สัมมาทิฎฐิเป็นไฉน( ไม่ธรรมดา )

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 5 มีนาคม 2009.

  1. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ก่อนอื่นต้อง ขอบูชา ครูบาอาจารย์ ที่มอบพระสูตรนี้มาให้
    ครูบาอาจาีรย์ ของข้าพเ้จ้าคือ พระอนุรุทธเถระ ท่านกล่าวให้ฟังในนิมิต
    โดยข้าพเจ้าอธิษฐานถามว่า ในส่วนใดแห่งพระไตรปิฎกที่เหมาะแก่กาลในตอนนี้ ที่จะเอาไปกล่าวให้คนอื่นฟังในเว็บพลังจิต เพราะว่ามีกลุ่มบุคคลที่กระผมคาดว่าน่าจะมีมิจฉาทิฎฐิอยู่ ขอพระอาจารย์โปรดเมตตาให้พระสูตรที่ควรแก่กาลด้วย
    ท่านว่าพระสุตตันตปิฎก
    เล่มไหนครับ: เล่มที่ 12
    หน้าหรือบทไหนครับ : 64

    พอไปอ่านแล้วก็ขนลุก เพราะพระสูตรนั้นกล่าวถึงสัมมาทิฎฐิ ว่าคืออะไร ก็ลองอ่านกัน

    ก็ผมต้องกราบขอบพระคุณพระอาจารย์ และบูชาท่านด้วยการเอาพระสูตรนี้มา
    พร้อมกับประกาศคุณท่าน ตอนแรกก็คิดว่า จะยกเอามาดีไหม เพราะว่าคนอาจจะครหาตำหนิว่าโม้ได้

    ก็เลยตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าเช่นนั้นแล้วจะดีไหมที่กระผมจะแสดงพระสูตรนี้ ท่านก็ว่า
    "ดังการกวักมือเรียก" ก็จึงเป็นที่มาว่าทำไมผมต้องลงกระทู้นี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2009
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    แล้วผมจะอธิบายภายหลังให้ฟังว่า อาหาร 4 อย่างที่ดับแล้ว หมายถึง อริยบุคคล ผู้มีสัมมาทิฎฐิแน่นอนนั้นเป็นอย่างไร
     
  3. Bacary

    Bacary เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,211
    ค่าพลัง:
    +23,196
    "อริยสัจ4"
     
  4. พุทธนิรันดร์

    พุทธนิรันดร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    1,641
    ค่าพลัง:
    +5,039
    ขอนุโมทนาในจิตอันเป็นกุศลด้วยครับท่านขันธ์ สาธุ
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    "ดังการกวักมือเรียก" เมื่อวานก็พิจารณาอยู่ว่าหมายถึงอะไร ทำไมท่านจึงแนะนำแบบนี้ สั้นๆ

    ก็ได้คำตอบว่า เปรียบเหมือนกวักมือเรียกผู้คนให้เข้ามา
    หากว่า ไม่กวักมือเรียก เขาจะมาได้หรือ
    ก็ท่านอาจารย์ท่านกล่าวชอบแล้ว
    เปรียบดัง คนอยู่ไกล หากไม่กวักมือเรียกมา จะเข้ามาถึงหรือ

    ผมอัศจรรย์ที่ว่า ถามเรื่องมิจฉาทิฎฐิจะเอาอะไรแก้ ท่านก็ให้พระสูตรมาตรงเป๋ง ก็สัมมาทิฎฐิสูตรเลย
    ให้หาให้ตายก็ไม่เจอหรอกนะ ว่าตรงไหนในพระไตรปิฎก ท่านก็บอกมาตรงๆ เลย พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 12 หน้าที่ 64
    ใคร สนใจเอาไปแทงหวยได้

    แต่อยากจะบอกว่า พระอรหันต์ทั้งหลายไม่หายไปหรอก ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะสงเคราะห์เราหรือไม่
     
  6. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ขยายพระสูตรให้ฟังว่า ผู้ใดก็ตามเมื่อเข้าถึง อริยบุคคล แนวทางจะตรงแน่ว เข้าสู่การกระทำ การประพฤติที่ว่า ละอกุศล และ ทำกุศลให้ถึงพร้อมเป็นหลัก ดังนั้น การกระทำอะไรก็ตาม ที่เป็นการ รู้เหตุ ในอกุศล และ ละ มัน
    รวมถึง ละราคะ ทำปฏิฆะให้เบาบางไป ด้วยเหตุแห่งกุศลทั้งปวงที่สร้างขึ้นก็ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา

    สำหรับ การดับอาหาร ที่เป็นปัจจัย ก็ได้แก่ การบริโภคพอประมาณ

    การดับผัสสะ ได้แก่ การอย่าเอาจิตเอาใจ เข้าไปสัมผัสกับ เรื่องราวต่างๆ รอบตัว คือ มองแล้วผ่านไป เมื่อใดก็ตามที่เอาใจไปสัมผัสกับสิ่งต่างๆ เราก็จะเกิดเวทนาว่า สิ่งนั้นดีหรือไม่ดี

    การดับความคิด ได้แก่ ความคิดไปในรูปแบบต่างๆ เช่น เมื่อวานคนนั้นอย่างนั้น ทำไมเป็นแบบนั้น ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ อันนี้ให้มันละ

    การดับวิญญาณ ตัวนี้ ยากที่สุด และ ดีที่สุดในการประหารกิเลส ซึ่งผมเคยบอกในกระทู้แล้วว่า ใครจะเข้าถึงพระธรรมให้หมั่นดูตัววิญญาณให้มาก คือ การเข้าไปรับรู้ เป็นเรื่องเป็นราว ตรงนี้ละเอียดมากนะ จะยกตัวอย่างให้ฟัง
    ตามธรรมดา มือ สัมผัสกับสิ่งของ อยู่ทุกวัน ก็ไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้เอามารับรู้ แต่พอวันไหนเพี้ยนๆ ขึ้นมา เอามือไปจับสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วรู้สึกถึงรูปพรรณสัณฐานของมัน อันนี้แหละเปิดการรับรู้ของวิญญาณแล้ว
    ยกตัวอย่างอีกตัวอย่าง คือ ตามปกติ ตามองเห็นอยู่ตลอด แต่พอสนใจอะไรเอาตาไปมองมัน ก็เกิดการรับรู้ว่า สิ่งนั้นประณีต สิ่งนั้นดี สิ่งนั้นเลว ยังไม่ใช่เวทนานะ ถ้าเวทนานั้นจะต้องรู้สึกมาอีกว่า ชอบหรือไม่ชอบ

    ตัวนี้แหละ เหตุแห่งทุกข์ ดุตัวเหล่านี้ให้ดี
     
  7. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    คนที่ยังไม่ถึงธรรม ก็จะใฝ่หาทางอื่น ทางอื่นที่ว่านั้นเป็นอย่างไร ทางอื่นที่ว่าก็คือ การอันใดที่ไม่ทำ การอันใดที่ไม่เพียร
    การอันใดที่ ไม่เป็นเหตุเป็นผล การเหล่านั้นแหละ คือ ไปทางอื่น เพราะว่า กิเลสเป็นเรื่องในตัว ไม่ยอมแก้ ไม่ยอมหาอุบายต่อสู้
    แต่ไปทำอย่างอื่น อันไม่ใช่ทาง ก็เป็นสีลพตรปรามาส

    แต่ทีนี้ ที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ ท่านก็สอนวิธีการต่างๆ อันประกอบไปด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา อบรมให้มาก เมื่อ อบรมตรง อบรมชัด ไม่ไปทางอื่นแล้ว ก็จะเข้าถึง อริยมรรค อริยผล แน่นอน

    เรียกว่า ต้องลงมาฝึกปรือ ศึกษา และ ประพฤติกันจริงๆ จังๆ คนเราทำอะไร มักจะอยู่แต่ที่คิด แต่ทำไม่ค่อยจะทำ ขนาดว่าขี้เกียจมันก็ไม่ฝืน ถ้าพิจารณาตาม common sense แล้ว คนขี้เกียจ พอไปเป็นทหาร ฝึกปรือเข้าบ่อยๆ มันก็หายขี้เกียจได้ จิตใจเปลี่ยนไปได้ นี่ก็เช่นเดียวกัน การจะละกิเลส ก็ต้องฝึก ต้องฝืน ต้องละ ซึ่งอันนี้เรากล่าวถึง วิถีชีวิตในทุกๆวัน ต้องมีพฤติกรรมแบบที่บอกไป จึงจะละกิเลสได้

    แต่ ถ้าจะทำสมาธิ อันนี้อีกเรื่องหนึ่ง คือ เวลาทำสมาธิ ก็ไม่ต้องพิจารณาอะไร เอาจิตไปจับกับอะไรก็ได้ ให้นิ่งให้ตรง ก็พวกดูจิตเฉยนั้นแหละ สมถะชัดๆ ตรงๆ คือ ไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่า การดูเฉยๆ แต่ทีนี้ เขาก็เอาเรื่องทัสนะเข้ามาปน คือ เขามีทัสนะว่าดูเฉยๆ แต่ดูนาม นี้แหละเป็นวิปัสสนา อันนี้ก็เพราะว่า ยังรู้ไม่ตรง

    เมื่อวิถีชีวิตประจำวัน เริ่มปกติแล้วก็ศึกษา ความเป็นจริง ว่าอะไรคือความจริงของชีวิต ของ รูป ของนาม ค่อยๆ ศึกษาถึงเหตุ ถึงผล รวมถึงแยกแยะ ว่าอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย ทุกข์อันใด ก่อตัว มันมาจากสาเหตุใด อันนี้ก็ต้องค่อยๆ ศึกษาไป
    อย่าไปคิดว่า นี่เราบรรลุธรรมด้วยเพียงแค่เกิดทัสนะ หรือความเข้าใจเล็กๆ น้อย ๆ ของจริงมันต้องลงมือทำ กิเลสไม่ได้ดับไปด้วยการนอนเฉยๆ หลวงตามหาบัวท่านก็บอก

    ก็สุดท้ายมันจะนอนง่อยกัน ผมถึงต้องออกมาพูดนี่
     
  8. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    [๒๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฐิเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสัมมาทิฐิเป็น ๒ อย่าง
    คือ สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ อย่าง ๑
    สัมมาทิฐิของพระอริยะ ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระเป็นองค์มรรค อย่าง ๑ ฯ

    [๒๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์เป็นไฉน
    คือ ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว มีผล ยัญที่บูชาแล้ว มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว
    มีผล ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้วมีอยู่ โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามี บิดามี สัตว์ที่
    เป็นอุปปาติกะมี สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้า
    ให้แจ่มแจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลก มีอยู่ นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ
    ให้ผลแก่ขันธ์ ฯ
    [๒๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ
    เป็นองค์มรรค เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญญา ปัญญินทรีย์ปัญญาพละ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
    ความเห็นชอบ องค์แห่งมรรค ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วย
    อริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่นี้แล สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ
    เป็นองค์มรรค ฯ
    ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาทิฐิ เพื่อบรรลุสัมมาทิฐิ ความพยายามของเธอนั้น
    เป็นสัมมาวายามะ ฯ
    ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาทิฐิได้ มีสติบรรลุสัมมาทิฐิอยู่ สติของเธอนั้นเป็นสัมมาสติ ฯ
    ด้วยอาการนี้ ธรรม ๓ ประการนี้ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาวายามะสัมมาสติ ย่อมห้อมล้อม
    เป็นไปตามสัมมาทิฐิของภิกษุนั้น ฯ



    พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ - หน้าที่ 147
     
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    สาธุ jinny ที่ยกพระสูตรมาสำทับอีกระลอก เพราะนั่นเป็นเครื่องย้ำว่า ให้เพียรพยายามละกิเลส
     
  10. Prompiriya

    Prompiriya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    219
    ค่าพลัง:
    +1,081
    สภาวะแห่งอัพยากฤต... มีความเห็นที่เป็นกลาง ๆครับ
    ก็ยังดีกว่ามีมิจฉาฑิฐิล่ะครับท่าน สาธุ.
     
  11. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    สาธุกับ อ ขันธ์

    เรื่องพิจารณาวิญญาณ ผมก็พยายามทำตามคำแนะนำของท่านอยู่
    และเริ่มเห็นชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตามกำลังของสติ
    การเข้าไปรู้รูปนามนั้น ความละเอียดขึ้นอยู่กับสองส่วนตามความเข้าใจของตนเอง คือ กำลังของสติ และ กำลังของสมาธิ
    ยิ่งมีมาก ก็จะรู้เห็นสภาวะธรรมที่ละเอียดยิ่งๆขึ้นไปได้มาก
    โดยปกติเรามักมองเห็นแต่สภาวะที่หยาบ ที่รุนแรง เช่น โทสะ หรือ โลภะ
    พอไม่มีสภาวะที่รุนแรง เราก็มักจะเข้าใจไปว่า นี่เราคงเฉยๆ อยู่ เป็นอุเบกขาอยู่
    แต่เมื่อพิจารณาให้ลึกลงไป จะพบว่า มันมีสิ่งที่ละเอียดที่เรามองไม่เห็น หรือ ยังคลุมเครือ ซึ่งทำให้รู้ว่ายังไม่เป็นอุเบกขาได้จริงๆ
    ในเรื่องของวิญญาณ ก็เห็นชัดขึ้นเมื่อเข้าใจว่า การรับรู้ที่เกิดขึ้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายตนะ แต่มันขึ้นอยู่กับจิตโดยตรง
    เช่น เวลาที่เรานอนหลับ บางคนอาจปิดตาไม่สนิท เห็นตาในนิดหน่อย แต่ทำไมจึงมองไม่เห็นอะไร นั่นเพราะการมองเห็นไม่ใช่ที่ตา แต่เป็นจักษุวิญญาณต่างหาก
    การสัมผัสทางอายตนะอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน
    ยิ่งเข้าใจ ยิ่งประหลาดใจ
    ยิ่งศึกษา ยิ่งรู้น้อย
    ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งรู้ชัด
    โลกแห่งนามธรรม มหัศจรรย์อย่างที่สุด แตกต่างจากสิ่งเราเห็นๆกันอยู่โดยสิ้นเชิง

    เรื่องสมาธินิมิต ผมก็เคยมีประสบการณ์ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนอยู่ในถ้ำคนเดียว ได้ยิ่งเสียงเทศน์ประหลาด มาจากไหนก็ไม่รู้ เป็นเสียงที่มีพลัง ชัดเจน นุ่นนวล
    เนื้อหาที่เทศน์นั้น ผมไม่เข้าใจเลย รู้แต่เพียงว่า ลึกซึ้งมาก ไม่ใช่ผู้รู้ธรรมธรรมดา น่าจะเป็นพระอรหันต์ผู้ได้ปฏิสัมภิทาญาณเลยทีเดียว แต่ไม่รู้ว่าเป็นท่านใด
    จนมาระยะหลังๆ ผมรู้สึกมีความศรัทธา ปิติ กับพระอานนท์มหาเถระ อยู่เนืองๆ อย่างบอกไม่ถูก
    ก็หวังว่า คงได้มีวาสนากับท่านบ้าง

    ถือว่าเป็นการเล่าสู่กันฟังนะครับ ไม่ต้องถือเป็นจริงเป็นจังอะไร...
     
  12. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ท่านวิมุตติ เพียรให้มากเถอะ ผมเห็นท่านผ่องใสอยู่เบื้องหน้า ยังว่าท่านนี่ เริ่มมีจิตเข้ารูปเข้ารอย ผ่องใสดี
     
  13. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    การเดินทางย่อมมีล้มลุกคลุกคลาน
    ที่ท่านเห็น ก็หวังจะเป็นเช่นนั้น
    เมื่อวานวันเกิดผม หลังทำกรรมฐาน ก็ได้อธิษฐานจิต จะทำความเพียรให้มาก
    ขอพรจากพระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกธาตุ และพระอรหันตธาตุที่มีอยู่(พระสีวลีและพระมหาโมคคัลลานะ)
    ระยะหลังจิตใจเบาสบายกว่าแต่ก่อนอย่างกับคนละคน
    เบื้องหน้าคงเป็นปัจจุบันได้แน่นอน...
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อ้าว ฮิ้ว !!!!

    เร่เข้ามา เร่เข้ามา มาปฏิบัติเพื่อไปถามพระกัน

    เมื่อไหร่ได้ฟังธรรมจากพระในวิญญาณตนะ ก็จะได้ถือว่า ได้รับสัมมาทิฏฐิ

    มา มา เร่เข้ามา มาเพียรชอบไปฟังเทศน์ในนิมิตกัน ใครไม่เคยปฏิบัติจน
    ได้รับการเทศน์จากพระในนิมิต ถือว่า ไม่มีวายามะ ไม่มีทางห้อมล้อมด้วย
    ทิฏฐิอันชอบ

    วันใดเกิดสงสัย เกิดความกังวลกลัดกลุ้มใจ ไม่รู้จะแก้อย่างไร ก็นั่งลง
    ทำสมาธิ เข้านิมิต ไปถาม ได้รับคำตอบ หรือ ได้เห็นพระแม้สักองค์
    ก็ชื่อว่าเห็นธรรม หลุดพ้นเรียบร้อย ทางของการเดินคนเดียวไม่มี

    มีแต่ทางที่มีพี่เลี้ยง ใครกล่าวว่า เอกายนมรรค คือ ทางของคนเดินคน
    เดียวนั้นคงจะไม่จริง

    * * * * *

    อย่าโกรธกันนะ เพราะ พี่เองก็คงไม่ถือเป็นจริงเป็นจังอยู่ด้วยตัวเองอยู่แล้ว
    จึงได้ชักชวนว่า นี่แค่เล่าสู่กันฟัง ไม่ต้องถือเป็นจริงเป็นจังอะไร
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เนื้อเพลง เวทีนี้ไม่มีพี่เลี้ยง

    เวทีนี้ไม่มีพี่เลี้ยง

    ก่อนเราเคยอยู่ลำพังอะไรก็ได้ทุกอย่าง
    แม้อ้างว้างไม่เคยขืนใจ ต่อมามีเธอโชคดีดังมีพลังยิ่งใหญ่
    เป็นเจ้าของหัวใจหนึ่งเดียว......( อย่าลืมกราบ พระเจ้า )

    แต่เราเป็นไปข้างเดียว ขัดแย้งก็ไปมีใหม่
    สำลักช้ำเมื่อเธอนอกใจ ตัดเอ่ย ตัดไฟ ก่อนจะลามท่วมใจ

    เวทีแห่งนี้ไม่มีพี่เลี้ยงจะค่อยเสี้ยมสอน
    จะเดือดจะร้อนต้องทนฝึกไว้ให้ใจเข้มแข็ง
    อาจจะแพงน้ำตา แพงน้ำตา หลั่งไหล
    เสี่ยงลงทุนหัวใจ ทุนหัวใจ ขาดดุล

    ตัดไฟตัดโคนต้นลม ขื่นขมถ้าจำมาเจ็บ
    คุ้มแล้วหรือแลกเธอกับใจ ตัดใจลืมเธอให้ไกล
    ชนะหัวใจเราก่อน แล้วค่อยย้อนกู้ใจคืนมา


    [music]mms://streaming3.trueworld.net/StreamingODAudio2/2/5/5/20050913155329381255_ND.wma#0;1.000;0;0;1:2[/music]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2009
  16. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    อ้อ นั้นสิ ผมจึงเห็นท่านในนิมิตผ่องใสดี
    <!-- / message --> <!-- sig -->
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ท่านสุดโต่งไป ท่านนิวรณ์ เพราะว่าข้อความของผมไม่ได้มีคำใด กล่าว อย่างที่ท่านพูดเลยสักนิด
    ท่านลองไปดู

    การบอกว่า ถ้าไม่มีนิมิต แสดงว่าไม่มีความเพียร ข้อนี้ผมก็ไม่ได้กล่าว
    วันใด กลัดกลุ้มใจ ถามพระในนิมิต ผมก็ไม่ได้กล่าว เพราะผมกล่าวว่า อธิษฐานจิต เพื่อถาม ไม่ได้ถามด้วยความกลัดกลุ้มใจ ก็เปรียบเหมือน หลวงพ่อปราโมทย์ ไปถามหลวงปู่ดูลย์ นั่นแหละ

    ผมก็ไม่เคยกล่าวเช่นนั้นเหมือนกัน การเข้าถึงธรรม ก็เขียนอยู่ทนโท่ ว่าต้องทำอะไรบ้าง

    ท่านนิวรณ์ ไฉน แปลไปคนละทิศได้หละ

    ท่านบอกว่าดูจิตแล้วเคยดูวิญญาณการรับรู้ไหม ว่านั่นคืออาหารของ ตัณหา
    และ ได้ดูไหมว่า จงใจคิด คือ อาหารของตัณหา
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ไม่เป็นจริงเป็นจังหรอก แต่เป็นธรรม เอาตามนั้นนะท่านนิวรณ์
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    กล่าวกันไว้เฉยๆ หนะครับ เพราะในนี้มีคนมาอ่านมาก

    คนที่ชอบเรื่องเจ้าเข้าทรง มาอ่านเข้า ก็จะแปลความผิดไปจากความตั้งใจ
    ของคุณทั้งสองได้
     
  20. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ว่าด้วยผู้มีราตรีเดียวเจริญ

    ว่าด้วยผู้มีราตรีเดียวเจริญ

    พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสดังนี้ว่า

    บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว

    ไม่ควรมุ่งหวังถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง

    สิ่งใดล่วงไปแล้ว

    สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว

    แล้วสิ่งที่ยังมาไม่ถึง

    ก็เป็นอันยังไม่ถึง

    ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบัน

    ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆได้

    บุคคลนั้น พึงเจริญธรรมเพื่อให้ปรุโปร่งเถิด

    พึงทำความเพียรในวันนี้แหละ

    ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่งนี้

    เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราช ผู้มีเสนาใหญ่นั้น

    ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย


    พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปกติอยู่อย่างนี้

    มีความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวัน กลางคืนนั้นแลว่า

    ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ

    (ภัทเทกรัตตสูตร)
     

แชร์หน้านี้

Loading...