หนีนรกโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนบทที่ 4 อารมณ์คิดฟุ้ง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 18 มกราคม 2016.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    ลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตอนบทที่ 4 อารมณ์คิดฟุ้งหนีนรกโดยห
    [​IMG]
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับตอนนี้เป็นตอนที่ ๔
    ก่อนที่จะพูดเรื่องอื่น ก็ขอแจ้งให้ทราบว่า
    รายการนี้เป็นรายการ "หนีบาป" คือ ปฏิบัติตนหนีนรก หนีเปรต
    หนีอสุรกาย หนีสัตว์เดรัจฉาน คือว่า ทำตนเป็นคนขี้ขลาด
    ไม่ยอมต่อสู้กับนรก ไม่ยอมต่อสู้กับความเป็นเปรต
    ไม่ยอมต่อสู้กับความเป็นอสุรกายและสัตว์เดรัจฉาน
    มีอารมณ์ต่อสู้ฝ่ายเดียว คือ อย่างต่ำเป็นมนุษย์
    อย่างกลางนิดหน่อยเป็นเทวดา อย่างกลางสูงขึ้นหน่อยเป็นพรหม
    อย่างสูงสุดไปนิพพาน
    เขาต่อสู้กันแค่นี้ ยอมแพ้นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
    ทั้งนี้เพราะอะไร ? เพราะว่าถ้าไปอวดเก่งกับแกเข้า
    ความสุขของเราไม่มี มีทางเดียวคือว่า แกทำให้ลงนรกฝ่ายเดียว

    ก็รวมความว่าการปฏิบัติในช่วงเวลานี้ เราปฏิบัติเพื่อหนีนรกกัน
    การที่จะปฏิบัติให้หนีนรก มันมีด้วยกันหลายแบบหลายนัย
    การหนีนรกชั่วคราวน่ะ ไม่ดี ชาตินี้ไม่ลงนรก
    ถ้าเกิดใหม่ชาติต่อไปลงนรก อันนี้ไม่ดี ไม่เอา
    เอาประเภทไม่ลงนรก ไม่เป็นเปรต ไม่เป็นอสุรกาย ตลอดกาลตลอดสมัย
    ถ้าบังเอิญจะเกิดขึ้นมาเมื่อไร เมื่อนั้นไม่ยอมลงอบายภูมิทั้ง ๔ แน่
    การที่จะพ้นให้ได้แน่นอน
    ก็ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรคือพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า ถ้าต้องการไม่ลงนรก
    ให้ตัดสังโยชน์ทั้ง ๓ ประการให้พ้นไปจากใจ
    สังโยชน์ ทั้ง ๓ ประการ ก็คือ

    ๑. สักกายทิฏฐิ เอาอย่างเบื้องต้น
    ไม่ใช้อย่างกลางหรืออย่างปลาย
    เอาอย่างง่ายๆ เพราะเป็นบทของ สุกขวิปัสสโก
    คือ เขานึกว่าจะต้องไม่ตาย อันนี้เราไม่เอา
    สักกายทิฏฐิ คิดว่ามันไม่ตาย แต่ความจริงมันต้องตาย
    เรามีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่า ชีวิตนี้จะต้องตาย
    มันจะตายเมื่อใดเรายืนยันไม่ได้ พร้อมไว้ว่าเราจะตายวันนี้

    ๒. วิจิกิจฉา สงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม
    และพระอริยสงฆ์ อันนี้เราไม่เอา
    เราจะมั่นว่า ยอมรับนับถือความดีของพระพุทธเจ้า
    ความดีของพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
    ความดีของพระอริยสงฆ์

    ๓. สีลัพพตปรามาส เขาถือศีลผลุบๆ โผล่ๆ เป็นศีลหัวเฒ่า
    ผลุบเข้าผลุบออก อันนี้เราไม่เอา
    เราจะยอมรับนับถือและปฏิบัติศีลให้ครบทุกข้อทุกประการ
    ฆราวาสก็มีศีลห้าเป็นต้น
    ถ้าแถมกรรมบถ ๑๐ ได้อีกหน่อยจะมีความสุขมาก

    องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
    "บุคคลไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าอาจจะต้องตายในวันนี้ไว้เสมอ
    ตั้งใจทำให้ดี คือ ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระอริยสงฆ์
    และปฏิบัติทางในศีลให้ครบถ้วนทุกประการ อย่างนี้
    ทุกคนปฏิบัติได้อย่างนี้ จะตายในชาติไหนก็ตาม
    คำว่าอบายภูมิทั้ง ๔ มีนรกเป็นต้น ไม่ไปแน่นอน"

    ฉะนั้นขอสาวกขององค์สมเด็จพระชินวรทุกท่านที่รับฟังอยู่เวลานี้
    ขอได้โปรด ถ้าต้องการไม่ลงนรกก็ปฏิบัติได้ไม่ยาก
    ก็มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้มันต้องตาย
    ตายคราวนี้หรือคราวไหนก็ตามเราไม่ยอมไปอบายภูมิ
    ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ด้วยความเต็มใจ
    ด้วยปัญญา ตั้งใจรักษาศีลห้าให้ได้ครบถ้วน
    ถ้าจะให้มีความสุขจริงๆ รักษากรรมบถ ๑๐ ให้ครบถ้วน จะดีมาก
    จะเป็นคนสวยมากไปที่ไหนใครก็รัก ไปที่ไหนใครก็ชอบ
    จะมีทั้งความสุขในชาตินี้และชาติหน้า
    กฎแห่งการปฏิบัติหนีนรกก็ขอให้พูดกันไว้แค่นี้

    สำหรับวันนี้ก็จะพูดถึง อารมณ์คิดฟุ้ง
    เมื่อตอนที่ ๓ พูดถึงฟุ้ง ฟุ้งแล้วก็ลงนรกเป็นการฟุ้งของคนดี
    คนดีฟุ้งลงนรกไป คือ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
    คือ พูดดี ทำดี คิดดีมาตลอดเวลา
    แต่เป็นการบังเอิญอย่างยิ่งมาตอนปลาย มาคิดไม่ดีนิดเดียว
    ศีลก็ไม่ขาด จะปรามาสในพระไตรสรณคมน์ก็ไม่มี
    และมีความเคารพสามีเหมือนบิดา ยังลงนรกไปได้
    วันนี้เอาใหม่ มาแก้ตัวกันใหม่ เมื่อตอนที่ ๓ เป็นเรื่องของผู้หญิง
    ย่องลงนรกเดี๋ยวเดียว ๗ วัน
    หลังจากนั้นเธอก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
    เพราะความดีมีมาก ความชั่วนิดหนึ่งก็ลงนรกนิดหนึ่ง
    แต่ความดีมีมากก็ไปเกิดเป็นนางฟ้าใช้เวลามาก

    วันนี้มาคุยกับบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ตอนที่ ๔ นี่นะ
    อันนี้มันตอนที่ ๔ มาคุยกันถึงคนที่คิดฟุ้ง
    เขามาคิดฟุ้งในที่นี้ เขาคิดดี คิดอยากเป็นนางฟ้า
    คือ คิดอยากเป็นเมียของเทวดา
    เอ๊ะ นี่ญาติโยมพุทธบริษัทที่นั่งอยู่นี่ที่เป็นสตรี เคยคิดบ้างไหม
    อยากจะเป็นภรรยาของเทวดาคนใดคนหนึ่ง
    ทุกคนมองยิ้มๆ แล้วก็บอกว่า อยากจะไปนิพพาน
    อย่าลืมว่า เวลาที่พูดนี่ ไม่ใช่เวลาบันทึกเสียงอย่างเดียว
    นั่งคุยกัน คุยกับบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท
    แล้วก็มองดูเวลาถ้าครบ ๓๐ นาที ก็สรุปเสียที
    เพราะว่าเวลาบันทึกเสียงจริงๆ มันก็ไม่มี ก็ต้องทำกันแบบนี้แหละ
    คุยกันไปคุยกันมา ก็จะคุยเร็วเกินไปกว่าธรรมดา
    ทีนี้คนที่ฟังวิทยุ ทางเทป จะฟังไม่รู้เรื่อง
    ก็ต้องพูดเป็นจังหวะจะโคนแบบนี้

    บุคคลคนนี้พระพุทธเจ้าทรงยืนยัน ชื่อจริงๆ ก็ไม่รู้จักเหมือนกัน
    รู้จักแต่ชื่อตามปฏิปทาของเธอ คือ การปฏิบัติของเธอแบบไหน
    เขาสมมุติชื่อของเธอแบบนั้น เขาใช้ชื่อตามภาษาบาลีว่า "ปติปูชิกา"
    ซึ่งแปลเป็นใจความว่า "หญิงบูชาผัว"
    "ปติ" แปลว่า "ผัว" "ปูชิกา" แปลว่า "การบูชา"
    แปลตามภาษาบาลีว่า "หญิงบูชาผัว"
    เข้าใจว่าชื่อนี้พ่อแม่ไม่เคยตั้งมาตั้งแต่เด็ก
    เกิดมาแล้วพ่อแม่ก็ตั้งชื่อว่า "อีหนู ตั้งชื่อเอ็งว่า หญิงบูชาผัวนะ"
    อันนี้ไม่มี ไม่มีใครเขาตั้ง ต้องตั้งตามสัญลักษณืของเธอที่แสดงออก

    เนื้อความในบาลีของเรื่องนี้มีอยู่ว่า
    ในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระชนม์อยู่
    เวลานั้นก็มีสาวิกาขององค์สมเด็จพระบรมครู
    คำว่า "สาวิกา" คือสาวกผู้หญิง
    สาวกผู้ชายเรียกว่า"สาวโก" คำว่าสาวโก หรือสาวิกาก็ตาม
    ก็แปลว่า"ผู้รับฟัง" เหมือนกัน
    อย่าลืมนะบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท
    ที่นั่งอยู่ที่นี่โปรดทราบคำว่า สาวกของพระพุทธเจ้า
    จะเป็นผู้หญิงก็ตาม ผู้ชายก็ตาม คำว่าสาวกนี่แปลว่า ผู้รับฟัง
    พระพุทธเจ้าท่านตรัสแล้วว่า "อักขาตาโร ตถาคตา"
    ตถาคตน่ะเป็นแต่เพียงผู้บอกเท่านั้น
    บอกแล้วเธอจะทำตามหรือไม่ทำตามเป็นหน้าที่ของเธอ
    ทีนี้เราทำยังไง สาวกรับฟังแล้วก็ปฏิบัติตาม
    ผู้หญิงคนนี้มีฐานะเป็นสาวิกา คือ ผู้รับฟังพระพุทธเจ้าเหมือนกัน

    หลังจากเกิดมาแล้ว อายุเท่าไรบาลีบอกไว้หรือเปล่าจำไม่ได้
    ญาติโยมพุทธบริษัทที่นังฟัง ก็จงอย่าคิดว่า
    อาตมานี่เป็นผู้วิเศษวิโสมากเกินไป
    ความจริงไม่มีอะไรวิเศษ
    ที่นำมาพูดนี้ก็นำเอาเนื้อความตามพระบาลี
    ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนมาพูดเท่านั้น
    ไม่ใช่ความรู้ความสามารถของตัวเอง
    และบางครั้งบางคราวไม่ใช่บางครั้ง อาจจะเป็นมากครั้ง
    ก็จำไม่ได้ครบถ้วน อย่างเมืองสาวัตถี ตอนที่ ๓ นึกไม่ออกเสียเฉยๆ
    คราวนี้ก็นึกไม่ออกว่า "ปติปูชิกา"
    นี่เกิดมาอายุเท่าไรจึงแต่งงาน ก็จำไม่ได้เหมือนกัน
    ในชาติก่อนโน้น เธอแต่งงานแล้วทำบุญอะไรไว้บ้าง
    ก็ไม่ทราบอีกเหมือนกัน
    ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นภรรยาของ "มาลาภารีเทพบุตร"
    มาลาภารีเทพบุตรนี่ท่านอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
    ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เขามีอายุ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์
    อย่าลืมว่าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี่ มีอายุ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์เป็นอายุขัย
    แต่ว่าเทียบกับเมืองมนุษย์ ๑๐๐ ปีของเรา
    เป็น ๑ วันของดาวดึงสเทวโลก
    ๓๐ วัน เป็น ๑ เดือน
    ๑๒ เดือนเป็น ๑ ปีของเรา
    วันของเขานะ เอา ๑๐๐ ปีของเราเป็น ๑ วัน
    ถ้า ๑๐ วันของเขาก็เท่ากับ ๑,๐๐๐ ปี
    ๓๐ วันหรือ ๑ เดือนก็เท่ากับ ๓,๐๐๐ ปีของเรา
    แล้วก็ ๑๒ เดือนเป็น ๑ ปีเหมือนกันวัดไปเถอะ
    มันกี่ปีมนุษย์ก็ตามใจ อันนี้ไม่รู้เรื่อง

    ก็รวมความว่า เธอถึงกำหนดที่จะต้องเคลื่อนจากความเป็นนางฟ้า
    อยู่ไม่ได้แล้วหมดบุญ จะต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์
    วันนั้นก็เป็นการพอดีที่ท่านมาลาภารีเทพบุตร
    พาบริวารทั้งหมดแล้วก็พาภรรยาไปด้วย
    ไปเที่ยวสวนนันทวัน ขณะที่ไปเที่ยวสวนนันทวันอยู่นั้น
    ภรรยาซึ่งเป็นนางฟ้า ถึงเวลาจุติก็จุติลงมาเกิด
    คือ ตายจากความเป็นนางฟ้า ลงมาเกิดเป็นลูกมนุษย์
    เมื่อคลอดออกมาแล้วไม่ทราบว่ากี่ปี เป็นสาวแล้วไม่รู้ว่าอายุเท่าไร
    จำไม่ได้บาลี ตอนนี้ เธอก็แต่งงาน แต่ว่าในสมัยนั้นนิยมกันว่า
    อายุ ๑๖ แต่งงาน ก็สมมุติว่าเธออายุ ๑๖ แต่งงานก็แล้วกัน
    (อายุต้องสมมุติแล้วเพราะว่าจำไม่ได้
    ถ้าจะวิ่งเข้าไปหาหนังสือเวลานี้ญาติโยมก็จะรำคาญ)

    ต่อมาเมื่อแต่งงานแล้วก็มีลูก อันนี้จำไม่ได้แน่นอน
    คิดว่าจะมีลูกประมาณ ๕ คน
    แล้วเธอก็อายุประมาณ ๕๐ ปีเศษๆ นิดๆ ๕๐ ปีหน่อยๆ ไม่มาก
    ก็เข้าไปอยู่ในสำนักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    คือ พระพุทธเจ้าตรัสเวลานั้น
    เมื่อฟังเทศน์จบเดียวก็ไม่ทราบว่า เป็นพระโสดาบัน หรือเปล่า
    บาลีไม่ได้บอกอีก ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจบเดียว
    ก็มีความเลื่อมใส ออกจากบ้านลาผัวลาลูก
    ไปอยู่ในสำนักของพระพุทธเจ้า
    พอไปอยู่สำนักของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติความดีใกล้พระสงฆ์
    ใกล้พระพุทธเจ้า อุดมไปด้วยธรรมมะ
    ก็เกิดมีอารมณ์อย่างหนึ่งที่เรียกว่า "อตีตังสญาณ"
    ญาณถอยหลังไปในอดีต
    ก็ทราบตนเองว่าก่อนทีเราจะมาเกิดเป็นมนุษย์
    เราเป็นภรรยาของมาลาภารีเทพบุตร บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก
    เวลานี้มาลาภารีเทพบุตร ซึ่งพาเรามาเที่ยวในสวนนันทวัน
    ยังไม่กลับบ้าน ยังเที่ยวกันอยู่ที่สวนนันทวัน

    เห็นไหมบรรดาท่านพุทธบริษัท ว่าออกมาด้วยกัน
    คนหนึ่ง จุติ คือตายจากความ เป็นนางฟ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์
    มีสามีแล้วมีบุตรธิดา อายุปาเข้าไป ๕๐ ปีเศษนิดๆ
    แต่ว่าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกมาเที่ยวกันที่สวนนันทวัน
    ยังไม่กลับก็เรียกว่ายังไม่เต็มวัน
    เมื่อนางมีความรู้สึกอย่างนั้น ว่าเคยเป็นภรรยาของมาลาภารีเทพบุตร
    เวลาทำบุญทุกอย่าง เมื่อจบแล้วเธอก้อธิษฐานว่า
    "ขอบารมีที่บำเพ็ญแล้ววันนี้ จงดลบันดาล
    เมื่อเวลาข้าพเจ้าตาย ให้ไปเกิดในสำนักของสามี"
    พูดเฉยๆ นะ ว่าเมื่อข้าพเจ้าตายจากชาตินี้ไปแล้ว
    ขอให้เกิดในสำนักของสามี
    นี่ถ้าบอกว่าขอเกิดเป็นภรรยาของมาลาภารีเทพบุตร น่ากลัวจะมีเรื่อง
    เรื่องที่จะมี ก็คือ เรื่องเขาหาว่าบ้า นางก็มีความฉลาด
    บอกแต่เพียงว่า "ขอบารมีของบุญส่วนนี้
    จงบันดาลให้ข้าพเจ้าไปเกิดในสำนักของสามี"
    บรรดาคนทั้งหลายและพระที่ฟัง
    ก็คิดว่าเธออยากกลับไปอยู่กับสามีใหม่ คือ คนเดิมที่เป็นมนุษย์
    ตายไปแล้วอยากจะกลับมาอีก
    เข้าใจว่าสามีคงมีเสน่ห์ดีมาก
    ทำบุญครั้งไรภรรยาอยากมาเกิดอยู่ด้วย
    ช่วยให้สามีที่เป็นมนุษย์มีความสุข
    นึกว่า อือ…แม่อีหนูนี่ดีจริงๆ อยากจะมาเกิดเป็นภรรยาของเราใหม่
    แต่ความจริงเวลานี้เธอแก่แล้วตั้ง ๕๐ เศษ
    ถ้าบังเอิญตายไปเวลานี้กลับมาเกิดใหม่
    เป็นสาววัยรุ่นอายุ ๑๒-๑๓
    เพื่อแต่งงานกับเราใหม่มันจะเก๋กว่าปัจจุบันนี้มาก

    เธอคิดอย่างนั้นหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
    แต่ที่เป็นอย่างนี้ก็คนปากมากคิดไปเอง อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้
    แก่แล้วนี่ก็อยากมีเมียสาว เป็นของธรรมดา
    และการปฏิบัติวัตรฐากในพระ เธอเต็มใจทำทุกอย่าง
    เวลาที่พระไปบิณฑบาต อยู่ทางนี้ก็จัดน้ำใช้น้ำฉันปูอาสนะทุกอย่าง
    พระฉันเสร็จก็ทำงานทุกอย่าง เพื่อพระมีความสุข
    พระพุทธเจ้าเทศน์ ก็ตั้งใจฟังและปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน
    ด้วยความเคารพ กำลังบุญมีมาก
    แต่ความจริงอยู่ใกล้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคก็น่าจะคิดว่า
    การตายคราวนี้อยากจะไปนิพพาน แต่นางไม่เอาอย่างนั้น
    ย่องไปนึกว่า "ถ้าการตายคราวนี้ ถ้าตายเมื่อไร
    ขอไปเกิดในสำนักของสามี " แล้วก็เป็นความจริง

    หลังจากเธอตายเมื่ออายุ ๕๐ ปี เศษหน่อยๆ ตายจากคนปั๊บ
    ก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก
    ไปถึงที่นั่นก้เป็นนางฟ้าสวยสดตามเดิม
    ความจริงได้บุญเพิ่มใหม่อาจจะสวยกว่าเก่าก็ได้
    เพราะอยู่กับองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
    เมื่อขึ้นไปแล้วก็เข้าไปหาสามี ไปหามาลาภารีเทพบุตร

    ท่านมาลาภารีเทพบุตรเห็นเข้าก็แปลกใจ ถามว่า
    "ภคินิ ดูก่อนน้องหญิง เอนี่ตั้งแต่เช้ายันเที่ยง
    นี่เธอหายไปไหนนะ ฉันมองไม่เห็นเธอเลยตั้งแต่เช้ายันเที่ยง"

    โอ้โฮ ! นี่ปาเข้าไปตั้ง ๕๐ ปีเศษ
    ผัวยังคลำกุกกักๆ คิดว่าเช้ายันเที่ยง
    นางฟ้า คือ ปติปูชิกาก็กราบเรียนให้ทราบว่า

    "สามี ข้าแต่นาย" (คำว่า "สามี" เขาไม่ได้แปลว่า ผัวนะ
    คำว่าผัวจริงๆ ภาษาบาลีเขาเรียก "ปติ" ป.เป็ด หรือ ป.ปลา ก็ตาม
    แล้วก็ ต.เต่า สระอิ "ปติ" ตัวนี้เขาแปลว่า ผัว
    แต่สามีนี่เขาแปลว่านายหรือเจ้าของ
    อาจจะแปลอย่างอื่นอีกก็ได้ แต่อาตมาเรียนมาน้อยเรื่องบาลี)
    เขาถามเธอว่า "ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงเธอหายไปไหน"
    เธอก็เรียนให้ทราบความจริงว่า

    "ความจริงตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงไม่ได้ไปไหน หมดบุญต้องจุติ
    คือ ตายจากความเป็นนางฟ้าต้องไปเกิดเป็นมนุษย์"

    มาลาภารีเทพบุตรได้ฟังก็บอก "นี่เธอล้อฉันเล่นนะ อะไร
    เธอจะไปเกิดเป็นมนุษย์ยังไง
    ตั้งแต่เช้ายันเที่ยงโผล่กลับมาใหม่ มันเป็นจริงไปไม่ได้"

    นางก็ยืนยันว่า "จริงเจ้าค่ะ ฉันจุติ คือ ตายจริงๆ
    จากความเป็นนางฟ้า เพราะหมดบุญ
    หลังจากนั้นก็ไปเกิดเป็นมนุษย์ผู้หญิง แล้วก็แต่งงานมีลูก ๕ คน"

    โดยประมาณนะ จำบาลีไม่ได้หรือโยมจะไปเปิดบาลีว่า
    ไม่ตรงว่าพระโกหก ไม่ได้โกหกนะ จำไม่ได้
    ประมาณว่ามีลูก ๕ คน อายุนี่ ๕๐ ปีเศษแน่คงเศษไม่มาก

    "แล้วก็หลังจากนั้นพบองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค
    คือ พระพุทธเจ้า ทำบุญกับท่านเวลาทำบุญก็อธิษฐานว่า
    ถ้าตายจากความเป็นคน ขอมาเกิดในสำนักของท่าน
    วันนี้ฉันตายจากความเป็นคน แล้วก็มาสู่สำนักของท่าน
    ตามที่ตั้งจิตอธิษฐานไว้กับการทำบุญ
    ในสำนักขององค์สมเด็จพระจอมไตร"

    มาลาภารีเทพบุตรท่านเป็นเทวดา ท่านมีร่างกายเป็นทิพย์
    ท่านมีอารมณ์ใจเป็นทิพย์ คนที่จะเป็นเทวดาได้
    ต้องมีความดี ๒ อย่างประจำใจ คือ

    ๑. หิริ ความละอายต่อความชั่ว
    อายความชั่วไม่ยอมทำความชั่ว
    ไม่ยอมทำความชั่วทั้งต่อหน้าคนและลับหลังคน
    ไม่ว่าในสถานที่ใดทั้งหมด ขึ้นชื่อว่าความชั่วไม่ทำ

    ๒. โอตตัปปะ เกรงกลัวผลของความชั่วจะให้ผลเป็นทุกข์
    ในเมื่อคนจิตใจสะอาดแบบนั้น
    จิตใจก็เป็นทิพย์ ร่างกายก็เป็นทิพย์

    เมื่อปติปูชิกา ภรรยาของท่านกล่าวอย่างนั้น
    ท่านก็ใช้อารมณ์ความเป็นทิพย์ตรวจดู
    ก็ทราบว่า เออจริงนะ ฉันก็เผลอไปนะ
    ไม่ได้สังเกตว่าเธอหายไปไหน
    ก็คิดว่ามีความรื่นเริงบันเทิงใจสนุกสนาน
    ลืมมาหาฉันตั้งแต่เช้ายันเที่ยง
    นี่เธอตายจากความเป็นเทวดาจริงๆ ไปเกิดเป็นคน
    มีสามี มีบุตรธิดา จริงๆ

    คำว่า "อายุขัย" แปลว่า อายุถึงที่สุด
    แต่บางคนอาจจะเกินก็ได้ ตายต่ำกว่าที่สุดก็ได้ ครบที่สุดก็ได้ เกินก็ได้
    แต่ถือว่ามีความสำคัญในที่สุดของชีวิต

    ถามว่า มีอายุขัยเท่าไร
    นางก็ตอบว่า "เวลานี้มนุษย์มีอายุขัย ๑๐๐ ปีเจ้าค่ะ"
    ท่านก็ถามว่า "เธอไปเกิดนี่มีอายุเท่าไร"
    นางก็ตอบว่า "ฉันมีอายุ ๕๐ ปีเศษนิดๆ เจ้าค่ะ"
    ท่านก็บอกว่า "แค่ ๕๐ ปีเศษนิดๆ ที่นี่แค่เที่ยงวัน"

    ท่านก็ถามว่า "มนุษย์มีอายุน้อยเท่านี้น่ะหรือ"
    ท่านก็ลืม ท่านเป็นเทวดาเสียนาน
    ท่านมาลาภารีเทพบุตรเป็นเทวดาเสียนาน
    ลืมอายุของมนุษย์ ลืมวันเดือนปีของมนุษย์ ว่ามันสั้นเหลือเกิน
    ท่านก็ถามว่า "นี่ ๕๐ ปีเศษเท่ากับเที่ยงวัน"

    ท่านก็ถามว่า "มนุษย์เมี่อมีอายุน้อยอย่างนี้ มีความไม่ประมาท
    คือ ตั้งใจสร้างความดีหรือว่ามีความประมาทอยู่มาก"

    นางก็ตอบว่า "มนุษย์ส่วนใหญ่มีความประมาท
    ไม่ค่อยจะตั้งใจทำความดี คิดว่าชีวิตของตัวนี้จะไม่ตาย"

    มาลาภารีเทพบุตรพอฟังเท่านี้ไซร้ก็สลดใจอย่างยิ่ง
    และในที่สุดเมื่อหมดวันเวลาก็พากันกลับเข้าสู่วิมาน

    สำหรับในด้านเมืองมนุษย์บรรดาท่านพุทธบริษัท
    บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายฟังคำของนางปติปูชิกา
    เมื่อเสร็จจากการฟังเทศน์ เมื่อเสร็จจากการทำบุญ
    ก็ขออธิษฐานว่า ขอบุญกุศลนี้
    จงดลบันดาลให้ฉันไปเกิดในสำนักของสามีฉัน
    เมื่อนางตาย พระมีความรักเธอมากบางองค์ที่เป็นปุถุชนถึงกับร้องไห้
    พระอริยเจ้าก็สลดใจ ถือว่าความตายเป็นของธรรมดา
    แต่เสียดายเธอนิดๆ ที่เธอทำกิจดีมาก ละเอียดลออดีมาก ต้องจากไป
    หาคนดีอย่างนี้ได้ยากหน่อย
    ต่างคนก็ต่างไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    สำหรับพระที่เป็นปุถุชน พระอริยเจ้าไม่สงสัย รู้เรื่องแล้ว
    แต่พระที่เป็นปุถุชนก็ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว
    ถามว่า "นางปติปูชิกาตายแล้วไปเกิดที่ไหน"

    สมเด็จพระจอมไตรก็บอกว่า "ไปเกิดตามที่เธอต้องการ
    เธออธิษฐานว่า ขอไปเกิดในสำนักของสามี เธอก็ไปเกิดในสำนักของสามี"

    พระพวกนั้นทิ้งเวลาไว้นิดหน่อย
    คิดว่าถ้าคนเข้าท้องเวลานี้คิดว่าคงไม่มีความรู้สึก
    ปล่อยเวลาล่วงไป ๒-๓ เดือน ก็ไปบ้านของสามีนางปติปูชิกา
    ถามว่า "ผู้หญิงที่นี่มีใครตั้งครรภ์บ้าง"
    เผอิญบ้านนั้น เวลานั้นยังไม่มีใครมีท้อง ยังไม่มีใครมีลูก
    เธอก็ตอบว่า "ไม่มีใครตั้งครรภ์เจ้าค่ะ"
    จึงกลับมาหาองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าใหม่
    บอกท่านว่าเวลานี้ที่บ้านนั้น ยังไม่มีใครตั้งครรภ์
    นางปติปูชิกาคงยังไม่ไปเกิดแน่

    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสว่า
    "ภิกขเว ดูก่อนท่านภิกษุทั้งหลาย
    ไม่ใช่เธอต้องการมาเกิดในสำนักของสามีที่เป็นมนุษย์
    เธอเป็นเมียของมาลาภารีเทพบุตรก่อนที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์
    เวลานี้เธอไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลกแล้ว"

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท คนที่มีอารมณ์ฟุ้งที่ฟุ้งในด้านดีก็มี
    อย่างปติปูชิกา นี่ฟุ้งขอไปเกิดในสำนักของสามี
    ถ้าการฟุ้งประเภทนี้ ถ้าจะคิดกันไปก็เป็นอธิษฐานบารมีนั่นเอง
    อธิษฐานก็ตั้งใจปักใจว่า ขอทำบุญส่วนกุศลปักใจไปที่นั่น
    ก็รวมความว่าการตั้งใจหรือปักใจคิดไว้ว่าชอบใจที่ใด
    เมื่อตนตายแล้วเมี่อไรก็จะไปเกิดในที่นั่นทันที

    เรื่องนี้นอกจากเรื่องของนางปติปูชิกาแล้ว ยังมีเรื่องอื่นต่อไป
    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายฟังเรื่องเบาๆ
    ในตอนที่ ๕ ตอนที่ ๖ ต่อไป

    สำหรับวันนี้มองดูเวลาก็หมดแล้ว
    บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจำต้องลาก่อน
    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล
    จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน
    ผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระชินวรผู้รับฟังเวลานี้ทุกๆ ท่าน สวัสดี
    ที่มา http://palungjit.org/posts/9895186
     

แชร์หน้านี้

Loading...