สารเคมี กับ วิทยาศาสตร์ทางจิต และ การทดลอง

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย MUSAFA, 12 กันยายน 2020.

  1. MUSAFA

    MUSAFA MUFASA AL-AMYADH

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +164
    ก่อนอื่นขอเกริ่นก่อนนะครับว่า ผมได้ทำการทดลองด้วยตนเอง โดยมีจุดเริ่มต้นจากช่วงปี 2551 และได้ปรับใช้ปรับปรุงโดยสนองตามความต้องการของตนเอง เพื่อให้ได้มาซึ่ง ข้อมูล ความรู้ โดยปัจจุบัน พยายามให้(จิตใจตนเอง) มีลักษณะที่มีความเสถียรและหรือใกล้เคียงความเสถียรที่สุด ได้สิ้นสุดการทดลองไปเมื่อประมาณ 4 ปี ก่อน (การทดลองที่เฉียดความตาย เพราะ มีความเสี่ยงที่อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ *คล้ายกับทดลองตายชั่วขณะ)

    จึงขอนำเนื้อหาสาระที่เป็นประสบการณ์ของตนเองมาแบ่งปันกันครับ

    #สำหรับผู้ที่ไม่สนใจก็ผ่านไปได้เลยครับ หรือหากจะแลกเปลี่ยนความรู้ความคิด ต่างมุมมองยังไงก็ขอให้เป็นสุภาพชนนะครับ ^_^

    เริ่มเลยนะครับ คือ มีครั้งหนึ่งที่ได้มีความสนใจในเรื่องที่เกี่ยวกับกระบวนทางการคิด และการทำงานของสมอง ที่เกี่ยวกับ "สารสื่อประสาท" และสารเคมี
    หลังจากนั้นได้สังเกตุการณ์กับผู้ที่อยู่ในขอบข่ายดังกล่าว (กลุ่มที่ใช้สารเคมี) ซึ่งไปพบความน่าสนใจ กับสารเคมีที่เรียกว่า "ยาแก้ไอ" ซึ่งมีจำพวก diphenhydramine ,chlorpheniramine(CPM) , dextromethorphan เป็นต้น ซึ่งสองตัวแรกนั้นให้ฤทธิ์เคลิ้มสุขเมื่อใช้เกินขนาด และมีความเสพย์ติดสูง ในขณะที่ dextromethorphan ไม่มีความเสพติดทางร่างกาย แต่จะเสพย์ติดทางใจมากกว่า และมีราคาต่ำสุด ในราคาเม็ดละ1บาท 15เม็ด มีตัวยาเท่ากับ 1 ขวดน้ำเชื่อ (60ml) ในราคา 80-120 บาท

    จากการทดลองนั้นพบว่า"ยาแก้ไอ" เหล่านี้ ได้ส่งผลในเรื่องระดับปริมาณของสารสื่อประสาท ซึ่งแน่นอกว่าผลทั่วไปคือการมีอาการเคลิ้มสุข แต่ผลกระทบที่ทางการแพทย์ในปัจจุบันยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจน นั่นคือความเชื่อมโยงกับส่วนหนึ่งของสมอง ส่วนที่เรียกว่า "ตัวรับซิกม่า" (SIGMA RECEPTOR) ที่ซึ่งในปัจจุบันทางการแพทย์ยังขาดข้อมูล เช่น การทำงานอย่างไร ทำหน้าที่อย่างไร รู้เพียงแค่ว่า เป็นส่วนที่รับ"ซิกม่า"เท่านั้น

    โดยจากการทดลองนั้น ได้กระทำอย่างต่อเนื่องซ้ำๆเป็นเวลาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2551 - 2558 และได้รวบรวมข้อมูลและผลการทดลองไว้
    ได้สรุปแล้วว่า อาการทางจิตเภท ที่เกิดกับผู้ใช้สารเคมีกลุ่ม ทั้ง หูแว่ว ภาพหลอน และประสาทหลอน นั้นเกิดขึ้นเพราะ การใช้เคมีกลุ่มนี้(และกลุ่มที่สามารถส่งผล) แล้วได้ไปกระตุ้นส่วนของสมองที่เรียกว่า "ตัวรับซิกม่า" (SIGMA RECEPTOR) (ส่งผลกระทบไปทั่วสมอง)

    ขณะที่ความสามารถบางอย่างได้ถูกเปิดผนึก จากการที่ส่วนดังกล่าวได้รับการกระตุ้นนั้น ทำให้ เหมือนกับเช่นว่า คลื่นช่วงหนึ่งก็เป็นช่องหนึ่ง โดยการที่"ตัวรับซิกม่า" (SIGMA RECEPTOR) ได้รับการกระตุ้น (ขึ้นกับ opioid,non-opioid ที่ได้รับ) และส่งผลให้สมองส่วนหน้าและระบบประสาทส่วนรับข้อมูลจากช่วงความถี่อื่นๆที่ไม่ใช่ช่วงความถี่ปกติที่เป็น default (ค่าเริ่มต้น) เข้ามาประมวลผลในสมองนั่นเองและด้วยการที่ได้พบว่า มีช่องต่างๆ(ช่วงคลื่น) อีกเยอะแยะ ในระบบเป็นอนันต์ ดั่งคำนิยามว่า อนันตภพ,พหุภพ เลยทีเดียว ซึ่งการวัดช่วงคลื่นนั้น ในส่วนที่เห็นได้ด้วยตาเนื้อในความถี่ปกติ ที่เป็น default (ค่าเริ่มต้น) นับสิ่งที่เห็นอยู่โดยปกติในชีวิตปกติ คน สัตว์ สิ่งของ ต่างๆที่เราเห็นๆกันโดยปกตินั้น เป็นช่วงคลื่น 400.0xx(xไม่จำกัด โดยมีตัวสุดท้ายคือ1) - 499.9999xxx เท่านั้น ในขณะที่ คลื่นอื่นในช่วงคลื่นนั้นมีไม่จำกัด(เป็นอนันต์(อนันตภพ/พหุภพ))เลยทีเดียว (เหมือนการเปลี่ยนช่องของทีวี,วิทยุ แต่โดยปกติจะมีช่องประจำกัน/ช่องเริ่มต้นที่เป็นช่องแรก)กับสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ นั่นคือ รูปแบบที่ค่อนข้างจะตายตัว ในเรื่องที่ตรงกับสิ่งที่เรียกว่าคำสอนของศาสนา นั่นก็คือเรื่อง "ภพภูมิ!!!"

    จากจุดดังกล่าว ได้สรุปคำตอบของกลุ่มชุด "อาการจิตเภท {ภาพหลอน หูแว่ว ประสาทหลอน(ทางความคิด)} " ซึ่งเป็นที่แน่ชัดแล้ว ว่ากลุ่มอาการดังกล่าวนั้น ได้เกิดขึ้นเนื่องจากการที่ "ตัวรับซิกม่า" (SIGMA RECEPTOR) ได้รับการกระตุ้น (ขึ้นกับ opioid,non-opioid ที่ได้รับ #เป็นตัวเหนี่ยวนำ)
    และส่งผลให้สมองส่วนหน้าและระบบประสาทส่วนรับข้อมูล (รวมถึงท้ายทอย และส่วน "เรปทีเลี่ยน" (คือ ส่วนบันทึกความทรงจำ/รูปแบบ(โปรแกรม/ซอฟแวร์)) โดยรับข้อมูลได้จากช่วงความถี่อื่นๆที่ไม่ใช่ช่วงความถี่ปกติที่เป็น default (ค่าเริ่มต้น) เข้ามาประมวลผลในสมอง (ประมวลโดยซีกซ้าย แล้วแปลงเป็น ภาพ เสียง สัมผัส โดยซีกขวา) ส่งผลให้เกิดการรับรู้ที่ผิดปกติไปนั่นเอง

    * การทดลองเพิ่มเติม ที่จัดว่าเกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์ทางจิต
    1) การทดลองด้วยการเข้าสมาธิในขณะที่ใช้สารเคมี (สมองคือ ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ โดยมีจิตเป็น ซอฟท์แวร์ ที่ใช้)
    พบว่าการทำสมาธิในขณะที่มีอาการจากสารเคมีนั้น ได้เปรียบเสมือนการออกกำลังกายที่หนักกว่า เช่น การทำสมาธิในสภาวะปกติเหมือนการวิ่งออกกำลังกายปกติ ขณะที่การฝึกตั้งสมาธิในขณะที่มีการใช้สารเคมี เปรียบเสมือนวิ่งโดยเพิ่มตัวหน่วงเพิ่มขึ้น(วิ่งโดยสะพายน้ำหนักเพิ่มขึ้น) ซึ่งการฝึกด้วยวิธีดังกล่าวนั้น เมื่อทำเป็นประจำ 3 ครั้ง /สัปดาห์ (ฝึกอย่างจริงจัง) ได้ส่งผลให้การตั้งสมาธิในสภาวะปกติ(ที่ไม่ใช้สารเคมี)นั้นคล่องตัวและสำเร็จรวดเร็วกว่าเดิมมาก(เร็วขึ้น 2,3 เท่า) ซึ่งมีหลายกลุ่มเช่นกันที่ฝึกสมาธิโดยวิธีดังกล่าว *การทดลองนี้ฝึกภายใต้การใช้สารเคมีที่ออกฤทธิ์กดประสาท ซึ่งเปรียบเสมือนการเพิ่มน้ำหนักหน่วงในขณะออกกำลังกาย ซึ่งจะต่างจากการใช้ชนิดสารกระตุ้น โดยสารกระตุ้นนั้นจะเพิ่มประสิทธิภาพในขณะฝึก(ทุ่นแรง) ซึ่งหากทำบ่อยๆจะลดประสิทธิภาพความสามารถในสภาวะปกติ(ที่ไม่ใช้สารกระตุ้น) แต่สามารถฝึกสร้างความคล่องตัวได้เช่นกัน

    2) ผลกระทบในแรกเริ่มของช่วงต้นของการทดลอง
    เนื่องจากในช่วงแรกเริ่มนั้นคือการลองผิดลองถูก โดยขาดประสบการณ์อย่างสิ้นเชิง ซึ่งได้ใช้เวลาราว 3 ปี จึเริ่มสามารถควบคุมได้ในระดับใกล้เคียงความเสถียร ในช่วงแรกนั้น ผู้ทดลองได้พบกับ สถาวะ Stroke ร่วมด้วย และเป็นสิ่งที่มีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก(อาจถึงแก่ชีวิตได้) จึงได้มีการเลี้ยงระดับการเพิ่มปริมาณสารที่ใช้ในครั้งต่อไปควบคู่ไปกับการปรับสภาพของร่างกาย(ดื้อยา) และได้เพิ่มสมมติฐานไปเรื่อยๆ พร้อมกับสังเกตุ วิเคราะห์ สิ่งที่ได้พบเจอ ระหว่างการทดลอง เพื่อหาทางรับมือกับผลกระทบนั้นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในสภาวะที่ จิต กับ ร่างกาย มีการ Synchronizing ต่ำ หรือที่รู้จักกันว่า "สภาวะจิตหลุด" ซึ่งแน่นอนว่ามีผลกระทบมากเกินกว่าการประมาณการจะทำได้

    3) ประสบการณ์ที่ได้พบเจอในสภาวะ Synchronizing ต่ำ

    - สภาวะจิตหลุด
    ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นๆของการทดลอง โดยเฉพาะในช่วงการฝึกตั้งสมาธิ โดยมักจะใช้การนอนสมาธิเป็นหลัก
    เช่น การเป็นตัวเองนอนอยู่บนเตียง และ ณ ปัจจุบัน ของตนเอง ไม่ได้ถูกมองเห็นโดยผู้ที่อยู่รอบๆ แต่อาการจะกลับเป็นปกติได้เอง
    เมื่อการออกฤทธิ์ขอสารเคมีลดลง (ยาหมดฤทธิ์)
    - ความผิดปกติของเวลา
    บ่อยครั้งที่มีการใช้ DXM มากกว่า 600 mg มักจะส่งผลต่อความผิดปกติของเวลา ซึ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เช่น หลังจากได้หลับไปครั้งล่าสุด
    ได้ตื่นขึ้นมาในวันที่เดิม และพบเจอเหตุการณ์ที่เหมือนเดิมกับที่ได้พบไปเมื่อ "เมื่อวานของวันนี้"
    *สิ่งที่ได้สังเกตุจากเหตุการณ์
    เช่น
    - นาฬิกาข้อมือ(ดิจิทัล) แสดงวันที่เมื่อวาน ที่ที่ควรจะเปลี่ยน
    - ระบบเครือข่ายโทรศัพท์ได้ส่งข้อความแจ้งว่า "ขออภัยระบบล่ม" และคืนเงินที่ได้ใช้ใน "เมื่อวานของวันนี้/วันนี้ที่เป็นเมื่อวาน" กลับเข้ามา (อาจเป็นหลักฐานที่ไม่ชัดเจน)
    - การพบเจอเหตุการณ์รอบตัวต่างๆที่สามารถจดจำได้ว่าได้เกิดขึ้นซ้ำกับ "เมื่อวานของวันนี้/วันนี้ที่เป็นเมื่อวาน" และได้เกิดซ้ำ ณ ปัจจุบัน
    - ความเปลี่ยนไปในสิ่งที่ได้กระทำไปเมื่อ "เมื่อวานของวันนี้/วันนี้ที่เป็นเมื่อวาน" กลับถูกแสดงออกมาในลักษณะที่อยู่ใกล้จุดเดิม(จุดเกิดเหตุ)
    โดยผู้อื่นเป็นผู้กระทำ(เหมือนเป็นเงาสะท้อนของตัวเอง)
    - มีครั้งหนึ่ง ที่ได้เข้านอน 3 ทุ่ม และได้ตื่นขึ้นมา ในช่วง 6 โมงเช้า(ท้องกำลังเริ่มสว่าง) ซึ่งได้ออกไปสูบบุหรี่มวนนึงที่ระเบียงห้อง
    หลังจากนั้นได้กลับเข้าไปนอนต่อ และตื่นมา 5 ทุ่ม(ทีแรกนึกว่าได้หลับไปทั้งวัน) ปรากฏว่าคือวันที่นอนครั้งแรก
    และบุหรี่ยังมีจำนวนเท่ากับก่อนสูบของที่ได้ตื่นมา ในช่วง 6 โมงเช้า ก่อนที่จะเข้าไปนอนและได้ตื่นตอน 5 ทุ่ม ดังกล่าว
    * มุมมองอื่น (จากผู้อื่น) เช่น เมายา ประสาทหลอน ฝันไปหรือคิดไปเอง (แต่แย้งโดยส่วนตัว เนื่องจากทรงจำได้เกิดขึ้นโดยพยายามตั้งสติที่สุดแล้ว)
    * ข้อสงสัยที่กังวลนั้น คือ คนที่เขาอยู่กับเรา ณ ปัจจุบัน กับ ก่อนเกิดเหตุการณ์นั้น คือ คนๆเดียวกันหรือเปล่า แต่หาก จิตดวงเดียวกันก็ไม่มีปัญหา
    - เหตุการณ์ที่ได้พบเจอขณะทำสมาธิ
    - เข้าถึงสภาวะที่เรียกว่า ปิติ
    - ได้ยินความคิดคนใกล้ตัว (เจ้าตัวยืนยันว่ากำลังคิดโดยยังไม่ได้พูด)
    - กำหนดจิตเห็นที่อื่น ในขณะที่กำลังนั่งสมาธิได้เห็นภาพที่ชัดเจนมากและนานพอสมควร ขณะเดียวกันได้นำมือมาลูบบริเวณดวงตา ก็พบว่าตาปิดอยู่
    - ฯลฯ เช่น การได้กลิ่นเหม็นเหมือนศพในห้องแอร์ที่ปิดสนิท เห็นสิ่งที่มีตัว(ร่าง)โปร่งๆ ซึ่งมีรูปร่าง ทั้ง มนุษย์ สัตว์(เช่น หมาบ้าน) และที่ผิดปกติ(ศพ)
    รวมถึงการได้ยินเสียงแปลกปลอม หลายๆรูปแบบ โดยขณะเดียวกันคนที่อยู่รอบๆไม่ได้ยิน

    * "และอาการเหล่านี้ยังคงเป็นอยู่(อาจจะถาวร) แม้หยุดใช้สารเคมีดังกล่าวมาหลายปีแล้ว(ราว 5 ปี)"

    #ปัจจุบัน ได้ใช้สารเคมี(ยาจิตเวช) เพื่อบรรเทาอาการที่เป็นอยู่ แม้จะพบว่าการแผ่เมตตาจะสามารถระงับและหยุดสิ่งรบกวนสิ่งเร้า เหล่านั้นได้ดีกว่า
    (เนื่องจากการแผ่พลังงานบวกในแต่ละครั้ง มักจะชักนำพาที่มาของภาพและเสียงที่อยู่ไกลออกไปเข้ามารับมาขอพลังงานบวกด้วย จึงเหมือนกับไม่จบไม่สิ้น จึงจำเป็นต้องใช้สารเคมีทางจิตเวชร่วมด้วยอย่างสม่ำเสมอ)
    # สิ่งที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเนื้อปกติ อิสลามเรียกว่า "ญิน" (และอาจเป็นต้นเหตุของ V2K ได้ด้วย)

    และนี่คือข้อมูลสรุปจากการทดลองดังกล่าว หากใครเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย จะย้อนแย้งอย่างไรก็ไม่ว่ากันครับ แต่ขอคอมเม้นต์อย่างสุภาพชนเท่านั้นครับ

    ขอชี้แจงว่าไม่ได้เป็นเจตนา "ชี้โพรงให้กระรอก" นะครับ เพียงแต่เป็นการแชร์ประสบการณ์ตรงส่วนตัวที่ได้พบมาเอง("ปัจจัตตัง" ที่ซึ่งได้ "พยายามเรียบเรียง,อธิบาย ให้ปลายทางเข้าใจได้ง่ายที่สุดแล้ว") โดยทางสถิติสำหรับใครก็ตาม เรื่องแปลกๆ/เหตุการณ์แปลกๆประมาณนี้ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ที่สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ และได้ระบุผลกระทบผลข้างเคียงของเหตุการณ์นี้แล้ว ว่าอาจมีผลถาวร(ตลอดชีวิต) และเสี่ยงถึงแก่ชีวิต ได้เลยทีเดียว
    หากไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากประสบพบเจอ ก็ขอให้ใช้พิจารณญาณให้ดีนะครับ *ได้เตือนแล้วนะครับ
    #ที่ผ่านมาจึงต้องศึกษา ทำความเข้าใจเพิ่มเติมเป็นอย่างมาก(ทั้งวิทยาศาสตร์และศาสนา) ในเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นกับตัวเอง เพื่อให้ตัวเองยอมรับถึงผลกระทบที่ได้เกิดขึ้นโดยตัวเองเป็นผู้กระทำ โดยเฉพาะสภาพจิตใจจากผลกระทบของเหตุการณ์บางช่วง { ขอไม่แจ้งรายละเอียดให้ทราบ *TOP SECRETE ให้รู้เพียงนิดนึง คือความผิดปกติของกาลเวลา และการกลายสภาพของตนเองที่ผิดไปจากปกติโดยสิ้นเชิง (เคยกลายเป็น "ญฺิน") }

    # เนื้อหาเรื่องอื่นๆ
    https://pantip.com/topic/40109204
    https://pantip.com/topic/40002400
    https://pantip.com/topic/39920300
    https://pantip.com/topic/39612065
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2020

แชร์หน้านี้

Loading...