'อานันทเศรษฐี' ผู้มีความตระหนี่ ใน การให้ทาน

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Kollanya, 18 พฤศจิกายน 2010.

  1. Kollanya

    Kollanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +443
    'อานันทเศรษฐี' ผู้มีความตระหนี่ ใน การให้ทาน

    .......การที่บุคคลจะได้สมบัติทุกภพทุกชาตินั้นเป็นเพราะเหตุว่า เขาได้รักษาสมบัติเอาไว้ได้ ดังที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาทิตตสูตร ว่า

    " เมื่อเรือนถูกไฟไหม้ เจ้าของเรือนขนเอา
    ภาชนะใดออกไปได้ ภาชนะนั้นย่อมเป็น
    ประโยชน์แก่เขา ส่วนสิ่งของที่ขนออกไปไม่ได้
    ย่อมถูกไฟไหม้ ฉันใด

    โลก ( คือหมู่สัตว์ ) อันชราและมรณะเผา
    แล้วก็ฉันนั้น ควรนำออก ( ซึ่งโภคทรัพย์สมบัติ )
    ด้วยการให้ทาน เพราะทานวัตถุที่บุคคลให้แล้ว
    ได้ชื่อว่านำออกดีแล้ว ทานวัตถุที่บุคคลให้แล้ว
    นั้น ย่อมมีสุขเป็นผล ที่ยังมิได้ให้ย่อมไม่เป็น
    เหมือนเช่นนั้น โจรยังปล้นได้ พระราชายังริบ
    เอาไปได้ ไฟยังไหม้ได้ หรือสูญหายไปได้

    อนึ่ง บุคคลจำต้องละร่างกายพร้อมด้วย
    สิ่งเครื่องอาศัย ด้วยตายจากไป ผู้มีปัญญา รู้
    ชัดดังนี้แล้ว ควรใช้สอยและให้ทาน เมื่อได้ให้
    ทานและใช้สอยตามควรแล้ว จะไม่ถูกติฉิน
    เข้าถึงสถานที่อันเป็นสวรรค์ "

    .......จากพุทธพจน์ที่กล่าวในเบื้องต้น ทำให้เห็นอานิสงส์ของการทำ และไม่ทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตร ทั้งกับตนเองและผู้อื่น ซึ่งพอจะขยายความตามพุทธพจน์ได้ว่า
    " บุคคลที่ทำบุญเอง แต่ไม่ได้บอก บุญผู้อื่น จะไปเกิดเป็นผู้ที่ร่ำรวยด้วยทรัพย์สมบัติ แต่ไม่มีพวกพ้องบริวาร "

    เพราะว่า " เมื่อบุคคลทำบุญด้วยตนเอง " ชื่อว่าเขาได้รักษาทรัพย์สมบัติของตนไว้ แต่ " เขาไม่ได้ บอกบุญผู้อื่น " ชื่อว่าเขาไม่ได้ติดตามรักษาทรัพย์สมบัติให้ผู้อื่น เสมือนปล่อยให้ทรัพย์นั้นถูกไฟไหม้ จนหมดสิ้น ฉะนั้นเวลาไปเกิดในภพชาติใด จึงมีโภคทรัพย์สมบัติมากมาย แต่ไม่มีบริวาร เมื่อทำกิจ
    การใดๆ ก็ต้องเหน็ดเหนื่อยยากลำบากมาก ไม่มีคนช่วยเหลือ เพราะขาดพวกพ้อง

    " บุคคลที่ไม่ได้ทำบุญเอง ได้แต่บอกบุญคนอื่น จะไปเกิดเป็นคนยากจน แต่มีพวกพ้องบริวาร "
    เพราะว่าไม่รักษาทรัพย์สมบัติของตนเองไว้ ได้แต่ตามรักษาทรัพย์สมบัติให้คนอื่น ฉะนั้นไปเกิดใน ภพชาติใด ตนจึงต้องลำบากและยากจนค่นแค้น แต่เวลาจะทำอะไรก็มีคนคอยช่วยเหลือสนับสนุนตลอดเวลา

    " บุคคลที่ไม่ได้ทำบุญด้วยตนเอง และไม่บอกบุญ จะไปเกิดเป็นคนยากจน ทั้งไม่มีพวกพ้องบริวาร "

    เพราะว่าไม่รักษาทั้งทรัพย์สมบัติของตนเอง และผู้อื่น บางทีถึงกับขัดขวางคนอื่นไม่ให้ทำอีก ฉะนั้น ไปเกิดในภพชาติใด ก็พบแต่ความลำบากยากจน ต่ำต้อย ไม่มีพวกพ้องเลย จะทำอะไรก็ลำบากมาก และไปเกิดกับกลุ่มชนที่มีความลำบากด้วยกัน มีแต่คนรังเกียจ เหมือนดังเรื่องต่อไปนี้


    อานันทเศรษฐี

    .......ในสมัยพุทธกาล ที่เมืองสาวัตถี มีเศรษฐีคนหนึ่ง ชื่ออานันทะ มีสมบัติมากถึง ๘๐ โกฏิ แต่ว่าเป็น
    คนตระหนี่ไม่ทำบุญ ทั้งห้ามบุตรหลานทุกคนทำบุญ เขาสอนบุตรวันละ ๓ เวลาว่า

    " อย่าคิดว่าทรัพย์ที่เรามีอยู่นี้มาก ควรทำทรัพย์ใหม่ให้เกิดขึ้นเป็นประจำทุกๆ วัน ไม่ควรให้ทานแก่ ใครๆ เพราะทรัพย์ที่มีมากย่อมสิ้นไปทีละน้อย พึงดูอย่างยาหยอดตา เมื่อหยอดทีละหยดยังหมดได้ พึงดูอย่างการพอกพูนขึ้นของจอมปลวก ที่เพิ่มขึ้นทีละน้อย ยังเป็นจอมปลวกใหญ่ได้ คนครองเรือนก็ ควรเป็นอย่างนี้ "

    เขาได้ฝังขุมทรัพย์ใหญ่ไว้ ๕ แห่ง แต่ด้วยความที่ตระหนี่มาก จึงไม่ยอมบอกให้ใครทราบ แม้แต่บุตร ของตนชื่อ มูลสิริ อานันทเศรษฐีมีชีวิตอยู่อย่างเศร้าหมอง เพราะความตระหนี่ เมื่อเขาตาย มูลสิริได้ ดำรงตำแหน่งเศรษฐีต่อมา

    อานันทเศรษฐีเมื่อเขาละโลกไปแล้ว ไปเกิดในครรภ์ของหญิงยากจนคนจัณฑาล หาเลี้ยงชีพด้วยการ ขอทาน ขณะที่อยู่ในครรภ์มารดา ไม่ว่าจะไปขอทานที่ไหนก็ตาม มารดาจะอดอยากยากจนไปด้วย ที่ว่า จนแล้วก็ยิ่งกลายเป็นคนจนในหมู่ยาจกทีเดียว รวมทั้งทำให้กลุ่มที่หญิงยากจนคนนี้ไปอาศัยอยู่พลอยยาก ลำบากไปด้วย ทำให้หมู่คณะสงสัยว่า ต้องมีคนกาลกิณีอยู่แน่นอน จึงได้แบ่งกลุ่มออกเป็น ๒ ฝ่าย และ
    ถ้าหญิงมีครรภ์ผู้นี้ไปอยู่ฝ่ายไหน ฝ่ายนั้นก็จะตกยากลำบาก ขอทานไม่ได้ทุกครั้ง จนเป็นที่รังเกียจของผู้ อื่น จึงขับนางออกจากกลุ่ม


    .......เมื่อนางคลอดบุตร ได้เห็นหน้าบุตรแล้วอยากจะร้องไห้สัก ๕๐ ปี เพราะบุตรของนางพิกลพิการสารพัด
    อย่าง มือ เท้า หู จมูก ปาก นัยน์ตา พิการไปหมด เหมือนปีศาจคลุกฝุ่น น่าเกลียดเหลือเกิน แต่นางก็ไม่
    ละทิ้งบุตร ทั้งนี้เพราะความมีเยื่อใย ความรักความผูกพันตามธรรมชาติของแม่ที่มีต่อลูกอย่างแรงกล้า นาง เลี้ยงบุตรด้วยความฝืดเคือง วันใดที่พาบุตรไปขอทานด้วย วันนั้นจะไม่ได้อะไรเลย ส่วนวันใดทิ้งบุตร ไว้ที่บ้าน วันนั้นจะได้อาหารพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องพอดำรงชีวิตอยู่ได้เท่านั้น

    พ่อแม่จึงปรึกษากันว่า ตั้งแต่ลูกคนนี้เกิดมา ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็พบแต่ความอัตคัดขัดสนตลอดเวลา
    แม้กระนั้นก็ยังสู้ทนเลี้ยงดูลูกเรื่อยมา จนกระทั่งลูกสามารถดูแลตัวเองได้ จึงบอกกับลูกว่า " ลูกเอ๋ย เอา กระเบื้องใบนี้ไป ต่างคนต่างไปเถอะ ถึงแม้ว่าพ่อกับแม่จะรักลูกแค่ไหน แต่ถ้าเอาลูกไปด้วยก็คงจะอด อยากมาก ดังนั้นลูกจงไปหาเลี้ยงชีพด้วยตนเองเถิด "

    ลูกจึงจำต้องจากไปเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่ไม่ว่าจะไปทางไหนก็หาทรัพย์ไม่ได้ เด็กน้อยตะเกียกตะกาย
    ขอทานช่วยเหลือตัวเองไปจนถึงบ้านของมูลสิริเศรษฐี ก็ระลึกชาติได้ว่า บ้านนี้เคยเป็นบ้านของตนมาก่อน และเศรษฐีนี้ คือ ลูกชายของตนเอง จึงเดินไปในบ้านนั้น ฝ่ายลูกของมูลสิริเศรษฐีเห็นเด็กขอทานที่หน้า ตาน่าเกลียด น่ากลัวเข้าก็ตกใจ จึงให้คนใช้ขับไล่ออกไป


    .......ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะ ( พระผู้ติดตาม ) เสด็จผ่านไปถึงที่นั้น
    พระองค์ทรงชี้ให้ดูเด็กขอทานคนนั้น แล้วตรัสว่า " อานนท์ เด็กขอทานที่มีหน้าตาอัปลักษณ์น่าเกลียด นั้น คือ อานันทเศรษฐี "

    ทั้งยังตรัสกับมูลสิริเศรษฐีให้ทราบอีกด้วยว่า นี่คือ อานันทเศรษฐี ซึ่งเป็นพ่อของเขาในอดีตชาติ

    มูลสิริเศรษฐีจึงทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า เขาจะทราบได้อย่างไร พระองค์ตรัสตอบว่า เด็กคนนี้ จำที่ฝังสมบัติได้ มูลสิริเศรษฐีจึงให้เด็กขอทานนั้นไปชี้ที่ฝังสมบัติ เมื่อให้คนขุดดู ก็พบว่ามีสมบัติจริงตาม ที่ชี้


    .......จะเห็นได้ว่า การไม่รักษาสมบัติของตนและไม่ตามรักษาสมบัติของผู้อื่น จำทำให้เข้าถึงความวิบัติ ของรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และคุณสมบัติต่างๆ ทำให้มีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ ยากจนค่นแค้นเป็นที่ รังเกียจของคนทั่วไป

    ส่วน " บุคคลที่ทำบุญเองและบอกบุญผู้อื่นด้วย ย่อมร่ำรวยด้วยโภคทรัพย์สมบัติ และ บริวารสมบัติ "

    เพราะว่า นอกจากตนเองได้รักษาทรัพย์สมบัติของตนไว้ดีแล้ว ยังติดตามไปรักษาทรัพย์สมบัติให้ผู้อื่น ฉะนั้นไปเกิดในภพชาติใด ก็จะมั่งคั่งร่ำรวยและมีพวกพ้องบริวารมาก จะทำสิ่งใดก็สำเร็จได้โดยง่าย

    เพราะผู้ที่ได้รับการชักชวนทั้งหลาย ได้เสวยผลบุญเกิดมา มีความสุขความเจริญด้วยโภคทรัพย์สมบัติ เขาจะระลึกถึงบุคคลที่ตามไปรักษาทรัพย์ของเขาไว้ให้พ้นจากวิบัติ ฉะนั้นจะเกิดกระแสบุญชนิดหนึ่ง แล่นมาถึงผู้ที่ตามไปรักษาทรัพย์สมบัตินั้นไว้ พร้อมทั้งส่งเสริมสนับสนุนให้รุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป จะมีแต่
    คนที่ซื่อสัตย์สุจริต บริสุทธิ์กาย วาจา ใจ มาเป็นบริวาร เป็นมิตรสหาย คนภัยคนพาลเข้าใกล้ไม่ได้ เพราะเดินสวนทางกัน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ที่ไม่ดีจะไม่เกิดขึ้นเลย จะได้แต่สิ่งที่ดีๆ
    ทั้งโภคทรัพย์สมบัติ และบริวารสมบัติทุกอย่าง
     
  2. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    จะจนหรือรวยไม่ควรตะหนี่ในการให้ทาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...