สอบถามเรื่อง ดวงแสงขาว ณ ศูนย์กลางกาย(ลิ้นปี่) มีแรงดึงดูดมหาศาลดึงจิตให้เข้าไปคืออะไร

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย กำลังเดินทาง, 16 สิงหาคม 2018.

  1. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    ขออนุญาตเพื่อนๆ พลังจิตน่ะครับ 1 - Copy.JPG

    แต่เดิม เคยถามเรื่องมีเกิดก่อนหน้านี้ไว้ใน ห้อง อภิญญา สมาธิ –

    แต่มาลองอ่านดูวัตถุประสงค์ของแต่ละห้องอีกหลายๆ รอบ

    คิดเอาเองว่า เรื่องที่จะถามนี่น่าจะถามถูกห้องในห้องนี่มากกว่าครับ

    1 - Copy.JPG

    · หลังจากนั่งสมาธิ และกายเนื้อหายสิ้นทุกอย่างแม้กระทั่งลมหายใจแล้ว
    · ก็พบว่ากายในตั้งอยู่
    · หลังจากนั้นก็พบ ดวงแสงขาว วาร์ป โผล่ออกมาจากตรงฐานของจิต
    · โผล่มาช่วงวินาทีแรก สว่างจ้ามาก แบบวืป เลย
    · โผล่จากล่าง ขึ้น บน ตัวรู้ขณะนั้นเหมือนอยู่กำลังนั่งอยู่ด้านบนและมองลงไปยังข้างล่าง
    · มองเฉียงไปด้านหน้าประมาณ 45 องศา
    (บรรทัด นี่กลับมาทบทวนดูเหตุการณ์อีกรอบไม่ใช่ 45 องศาครับ เป็นแนว 90 องศา แต่ยังไม่ตัดออกจากโพสน่ะครับ จะกระทบโพสของ ท่านอื่นๆ ข้างล่างถัดไป)
    · โผล่มาช่วงแรก ดวงโต มีรัศมีแผ่กระจายครอบคลุมจิตรับรู้ขณะนั้น
    · ดวงแสงขาวมีแรงดึงดูดสูงมากๆ รู้สึกได้ถึงพลังงานอันนั้น เหมือนโดนกระชากจะเข้าไปในดวงแสงขาว

    · ดวงจิตตกใจ สั่น กลัว ถามตนเองคืออะไร กล้าๆ กลัว
    · จดๆ จ้องๆ อยู่
    · แต่ยิ่งนำจิต เข้าไปเพ่ง ดูใกล้ๆ ใคร่รู้ จดจ้อง ว่าคืออะไร
    · จะเหมือนว่าโดนดวงแสงขาว ดูดเข้าไป
    · ขณะนั้นดวงจิต สรุปได้ว่า ถ้านำดวงจิตคิดหรือจดจ่อกับดวงแสงขาวนั้น
    · จะถูกดูดเข้าไปในดวงแสงนั้น


    · เพราะขณะก่อนหน้านั้นนิดหนึ่ง ดวงจิตไม่ทราบได้ปล่อยให้จิตเพ่งเข้าไปกลางดวงแสงขาว
    · และได้ถูกดวงแสงขาว ดูดเข้าไปเกือบจะหลุดเข้าไปในดวงแสงขาว
    · แต่ก็พยายามต่อสู้ ยื้อแย่ง ไม่เข้าไป (ลักษณะเหมือนคนโดนฉุดกระฉาก ลากถู) ตรงขอบของดวงแสงขาว
    · จึงสลัดหลุดออกมาได้

    · หลังจากนั้น เมื่อถอยจิตของออกมาได้
    · ดวงจิตก็มองดูดวงแสงขาวนั้นอยู่นอกวงกลม แบบถามคืออะไร
    · จนเสียงนาฬิกาปลุก บอกเวลา ว่าหมดเวลานั่งสมาธิแล้ว
    · เสียงผู้นำนั่งสมาธิ บอกให้ถอยสมาธิมายังกายเนื้อ
    · ก็ได้ออกจากสมาธิ และแผ่เมตตาและไหว้พระกลับบ้าน

    · หลังจากที่ออกจากสมาธิ มายังกายเนื้อแล้วนั่น
    · ความรู้สึกของกายเนื้อ ยังสัมผัสได้ถึงพลังแรงดึงดูด ของดวงแสงขาวนั้น
    · ที่ยังคงอยู่แบบอัดแน่น เต็มช่องท้อง ที่พร้อมจะดูดความรู้สึกของกายเนื้อ ให้เข้าไปได้ตลอดเวลา

    · ทั้งๆ ที่กำลังนั่งแผ่เมตตาและไหว้พระอยู่
    · ความรู้สึกขณะนั้นกลัว ก็เลย กำหนดจิตไม่ให้คิดถึงดวงแสงขาวที่ยังค้างในช่องท้องตนเอง พลังงานตรงนั้นก็ได้เบาๆ ลง
    · มีขณะหนึ่งนั้น หลังจากทุกคนช่วยกันปิดประตูห้องชมรม เสร็จแล้ว
    · ก็ได้พากันเดินออกมา ขณะนั้น ความรู้สึกได้คิดแวปหนึ่งให้นึกไปถึง ดวงแสงนั้นที่ยังค้างอยู่ในช่องท้องของตนเอง

    · ในขณะนั่นเอง ดวงแสงนั้นได้ดึงความรู้สึกของตนเองให้ตกเข้าไปในดวงแสงขาวนั้น ขณะที่กำลังเดินอยู่ ใกล้ๆ บริเวณขอบ
    · แต่ความรู้สึกก็กลัว จึงได้รีบสลัดความรู้สึกและต่อสู้กับแรงดึงดูดนั้นให้หลุดออกมายัง อารมณ์อื่น
    · เพื่อให้แรงดึงดูดนั้นหายไป

    ...
    ขออนุญาตถามเพื่อนเวปพลังจิตครับ
    ตามหัวข้อกระทู้เลย ดวงแสงขาว มีแรงดึงดูดเข้าหา และปรากฎในกายในและกายเนื้อ (ตรงกายเนื้อเป็นความรู้สึกที่ยังอยู่ครับ)
    ..
    คืออะไรครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2018
  2. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    ให้สังเกตุครับ ดวงแสงสีขาวนั้น ใช้สีขาวทั้งหมดรึเปล่า หรือว่า เป็น ขาวดำ วนๆ เหมือน น้ำวน

    อีกอย่างคือ มันเป็นดวงกลม จริงหรือ หรือเป็น กลม เหมือน จาน แบนๆ

    อีกอย่างเกิดที่ช่องท้องจริงหรือ หรือว่าแถวๆ ลิ้นปี่

    ท่านลองสังเกตุตามข้อๆ ไปนะครับ ตอบตามความเป็นจริง จะได้ให้คำตอบได้ถูกต้องครับ
     
  3. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ผมจะ "รวบรวม กลุ่มคำศัพท์ ภาษา ที่คุณใช้" ให้เรียบร้อยก่อนนะ
    +++ 1. "ฐานของจิต" ของคุณ ใช้ภาษา "ไม่ตรงตามอาการ" เพราะจริง ๆ มันเป็น "นิมิตโผล่กลางอากาศ" เท่านั้น
    +++ 2. คุณมองลง ทำมุม 45 องศา ดังนั้น "มันย่อมอยู่ นอกกายคุณ" ไม่ได้อยู่ข้างใน
    +++ เป็นอาการ "เพ่งนิมิต" แล้วโดน "นิมิตดูด" (นิมิตแสงสว่าง)
    +++ เป็นธรรมดาของการ "เพ่ง ย่อมโดน ดูด"
    +++ 3. ตรงนี้ "ดวงแสงขาว ในข้อ 2" กับ "แรงดึงดูด ในช่องท้อง" ตามการบอกเล่าของคุณ "มันเป็นการ เกิดคนละที่" หรือป่าว

    +++ ดวงแสงขาว "เกิดนอกกาย" ส่วน แรงดึงดูด "เกิดในกาย" หรือเปล่า ตรงนี้ คุณ ต้อง "ระบุมาให้ชัดเจน" ไม่งั้นเละเทะ แน่นอน
    ================================================
    +++ 1. แวปหนึ่งให้นึกไปถึง ดวงแสงนั้นที่ยังค้างอยู่ในช่องท้องของตนเอง ตรงนี้ = สัญญาขันธ์
    +++ 2. ดวงแสงนั้นได้ดึงความรู้สึกของตนเองให้ตกเข้าไปในดวงแสงขาวนั้น ตรงนี้ = สังขารขันธ์
    +++ 3. รีบสลัดความรู้สึกและต่อสู้กับแรงดึงดูดนั้น ตรงนี้ = วิญญาณขันธ์
    ================================================
    +++ ภาษาแบบตรง ๆ เป็นดังนี้

    +++ ดวงแสงขาว = นิมิต
    +++ มีแรงดึงดูดเข้าหา = อุปาทาน (แรงดึงดูด ให้เข้าไป ยึดอยู่ติดอยู่)(หากอยู่กับมันเมื่อไร เรียกว่า "จุติ")

    +++ กายในและกายเนื้อ ตรงนี้ขึ้นกับ "ความเป็นตน ตัวกู/ของกู" ณ ขณะนั้น คุณอยู่ในกายตัวไหน

    +++ สรุป คือ ยังไม่ได้ทำการ "ฝึกมอง ฝ่าอากาศ" มันก็เป็นอย่างนี้แหละ
    ================================================
    +++ สรุป "ดวงแสงขาว" ของคุณ ยังเป็น "นิมิต" เหตุเกิดจาก "การเพ่ง" ดังนั้น ตัวมันจึง "ไม่ใช่พลังงานตามธรรมชาติ"

    +++ แรงดึงดูดของคุณ เกิดจาก "การเพ่งเข้าสู่นิมิต" ไม่ได้เกิดจาก "พลังงานตามธรรมชาติที่ ดูดคุณเข้าไป"

    +++ กรณีของคุณ เป็นเรื่องของการ "เพ่ง+นิมิต" ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ "พลังงานทางธรรมชาติ" นะครับ
     
  4. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    ..
    ดวงกลมสีขาว เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญครับ
    ช่วงแรกที่เกิดจะมีรัศมีด้วย เป็นแสงสีขาวเจิดจ้ามาก
    หลังจากนั้นรัศมีหายไป จึงเห็นเป็นดวงกลมสีขาว (สังเกตุว่าตอนใหม่ๆจะเหมือนว่าดวงกลมขาวขยายขนาดใหญ่เล็กได้ แต่พอเกิดไประยะหนึ่ง ขนาดจะอยู่คงที่ชัดเจนและรัศมีสีขาวรอบวงหายไป )
    และสามารถมองเห็นขอบของดวงกลมขาวได้
    ไม่มีสีดำๆ ตรงขอบในลักษณะเหมือนน้ำวนก็ไม่ปรากฎ
    (ไม่มีบุคลิกว่าเป็นการหมุนวน กลม ขาวทั่วเสมอกันทั้งดวง นิ่งๆ แต่พร้อมจะดูด ถ้าส่งจิตใจเข้าไปหา)

    ลักษณะเหมือน ดวงกลมขาว
    เป็นวัตถุที่ปรากฎเด่นออกมา
    ..
    โดยความรู้สึกขณะนั้นคือ เราอยู่ในกายเนื้อ (เป็นกายใน) ณ ตำแหน่งลิ้นปี่
    และความรู้สึกของจิต ที่สร้างมาตอนนั้นคือ กำลังนั่งสมาธิซ้อนอยู่ในกายเนื้อ
    ..
    (จริงๆ มองไม่เห็นกายในตนเองน่ะครับ มันใสๆ
    แต่ความรู้สึกมันค้างอยู่ว่าเรายังมีกายอยู่และตำแหน่งดวงตาในคือ ลิ้นปี่)
    ณ ตอนนั้นเหมือนมีตาในที่สามารถมองเห็นได้อยู่
    ..
    และได้
    นั่งก้มมองต่ำลงไปข้างล่างก็พบสิ่งนั้น
    (แรกๆ ไม่ได้มองต่ำ แต่สะดุ้งตกใจตอนแสงขาววืปปรากฏขึ้นมา เลยก้มมองดูว่าคืออะไร)
    ดวงกลมขาวนี้ (จู่ๆ ก็โผล่วืปปรากฏขึ้นมา จากล่างสู่บน ปรากฎแบบไวๆ พุ่งแบบปลาจะฮุปเหยือ -- และเราคือเหยือ)
    ซึง ณ เวลานั้นไม่สามารถบอกได้ว่า ตำแหน่งที่ดวงกลมต่ำปรากฎนั้นอยู่
    ณ ตำแหน่งของช่องท้องของกายเนื้อหรือเปล่า
    ..
    เพียงแต่ความรู้สึกอย่างหนึ่งบอกกับตนเองในขณะนั้นได้ว่า
    ระยะทาง ณ ตำแหน่งจากตาในที่ลิ้นปี่ มอง
    ลึกต่ำเข้าไปอีกเป็นชั้นๆ
    ถ้าตนเองตัดสินใจกระโดดเข้าไปในดวงกลมขาวนั้น
    ไม่รู้ว่ามันจะไปสิ้นสุด ณ ที่ใด
    (ความรู้สึกตรงนี้ คือความรุ้สึกที่สัมผัสได้ ณ ตอนนั้นมันบอกกับจิตกับใจไว้อย่างนั้น
    --- ความรู้สึกมันจะคล้ายกับดูหนังเกี่ยวกับการดูดทะลุท่อมิติของขอบจักรวาล
    ในหนังแนวทะลุมิติประมาณนั้นน่ะครับ
    ..
    ความรู้สึกขณะนั้นบอกว่า วัตถุดวงกลมขาวนี้เกิดในส่วนหนึ่งที่ต่ำลงไปจากศูนย์กลางกาย
    ไม่ได้เกิดนอกร่างกาย (จู่ๆ ก็ผุดขึ้นมา)
    ลักษณะความรู้สึกเหมือนจะโดนดูดลงไปเป็นลำดับชั้นๆ
    ตั้งแต่เริ่มนั่งสมาธิ
    ความรู้สึกมันบอก ว่าเป็นลักษณะแนว 90 องศา
    คือ
    1. ดูดช่วงแรก จากกายเนื้อ ลงสู่ กายใน อยู่ค้างศูนย์กลางกาย
    2. ดูดช่วงสอง จากศูนย์กลางกาย เข้าไปใน ดวงกลมขาว ที่ปรากฎต่ำลงไปอีกสัก 1-1.5 ฟุต (ไม้่บรรทัด) ในแนว 90 องคา ของร่างกาย
    ..
    ..
    เป็นกลมแบน เวลานั่งก้มมองลงไปพบ ไม่เห็นลักษณะแบบ 3 มิติ จะมองเห็นเป็นแบบ 2 มิติ คือ กว้าง x ยาว ไม่มีด้านลึก
    ..

    ..
    สัมผัสที่เด่นชัดอีกอย่างคือ
    กระแสแรงดึงดูดของ ดวงกลมขาว นั้นสุดๆ เลย
    แรงดูดสูงมาก ยิ่งส่งจิตเข้าใกล้ ยิ่งแรงสุดๆ น่ากลัวมากๆ
    เหมือนตัวเราจะโดนกินเข้าไป สัมผัสได้เหมือนหนัง ufo มาดูดคน
    แต่ ufo มันจะดูดขึ้นฟ้า
    แต่ ดวงกลมขาว มันจะดูดลงไปต่ำด้านล่าง
    แต่ลักษณะของแรงดูดสร้างความรู้สึกเหมือนกับว่า "แรง"
    (เอาความรู้สึกจากดูหนัง ufo มาเปรียบเทียบน่ะครับ)
    ..
    ประมาณนี่น่ะครับ
    ..

    ขอบคุณครับ ชั่งเถอะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2018
  5. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    ขอบคุณครับ
    คุณ ธรรม-ชาติ
    ..
    เป็นเรื่องราวเก่าๆ
    เกิดมานานแล้วครับ
    ต้้งแต่สมัยเรียนป.ตรี
    ยังไม่เคยเรียนสมาธิจากที่ไหนมา
    (เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ตนเองได้รู้จักการนั่งสมาธิ โดยฟังเทปและปฏิบัติในชมรมพุทธในห้วงเวลาประมาณ ไม่เกิน 15 นาที)
    ในชีวิตประจำวันแต่เด็ก ก็บังเอิญ
    เพียงแต่ฝึกด้วยตนเอง เพื่อ ความสบายใจครับ
    ประมาณ เมื่อใจเป็นทุกข์ ก็มองที่ใจของตนเองว่า
    ทำไมเป็นทุกข์ และทำอย่างไรดี
    คิดๆ คนเดียว
    ว่าเราจะเปลี่ยนหรือแก้ไขจิตใจของเราให้เป็นสุข ได้อย่างไร
    หาวิธีอยู่ทุกเวลา นาที ที่รู้สึกตัว
    (จนติดเป็นนิสัยมาจนทุกวันนี้คือ ดูจิตอยู่ทั้งวันครับ ยืน เดิน นั่ง นอน)
    เพราะตอนเป็นเด็กทุกข์มากครับ
    ประมาณรายการ วงเวียนชีวิตน่ะครับ
    ..
    แบบบังเอิญน่ะ สิ่งเหล่านี้
    - บ้านมีรูฝา แสงส่องเข้ามาตอนเช้า นอนบนเตียง ชอบดูแสงเล่น หลับตาเล่นกับแสงในความรู้สึกสนุกแบบเด็กๆ แต่ไม่รู้ว่าสัมพันธ์กับสมาธิ -- ไม่มีอะไรเล่นครับตอนนั้น)
    - ตื่นนอนแล้ว บ้านไม่มีทีวี หนังสือการ์ตูน หลับตาดูลมหายใจเล่นๆ เพราะไม่มีของเล่น ไม่มีอะไรทำ นอนอยู่เฉยๆ นั่งอยู่เฉยๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 สิงหาคม 2018
  6. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    สรุปอ่านได้ตามที่ อจ.ธรรมชาติ ตอบเลยครับ
    เป็น การเพ่ง จนเกิดนิมิต ขึ้นมา
    ไม่ใช่กสิน ด้วยครับ

    หากเริ่มทำสมาธิด้วยความรู้สึกตัวจะเกิด สัมมาสติครับ อาการเพ่งจนเกิดเป็นมโน นิมิต ก็จะไม่ค่อยเกิดขึ้นครับ
     
  7. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    ..
    ก่อนหน้าเห็นดวงจิตกลมใสเต้น มันเห็นพื้นห้องไม้ครับและบริเวณแวดล้อม
    แต่ตอนที่ดวงกลมขาวปรากฎ ไม่เห็นสิ่งแวดล้อมอื่นๆ นอกจากสิ่งนี้และความรู้สึกมันบอกว่า
    โผล่มาจากตำแหน่งด้านล่างของจิตตอนนั้น
    บริเวณรอบคือ ดำๆ มืดๆ เหมือนอยู่กลางอวกาศสักที่หนึ่ง แต่บอกไม่ได้ว่าอยู่ที่ใด
    ..
    ความรู้สึกตอนที่กำลังโดนดูดให้เข้าไปมันเหมือนกันครับ
    เพียงแต่
    1. เหตุการณ์โดนดูด ตอนนั่งสมาธิคือ จิตเห็นดวงกลมขาว และเกือบโดนดูดเข้าไป -- ถูกลากไปถึงแค่ขอบ ก็สามารถสลัดออกมาได้ ครั้งแรกเกือบดูดไปทั้งดวงจิตแล้ว แต่ช่วงขณะที่กำลังฉุดกระชากลากทู่กันอย่างนั้น จิตบางดวงมันบอกให้รู้ว่า ถ้าส่งจิตเข้าไปที่ดวงนั้นก็จะถูกดูดเข้าไป แต่ถ้าไม่ต้องการโดนดูดต้องไม่คิดเกี่ยวถึงดวงกลมขาวนั้น เพราะเหตุการณ์นั้นมันไวมากและกลัวมากๆ จิตมันทำงานไวมากตอนนั้น จึงสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์สั้นๆ นั้นได้ว่า ถ้าไม่อยากโดนดูดต้องเลิกคิดถึงดวงกลมขาวนั้น จึงหลุดกระเด็นออกมาได้แบบใจสั่นๆ เต้น ตุ่มๆ ต้อมๆ
    2. กำลังก้าวเดินออกมาจากห้องนั่งสมาธิ ความรู้สึกมันบอกว่า ดวงกลมขาวยังอยู่ในท้อง (แต่มองไม่เห็น) เหมือนยัดลูกบอลเข้าท้อง และทุกขณะจิต จากที่ถอดสมาธิออกมาสู่กายเนื้อ ช่วยเพื่อนเก็บเบาะที่นั่งและปิดประตู หน้าต่างห้องเรียบร้อยแล้ว แรงดึงดูดในท้องยังอยู่ตลอด จนตนเองต้องค่อยๆ เดินและพยายามไม่คิดถึงสิ่งนั้น กลัวมันดูดเข้าไป
    แต่มีขณะหนึ่งที่เผลอไปขบคิดพิจารณา ว่าสิ่งนี้คืออะไร ซึ่งขณะนั้นกำลังก้าวเดินอยู่นอกห้องปฏิบัติสมาธิมาสัก 4-5 เมตร ถูกดูดความรู้สึกตกลงไปน่ะ จุดเดิมเลยคือขอบตรงนั้น จนตนเองต้องสลัดความคิดและตัดสินใจเด็ดขาด เลิกคิดถึงสิ่งนั้น จนสามารถเดินมาพร้อมเพื่อนและพูดคุยอื่นๆ กับพวกเขาได้

    ..
     
  8. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    มีเหตุการณ์อีกประมาณหนึ่งครับ
    ..
    1. เหตุการณ์ถัดมาเมื่อเดินมาถึงด้านล่างแถวสนามฟุตบอล
    ก็ได้เงยหน้ามองท้องฟ้าซึ่งตอนนั้นยังไม่มืด
    สักเวลาประมานสัก 5 โมงเย็น
    พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว
    แวบแรกเลยที่ต้ังแต่เดินออกมาจากห้องปฏิบัติธรรมยังไม่ได้เงยหน้ามองท้องฟ้า
    จึงเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าแบบสุดสายตา
    เห็นอะไรแวบๆ เกิดขึ้นที่สุดขอบฟ้าครับ วืปๆ วาปๆ ประมานนี่ จนต้องตั้งใจมองว่าคืออะไร
    คือเหมือนว่าเห็นขอบฟ้าด้านบนและขอบฟ้าจากแผ่นดิน มันเลื่อมสลับพับเข้าหากัน ปรากฎแวบหนึ่งแค่ครั้งเดียว แล้วหายไปเลย ตนเองมองก็งง คืออะไรประมานนี่ครับ
    ..
    2.เหตุการณ์สองคือ หลังจากมองท้องฟ้าแล้ว ก็ถึงประมานทางแยกที่เพื่อนเขาอีก 2 คนคงต้องการไปทำธุระส่วนตัวที่ต้องการขอตัวไปก่อน
    ..
    ตนเองก็ชวนเพื่อน 2 คนไปเที่ยวที่หอพักด้วย
    ซึ่งปรากฎว่าเพื่อนปฏิเสธคำชวน
    ..
    สิ่งที่ตนเองแปลกใจคือ
    - ก่อนที่ตนเองจะเอยปากพูดออกไป ก็คิดๆ อยู่ในใจน่ะว่า เดียวถ้าเขาปฏิเสธเรา ความรู้สึกของเราคือ "sad" แน่นอน เพราะปกติเป็นคนที่ sensitive อยู่แล้วกับสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นจึงเตรียมใจรับความรู้สึกตรงนั้น
    -ปรากฎว่า พอพูดเอยชวนพวกเขาและพวกเขาก็ปฏิเสธ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับความรู้สึกของตนเองแบบขณะนั้น ความรู้สึกไม่ได้สัมผัส "sad" แต่เป็นการสัมผัส "ความว่างเปล่า"
    .. ตนเองจึงแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง ณ ขณะนั้น ทำไม before และ after หลังจากได้นั่งสมาธิจึงแตกต่างกัน ว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร
    ..
    หลังจากนั้นก็เดินกลับหอพักคนเดียว ก็คิดมาตลอดทางว่าคืออะไร ทั้งๆ ที่ขณะนั้นความสุขในกายที่ซาบซ่าที่เกิดจากนั่งสมาธิยังปรากฎหลงเหลืออยู่ แต่ก็ไม่มากเท่าที่ปรากฎในสมาธิ
    (สุขในสมาธิตอนนั้นมันซาบซ่า สุขล้นเหลือมาก แต่ตอนออกมาแล้วเป็นเพียง เบา โปร่ง โล่ง สบาย ไม่ทุกข์ ไม่ร้อน จิตใจฟู)
    ..
    หลังจากนั้นก็
    เมื่อคิดแล้วก็สรุปไม่ได้ว่าคืออะไร
    หลังจากนั้นก็ตัดสินใจเองคือ เลิกคิด
    ความรู้สึกปิติในร่างกายก็ค่อยๆ คลายกลับเข้าสู่โหมดปกติของชีวิตนักศึกษาทั่วไปครับ
    ..
    ขอบคุณมากทุกๆ ท่านน่ะครับ
    สำหรับคำแนะนำ
    ทุกๆ comment
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2018
  9. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    เล่าไปแล้ว
    ก็ขออนุญาตทุกท่านเล่าต่อ
    เกี่ยวกับเรื่องราวความรู้สึกต่อน่ะครับ
    ถ้าเรื่องนี้ไปกระทบกระทั่งจิตใจท่านใด
    ผมต้องขออภัย
    มาน่ะที่นี่ก่อนนะ่ครับ
    ถือว่าฟังแบบขำ
    แบบไม่ถือสาอะไร
    ..
    เพราะทุกวัน ณ ปัจจุบันนี้
    ตนเองเข้ามาเวปพลังจิต
    เพื่อจะมาเริ่มต้นเรียนรู้เกี่ยวกับสมาธิ
    และการเรียน ณ ขณะนี้ก็กำลังเตาะแตะคือ
    เพิ่งเรียนรู้ความหมายของคำต่างๆ
    เช่น จิตคืออะไร ปิติเป็นอย่างไร สมาธิมีความรู้สึกอย่างไร
    อุณคหนิมิตรคือไร ประมาณนี่น่ะครับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกท่านในเวปพลังจิต
    พูดคุยกันอย่างปกติอยู่แล้ว
    แต่ตนเอง ก็อ่านกระทู้เวปพลังจิตที ก็ต้องไปเปิด google หาความหมายของคำเหล่านั้นที
    ประมาณนี่น่ะครับ
    ..
    ดังนั้นก็ต้องขออภัยมาก่อนน่ะครับ
    สำหรับการตั้งกระทู้โพสถามสิ่งต่างๆ
    บางทีอาจจะดูไม่เหมาะสมนัก
    ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2018
  10. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    ..
    แต่การดำเนินชีวิตตั้งแต่เด็กมาถึงกระทั่งเป็นผู้ใหญ่ทุกวันนี่
    ชะตาชีวิตของตนเอง กรรมมักเจตนาให้ต้องต่อสู้ หาทางแก้ไขปัญหาตลอด
    เพื่อการเอาชีวิตรอด จากดินสู่ฟ้า ประมาณนั่นน่ะครับ
    ดังนั้นทุกๆ จุดของชีวิต หรือจะเรียกได้ว่าทุกวันๆ ของชีวิต
    ต้องพึ่งสติ สมาธิแบบที่ใช้จริงในชีวิตเพื่อการอยู่รอดของชีวิตน่ะ
    ประมาณว่า อยู่ในแดนสงครามที่พื้นแผ่นดินทุกตารางเมตรมีกับระเบิดฝังอยู่
    ผู้ที่เดินก้าวข้ามไปในแต่ละก้าว คงจะต้องมีสติ คิดรอบคอบ แบบเต็มที่
    ชีวิตของผมไม่ว่าจะเป็นเรืองอะไร การกิน การนอน
    การอยู่ การอาศัย การออกสังคม การไปทำมาหากิน
    ประมาณว่าเด็กอายุเริ่มต้น 7-8 ขวบ จนเรียนจบป.ตรี
    แต่ต้องมีบทบาทหน้าที่แทนพ่อแม่เพื่อทำหน้าที่ข้างต้น
    ประมาณนั่นน่ะครับ ดังนั้นสภาพจิตใจของเด็กคนนั่นคงต้องปรับตัวทุกขณะจิต ไม่ว่าเรื่อง
    ความกลัว ความอาย ความกล้า ความไม่รู้ ความระแวดระวังตัวภัยต่างๆ การโดนรังแก
    โดนด่า โดนจิก การพัฒนาตนเอง การอยากเรียนหนังสือแต่ไม่มีเงินต้องทำอย่างไร ประมาณดราม่าเยอะๆ น่ะครับ
    ก็เลยต้องให้มีเหตุการณ์ที่ต้องมองจิตใจตลอดเวลา
    แบบไม่ค่อยได้มีโอกาสปล่อยความรู้สึกให้ไกลจากจิตใจ
    จึงเป็นที่มาว่าทำไมตนเองถึงมองจับความรู้สึกไว้ที่ใจมาตั้งแต่เด็ก
    และเวลามองที่จิต มันก็จะพบลมหายใจเข้าออกแบบอัตโนมัติครับ
    แต่เป็นสมาธิที่ใช้ในการเอาชีวิตรอดประจำวัน
    ไม่ได้มาเรียนสมาธิแบบนั่งหลับตา
    และยังไม่ได้เรียนอภิธรรม
    ดังนั้น ณ ตอนนี้ตนเองเลยต้องมาแกะว่า คำๆ นี่คืออะไร และมีอยู่ในตัวของตนเองหรือยัง
    จึงได้โพสกระทู้ถามยังน่ะที่นี่
    ..
     
  11. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    ส่วนการแยกกาย แยกจิต
    น่าจะมาจากเหตุการณ์ประมาณนี้
    ในการดำเนินชีวิตของตนเอง
    แต่เด็กมาแล้ว
    ชีวิตที่ต้องทำงานกรรมกรแบกหาม
    เลื่อยไม้ ขุดดิน ทำนา เกี่ยวข้าว
    กลางแดดเปรี้ยงๆ ร้อนมาก เจ็บปวดร่างกายมาก
    ขนาดผู้ใหญ่แถวระแวกบ้านยังไม่ออกไปกลางทุ่ง
    แต่เด็กคนหนึ่งก็ไป เพื่อความอยู่รอด
    ถามว่า ร้อนไหม เหนื่อยไหม หนักไหม คือ สุดๆ ครับ
    แต่คำตอบคือ ถ้าไม่ทำก็ไม่มีกิน
    ดังนั้น
    ณ ขณะนั้นสิ่งที่คิดได้อย่างเดียวคือ
    ก้มหน้าทำไป อยู่กลางแดดร้อนเปรี้ยงเป็นวัน เลื่อยไม้เป็นชั่วโมงๆ
    ขุดดิน เกี่ยวข้าว ซึ่งเป็นสิ่งที่หนักมาก แต่ต้องก้มหน้าทำไปเรื่อย
    กลยุทธของเด็กที่คิดได้ขณะนั้นคือ จะทำอย่างไรถึงจะรอดไปได้
    แบบงานสำเร็จ
    ก็ปิ้งความคิดแบบเด็กที่ไม่รู้ประสีประสาอะไร
    แต่ทำแล้วรู้สึกดี
    คือไม่เอาความรู้สึกจับที่ความเหนื่อย ความร้อน ความเจ็บปวด
    แต่เอาความรู้สึกมาจับไว้ที่ลมหายใจ หรือมองความเจ็บปวดแบบเฉยๆ
    ซึ่งมันเป็นไปด้วยการบังคับแบบอัตโนมัติที่ต้องทำ
    เพื่อให้งานหนักมันเสร็จเรียบร้อย
    ก็เลยเป็นที่มาของการแยกกายเนื้อ กายใน น่ะประมาณนั่น
    เพราะความเหน็ดเหนือยมันบรรเทาลงมาได้
    น่าจะสรุปว่าเป็นการแยกได้
    (อันนี่สรุปเองน่ะครับ ผิดถูกคอมเม้นได้ครับ)
     
  12. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    ขอเล่าเหตุการณ์อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นเหตุการณ์
    เกิดถัดมาจากเหตุการณ์ที่เห็นเส้นขอบฟ้าด้านบน
    และขอบแผ่นดินด้านล่างม้วนพับเข้าเข้ากัน
    มาบรรจบยังกึ่งกลางของแดนโลกนี่น่ะครับ
    ..
    shot เหตุการณ์เกิดถัดๆ กัน
    ประมาณแบบเราเปิดสวิตซ์ไฟแสงสว่าง
    เหมือนเวลาที่เราเดินเข้าไปในห้องโถงทางเดินของโรงแรม
    ที่มีระบบเปิดสวิตซ์ให้แสงสว่างแบบอัตโนมัต
    คือพอเดินมาถึง ณ จุดนี้ไฟดวงนี้ก็เปิดออก
    เราก็จะตกใจหรืองงหน่อยหนึ่งว่าคืออะไร
    ความรู้สึกในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็จะประมาณนั่นน่ะครับ
    (ข้างต้นเป็นการอธิบายจำลองการเกิดขึ้น
    ของเหตุการณ์ต่างๆ ว่าเหมือนเราเดินๆไป
    และก็มีเรื่องต่างๆ ถูกเปิดให้ตาเนื้อ
    และความรู้สึกของกายเนื้อ
    ได้เห็นเหตุการณ์แบบเป็น shot ๆ)
    ..
    หลังจากเห็นเหตุการณ์
    ด้วยตาเนื้อและความรู้สึกของตนเองบอกว่า
    ท้องฟ้ามีขอบม้วนเข้ามาบรรจบหากันแล้ว
    (ความรู้สึกในใจแวบหนึ่งเกิดขึ้นคือ มีบางสิ่งเปิดเผยออกมา
    ในลักษณะแบน เหมือนเราคลี่วัตถุต่างๆ
    ออกมาวางเปิดเผยในแนวระนาบเดียวกัน
    จากเมื่อก่อนนี้ที่อยุ่คนละชั้น ถูกคลี่ออกมาให้เป็นแบนๆ
    (เป็นความรู้สึกที่เกิดออกมาตอนนั่นน่ะครับ)
    ..
    เหตุการณ์ทางตาเนื้อคือ ดังที่เล่าข้างบน
    วัตถุจริงบนโลก ภูเขา บ้าน ต้นไม้
    ไม่ได้ถูกม้วนมาด้วย สิ่งที่ม้วนคือขอบฟ้า สีใส
    มองเห็นการเคลื่อนไหวได้
    เป็นเหตุการณ์ที่เกิดกับตาเนื้อ
    และความรู้สึกของกายเนื้อเกิดขึ้นมารับรู้ภายในจิตใจพร้อมกัน
    ..
    เหตุการณ์ข้างต้นคือตอนที่
    กำลังเดินอยู่ข้างสนามฟุตบอลกับเพื่อน 2 คน
    หลังจากนั้น
    ..
    เกิดเหตุการณ์อีกหนึ่งถัดมาคือ
    ..
    มีเหตุการณ์เกี่ยวกับความรู้สึกเกิดขึ้นแบบอัตโนมัต
    ภายในจิตใจของตนเอง
    พอเห็นขอบฟ้าม้วนบรรจบกันเสร็จ
    มีฉายเกี่ยวกับเรื่อง ความรู้สึกถูกฉายภายในจิตใจของตนเองขึ้นมาแวบหนึ่ง
    ซึ่งสามารถสรุปเรื่องให้จิตใจรับรู้ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นว่า
    "โลกนี้คือโรงละครหนอ เป็นโรงลิเก
    (มีฉายภาพโรงลิเกเป็นภาพในจิตแวบหนึ่ง แต่เห็นชัดๆ หน่อยหนึ่ง เหมือนเรานึกถึงสถานที่ที่เราเคยไป แต่เป็นภาพชัดๆ ที่ปรากฎในจิตใจขณะนั่น ไม่ได้เห็นด้วยตาเนื้อ ซึ่งจะแตกต่างจากที่เรานึกในยามปกติ ภาพสถานที่ต่างๆ จะไม่ชัดแจ๋ว)
    และทุกคนในโลกนี่กำลังแสดงละคร ต่างสวมบทบาทต่างๆ อยู่
    มีตัวละครมากมาย มีตัวพระเอก ผู้ร้าย มีโลภ มีโกรธ มีหลง
    ..
    เกิดเหตุการณ์ที่สองถัดมาคือ
    มีเหตุการณ์ฉายเกี่ยวกับเรื่องความรู้สึกภายในจิตใจผุดออกมาว่า
    ตนเองจะต้องทำหน้าที่การเผยแพร่ธรรมะ
    ของพระพุทธเจ้าให้ขจร ขะจายออกไป
    ในลักษณะแบบสร้างเครือข่ายออกไปทั่วๆ
    (เหมือนเป็นคำสั่งผุดออกมาจากจิตใจแบบโผล่ออกมา)
    เกิดขึ้นภายในจิตใจของตนเองขึ้นมาแวบหนึ่ง
    เหตุการณ์จากเรื่องที่เกิดในแต่ละเรื่อง
    ตนเองจะงงงวยว่าคืออะไร
    ทั้งๆ ที่ขณะนั้นจิตใจกำลังคุยกับเพื่อน 2 คนอยู่
    และไม่ได้คิดเรื่อง ขอบฟ้าม้วน โรงลิเกและการเผยแพร่ธรรมะของพระพุทธ
    อยู่ในหัวสมองเลย
    ..
    เพราะตนเองสถานะ
    ยังเอาตัวเองไม่รอด
    ยังเช่าหอพักอยุ่
    กำลังเรียน
    ไม่มีเงินทองอะไร
    แต่ความรุ้สึกนี่โผล่มาแปลกๆ
    ไม่สมฐานะเลย
    ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็ไม่ทราบอะไร
    ความรู้เกียวกับพระพุทธเจ้าก็เหมือนปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป
    เราจะเอาอะไรไปช่วยเขา
    ..
    ก็สร้างความแปลกประหลาดใจ
    งงงวยกับตนเอง
    ว่าเกิดอะไรขึ้น
    คิดๆ หาคำตอบ
    ก็ไม่ได้
    ว่าเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้น
    เกิดผุดขึ้นมาเองได้อย่างไร
    ทั้งๆที่พึ่งรุ้จักการนั่งสมาธิครั้งแรกในชีวิต
    และไม่ได้ไปศึกษาอะไรเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าจากสำนักไหนๆ
    มาที่จะทำให้ตนเองมั่นใจในการทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้น
    ก็เลยงง
    ก็เลยเป็นที่มาของการตั้งกระทู้โพส ถามเรื่องราวในอดีตของ
    เหตุการณ์เหล่านี้ครับ
    ..
    จบประมาณนี่ครับ
    หมดล่ะ
    ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2018
  13. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ คุณ "เล่าเรื่องมายาวเหยียด" แต่ผมจะ สรุป แบบเป็น ท่อน ๆ ดังนี้

    +++ สรุปโพสท์หมายเลข 4
    +++ สรุป เป็น "คล้ายกระดาษขาว ตัดแบบ วงกลม" เป็นภาพนิ่ง ไม่เคลื่อนที่

    +++ สรุป แรงดึงดูด "ขึ้นกับ มุมการ ดู ของคุณ" และนั่นคือ +++ มีแรงดึงดูดเข้าหา = อุปาทาน ตามที่กล่าวไว้แล้ว ในโพสท์เบอร์ 3
     
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ สรุปโพสท์หมายเลข 5
    +++ บางตำราที่เกี่ยวกับ "อาโลกะกสิณ (กสิณแสงสว่าง)" ก็ระบุ แบบเดียวกํบที่ "คุณ ทำแบบบังเอิญ" นั่นแหละ
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ สรุปโพสท์หมายเลข 7
    +++ ตรงนี้ "เห็น ตามความเป็นจริง"
    +++ มันโผล่มาจาก "ความว่าง"

    +++ จากข้อ 1+2 ของคุณ เป็นการ "บรรยายซ้ำ จากโพสท์ที่ 1"

    +++ ซึ่งหากจพตอบ ก็จะไป ซ้ำกับ โพสท์ ที่ 3
     
  16. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ สรุปโพสท์หมายเลข 8
    +++ ตรงนี้ "ไม่ใช่หลอน" ความจริง มันเป็นอย่างนั้น และ นี่ก็ "ไม่ใช่นิมิต" มันเป็นความจริง

    +++ ตรง "เห็นอะไรแวบๆ เกิดขึ้นที่สุดขอบฟ้าครับ วืปๆ วาปๆ ประมานนี่" ของคุณ มันเป็น "ออร่าของโลกใบนี้"
    +++ ยังติดนิสัยแบบ "ชอบลุ้น" อยู่นิดหน่อย แต่พอ "เฉลย" ออกมาแล้ว มันก็เป็น "งั้น ๆ เอง" ธรรมดา
     
  17. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ สรุปโพสท์หมายเลข 9
    +++ ก็ยังดีกว่า "พูดกันคนละภาษา" นะ เพราะ "มันพูดกันไม่รู้เรื่อง"

    +++ ก็พยายาม "คุยกับคนที่ คุยกันรู้เรื่อง" เท่านั้นก็พอ

    +++ ไม่งั้น "โรคประสาทถามหา หากพยายาม คุยกันคนละภาษา" มันก็เท่านั้นเอง
     
  18. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ สรุปโพสท์หมายเลข 10
    +++ ตรงนี้ "แก้ไขง่ายมาก" แค่เปลี่ยนการพูดแบบ Narration มาเป็นวิธีแบบ Instruction ก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนไปได้เอง
    +++ สิ่งที่ทำมานั้น ก็ ถูกอยู่ในตัวมันเองอยู่แล้ว และก็ได้ผลในตัวมันเอง ก็ ดีแล้ว

    +++ ส่วนเรื่อง "ภาษา" ก็พยายาม "มุ่งไปที่ ประเด็นการสื่อ" เพื่อให้ คุยกันรู้เรื่อง

    +++ ส่วน "คำศัพท์" จะใช้ ภาษาไทยธรรมดาก็ได้ เพียงแค่ "ปรับปรุงให้คุยกันได้ ไม่ให้มีปัญหา" ก็พอ
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ สรุปโพสท์หมายเลข 11
    +++ ภาษาตรงนี้ "ใช้ไม่ตรงตามอาการ"

    +++ จากการ อ่านลงไปข้างล่าง จะพบได้ว่า มันเป็น "การหลบกาย หลบจิต (ไม่รับรู้-เมินเฉย)" มากกว่า
    +++ การ "แยกกาย แยกจิต" ที่แท้จริง นั้น ในประเด็นของคุณ ต้องเป็น ตามนี้ คือ

    +++ ความเหนื่อย ความร้อน ความเจ็บปวด แม้กระทั่ง "ลมหายใจ" จะโดน "แยกออกเป็นส่วน ๆ"

    +++ และใน "แต่ละส่วน ที่มีอยู่ โดนแยกอกจากความเป็น ตัวคุณ ทั้ง ๆ ที่มันมีอยู่ นั่นแหละ"

    +++ แบบเดียวกับ "คุณ ใส่ เสื้อ+กางเกง" แต่ทั้ง เสื้อ+กางเกง "มันแยกออกจาก ความเป็นตัวคุณ" แบบนั้น
     
  20. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    ขอบคุณครับ
    อจ ธรรม-ชาติ
    ที่ให้คำปรึกษาที่ดีทุกข้อสงสัย
    โมทนาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...