้งกระทู้โดย J.Sayamol, 24 สิงหาคม 2011.

  1. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    [​IMG]

    ไม่มีกิเลสเข้าแทรกเลยทั้งๆที่กิเลสมีอยู่ในพระทัยของพระองค์แต่ไม่ให้มีกิเลสโผล่ออกมาเป็นกิริยาอาการต่างๆเราคิดดูซินั่นถึงสมชื่อว่าผู้ขังกิเลสจะฆ่ากิเลสไม่ยอมให้กิเลสมันโผล่ออกมาในแง่ใดโดยความแพ้มันหรือว่าโดยที่อนุโลมมันหรือโดยเห็นแก่กับมันอย่างนี้ไม่มีนั่นละให้ถือเป็นตัวอย่าง พุทฺธํสรณํคจฺฉามิ ให้ถืออย่างนั้นอย่ามาถือเล่นๆ ธมฺมํสรณํคจฺฉามิ ออกมาจากวิธีการอย่างนี้ธรรมะถึงได้ปรากฏขึ้นมาสงฺฆํสรณํคจฺฉามิท่านปฏิบัติอย่างนี้ทั้งนั้นท่านไม่ทำเล่นๆ

    นี่เราได้เคยพูดเสมอให้เป็นที่ลงใจกับหมู่เพื่อนให้ถึงใจว่าไม่มีการปราบปรามไม่มีการต่อสู้ไม่มีงานใดที่จะหนักยิ่งกว่างานปราบปรามกิเลสต่อสู้กิเลสถอดถอนกิเลสภายในจิตใจซึ่งเป็นสิ่งที่แหลมคมมากมาเป็นเวลานานบนหัวใจสัตว์โลกเพราะฉะนั้นสัตว์โลกทั้งหลายจึงต้องยอมจำนนโดยหาทางต้านทานไม่ได้ไม่คิดไม่สำนึกในโทษของมันจึงไม่คิดสนใจที่จะหาวิธีต่อต้านมันยอมมันอย่างราบด้วยกันทั้งนั้นทั้งสามโลกธาตุไม่มีใครเก่งกว่าใคร

    มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นทรงขุดค้นศาสตราอาวุธขึ้นมาต่อสู้กับเรื่องของกิเลสและทรงเห็นโทษของกิเลสมีความเกิดแก่เจ็บตายอันเป็นผลของกิเลสเป็นสำคัญที่พระองค์ทรงทราบค้นจนเจอจึงได้มาให้พวกเราทั้งหลายปฏิบัติตามวิธีการของพระองค์ซึ่งเหมือนกับว่าอะไรก็ปรับปรุงมาเรียบร้อยหมดแล้วมีแต่จะล้างมือเปิบเท่านั้นก็ขี้เกียจมันก็หมดหนทางละถ้าลงเป็นอย่างนั้นแล้ว

    สฺวากฺขาโตภควตาธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้วไม่เรียกว่าปรุงสำเร็จรูปมาแล้วจะเรียกว่ายังไงคัดค้านธรรมพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วนั้นคัดค้านได้ที่ตรงไหนไม่ว่าธรรมบทใดบาทใดขั้นใดภูมิใดของธรรมเป็นสวากขาตธรรมล้วนๆทั้งนั้นจะไม่เรียกว่าปรุงมาเรียบร้อยแล้วได้ยังไงถ้าเป็นอาหารก็พร้อมแล้วที่จะรับประทานเพียงแต่เราจะล้างมือมาเปิบเท่านั้นมันก็จะตายแล้วจะทำยังไง

    นี่เราเพียงแต่ปฏิบัติตามหลักธรรมที่พระองค์ทรงสั่งสอนไว้เท่านั้น ก็เป็นไปไม่ได้ยังคอยให้แต่กิเลสเหยียบย่ำทำลายตลอดเวลาทั้งขณะที่ประกอบความพากเพียรอยู่ด้วยท่าต่างๆก็มีแต่เรื่องของกิเลสเหยียบย่ำทำลายอยู่ตลอดมาไม่มีเรื่องของธรรมได้เหยียบย่ำทำลายกิเลสบ้างเลยแล้วเราจะหวังเอาความชนะกิเลสได้ที่ตรงไหนแล้วจะหวังความหลุดพ้นไปได้ที่ตรงไหนมันไม่มีทางถ้านักปฏิบัติไม่จริงไม่จังต่อสู้กับกิเลสด้วยความเห็นโทษของมันและด้วยความเห็นคุณค่าของธรรมในการต่อสู้ฝ่ายเหตุและผลของธรรมคือความเลิศประเสริฐที่หลุดพ้นจากกิเลสซึ่งเป็นเครื่องกดขี่บังคับมาเป็นเวลานานแล้วเราหวังเอาผลประโยชน์อะไรต้องเอาอย่างนั้นซิ

    นี่ได้เคยต่อสู้มาแล้วถึงพูดอย่างเต็มปากให้หมู่เพื่อนฟังแต่ก่อนก็ไม่ได้คิดอะไรมากเวลาได้เข้าต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้แล้วถึงได้รู้ว่ามันหนักหนักจริงๆหนักแทบล้มแทบตายไม่มีเวลาที่จะมองดูเมฆดูหมอกเดือนดาวตะวันได้เต็มหูเต็มตาคิดอะไรได้อย่างสะดวกสบายใจเลยเมื่อกิเลสยังครอบหัวใจอยู่มีแต่เรื่องการกระทบกระเทือนหรือการเหยียบย่ำทำลายจากกิเลสและการต่อสู้กับกิเลสไม่ลดละเท่านั้นจึงพอมีช่องมีทาง

    อะไรจะแหลมคมยิ่งกว่ากิเลสก็เคยพูดแล้วนี่มันแทรกออกมาทุกระยะๆทั้งๆที่เราคิดในแง่อรรถแง่ธรรมแง่ของกิเลสแทรกมาด้วยๆถ้าสติปัญญาไม่ฉลาดแหลมคมจริงๆไม่ทันกับกลมายาของกิเลสที่แทรกธรรมมาโดยลำดับๆเหมือนอย่างลัทธิเขาแทรกธรรมเหยียบศาสนาไปในตัวเอาศาสนาออกเป็นโล่บังหน้าไปเรื่อยและเหยียบศาสนาไปในตัวนี่กิเลสก็เหมือนกันเราว่าเราทำความเพียรแต่เรื่องของกิเลสมันแทรกออกมาในความเพียรของเรานั้นเราไม่ทราบได้ไม่นานก็เดี๋ยวหงายลงเวทีไปแล้ว

    ต้องคิดให้มากผู้ปฏิบัติอย่าอยู่เฉยๆนักปฏิบัติไม่คิดไม่ไตร่ไม่ตรองไม่ขยันหมั่นเพียรไม่อดไม่ทนไม่มีใครทำได้ในโลกนี้เพราะศาสดาองค์เอกเอกทุกอย่างทางฝ่ายการบำเพ็ญทางภาคปฏิบัติก็ไม่มีใครสู้ไม่ว่าจะเป็นความพากเพียรความอดความทนความพิจารณาไตร่ตรองทุกแง่ทุกมุมอันเป็นเหตุแห่งความดีแล้วพระพุทธเจ้าทรงเลิศโลกทั้งนั้นจึงได้ผลอันเลิศโลกมาสั่งสอนโลกให้ได้พอลืมหูลืมตาบ้างอย่างพวกเราทั้งหลายได้ปฏิบัติอยู่เวลานี้

    ยังจะถือว่าเราเป็นคนได้รับความลำบากลำบนไม่ได้คำนึงถึงพระพุทธเจ้าผู้ทรงบำเพ็ญหรือบุกเบิกมาก่อนบ้างแล้วมันก็หมดหนทางแหละมาคิดเห็นแต่ตัวลำบากอย่างเดียวนั่นแหละคือทางท้อถอยทางแพ้อยู่ตรงนั้นเมื่อมีความจำเป็นมาจิตใจจะท้อถอยด้วยอาการใดโดยกลมายาของกิเลสเราต้องยกธรรมขึ้นแก้เสมอๆนั้นจึงเรียกว่านักต่อสู้สติปัญญาค้นคิดมาแก้กันในเวลานั้นนี่เอาให้มันเห็นชัดๆอย่างนี้ซิ

    เดินจงกรมอยู่นี่สถานที่นี่มันไม่มีเสือไม่น่ากลัวไปอยู่ป่าที่มีเสือเดินจงกรมอยู่เสือกระหึ่มๆขึ้นข้างทางจงกรมตามบริเวณเหล่านั้นตัวสั่นเสียแล้วนั่นเป็นยังไงตัวสั่นแล้วมันต้องมีทางออกละที่นี่กิเลสน่ะไม่ใช่ธรรมพาหาทางออกนะหาทางออกจากกิเลสมีแต่เรื่องของกิเลสจะหาทางผูกมัดเรากลัวกลัวตายทีนี้สติปัญญามียังไงขุดค้นขึ้นมาใช้เวลานั้นเอาจนมันเดินจงกรมแข่งเสียงเสือไปได้อย่างสบายไม่สะทกสะท้านนั่นจึงชื่อว่าเป็นนักต่อสู้ด้วยสติปัญญาตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าจริงๆไม่ใช่ต่อสู้แบบหมอบให้เขาไปตีเอาเตะเอาเฉยๆต้องต่อสู้โดยวิธีการความแยบคายของตนเอง

    นี่อย่างนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญอันหนึ่งเป็นอุบายที่จะเกิดขึ้นในขณะนั้นมันจนตรอกคือเราไม่ถอยนี่ถอยขึ้นมามันก็ได้ใจแพ้อยู่ไปให้หนักแผ่นดินทำไมพอได้ยินเสียงเสือกระหึ่มๆโดดเข้าหาที่พักหาที่กำบังหาที่หลบภัยเข้าใจว่าตนฉลาดมันโง่จะตายแล้วนี่ถ้าเป็นนักธรรมะเรียกว่าโง่จะตายหนักศาสนา

    ทำยังไงจึงจะไม่หนักศาสนาก็ต้องต่อสู้ด้วยวิธีการอันนี้เอ้าตายก็ตายโลกนี้เป็นโลกเกิดแก่เจ็บตายเราตายในสนามรบไม่เป็นไรเสือกินเราแล้วมันก็จะตายเหมือนกันธาตุกินธาตุพิจารณาแยกออกไปทุกแง่ทุกมุมสุดท้ายจิตใจก็สง่าผ่าเผยขึ้นมาองอาจกล้าหาญขึ้นมาค้นหาเรื่องความตายมันเลยไม่มีมีแต่ธาตุ๔ดินน้ำลมไฟค้นขุดกันไปขุดกันมาจนกระทั่งจิตมันตายไม่เป็นมันกลัวหาอะไรมันตายไม่เป็นไม่ใช่กิเลสหลอกจะเป็นอะไรหลอกวะนั่นมันรู้แล้วเดินอย่างสง่าผ่าเผย

    เอ้าสมมุติว่าเสือเดินเข้ามาทางจงกรมที่เรากำลังเดินนั้นไม่มีถอยเดินเข้าไปลูบคลำหลังมันจนได้เลยนี่เคยทรมานมาไม่รู้กี่ครั้งแบบนี้นะจึงได้กล้ามาพูดให้หมู่เพื่อนฟังเอาจริงเอาจังอย่างที่ว่าเดินบุกป่าฝ่าดงไปกลางค่ำกลางคืนนี้ก็ทำจะเป็นอะไรพูดอวดหาประโยชน์อะไรพูดเพื่อเป็นคติเราได้ผลอย่างนั้นเราก็หาอุบายวิธีการตามที่ได้ผลมาแล้วนั้นมาสั่งสอนหมู่เพื่อนสมกับตนเป็นครูเป็นอาจารย์ที่จะให้คติแก่หมู่เพื่อนได้มากน้อยเพียงไรก็ต้องนำมาสอน

    เราไม่ได้สอนแบบโอ้อวดไม่ได้สอนแบบไม่จริงเอามาสอนเราทำมาจริงอย่างนั้นและได้ผลมาจริงๆด้วยเห็นชัดทุกครั้งไม่มีพลาดถ้าลงจิตได้เด็ดแล้วเอ้าขาดหัวใจจะขาดขาดไปชีวิตจะขาดขาดไปแต่เรื่องการต่อสู้ไม่ถอยนักรบถอยไม่ได้สัจจะความจริงมีอยู่ภายในจิตใจแพ้ไม่ได้ตายก็ตายเถอะแต่อย่าให้จิตได้แพ้ก็แล้วกันร่างกายนี้มันสุดวิสัยอะไรจะเอาไปกินๆแต่จิตใจซึ่งเป็นนักต่อสู้เพื่ออรรถเพื่อธรรมเพื่อชัยชนะนี้จะถอยไปไม่ได้

    หนักเข้าๆก็ล้มละลายกิเลสความกลัวอะไรๆแตกกระสานซ่านเซ็นไปหมดยังเหลือแต่ความสง่าผ่าเผยด้วยสติปัญญาองอาจกล้าหาญรอบตัวทีนี้ไม่มีกลัวอะไรเลยแม้เสือจะเดินเข้ามาต่อหน้าต่อตาก็เดินเข้าไปหามันได้อย่างสบายไม่มีสะทกสะท้านนั่นฟังซิมันเป็นอย่างนั้นจริงๆนี่จิตเวลามันกลัวเหมือนตัวสั่นมันเหมือนจะตายจริงๆในขณะนั้นทีนี้พอจิตทรมานความกลัวได้อย่างประจักษ์แล้วความกล้าหาญเกิดขึ้นมาเหมือนกับว่าจะตัวสั่นนะ

    เอ้าทีนี้อะไรเข้ามามาเถอะโน่นน่ะมันอาจหาญท้าทายเสือเดินเข้ามานี้เราก็จะเดินไปหาเสือได้อย่างสบายไม่สะทกสะท้านแต่เสือจะเอาไปกินหรือไม่กินมันไม่ได้คิดนะมันทราบอยู่ชัดๆภายในจิตใจว่าไม่มีสะทกสะท้านไม่มีกลัวเลยเดินเข้าไปลูบคลำหลังมันได้อย่างสบายอ่อนนิ่มในหัวใจถ้าพูดถึงเรื่องอ่อนถ้าพูดถึงเรื่องแข็งก็แข็งแกร่งเลยเทียวนั่นเมื่อจิตได้ลงถึงที่มันแล้วมันอ่อนก็เลยกลายเป็นความเมตตากับสัตว์ไปสพฺเพสตฺตาอันว่าสัตว์ทั้งหลายนี้เข้ากันได้หมดไม่มีว่าสพฺเพสตฺตา สัตว์เสือจะกินหัวคนไม่มีเป็นอย่างนั้นมันก็แสดงให้เกิดความกลัวอันนี้มันไม่มี สพฺเพสตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้นมันลงนั้นอย่างถึงใจเลยเดินอย่างสง่าผ่าเผยอะไรจะมามันก็ไม่เคยสนใจเลยมีแต่ความรู้ที่เด่นดวงอยู่ภายในร่างของเรานี่

    อะไรจะมีอำนาจยิ่งกว่าหัวใจเวลาฝึกฝนทรมานได้แล้วนี้ก็เป็นอุบายวิธีหนึ่งที่ทำได้ผลมาแล้วนี่อย่างเด็ดๆนี่ก็เป็นเด็ดอันหนึ่งคือเอาชีวิตแลกเลยเทียวเอ้าตายก็ตายไม่ถอยจะเดินบุกป่าฝ่าดงไปนี้เอาจนมันได้เหตุได้ผลไม่ได้เหตุได้ผลไม่กลับใครจะว่าบ้าก็ช่างเถอะเราไม่ได้เป็นบ้าเราทรมานกิเลสของเราต่างหากอันนี้ก็ได้ผลไปด้วยความกลัวกลับมาด้วยความกล้าหาญชาญชัยสง่าผ่าเผยมาเดินจงกรมอย่างสบายรู้แล้วกลมายาของกิเลสหลอกกูหลอกอย่างนี้เองมันรู้อย่างนั้นชัดๆ

    เกิดขึ้นมาคราวหลังเอาเหรอนั่นเพราะมันเคยได้ผลมาแล้วนี่มันได้เห็นทางชัยชนะมาแล้วหือเอาอีกเหรอวันนี้หมอบเลยเทียวนี่ก็เป็นเรื่องเด็ดอันหนึ่งที่ได้ปฏิบัติมาได้เด่นในจิตใจเจ้าของประจักษ์ไม่เคยลืมเลยคือนี้วิธีหนึ่ง

    วิธีที่สองก็คือนั่งอย่างที่เคยพูดให้ฟังแล้วนั้นทุกข์นั่นแหมมันแสนสาหัสเหมือนตัวสั่นไปหมดทั้งร่างเลยกระดูกทุกชิ้นทุกท่อนมันจะขาดสะบั้นออกจากกันให้ได้แต่สำคัญที่จิตมันไม่ถอยจากสัจธรรมในวงของทุกขเวทนาเป็นต้นซึ่งเกี่ยวโยงกับกายแยกกายแยกเวทนาแยกกายตามสัดส่วนของมันที่มันมีความทุกข์มากน้อยอยู่เพียงไรตรงไหนเป็นจุดสำคัญแห่งทุกข์ที่เกิดขึ้นแยกแยะอยู่ตรงนั้นสติปัญญาหมุนติ้วๆอยู่นั้น

    คำว่าหายไม่หายไม่ต้องไปสำคัญเสียเวลาเอาให้มันเห็นความจริงเกิดขึ้นจากที่ไหนทุกข์ไล่กันไปไล่กันมาจนกระทั่งถึงหนังเนื้อเอ็นกระดูกอะไรเป็นทุกข์แยกดูเวทนาเวทนามันบอกมันเป็นทุกข์ไหมมันก็ไม่มีสักแต่ว่าเป็นความจริงอันหนึ่งเท่านั้นเวลามันพิจารณารอบกันแล้วกายก็สักแต่ว่าเป็นกายเท่านั้นอาการแต่ละอาการเป็นสักแต่ว่าอาการแต่ละอาการเป็นความจริงตามหลักธรรมชาติของตนอยู่อย่างนั้นเขาไม่ได้ว่าเขาเจ็บเขาปวดเขาทุกข์เขาลำบากทุกขเวทนาเกิดขึ้นมาเขาก็ไม่ได้หวังจะให้ร้ายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดมันเป็นความจริงแต่ละอย่างๆ

    เวลาปัญญาสอดแทรกเข้าไปให้เต็มที่เต็มฐานจนเข้าใจได้อย่างชัดเจนแล้วต่างอันต่างจริงกายก็จริงตามสภาพของกายเวทนาก็จริงตามสภาพของเวทนาจิตก็จริงตามสภาพของจิตและมาเห็นโทษแห่งความสำคัญมั่นหมายของจิตเสียอีกกระแสของจิตมันออกไปสำคัญมั่นหมายพอไล่กันเข้ามาๆไม่มีที่ไปแล้วก็วิ่งเข้าจิตเข้าไปสู่ความจริงเสียอยู่อยู่เท่าไรก็อยู่ได้อาจหาญชาญชัยเต็มที่อย่าว่าแต่ทุกขเวทนาเพียงเท่านี้เลยในเวลาตายมันยังจะหนักกว่านี้

    ถ้าลงขณะนี้สู้ไม่ได้แล้วเวลาตายจะเอาอะไรมาสู้วะเพียงเท่านี้สู้ไม่ได้แล้วมีอย่างหรือจะไปสู้กันในขณะตายนู้นเอ้าต้องสู้ให้รู้ในเวลานี้นี้ก็คือสัจธรรมเวลาจะตายก็คือสัจธรรมถ้าไม่รู้สัจธรรมตรงนี้เวลาจะตายก็หารู้สัจธรรมได้ไม่ฟัดกันลงเต็มเหนี่ยว

    แต่ขณะนั้นจิตจะออกไปไหนไม่ได้นะจึงเรียกว่าเข้าสนามรบตะลุมบอนจะแย็บออกไปข้างนอกไม่ได้เป็นอันขาดขุดค้นกันแหลกลงที่นั่นทุกขเวทนาแสดงมากเท่าไรสติปัญญายิ่งหมุนติ้วๆๆไม่งั้นไม่ทันกาลนี่นะมันก็รู้ขึ้นมาๆเข้าใจขึ้นมาเรื่อยๆประจักษ์นี่ละรู้ความจริงรู้อย่างนี้อ๋ออย่างนี้เหรอที่ว่าทุกข์เป็นของจริงเป็นอย่างนี้เหรอมันเข้าใจชัดอุบายวิธีอย่างนี้มีแต่อุบายวิธีที่เด็ดกิเลสให้เห็นประจักษ์ภายในจิตใจของตนเองนี่ก็ได้นำมาสอนหมู่เพื่อน

    คนเรามันไม่ได้โง่ตลอดไปส่วนมากเป็นปกติของนิสัยของมนุษย์เราหวังพึ่งแต่ผู้อื่นมาตั้งแต่เด็กจนโตไม่หวังจะพึ่งตัวเองเลยแต่เวลาเข้าจนตรอกจนมุมอย่างนั้นมันหาที่พึ่งไม่ได้นี่จะไปพึ่งใครก็พึ่งไม่ได้แล้วมันก็ต้องย้อนเข้ามาพึ่งตัวเองเมื่อพึ่งตัวเองก็ช่วยตัวเองละที่นี่จะยอมให้ตนล่มจมไปได้ยังไงคนเราเมื่อหวังความปลอดภัยไร้ทุกข์อยู่กับตัวอยู่แล้วจะต้องขุดค้นลงไปจนกระทั่งถึงเอาตัวรอดเป็นยอดดีนี่วิธีหนึ่งไปได้นี่ละการปฏิบัติธรรมะ

    เราจะได้รับความทุกข์มากน้อยเพียงไรก็ตามขอให้ทุ่มลงไปเพื่อความเพียรถอดถอนกิเลสนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่าไปสละกำลังวังชาความคิดความอ่านกับสิ่งภายนอกให้เสียเวล่ำเวลาเสียสติปัญญาเสียกำลังวังชาไปเปล่าๆไม่เกิดประโยชน์อะไรแต่การทุ่มสติปัญญาศรัทธาความเพียรกำลังวังชาทุกแง่ทุกมุมทุกหยดทุกหยาดฟาดลงไปในความเพียรเพื่อถอดถอนกิเลสนี้เป็นคุณสมบัติอย่างยิ่งทุกๆประโยคแห่งความเพียรนี่กิเลสหลุดลอยไปได้กิเลสขาดสะบั้นไปได้ด้วยกำลังวังชาเหล่านี้

    เราจึงชมเชยเรื่องการประกอบความเพียรเพื่อถอดถอนกิเลสทุกข์มากน้อยเพียงไรเอาเถอะไม่ตายนักปฏิบัติซึ่งเป็นผู้ใคร่ต่อสติปัญญาอยู่แล้วจะต้องขุดค้นขึ้นมาช่วยตัวเองจนได้แหละเป็นอื่นไปไม่ได้กำลังวังชาของเรามีเท่าไรให้ทุ่มเข้ามาเพื่อแก้กิเลสอย่าไปทุ่มออกไปภายนอกเรื่องนั้นเรื่องนี้สร้างนั้นสร้างนี้ยุ่งกับนั้นยุ่งกับนี้ซึ่งเป็นสิ่งภายนอกมีตั้งแต่เสี้ยนแต่หนามที่จะมาทิ่มแทงจิตใจของเราให้เกิดความวุ่นวายส่ายแส่หาหลักฐานของจิตใจไม่ได้เลยจนกระทั่งวันตายเป็นประโยชน์อะไรอย่างนั้น

    การปฏิบัติธรรมต้องเอาให้มันจริงมันจังภายในจิตใจแล้วจะรู้ขึ้นมาไม่สงสัยแหละสัจธรรมอยู่ตรงนี้ทุกข์ไม่ว่าทุกข์กายทุกข์ใจมีอยู่ที่ร่างกายและจิตใจนี้สมุทัยก็ได้แก่กิเลสตัณหาทุกประเภทเรียกว่าสมุทัยทั้งนั้นแต่ท่านสรุปความลงย่อๆว่ากามตัณหาภวตัณหาวิภวตัณหานนฺทิราคสหคตาตตฺรตตฺราภินนฺทินีอันสหรคตไปด้วยความกำหนัดยินดี เพลิดเพลินรื่นเริงบันเทิงจนลืมเนื้อลืมตัว ได้แก่กามตณฺหาภวตณฺหาวิภวตณฺหารวมลงมานี้ยอดใหญ่มันอยู่ตรงนี้นี่ก็เป็นความจริงอันหนึ่งอยู่ที่ไหนก็อยู่ที่จิตมรรคได้แก่ข้อปฏิบัติอุบายวิธีการต่างๆทั้งประโยคพยายามทั้งอุบายวิธีต่างๆที่จะถอดถอนกิเลสด้วยประโยคพยายามนั้นเช่นเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา

    หลักสำคัญก็คืออุบายวิธีที่จะทำให้กิเลสสงบตัวลงไปหนึ่งทำกิเลสให้ขาดลงไปโดยลำดับๆจนขาดสะบั้นจากใจหนึ่งนี่ท่านเรียกว่ามรรคมรรคคืออะไรท่านสรุปลงว่าศีลสมาธิปัญญาสมาธิปัญญาเป็นหลักสำคัญศีลเรารักษากันอยู่แล้วไม่ได้สงสัยแล้วสมาธิมันไม่สงบเพราะเหตุไรจึงไม่สงบฟาดกันลงไปซีให้มันเห็นความสงบทำไมสงบไม่ได้ธรรมที่ท่านสอนนี้สอนเพื่อความสงบทั้งนั้นเช่นอารมณ์ของสมถะมีอะไรบ้างจะบริกรรมก็เอาให้มันจริงมันจัง

    จะกำหนดอะไรเพื่อสมถะก็ให้มันจริงจังในหลักของสมถะมันก็ต้องสงบจนได้หรือมันไม่สงบด้วยวิธีนี้จะสงบด้วยปัญญาตีต้อนเข้ามาให้มันหมอบราบลงก็ได้อย่างที่ว่าปัญญาอบรมสมาธิซึ่งเคยได้ทำมาแล้วจึงกล้าเขียนกล้าเทศน์เราได้ทำมาแล้วด้วยได้เห็นผลมาแล้วด้วยจึงกล้าพูดกล้าเขียนนี่เป็นอุบายวิธีสองอย่างอย่างที่ปัญญาอบรมสมาธินี้มันสงบได้อย่างอาจหาญอันนี่สงบอย่างเต็มที่ด้วยอาจหาญด้วย

    สงบลงธรรมดาตามอารมณ์ของสมถะนี้ไม่ค่อยอาจหาญสงบลงธรรมดาๆถ้าพูดตามผลของมันก็ไม่แนบแน่นเหมือนปัญญาตีต้อนเข้ามาเวลามันคึกคะนองนั้นเป็นเวลาที่ปัญญาจะต้องใช้อย่างเต็มเหนี่ยวเทียวเอาให้มันหมอบเมื่อปัญญาทันแล้วมันไปไหนไม่ได้ละมันหมอบเลยนี้ก็เรียกว่าสมถะ

    ทำไมจะมีไม่ได้อุบายวิธีที่จะทำจิตให้มีความสงบท่านสอนไว้ไม่รู้กี่แง่กี่กระทงวิปัสสนาคืออะไรแปลว่าปัญญาไตร่ตรองพินิจพิจารณาตามเหตุตามผลของร่างกายและอาการของจิตที่แสดงขึ้นมามากน้อยเป็นไปในแง่ใดบ้างปัญญาสอดส่องมองตามมันไปเสมอสติเป็นผู้ควบคุมงานเผลอไม่ได้สติเป็นหลักสำคัญมากประจำงานไม่ว่าจะงานของสมถะงานวิปัสสนาสติเป็นสิ่งสำคัญนายควบคุมงานคือสติเรายกย่องเราเห็นคุณค่าเหลือเกินสตินี่ดังที่ท่านว่าสติสพฺพตฺถปตฺถิยาสติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวงฟังซิที่ทั้งปวงเป็นไรมีเว้นที่ตรงไหนนั่นสติเป็นของสำคัญ

    เอาให้มันเห็นซิร่างกายนี้ก็ไม่มากไม่น้อยอะไรนี่ทำไมปัญญาแทงทำไมไม่ทะลุเอาข้างนอกมาพิจารณาเทียบเคียงกับภายในถ้าพูดถึงเรื่องอสุภะอสุภังมันก็เต็มไปด้วยกองอสุภะอยู่แล้วป่าช้าผีดิบเราเห็นกันอยู่ชัดๆในร่างกายของเราและร่างกายของสัตว์ของบุคคลใดก็ตามมันก็เต็มตัวอยู่แล้วตามหลักความจริงแต่จิตมันถูกกิเลสลากเถลไถลไปทางอื่นเสียไปเสกสรรปั้นยอเอาของไม่จริงว่าสวยว่างามว่าน่ารักใคร่ชอบใจมันหาความน่าสวยน่างามน่ารักใคร่ชอบใจที่ตรงไหนเรายังไปยอมเชื่อมันได้ของไม่จริงของจริงก็คืออสุภะอสุภังเต็มตัวทั้งภายนอกภายในนี่เป็นความจริงตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • a2-06-2523.wma
      ขนาดไฟล์:
      10.6 MB
      เปิดดู:
      1,281
  2. J.Sayamol

    J.Sayamol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2008
    โพสต์:
    6,190
    ค่าพลัง:
    +21,530
    ค้น เข้ามาให้มันเห็นความจริงอันนี้จิตมันจะเตลิดเปิดเปิงไปไหนเมื่อจิตยอมรับ ปัญญาที่ซาบซึ้งตามความจริงแล้วมันก็ต้องหมอบมันต้องถอยตัวเข้ามาเท่านั้น เองนี่เรื่องของปัญญาพิจารณาภายนอกก็ได้เรื่องอสุภะอสุภังนี่เป็นหลักใหญ่ สำหรับจิตในภูมิกิเลสตัณหากามราคะเอาอสุภะอสุภังให้มากต่อจากนั้นไปก็แยก เป็นอนิจฺจํทุกฺขํอนตฺตาไปละเอียดไปโดยลำดับสุดท้ายก็ลงอนตฺตา

    นี่การพิจารณามามันคงจะเป็นความถนัดตามจริตนิสัยสำหรับเราพิจารณาลงไปๆแล้วมันไปรวมอนตฺตาหมดพอถึงอนตฺตาแล้วสุดท้ายมันก็เป็นอนตฺตาทั้งปวงสพฺเพธมฺมานาลํอภินิเวสายธรรมทั้งปวงไม่ควรถือมั่นคำว่าไม่ควรถือมั่นอะไรมันเป็นอนตฺตาทั้งสิ้นสพฺเพธมฺมาอนตฺตาธรรมทั้งปวงเป็นอนตฺตาธรรมทั้งปวงก็หมายถึงสมมุติทั้งมวลนั่นเป็นอนตฺตาทั้งสิ้นปล่อยหมดถึงขั้นที่ควรจะปล่อยหมดแล้วสพฺเพธมฺมาอนตฺตาธรรมทั้งปวงเป็นอนตฺตาสิ้น นั่นท่านบอกธรรมทั้งปวงไม่ควรถือมั่นถึงขั้นแล้วไม่ถือมั่นปล่อยหมดตัวเอง ผู้ปล่อยก็ไม่ถือมั่นในตัวเองรู้รอบขอบชิดอดีตอนาคตปัจจุบันรู้เท่าทันทั้ง นั้นปล่อยขาดสะบั้นไปหมดไม่มีสิ่งใดเหลือนี่อำนาจของปัญญาเป็นอย่างนี้นี่ละ สัจธรรม

    คำว่านิโรธๆคืออะไรก็ เป็นผลเกิดขึ้นจากมรรคที่ดับกิเลสไปโดยลำดับๆนั้นแลกิเลสดับมากน้อยความดับ ทุกข์ซึ่งเป็นผลของกิเลสมันก็ต้องดับไปตามหลักธรรมชาติของมันแต่ท่านแยกตาม อาการว่าทุกข์สมุทัยนิโรธมรรคท่านว่าอย่างนั้นมันก็เหมือนเราตามไฟขึ้นความ มืดมันก็ดับไปไม่ใช่ว่าตามไฟขึ้นแล้วจะไปเที่ยวหากำจัดความมืดมันหากเป็น อยู่ในฉากเดียวกันพอดับไฟลงพับความมืดก็ปรากฏขึ้นมาในขณะเดียวกันพอเปิดไฟ ขึ้นความสว่างเกิดขึ้นความมืดก็หายไป
    อันนี้พอปัญญาญาณได้ปรากฏขึ้นเต็มที่ความมืดไม่ว่าจะอยู่ในซอกใดมุมใดของจิตมันหายไปหมดรอบตัวไม่มีอะไรเหลือเลยนตฺถิปญฺญาสมาอาภาความ สว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มีปัญญาเป็นขั้นๆเริ่มเป็นความสว่างไปตามขั้นๆของ ปัญญาถึงขั้นสุดยอดแล้วเป็นมหาสติมหาปัญญาเป็นปัญญาวิมุตติที่นี่ว่าวิมุตติ อันใดปัญญาอันนั้นปัญญาอันใดสติอันนั้นถูกไม่มีค้านเมื่อถึงขั้นไม่ค้านแล้ว ค้านไม่ได้เป็นหลักธรรมชาติของความจริงอย่างนั้นเองแต่หลักของสมมุติที่จะ ก้าวเข้าสู่วิมุตติก็ต้องเป็นไปตามขั้นของตนเช่นมหาสติมหาปัญญาอันนี้เป็น ขั้นดำเนินมรรคเพื่ออรหัตมรรคจะฆ่ากิเลสอย่างละเอียดได้ด้วยอำนาจของมหาสติ มหาปัญญานี้

    พอผ่านกิเลสทุกประเภทไป หมดแล้ว ด้วยอำนาจของมหาสติมหาปัญญานี้แล้วธรรมทั้งสองคือมหาสติมหาปัญญานี้ก็หมด หน้าที่ไปเพราะอันนี้ก็เป็นสมมุติเหมือนกันไม่มีปัญหาจะเรียกว่ามหาสติมหา ปัญญาอย่างแต่ก่อนไม่ได้ไม่เรียกไม่ค้านเพราะอันนี้เป็นคู่กันกับกิเลส อวิชชาปราบกันตรงนั้นคู่ปราบกันพอเลยจากขั้นนั้นไปแล้วจะเรียกว่าสติจะเรียก ว่าปัญญาไม่สำคัญทั้งนั้นนอกจากมีเหตุอะไรเกิดขึ้นดังที่ท่านพูดไว้ในหลัก พระวินัยว่าเช่นพระอรหันต์ถูกโจทก์เป็นสังฆาฯปาราชิกอะไรอย่างนี้ท่านเป็น สติวินัยว่าอย่างนั้นเอามารับกันเท่านั้นเองท่านเป็นสติวินัยนั่นคือสมมุติ พูดง่ายๆว่าท่านบริสุทธิ์แล้วมีฐานะอะไรที่จะไปเกี่ยวข้องเหล่านี้นี่ไม่ใช่ ฐานะของท่านพูดง่ายๆยกออกมารับกันเพียงเท่านั้น

    ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ท่านเองท่านไม่ได้สำคัญตนท่านว่าท่านมีสติหรือท่านขาดสติประจักษ์อยู่ภายใน ใจก็คือบริสุทธิ์เต็มที่แล้วคือว่าหมดเรื่องสมมุติทั้งปวงภายในจิตใจแล้ว เท่านั้นนี่คือเต็มภูมิของภูมิจิตภูมิธรรมขั้นนั้นท่านหมดความสำคัญใดๆถึง นิพพานแล้วท่านก็ไม่ว่าคำว่านิพพานๆก็เป็นชื่ออันหนึ่งธรรมชาตินั้นเป็นอะไร ก็รู้อยู่กับใจแล้วสงสัยอะไรไปหาชื่อหาเสียงอะไรที่ไหนอีกนอกจากจะนำมาสอน โลกก็ต้องแยกแยะออกไปตามขั้นตามสมมุติ

    ขอให้ผู้ปฏิบัติทั้ง หลายจงหนักแน่นในการประพฤติปฏิบัติอย่าเห็นสิ่งใดว่าเป็นสิ่งสำคัญกว่าการ แก้กิเลสและอย่าเห็นโทษใดมีโทษยิ่งกว่าเรื่องของกิเลสและอย่าเห็นคุณใดมีคุณ ค่ายิ่งกว่าการปราบปรามกิเลสในฝ่ายมรรคและฝ่ายผลซึ่งเป็นของที่มีคุณค่า มหาศาลหาที่เปรียบไม่ได้แล้วในโลกสงสารนี้เอ้าเป็นกับตายก็ให้กำลังวังชามอบ ลงเพื่อการถอดถอนกิเลสอย่างเดียวอย่าให้ไปเสียเวล่ำเวลาความคิดความปรุง อะไรๆไปเปล่าๆโดยกิเลสไม่ถลอกปอกเปิกเลยสติปัญญามีมากน้อยให้ทุ่มเข้ามาตรง นี้ๆตรงกิเลสอยู่นี้

    คิดเรื่องอะไรให้เป็น เรื่องอรรถเรื่องธรรมเพื่อฆ่ากิเลสทั้งนั้นอย่าไปคิดเรื่องส่งเสริมกิเลส เพราะมันมีอยู่แล้วมันเต็มหัวใจอยู่เวลานี้เรายังไม่ทราบอยู่เหรอเอาให้มัน จริงมันจังซิ

    เราอยากรู้อยากเห็นหมู่ เพื่อนได้เห็นผลในการประพฤติปฏิบัติตามที่แนะนำสั่งสอนนี้เพราะเราสั่งสอน เต็มอรรถเต็มธรรมเต็มภูมิของเราจนกระทั่งเราไม่มีความสามารถที่จะสั่งสอน หมู่เพื่อนได้แล้วก็ให้มันรู้ว่ะถึงภูมิจิตภูมิธรรมขั้นใดเราจึงไม่สามารถ สั่งสอนหมู่เพื่อนได้อีกต่อไปแล้วก็ให้มันรู้เวลานี้ยังแน่ใจอยู่ว่ายังไม่ ได้จุใจกับหมู่เพื่อนในการประพฤติปฏิบัติที่รู้เห็นอันใดพอให้เราได้แก้มี แต่เทศน์อยู่อย่างงั้นจนหมดลมหมดแล้งจะตายไปเลยผลที่ปรากฏขึ้นมานี้ยังไม่ เห็น จึงไม่เป็นที่จุใจ

    อย่าเห็นอะไรสำคัญยิ่ง กว่าจิตนะสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงเครื่องอาศัยไปชั่วกาลชั่วเวลาบำบัดบรรเทา กันไปอย่างนั้นแหละพอให้มีกำลังวังชาต่อสู้กับกิเลสเรื่องสำคัญอยู่ที่ตรง นี้อย่าไปหาความสุขด้วยการกินการดื่มการหลับการนอนซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องทำ ให้กิเลสกระเทือนอันนั้นเป็นเครื่องอาศัยชั่วกาลชั่วเวลาพอบำบัดบรรเทากันไป เท่านั้นถือเพียงเท่านั้นอย่าไปถือเป็นสำคัญในเรื่องเหล่านั้นแล้วธรรมทั้ง หลายจะด้อยลงกิเลสจะพองตัวขึ้นมาโดยไม่รู้สึก

    จิตใจให้จ่อความมุ่งมั่น ให้หนักแน่นแล้วความเพียรก็จะตามกันมาความอดความทนความอุตส่าห์พยายามทุก ชิ้นทุกอันทุกด้านทุกทางจะหมุนตามกันมาเพราะความมุ่งมั่นนี้เป็นของสำคัญมาก


     
  3. สมบัติธรรม

    สมบัติธรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +29
    ขอบพระคุณครับ
    กราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ
     
  4. totccccc

    totccccc สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2011
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +24
    ธรรมะหลวงตาตรงดีจังเลยนะครับ

    สาธุครับ
     
  5. xmen123

    xmen123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    431
    ค่าพลัง:
    +152
    ขอ กราบ โมทนา สาธุ มาก ๆ ครับ +++
     

แชร์หน้านี้

Loading...