สาระแห่งชีวิต คือรักและเมตตา

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย เถรี, 29 ตุลาคม 2006.

  1. เถรี

    เถรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +6,511
    พุทธพจน์ ว่าด้วยความรัก


    ความโศกย่อมเกิดแต่ของที่รัก
    ภัยย่อมเกิดแต่ของที่รัก
    ความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พ้นวิเศษแล้ว
    จากของที่รัก ภัยจักมีแต่ที่ไหน​


    ความโศกย่อมเกิดแต่ความยินดี
    ภัยย่อมเกิดแต่ความยินดี
    ความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พ้นวิเศษแล้ว
    จากความยินดี ภัยจักมีแต่ที่ไหน​


    ความโศกย่อมเกิดแต่กาม
    ภัยย่อมเกิดแต่กาม
    ความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พ้นวิเศษแล้ว
    จากกาม ภัยจักมีแต่ที่ไหน​


    ความโศกย่อมเกิดแต่ตัณหา
    ภัยย่อมเกิดแต่ตัณหา
    ความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พ้นวิเศษแล้ว
    จากตัณหา ภัยจักมีแต่ที่ไหน​


    พระพุทธเจ้า ตรัสแก่ภิกษุสาวก ถึงเรื่องความรักไว้ว่า
    ความรักเป็นความร้าย ความรักเป็นสิ่งทารุณ
    และเป็นเครื่องทำลายความสุขของปวงชน​

    ทุกคนต้องการความสมหวังในชีวิตรัก แต่ความรักไม่เคยให้
    ความสมหวังแก่ใครถึงครึ่งหนึ่งแห่งความต้องการ

    ยิ่งความรักที่ฉาบทาด้วยความเสน่หาด้วยแล้วก็เป็นพิษแก่จิตใจ
    ทำให้ทุรนทุรายดิ้นรนไม่รู้จักจบสิ้น ความสุขที่เกิดจากความรักนั้น
    เหมือนความสบายของคนป่วยที่ได้กินของแสลง


    เธอทั้งหลายอย่าได้พอใจในความรักเลย
    เมื่อหัวใจยึดถือไว้ด้วยความรัก
    หัวใจนั้นจะสร้างความหวังขึ้นอย่างเจิดจ้า แต่ทุกครั้งที่เราหวัง ความผิดหวังก็จะรอเราอยู่


    ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เช่นนี้ เพื่อเตือนว่า
    ชีวิตคู่มีทุกข์สุขคละเคล้ากันไป
    แต่เกือบจะทุกคู่ ทุกข์จะมากกว่าสุข
    ตามวัย ตามสัญชาตญาณของสัตว์โลก
    มักแสวงหาชีวิตคู่แล้วก็เกิดความรัก ความผูกพัน ตามมา​


    ความรู้สึกว่าความรักเป็นสิ่งสวยงาม
    เป็นความสุขอย่างที่สุดนั้น เป็นความสุขของตัณหา
    เพื่อที่จะได้ความสุขนั้น เหมือนติดหนี้สินมากมาย​


    เพราะเมื่อได้ดำเนินชีวิตคู่ไปแล้ว หลายคน
    รู้สึกว่าตัวเองได้คำนวณผิดพลาดไป ดอกเบี้ยแพง
    ตั้งใจแก้ตัว พยายามอย่างไรก็ติดลบ
    มีทุกข์มาก มีสุขน้อย หลายคู่ก็ผิดหวัง
    เหมือนมีหนี้สิน ชดใช้ไม่รู้จักจบสิ้น​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2006
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,326
    [​IMG]

    ความรักของพ่อแม่

    การเดินทางร่วมกันของเราในวัฏสงสาร
    มีทั้งรักกัน เกลียดกัน ทำดีบ้าง ทำชั่วบ้าง
    เหล่านี้คือกรรมที่ทำสะสมไว้ซ้ำ ๆ ซาก ๆ
    กรรมดีหรือนิสัยที่ดี เป็นการสร้างบารมี
    กรรมชั่ว นิสัยที่ไม่ดี สะสมเป็นอาสวะ กิเลส

    การที่เราเกิดมาในท้องแม่ ถือเป็นกรรมเก่า
    ผลของกรรมเก่าที่สร้างสมไว้เปรียบเหมือนเมล็ดพืช
    การรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    และการเลี้ยงดูของพ่อแม่ เป็นปัจจัย
    หรือเปรียบเสมือน ปุ๋ย ดิน น้ำ แสงแดด
    ที่ช่วยบำรุงเลี้ยงเมล็ดพืชให้งอกงาม

    อย่างไรก็ตาม เด็กทารกทุกคนคือผู้บริสุทธิ์
    การเลี้ยงดูของพ่อแม่ด้วยความรักความเมตตา
    จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ที่จะช่วยให้ลูกเติบโตขึ้น
    อย่างมีความสุข ตรงกันข้าม เด็กที่เกิดมาอย่างขาดความรัก
    ความอบอุ่นในครอบครัว ยากที่จะมีจิตใจที่ดีได้
    มักมีปัญหาทางใจ เป็นคนขี้น้อยใจ ขี้อิจฉาริษยา
    ขี้กลัว ขี้เกียจ ขี้ตกใจ ฯลฯ เรียกว่าจิตใจไม่สมบูรณ์

    ความรักจึงเป็นสิ่งสำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิต
    มนุษย์ทุกคนต้องการความรักจากพ่อแม่
    ญาติพี่น้อง และบุคคลที่อยู่รอบข้าง
    เราจะเกิดความรู้สึกอบอุ่น มั่นคง ปลอดภัย
    และสุขใจ เมื่อได้รับความรัก
    ความรักจึงทำให้มนุษย์มีจิตใจที่สมบูรณ์

    ความรู้สึกนึกคิดของแม่ก็ถ่ายทอดถึงจิตใจของลูก
    ผ่านสะดืออารมณ์ได้เหมือนกัน ดังนั้น การทำหน้าที่แม่ที่ดี
    ไม่เพียงแต่รักษาร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์เท่านั้น
    หากต้องรักษาอารมณ์และจิตใจที่ดีด้วย
    โดยการรักษาศีล ภาวนา คิดดี ทำดี พูดดี
    ญาติพี่น้อง บุคคลรอบข้างก็ควรให้ความรัก
    ความเมตตา ให้กำลังใจ แก่ผู้ที่กำลังจะเป็นแม่

    ตามหลักจิตวิทยาเชื่อว่า จิตใจของเด็กมีความละเอียดอ่อน
    ซึมซับสิ่งต่าง ๆ ได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    การเลี้ยงดูเด็กในช่วงอายุ่ ๓-๕ ขวบ จะเป็นช่วง
    หัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่จะมีผลต่อการกำหนด
    จริตนิสัย พฤติกรรมของเด็กในเวลาต่อมา
    เด็กที่ได้รับความรัก จะมีความรู้สึกอบอุ่น
    มีความมั่นคงทางอารมณ์ และเติบโตขึ้นมามีความสุข
    เด็กที่ขาดความรัก ถูกทิ้ง จะรู้สึกมีปมด้อย
    ขี้น้อยใจ ขี้อิจฉาริษยา ขี้กลัว เป็นต้น
    ความรักที่พอเหมาะพอดี จึงเป็นสิ่งสำคัญ

    ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกควรพอเหมาะพอดี
    บางครั้งความรักความห่วงใยที่มากเกินไป
    ทำให้ลูกอึดอัด คับข้องใจก็มีมาก
    อย่าลืมว่า ความรู้สึกของลูกเป็นสิ่งสำคัญ

    เมื่อครั้งที่อาจารย์ไปแสวงบุญที่อินเดีย
    มีอยู่วันหนึ่ง พักที่โรงแรมนิวเดลลี
    มีหนุ่มชาวไต้หวันคนหนึ่ง เมื่อเห็นพระ
    ก็รีบเข้ามาหา อยากที่จะระบายความอึดอัดใจ
    เขาแนะนำตัวกับอาจารย์ว่า
    เข้าไปลูกชายคนเดียวของพ่อแม่
    ซึ่งเป็นครอบครัวคนจีน
    ทำธุรกิจการค้าอยู่ในประเทศไต้หวัน
    มีฐานะดีมาก แต่เขาอยากจะฆ่าตัวตาย เพราะพ่อแม่
    รักเขามากเสียจนเขาอึดอัด ขาดอิสระ ไม่มีความสุข
    เขาเล่าว่า พ่อแม่จู้จี้จุกจิก ดูแลเขาใกล้ชิดราวกับเขา
    เป็นลูกสาวที่ยังเล็ก ทั้ง ๆ ที่เขาอายุ ๒๗ แล้ว
    เขาไม่เคยมีอิสระเหมือนเพื่อน ๆ เลย
    ถ้าความรักของพ่อแม่ทำให้เขาเป็นแบบนี้
    เขาขอตายดีกว่า

    ความรักที่มีอุปทานยึดมั่นถือมั่น จนกลายเป็น
    การเข้าไปครอบครองเป็นเจ้าชีวิตของลูก
    กำหนดเส้นทางชีวิตให้ลูก จึงเป็นโทษมาก
    การเลี้ยงดูลูก ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา
    พยายามเข้าใจความรู้สึกของเรา
    เรียนรู้ และเข้าใจธรรมชาติของเด็ก ๆ
    พยายามให้ลูกซึ่งเป็นฝ่ายที่รับความรักจากเรา
    เกิดความรู้สึกอบอุ่น มั่นคงทางอารมณ์
    รู้จักผิดชอบชั่วดี และพัฒนาชีวิตของเขา
    ให้ตั้งมั่นอยู่ในศีล ๕ ได้ เรียกว่ามีจิตใจสมบูรณ์

    ที่ประเทศญี่ปุ่น เคยมีรัฐมนตรีท่านหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า
    ตนเองเมื่อสมัยเป็นเด็ก มีนิสัยเกเร ก้าวร้าว
    แต่ด้วยความหนักแน่นมั่นคงของแม่ และครู
    ที่เลี้ยงดูและอบรมเขาด้วยความรักความเข้าใจ
    ทำให้เขาพัฒนาขึ้น จนสามารถเปลี่ยนนิสัยได้
    เขาจึงเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ
    ประสบความสำเร็จในการงาน
    จนมีโอกาส ได้ทำงานรับใช้ประเทศชาติ
    ในฐานะของรัฐมนตรี
     
  3. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,326
    [​IMG]

    ชีวิตคู่

    สมรส หมายถึงรสนิยมเสมอกัน
    มีจริตนิสัย ชอบและไม่ชอบอะไรคล้าย ๆ กัน
    จึงเข้ากันได้เป็นอย่างดี

    เมื่อเราใช้ชีวิตคู่ร่วมกับผู้อื่นในฐานะต่าง ๆ ต้องมี
    คุณธรรม และมีรสนิยมเสมอกัน จึงจะมีความสุข
    ถ้าต่างกันมาก เข้ากันไม่ได้ ก็มักเกิดปัญหาตามมา

    โดยเฉพาะชีวิตคู่ เป็นสามีภรรยาต้องใกล้ชิดกันมา
    จนเรียกได้ว่าทั้งเราและเขา
    มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อยู่ร่วมกันตลอดชีวิต
    จึงเป็นเรื่องที่ต้องคิดให้รอบคอบ
    หากตัดสินใจจะใช้ชีวิตคู่กับใคร

    อารมณ์รักเป็นสิ่งไม่แน่นอน
    เมื่อเราสามารถเริ่มต้นชีวิตคู่กับคนที่รักเรามาก ๆ
    เรารู้สึกสมหวังในความรัก โลกทั้งโลกสดใสสวยงามสำหรับเรา
    แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรานี้ไม่แน่นอน
    ชีวิตสมรส อาจจะเป็นชีวิตที่อบอุ่น
    สร้างครอบครัวที่มีความสุขร่วมกัน
    หรือโดยส่วนใหญ่ก็มีทุกข์บ้าง สุขบ้าง อย่างปุถุชนทั่ว ๆ ไป

    แต่สำหรับบางคู่อาจจะเป็นชีวิตที่ตกนรกทั้งเป็นก็มี เปรียบชีวิตคู่เหมือน
    ชีวิตแบบยักษ์อยู่ด้วยกัน
    ชีวิตแบบเปรตที่อยู่ด้วยกัน
    ชีวิตแบบเดรัจฉานอยู่ด้วยกัน

    อย่าหลงเชื่อในความรู้สึกรัก ซึ่งไม่แน่นอน
    อารมณ์รักก็มีลักษณะเช่นเดียวกับ จิตที่เกิดอุปทาน
    เหมือนการติดบุหรี่ เล่นการพนัน ติดยาเสพติด
    ที่เกิดจากอุปทานความยึดมั่นถื่อมั่นของจิต
    การหลงรักในสิ่งที่คนทั่วไปไม่รักก็มีมาก
    จึงทำให้ชีวิตมนุษย์เรานั้นสับสนวุ่นวายอยู่ในทุกวันนี้

    เมื่อเรารู้ว่าอารมณ์รักเป็นสิ่งไม่แน่นอน
    เราจึงไม่ควรใช้อารมณ์รักเพียงอย่างเดียว
    มาเป็นข้อตัดสินใจในการเลือกคู่ชีวิต

    พระพุทธเจ้าทรงให้หลักในการพิจารณาไว้ว่า
    ชีวิตคู่ที่จะมีความสุขร่วมกันได้ดี

    ควรมีคุณธรรมเสมอกัน ๔ ประการ คือ

    - ศรัทธา ความเชื่อมั่นในสิ่งดีงาม
    - ศีล ความประพฤติดีทางกาย และวาจา
    - จาคะ ความเสียสละ รู้จักแบ่งปัน
    - ปัญญา ความรู้ว่าสิ่งใดดีหรือชั่ว

    อย่างไรก็ตาม ในชีวิตจริงเป็นเรื่องยากที่จะได้คู่ครอง
    ที่มีความคิดจิตใจเหมือนกันกับเรา หลวงพ่อชาเคย
    เปรียบเทียบชีวิตคู่ไว้ว่า เหมือนเอาไม้สองท่อนมามัดไว้ด้วยกัน
    ถ้าไม้ท่อนเดียวกันเอามือจับปลายสองข้างจะดึงจะโค้งงออย่างไร
    มันก็ทนกว่าไม้สองท่อนที่จับเอามามัดกันไว้
    เมื่อเราจับงอหรือดึงไปคนละทาง
    มันง่ายอยู่แล้วที่จะหลุดออกจากกัน

    ดังนั้น เมื่อคนสองคนมาอยู่ด้วยกันแล้ว ก็ต้องรักกัน
    สามัคคีกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา
    เพื่อเข้าใจอีกฝ่ายหนึ่ง ต่างคนต่างแก้ไข
    ปรับตัวเองเพื่อเข้ากับอีกฝ่ายหนึ่ง ต้องรู้จักอดทน
    เมื่อเกิดไม่พอใจ ไม่ถูกใจ ต้องละทิฏฐิมานะ
    ความเห็นแก่ตัว พยายามปล่อยวาง และให้อภัยต่อกัน
    เรียกได้ว่าทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติธรรมแบบอุกฤษฏ์
    ต้องช่วยเหลือเอื้ออาทรต่อกัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
    เพื่อที่จะผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้
    และใช้ชีวิตร่วมกันอย่างเป็นสุข สบายใจ
     
  4. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,326
    [​IMG]

    เนื้อคู่: คู่แท้หรือคู่เทียม

    เนื้อคู่ ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน อธิบายไว้ว่า
     
  5. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,326
    [​IMG]

    ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์

    โรงครัวที่ไม่มีน้ำตาล เกลือ ไม่ใช่โรงครัว
    การปรุงอาหารให้อร่อย ต้องใช้น้ำตาล เกลือ
    ขาดน้ำตาล ขาดเกลือ รสอาหารก็ไม่อร่อย
    น้ำตาล เกลือ จึงเป็นของสำคัญในการปรุงอาหาร
    ในเวลาเดียวกัน โทษของน้ำตาล เกลือ ก็มีมาก
    โรคเจ็บไข้ได้ป่วยของคนเรามีหลายโรค มีสาเหตุมาจาก
    การรับประทาน น้ำตาล เกลือ มากไป
    บางคนก็บอกว่า น้ำตาลมีแต่โทษ ไม่มีประโยชน์เลย
    แต่ร่างกายก็ต้องการน้ำตาลในปริมาณที่เหมาะสม

    ชีวิตที่ปราศจากความรัก ไม่ใช่ชีวิต
    สำคัญที่สุดในชีวิต คือ ความรัก
    ความรักคือชีวิต ชีวิตคือความรัก
    ความสุขของชีวิต เกิดจากความรัก
    ความทุกข์ของชีวิต เกิดจากความรักเช่นกัน

    ทุกข์เพราะความรัก ก็มีมาก
    จนบางครั้งดูเหมือน ความรักคือความทุกข์
    ทุกข์มาก ๆ ทำใจไม่ได้ จนถึงขั้นฆ่ากันตาย
    ทำลายชีวิตตัวเอง ก็มีมาทุกยุคทุกสมัย
     
  6. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,326
    [​IMG]

    ชีวิตคือความรัก


    ชีวิตคือความรัก
    ชีวิตที่ปราศจากความรัก ไม่มีชีวิต
    ความรักคืออาหารใจ
    ความรักสร้างชีวิต
    ความรักหล่อเลี้ยงจิตใจมนุษย์

    ตามหลักทางพุทธศาสนากล่าวไว้ว่า
    กว่าที่เราจะเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้
    จิตวิญญาณของเราได้ท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสาร
    มานับชาติไม่ถ้วน ในภพภูมิต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เทพ
    เทวดา มนุษย์ สัตว์ เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก
    เราได้เกิดตาย ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกจนไม่อาจนับชาติได้

    พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
    สัตว์ทั้งหลายที่เราพบเห็น โดยเฉพาะมนุษย์ด้วยกัน
    ซึ่งเกิดมาพบกันในชาตินี้ ที่ไม่เคยเป็นพ่อแม่
    ญาติพี่น้องกัน ในวัฏสงสารนั้นหายาก
    ในวัฏสงสารอันยาวนาน
    ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน
    ดังนั้น ในการดำเนินชีวิต เราจึงไม่ควรประมาท
    สร้างศัตรู แบ่งพรรคแบ่งพวก ต่อสู้ แก่งแย่งชิงดีกัน
    แต่ควรที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
    และมีความเมตตากรุณาต่อสัตว์ทั้งหลาย
    โดยเฉพาะเมื่อเกิดมาในครอบครัวเดียวกัน
    เราควรมีความรัก มีเมตตา กรุณาต่อกัน ช่วยเหลือ
    เกื้อกูลกัน และพัฒนาชีวิตให้มีความสุข

    ชีวิตคนเราในชาติหนึ่ง ต่างมุ่งแสวงหาหลายสิ่ง
    หลายอย่าง ทั้งทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียง ฯลฯ
    แต่ในที่สุด สิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดในชีวิตคือ ความรัก

    ความรักที่หมายถึงความปรารถนาดี เอื้ออาทรต่อกัน
    ยอมรับได้ทุกสิ่งทุกอย่างในความเป็นเขา
    รักอย่างไม่มีเงื่อนไข เป็นมิตรภาพที่ยั่งยืน
    เป็นความรักที่มีแต่ให้ ให้ด้วยความพอใจ สุขใจ
    ชีวิตที่มีความรักเช่นนี้ ย่อมอบอุ่นใจ สบายใจ
    ถึงแม้ว่าตาย การตายด้วยความสบายใจ สุคติ
     
  7. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,326
    [​IMG]

    เรื่องของนางภัททา

    ในสมัยพุทธกาล ก็มีเรื่องของนางภัททา ธิดาเศรษฐี มีอายุย่างเข้าวัย ๑๖ ปี
    มีรูปร่างสวยงาม บิดามารดาจึงระวังรักษาให้อยู่บนปราสาทชั้นที่ ๗
    ให้หญิงรับใช้คอยดูแล

    แต่ธรรมดาของหญิงสาวในวัยนี้ ย่อมมีความฝักใฝ่ในชายหนุ่ม
    ดังนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่นำโจรหนุ่มผ่านมาทางหน้าบ้านของนาง
    พอนางเปิดหน้าต่างลงไปเห็นโจรเท่านั้น ก็เกิดจิตรักใคร่ในตัวโจรทันที
    คิดว่า
     
  8. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,326
    [​IMG]

    รักตัวเอง คือ
    รักศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์


    มนุษย์ แปลว่า ใจสูง หมายถึงมีจิตใจสูงกว่า
    สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก
    แม้มนุษย์จะมีความเป็นปุถุชน ที่มากด้วยกิเลสตัณหา
    แต่มนุษย์ก็รู้จักผิดชอบชั่วดี
    รู้จักว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ มิใช่ประโยชน์
    และที่สำคัญ มีสัญชาตญาณที่จะพัฒนาชีวิตให้ดีขี้น
    ปรารถนาจะละความชั่ว ทำความดี ทำใจให้บริสุทธิ์
    คล้ายกับว่า มีทั้งฝ่ายดี และฝ่ายชั่วต่อสู้กัน
    บางครั้งฝ่ายชั่วครอบงำจิตใจ แต่บางครั้งฝ่ายดีก็ชนะ

    ศีล ๕ เป็นมนุษย์ธรรม

    การักษาคุณธรรม รักษาศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
    คือ การรักษาศีล ๕
    การพัฒนาจิตใจ
    ยกระดับจิตใจของเราให้สูงยิ่งๆ ขี้น
    ต้องประพฤติ กัลยาณธรรม ๕

    ศีล ๕ และกัลยาธรรม ๕

    หรือที่เรียกว่าเบญจศีล เบญจธรรม
    เป็นหลักธรรมพื้นฐานสำหรับมนุษย์เราทุกคน
    พึงปฏิบัติ เพื่อตั้งมั่นอยู่ในความดี ละเว้นความชั่ว
    และทำจิตใจให้บริสุทธิ์

    ศีล ๕ คือ หลักธรรมที่ควรงดเว้น ๕ ประการ คือ

    ๑. เจตนางดเว้นจากการทำสัตว์ที่มีชีวิตให้ตกล่วง
    ๒. เจตนางดเว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน
    ๓. เจตนางดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
    ๔. เจตนางดเว้นจากการพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
    ๕. เจตนางดเว้นจากการบริโภคสิ่งมึนเมา สิ่งเสพติด
     
  9. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,326
    [​IMG]

    กัลยาธรรม ๕

    เป็นหลักธรรมที่ควรปฏิบัติ มี ๕ ประการดังนี้

    ๑. เมตตาและกรุณา คือ
    ปรารถณาให้เขามีความสุขความเจริญ
    และความสงสาร คิดช่วยให้เขาพ้นทุกข์

    ๒. สัมมาอาชีวะ คือ การหาเลี้ยงชีพในทางสุจริต

    ๓. กามสังวร คือความสังวรในกาม ความสำรวมระวัง
    รู้จักยับยั้งควบคุมตนในทางกามารมณ์
    ไม่ให้หลงใหลในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส

    ๔. สัจจะ คือ ความซื่อสัตย์ ซื่อตรง

    ๕. สติสัมปชัญญะ คือระลึกได้ และรู้ตัวอยู่เสมอ
    ฝึกตนให้เป็นคนรู้จักยั้งคิด
    รู้สึกตัวเสมอว่าสิ่งใดควรทำ และไม่ควรทำ
    ระวังมิให้เป็นคนมัวเมา ประมาท

    หลายคนอาจรู้สึกว่า การักษาศีล ๕ เป็นเรื่องพื้น ๆ
    ไม่มีอะไรพิเศษ จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญ
    ความจริงแล้วการรักษาศีล ๕ ให้สมบูรณ์
    ด้วยการปฏิบัติอย่างเข้าถึงจิตใจจริง ๆ
    ถือเป็นเป้าหมายของการพัฒนาชีวิตที่สมบูรณ์ได้
    หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโมลูกศิษย์ของท่านอาจารณ์มั่น
    ได้เคยแสดงธรรมไว้ว่า

    จิตไม่ฆ่าสัตว์ จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน
    จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่หัวใจของเราทุกคน
    จิตไม่ลักทรัพย์ จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน
    จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่หัวใจของเราทุกคน
    จิตไม่คิดมีผัวเมีย จิตออกบวช จิตก็เป็นศีล
    จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่หัวใจของเราทุกคน
    จิตไม่ขี้ปด จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน
    จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ทีหัวใจของเราทุกคน

    ที่สุดของจิตบริสุทธิ์ คือต้องเข้าถึงศีล ๕ สมบูรณ์
     
  10. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,326
    [​IMG]


    รักที่ไม่มีทุกข์

    ความรักที่มีแต่สุข ไม่มีทุกข์เจือปน เป็นสิ่งที่เป็นไปได้
    ในทางพุทธศาสนา ความรักอันบริสุทธิ์
    ที่จะนำชีวิตไปสู่ความสุขแท้ คือความรักที่ต้องอาศัย
    คุณธรรมสำคัญ ๔ ประการ คือ

    พรหมวิหาร ๔ อันประกอบด้วย

    ๑. เมตตา ปรารถนาให้เขามีความสุข
    ๒. กรุณา ปรารถนาให้เขาพ้นจากทุกข์
    ๓. มุทิตา พลอยยินดีด้วยเมื่อเขาได้ดี
    ๔. อุเบกขา ทำใจเป็นกลาง วางเฉย
     
  11. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,326

    [​IMG]

    เมตตา คือความรัก ความปรารถนาดีให้เขามีความสุข

    การเจริญพรหมวิหาร ๔ เริ่มต้นด้วยเจริญเมตตาก่อน
    เพราะกรุณา มุทิตา และอุเบกขานั้น เป็นคุณธรรมที่สูงขึ้น
    ไปตามลำดับ ต้องใช้กำลังสติปัญญามากยิ่ง ๆ ขึ้นไป

    เมตตาเป็นบารมีอย่างหนึ่ง
    เริ่มต้นให้ฝึกมีเมตตาแก่ตนเองก่อน
    พยายามฝึกหัดขัดเกลาจิตใจให้มีความรู้สึกที่ดีออกมา
    ให้เป็นตามธรรมชาติ และให้สังเกต
    ศึกษาถึงความรู้สึกนึกคิด
    ที่เป็นข้าศึกคอยกีดขวงไม่ให้เกิดความรู้สึกที่ดีออกมา
    ความรู้สึกที่ไม่ดี จริตนิสัยที่จะคิดไปในทางที่ไม่ดี
    ซึ่งจะตรงข้ามกับเมตตา ทั้งทางกาย วาจา ใจ
    เช่น คิดอาฆาตพยาบาท คิดเบียดเบียน
    คิดแต่เรื่องกามารมณ์
    สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้าศึกต่อความเมตตา
    กามารมณ์ คือความรักใคร่พอใจในเรื่องของกาม
    กามราคะตัณหาเป็นอุปสรรคในการมีเมตตา
    เป็นความรู้สึกที่ทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว
    อยากจะได้เขามาเป็นของเรา เมื่อไม่ได้ตามที่ต้องการ
    มักเกิดความไม่พอใจ โกรธแค้น
    บางครั้งก็ถึงกับฆ่าตัวตาย ทำลายชีวิตเขา
    ถ้าเราสามารถรักษาศีลให้มั่นคงได้
    ก็จะไม่เกิดเรื่องเดือดร้อนไปเบียดเบียนใคร
    แต่ถ้ากามารมณ์รุนแรงมาก
    ก็ควรที่จะพิจารณาร่างกายของตน
    เป็นอสุภะ ไม่สวย ไม่งาม เป็นปฏิกูล
    พยายามสงบระงับซึ่งกามารมณ์ จนรู้สึกได้ว่า
    ทุกคนเป็นพ่อแม่ ญาติพี่น้องของเรา
    คือถ้าอยู่ในวัยเดียวกับพ่อแม่
    ก็ให้ทำความรู้สึกเหมือนเป็นพ่อแม่
    ถ้าวัยเดียวกั้บพี่ชายพี่สาว หรือน้องชายน้องสาว
    ก็ทำความรู้สึกเหมือนเป็นพี่ชายพี่สาว
    หรือน้องชายน้องสาวตามนั้น ทำให้อารมณ์เย็น
    ใจเย็น หลุดจากโทสะ จากราคะ ทำให้มีความพอใจ
    สุขใจ และพยายามให้ความปรารถนาดีนี้
    เผื่อแผ่ไปถึงยังทุกคน

    ฝึกคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี
    เรื่องส่วนตัวและเรื่องรอบ ๆ ตัวทั้งโลก
    เมื่อไม่ดี ไม่ถูกใจ ให้พักไว้ สงบเงียบอยู่ในใจ
    รู้อยู่ เห็นอยู่ แต่ไม่ต้องปรุงแต่งขึ้นมา มีหิริโอตตัปปะ
    ต่อคำว่า
     
  12. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,326

    [​IMG]

    กรุณา คือความสงสาร

    เมื่อเห็นเขามีความทุกข์ ก็คิดหาทางช่วยเหลือ
    ปลดเปลื้องทุกข์ของเขา

    กรุณาต่อตนเอง หมายถึงมีจิตใจอยากจะช่วยเหลือ
    ตนเองให้พ้นจากทุกข์ ด้วยการสำรวจตัวเอง
    มองดูชีวิตตัวเอง เริ่มต้นที่การกระทำด้วย กาย วาจา
    มีอะไรบ้างที่เราควรแก้ไข ปรับปรุงตน
    เริ่มต้นตรวจดูด้วยศีล ด้วยกฎหมาย ระเบียบ วินัย
    กติกาของสังคม หรือจากการที่ พ่อแม่ ครู อาจารย์
    หรือเพื่อน ๆ ได้ว่ากล่างตักเตือนเรามีอะไรบ้าง
    จุดอ่อน จุดบกพร่องของตนเองเลือกมา ข้อใดข้อหนึ่ง
    ทบทวนตามเหตุผล ยกขึ้นมาตั้งไว้ในหัวใจ

    ตั้งใจจะแก้ไขปรับปรุง พิจารณาอยู่บ่อย ๆ เป็นประจำ
    ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ขึ้น เหตุการณ์กำลังเกิดขึ้น
    เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว
     
  13. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,326
    [​IMG]


    มุทิตา คือความยินดีเมื่อเขาได้ดี

    เห็นเขาอยู่ดีมีสุข เจริญก้าวหน้า
    ก็พลอยแช่มชื่นเบิกบานใจ ไม่คิดอิจฉาริษยา
    และพร้อมที่จะส่งเสริม สนับสนุน

    สำหรับคนทั่วไป แม้มีเมตตากรุณามากพอสมควรแล้วก็ตาม
    แต่ที่จะมีมุทิตาจากใจจริงนั้น ยังหายาก
    ปกติเมตตากรุณา คือการเผื่อแผ่ให้คนที่ด้อยกว่าตน
    มุทิตา ทำจิตพลอยยินดีกับบุคคลที่มีความสุข
    อาจมีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มากกว่าตน
    ปกติจิตใจที่เห็นแก่ตัว มักจะเกิดความรู้สึกอิจฉา
    ริษยา น้อยอก น้อยใจ ฯลฯ เป็นธรรมดา

    เราจึงต้องพัฒนาจิตใจให้มีมุทิตาต่อตนเองก่อน
    หมายถึง หัดนิสัยมองดูตนเองให้มาก ๆ
    อย่าเปรียบเทียบแต่กับคนที่ดีกว่าเรา
    คนที่มีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข น้อยกว่าเรา ก็มีมาก
    พลเมืองในโลกนี้มีประมาณหกพันล้านคน
    เป็นคนยากจนที่ไม่เคยมีข้าวกินอิ่ม หนึ่งในห้าส่วน
    ก็เท่ากับคนพันสองร้อยล้านคนที่กินข้าวไม่อิ่ม
    คนที่อยู่ในสังคมที่ไม่สงบ อยู่ท่ามกลางสงคราม
    ป่วยเป็นโรค ติดยาเสพติด มีปัญหาในชีวิตมากมาย
    มองดูตน จะเห็นว่าเรามีโอกาสดีกว่าอีกหลาย ๆ คน
    อย่างน้อยก็ให้เกิดสันโดษขึ้นในจิตใจ
    ยินดีในสิ่งที่ได้ พอใจในสิ่งที่มีอยู่
    ขอบคุณหลาย ๆ คนที่ช่วยสนับสนุนชีวิตของเรา

    เมื่อเขามองดูชีวิตของตนด้วยใจเป็นธรรม
    ใจเป็นศีล ใจมีเมตตา กรุณาแล้ว
    จะเกิดความพอใจ สุขใจในฐานะของตน
    สันโดษพอใจในชีวิตตนในปัจจุบัน
    เมื่อใครได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข
    เขาพอใจ มีความสุข เราก็พลอยยินดีกับเขา
    ยิ่งพลอยยินดีกับความสุขของเขา
    เราก็ยิ่งเพิ่มความสุขในใจตนยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก

    มุทิตาธรรมที่สมบูรณ์
    จึงต้องประกอบด้วยคุณธรรมของ
    ความเมตตาและกรุณา อยู่ในตัวนั่นเอง
     
  14. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,326

    [​IMG]

    อุเบกขา คือความวางใจเป็นกลาง เป็นปกติ

    ไม่ยินดี ยินร้าย เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
    เป็นไปตามสมควรแก่เหตุปัจจัย ตามกฎแห่งกรรม

    หลายคนเข้าใจผิดว่า อุเบกขาคือ เฉย ๆ
    ไม่สนใจว่าใครจะทำอะไร ช่างมัน ฉันไม่เกี่ยว
    อุเบกขา มาจากความหมายเดิมว่า
    เข้าไปดู เข้าไปดูจนเข้าใจชัดเจน แล้วจิตปล่อยวาง
    ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ยินดี ยินร้าย วางใจเฉย

    อุเบกขา ต้องอาศัย สติ ปัญญา ขันติ

    ครูบาอาจารย์ เปรียบเทียบไว้ว่า
    เมื่อลูกของเราจะเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเรียนต่อ
    ก่อนเดินทาง พ่อแม่ อบรมสั่งสอนทำหน้าที่ของพ่อแม่ให้ดีที่สุด
    และสมบูรณ์ด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา
    เมื่อลูกเดินทางไปต่างประเทศแล้ว
    ไม่ต้องคิดถึง หรือเป็นห่วงวิตกกังวลใด ๆ อีก
    ทำใจวางเฉย รักษาใจ สงบใจ สุขใจ
    เราจะพัฒนาอุเบกขาขึ้นในจิตใจได้
    ต้องเข้าใจความจริงอย่างหนึ่งของชีวิต
    ว่าไม่มีใครหนีพ้นจากโลกธรรมแปด
    โลกธรรมแปดฝ่ายน่าปรารถนา
    ได้ลาภ ได้ยศ สรรเสริญ สุข
    โลกธรรมแปดฝ่ายไม่น่าปรารถนา
    ได้แก่ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์
    โดยเฉพาะโลกธรรมฝ่ายไม่น่าปรารถนานี้
    หากเกิดขึ้นกับบุคคลอันเป็นที่รัก เช่นลูกของเราแล้ว
    ยากที่เราจะวางใจเป็นกลางได้
    เรามักคิดว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรม ไม่สมควรเลย
    แต่หากเราพิจาณาชีวิตด้วยปัญญาชอบแล้ว
    จะเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีประสบการณ์อยู่นั้น
    มันเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
    ทุกสิ่งที่เราประสบล้วนเป็นมรดกแห่งกรรมของเราเอง
    ชีวิตที่เรามีประสบการณ์อยู่นี้ สมบูรณ์ด้วยเหตุผล
    สมบูรณ์ตามเหตุปัจจัยของมันเสมอ
    การกระทำของตัวเอง มองดูจากระยะยาว
    ตั้งแต่อเนกชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น
    จึงพอเหมาะ พอดี สมบูรณ์แล้วด้วยกฎแห่งกรรม
    ใช้สติปัญญา เข้าใจความเป็นไปของชีวิต
    ปล่อยวางได้ ทำใจได้ ไม่ทุกข์ใจ
    เอาใจใส่ และรับผิดชอบในชีวิตปัจจุบัน
    ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดด้วยความพอใจ สงบใจ

    ที่สุดของอุเบกขา คือไม่มีปฏิฆะ อันหมายถึง
    ความกระทบกระทั่งใจ ความหงุดหงิดขัดเคือง
    เกิดขึ้นในใจแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะมีเรื่องราวเดือดร้อน
    รุนแรงขนาดไหนเข้ามากระทบ ก็ทำใจปล่อยวาง
    และสงบใจได้ อุเบกขาจึงถือเป็นคุณธรรมขั้นสูง
    อันเปี่ยมด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา
    อย่างสมบูรณ์ในขณะเดียวกัน
     
  15. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,326

    [​IMG]

    สันติภาพโลกเริ่มที่ความรัก

    การพูดถึงสันติภาพโลก ในยุคสมัยปัจจุบัน
    ที่โลกกำลังร้อนด้วยไฟสงครามและการก่อการร้าย
    ฟังดูเหมือนเป็นการพูดถึงสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม

    สันติภาพโลก จะไม่เป็นเพียงโลกแห่งอุดมคติ
    หากมนุษย์เราทุกคนปลูกฝังคุณธรรม
    ความรักความเมตตาให้อยู่ในจิตสำนึกตลอดเวลา
    สร้างค่านิยมที่ดีในสังคม ไม่หลงมัวเมาในวัตถุนิยม
    จนลืมพัฒนาจิตใจ

    เมื่ออาจารย์นึกถึงสังคมในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นบ้านเกิด
    ที่เคยใช้ชีวิตมากกว่า ๒๐ ปี สมัยเป็นฆราวาส
    สังคมที่นั่นสงบสุข แทบจะไม่มีข่าวการฆ่ากันตีกัน
    หรือแม้แต่เรื่องขโมยก็ไม่ค่อยจะได้ยิน
    เป็นสังคมที่รังเกียจคนทำชั่ว ยกย่องคนดีมีศีลธรรม
    รักชีวิตตนเอง ชีวิตครอบครัว รักสันติสุข

    สันติภาพโลกไม่ใช่โลกแห่งอุดมคติที่ไกลเกินเอื้อม
    สันติภาพโลกเริ่มต้นที่ตัวเราทุกคน
    ด้วยการให้ความรักและเมตตาแก่ตนเองก่อน
    รักและปรารถนาดีต่อตนเองอย่างถูกต้อง
    มีหิริโอตตัปปะ เป็นอาวุธต่อสู้ทำลาย โลภ โกรธ หลง
    มีหิริโอตตัปปะ ทำลายความรู้สึกยินดี ยินร้าย

    รักษาตนให้พ้นจากสิ่งที่ชั่ง ตั้งมั่นอยู่ในศีล ๕ ได้
    หากมนุษย์มีศีลธรรมประจำใจกันทุกคนแล้ว
    จะทำให้ทุกชีวิตมีหลักประกันของความปลอดภัย
    ไม่ต้องมีความกังวลหวาดระแวงเกรงกลัวสิ่งใด ๆ อีก
    ทุกคนอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสงบสุขร่มเย็น
    สันติภาพโลกเริ่มจากพวกเราทุกคนที่นี่และเดี๋ยวนี้
     
  16. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,326
    [​IMG]

    ทานจักร ๑๐ ประการ

    หากเมล็ดพันธ์แห่งความรัก ความเมตตา
    ได้เจริญงอกงามขึ้นในจิตใจของเราแล้ว
    เราจะตระหนักว่าเรารักชีวิต เราต้องการความสุข
    ชีวิตอื่น สัตว์อื่น ต่างก็รักชีวิต
    และปรารถนาความสุขเช่นกัน
    สาระแห่งชีวิต คือ ความรัก ความเมตตา
    อานุภาพแห่งความเมตตาจะนำมาซึ่ง
    ความสุขและความเบิกบานแก่ทุกชีวิต

    สำหรับเราทุกคน ในฐานะชีวิตหนึ่งในโลกกว้างใหญ่
    เราอาจไม่ยิ่งใหญ่พอที่จะแก้วิกฤตของโลกได้
    แต่ด้วยความรัก ความเมตตาที่มีในหัวใจของเรานี้
    เราสามารถทำสิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้นในโลกได้มากมาย

    ช่วงหนึ่งอาจารย์ได้เคยพิจารณาว่าข้อธรรมะของพระพุทธองค์ข้อไหน
    จะสามารถแก้ปัญหาของโลกได้
    และไม่ขัดแย้งต่อเชื้อชาติหรือลัทธิศาสนาใด ๆ
    และมองเห็นว่า หลักของศีล ๕ เมตตาธรรมและการให้ทาน
    น่าจะมีความเหมาะสมที่สุด

    ศีล ๕ เป็นพื้นฐานของสังคมที่ปลอดภัย สงบร่มเย็น
    เมตตาธรรมและการให้ทาน จะทำให้ทุกคนในสังคม
    อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มีความเอื้ออาทรต่อกัน
    ความคิดดังกล่าวเป็นที่มาของ ทานจักร ซึ่งหมายถึง
    วงล้อซึ่งมีใจที่มีความเมตตากรุณาเป็นศูนย์กลาง
    และแสดงออกถึงความเมตตาในจิตใจด้วยการลงมือ
    กระทำความดีอย่างตั้งใจแน่วแน่

    ความดีนั้นคือ การบำเพ็ญทาน ๑๐ ประการ ได้แก่

    ๑. ให้ทานด้วย ทรัพย์สินเงินทอง
    ๒. ให้ทานด้วย สายตาที่เมตตาปราณี
    ๓. ให้ทานด้วย ใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส
    ๔. ให้ทานด้วย วาจาที่ไพเราะน่าฟัง
    ๕. ให้ทานด้วย ให้แรงงานช่วยเหลือผู้อื่น
    ๖. ให้ทานด้วย การอนุโมทนายินดีเมื่อผู้อื่นทำดี
    ๗. ให้ทานด้วย การให้อาสนะ (ที่นั่ง)
    ๘. ให้ทานด้วย การให้ที่พักอันสะดวกสบาย
    ๙. ให้ทานด้วย การให้อภัย
    ๑๐. ให้ทานด้วย การให้ธรรมะ

    ให้ศีล ๕ เป็นพื้นทาง
    เมื่อวงล้อแห่งทานนี้หมุนเข้าไปที่แห่งใด
    จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในสังคม
    จะเกิดพลังแห่งการสร้างสรรค์ค์
    พลังที่จะร่วมกันผลักดันสังคมที่ดีงามให้เกิดขึ้น

    ด้วยการหมุนวงล้อแห่งทานนี้
    ย่อมนำความสุขไปสู่เพื่อนมนุษย์ในสังคมวงกว้าง
    ยังความสันติสุขให้เกิดขึ้นในโลก

    ขอให้พวกเราทุกคนจงเชื่อมั่นว่า
    สันติภาพโลกเริ่มต้นจากพวกเราทุกคนที่นี่และเดี๋ยวนี้
    ปลูกฝังจิตสำนึกแห่งรักและเมตตาไว้ในหัวใจ
    หมุนทานจักรแห่งสันติภาพ ให้เคลื่อนไป ๆ
    บนพื้นฐานที่มั่นคงแล้วด้วยศีล
    เพื่อประโยชน์สุขที่กว้างขวางแก่เพื่อนมนุษย์
    ด้วยรักและเมตตาที่ไม่จำกัดขอบเขต
    ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ
     

แชร์หน้านี้

Loading...