อานุภาพเจริญพระพุทธคุณ หายจากโรคอัมพาตได้

ในห้อง 'ประสบการณ์ ผลของการสวด' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 5 ตุลาคม 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    อานุภาพเจริญพระพุทธคุณ หายจากโรคอัมพาตได้

    อ่อนจันทร์ พิสัยสวัสดิ์

    บทนำ

    ดิฉันขออนุญาตเรียกท่านว่าหลวงพ่อนะคะ
    ดิฉันรู้จักหลวงพ่อนานพอสมควรจากเรื่อง
    “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” ของ “สุทัสสา อ่อนค้อม”

    อ่านติดตามเรื่องนี้มาตลอดก็ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร
    ชอบอ่านและเกิดศรัทธาในหลวงพ่อ
    อยากจะมากราบสนทนาปัญหาธรรม และวิธีแก้ปัญหา

    ดิฉันได้ปฏิบัติตาม สวดพุทธคุณเท่าอายุ
    สวดพาหุงมหากาฯ ให้ได้ตามหลวงพ่อบอกในหนังสือ

    แล้วก็นับลมหายใจเข้าออก พองหนอ ยุบหนอ เท่านั้น
    รู้สึกว่าดี ดิฉันได้แนะนำคนอื่นด้วย

    มีลุงคนหนึ่งเป็นอัมพาตไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องนอนอยู่กับที่หลายปี
    อุจจาระปัสสาวะไม่รู้สึก รู้สึกหมดหวัง
    หมดอาลัยตายอยาก อยากจะตายท่าเดียว

    ดิฉันก็ไปเยี่ยมพร้อมสามี
    ได้แนะนำให้สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากาฯ
    นำหนังสือของหลวงพ่อไปให้และให้สวดพุทธคุณเท่าอายุ
    ให้ฝึกสมาธิ ดูลมหายใจเข้าออกที่ท้อง
    พองหนอ ยุบหนอ เพื่อไม่ให้จิตฟุ้งซ่าน

    ลุงก็ทำตาม ไหน ๆ จะตายแล้วก็มาทำกรรมฐาน
    จนเดี๋ยวนี้นั่งได้ จับไม้เดินได้ เดินไปไหนได้ แข็งแรง ขาหายลีบ

    บันทึกของหลวงพ่อ

    นี่คือพยานที่เป็นจดหมาย เพียงแต่สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
    และหายใจยาว ๆ พองหนอ ยุบหนอ อัมพาตยังหายได้

    มะเร็งก็หายได้ ทำให้มันจริง ตายให้ตาย
    คนที่เป็นโรคภัยไข้เจ็บทำใจแข็งไว้
    กำหนดจิตให้เข้มแข็ง ๔๐ เปอร์เซ็นต์ หายได้

    ดูซิเป็นอัมพาตมา ๓-๔ ปีแล้ว ทำไมเดินได้
    เดี๋ยวนี้เดินสักเท้าไปวัดได้เลย พวกฮือฮากันใหญ่

    คนที่แนะนำคือ ครูอ่อนจันทร์ และครูสมพร พิสัยสวัสดิ์
    โรงรียนสระใครนุเคราะห์ ตำบลสระใคร
    อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ๔๓๐๐๐

    พองหนอ ยุบหนอ ได้ประโยชน์อะไร หายใจเข้าออก
    ตั้งสติไว้ หายจากโรคได้
    ก่อนจะหายนี่มันจะปวดจำไว้ ปวดนี่หายโรคนะ

    ถ้าปวดแล้วเลิกเลยไม่หายโรค ปวดหนอเลิกเลย
    โรคไม่หาย ปวดให้ตาย ก็กำหนดตั้งสติไว้

    คนไม่ปวดหยิกไม่เจ็บ ไม่มีทางหาย
    พอกำหนดจิตเข้าไปปวดเลย ปวดหนอ ปวดหนอ
    อุ๊ย กระตุกแล้ว โอ๊ยปวดหนอ ร้องไห้คืนยันรุ่ง
    เอาให้ตาย เดินได้เลย

    ถ้ามันไม่ปวดเดินไม่ได้นะ จำไว้นะ
    บางทีพวกกรรมฐานปวดหนอ เลิกเลย รับรองไม่หายหรอก

    พระภาวนาวิสุทธิคุณ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)

    เจริญพระพุทธคุณหายจากโรคอัมพาต

    นายพัด แสงจันทร์ ตั้งบ้านเรือนอยู่บ้านเลขที่ ๑๐๙ หมู่ที่ ๙ บ้านเอราวัณ
    (เพิ่งแยกออกจากบ้านคอกช้าง) ตำบลคอกช้าง อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย
    ขณะนี้มีอายุ ๗๑ ปี (เกิด พ.ศ. ๒๔๖๓ วันพฤหัสบดี เดือนเมษายน ปีระกา)
    อาการแรกเริ่มก่อนที่เขาจะป่วยถึงกับเป็นอัมพาตนั้น
    เขาเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย
    จนกระทั่งมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๒ เดือนกุมภาพันธ์
    เขาได้ไปถวายภัตตาหารเช้าแด่พระภิกษุสามเณรที่วัดนิเวศน์คชสาร
    ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้านเหมือนเช่นเคยปฏิบัติมาทุกวัน
    หลังจากเสร็จพิธีเรียบร้อย รับศีลรับพรเสร็จแล้วจะกลับบ้าน
    เดินลงบันไดศาลาการเปรียญมา ซึ่งบันไดก็ไม่สูงแต่อย่างใด
    พอเท้าทั้ง ๒ ข้างก้าวลงถึงพื้นดินก็เกิดอาการขัดหัวเข่าอย่างแรง
    ก้าวขาไม่ออก ทรงตัวไม่ได้ เซล้มก้นกระแทกพื้นทันที ลุกไม่ขึ้น
    ซึ่งเขาไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย
    พวกคนงานที่กำลังทำงานก่อสร้างโบสถ์ของวัดอยู่เห็นดังนั้น
    พวกเขาก็มาช่วยกันพยุงให้ลุกขึ้น และประคองพาไปส่งถึงบ้าน

    วันรุ่งขึ้น ญาติก็พาไปตรวจร่างกายที่คลีนิคหมอแผนปัจจุบัน
    ที่มีชื่อเสียงในจังหวัดอุดรธานี หมอฉีดยาให้เข็มหนึ่ง
    อาการขัดหัวเข่าข้างซ้ายก็หายไป
    อยู่ต่อมาก็เกิดอาการขัดหัวเข่าขึ้นกับขาข้างขวา ไปหาหมอ
    หมอก็ฉีดยาและให้ยามารับประทาน อาการก็เป็น ๆ หาย ๆ
    อยู่อย่างนั้นเรื่อยมาและเปลี่ยนมาเป็นปวดหลัง ปวดตึงท้ายทอย
    ปวดต้นแขนทั้ง ๒ ข้างอาการปวดเหล่านี้รุนแรงมาก
    เขาไปตรวจรับการรักษาที่คลินิคและโรงพยาบาลหลายแห่ง
    หมอก็รักษาด้วยวิธีกายภาพบำบัดและอายุรกรรม
    อาการก็ไม่หาย หมอวินิจฉัยว่า “ลุงเป็นโรคกระดูกงอกทับเส้นประสาท”
    บางหมอก็ว่า “ลุงเป็นโรคข้อเสื่อม”

    จนกระทั่งถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๓๓ หลังจากไปห้องน้ำเสร็จแล้ว
    เขาจะกลับมายังที่นอน ก็เกิดพลาดหกล้มหงายหลัง
    ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาขาทั้ง ๒ ข้างของเขาหมดสภาพ ยกไม่ขึ้นเลย
    หยิกก็ไม่รู้สึกเจ็บ เขาอยู่ในสภาพเป็นอัมพาตครึ่งท่อน
    คือตั้งแต่บั้นเอวลงไปถึงปลายเท้าทั้ง ๒ ข้างไม่มีความรู้สึก
    กระดิกนิ้วก็ไม่ได้ ตัวเขาเองก็หมดอาลัยตายอยากในชีวิต
    ลูกหลานก็ได้พาไปรับการรักษาจากหมอ
    ที่โรงพยาบาลบ้าง คลินิคบ้างตามลำดับ

    ครั้งหลังสุดเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๓๔
    ลูก ๆ ทนดูสภาพทุกขเวทนาของพ่อไม่ไหว
    จึงได้เหมารถยนต์พาเขาไปตรวจเช็คร่างกายอีกครั้ง
    ที่โรงพยาบาลทหาร ค่ายประจักษ์ อุดรธานี
    คุณหมอที่เคยรักษาไข้ให้เขาเป็นประจำ
    ได้ตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียดแล้ว
    “เส้นประสาทสันหลังทั้ง ๒ เส้นของลุงตายเสียแล้ว”
    หมอบอก พร้อมกันนั้นหมอคนดังกล่าว
    ก็ได้บอกให้ไปรับบริการทำศัลยกรรมแก้ไขเส้นประสาท
    ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น
    และมอบใบวินิจฉันโรคให้เขาถือไปด้วย
    หมอบอกว่าเขาไม่มีทางจะช่วย แต่พวกญาติ ๆ
    ปรึกษาหารือกันแล้วตกลงกันไม่ไป
    เพราะกลัวว่าเมื่อผ่าตัดแล้วพ่อจะเป็นอันตราย ไม่หาย
    จึงมากลับมาอยู่บ้านเฉย ๆ

    ในเมื่อทราบว่าตัวเองจะเป็นคนพิการตลอดชีวิต
    อยู่ในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างนั้น
    นายพัด แสงจันทร์ ก็ทอดอาลัยในชีวิต อยากให้มันตายเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป
    อาการจึงทรุดลงเรื่อย ๆ ข้าวปลาอาหารก็เบื่อทานไม่ได้
    เมื่อหมดกำลังใจ กำลังกายก็เสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว
    แต่ก่อนแต่ไรมาเขาเป็นคนพูดเสียงดังฟังชัด
    แต่เวลานี้ เสียงพูดของเขาแหบพร่า เสียงแทบไม่พ้นริมฝีปาก
    ญาติพี่น้องบ้านใกล้บ้านไกลที่ไปเยี่ยมไข้เขากลับมาบ้านแล้ว
    ต่างก็มาเล่าลือกันว่า “ลุงพัดคงอยู่ได้อีกไม่เกินครึ่งเดือน”
    เพราะเขาทิ้งข้าวทิ้งน้ำมาหลายวันแล้ว พูดก็ไม่พูด

    ข้าพเจ้าทั้งสองคน เมื่อได้ทราบข่าวดังนั้น
    ในฐานะที่เขาเป็นคนคุ้นเคยกัน และเป็นญาติห่าง ๆ คนหนึ่งของข้าพเจ้า
    เขาเป็นคนธรรมะธัมโม เข้าวัดปฏิบัติดี มีศีลธรรม
    ทำให้เกิดความเศร้าใจเป็นอย่างมาก
    ข้าพเจ้าจึงชวนภรรยา คือนางอ่อนจันทร์ พิสัยสวัสดิ์
    ไปเยี่ยมเขาที่บ้าน เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๓๔

    เมื่อข้าพเจ้าไปถึงบ้านเขา พบกำลังนอนซมอยู่บนเตียงนอน
    ตะแคงขวาหันหน้าเข้าฝา จึงร้องทักไป
    เขาจึงผินหน้ามาหาและพูดคุยด้วยเสียงที่แหบพร่า
    บางคำก็ได้ยิน บางคำก็ไม่ได้ยิน เมื่อพูดคุยสนทนากันได้สักระยะหนึ่ง
    ข้าพเจ้าจึงถามถึงเรื่องที่มีคนเขานำไปเล่าขานว่าอยากฆ่าตัวตาย
    น้อยอกน้อยใจในโชควาสนาชาตาของตัว
    ที่ในชาตินี้ทำแต่กรรมดี ไม่เคยประกอบกรรมทำชั่ว
    แต่กรรมบันดาลให้ต้องมาเป็นแบบนี้จริงหรือ เขาก็ยอมรับ
    และบอกว่าเคยอ้อนวอนให้ลูกหลานเอามีดมาให้
    อ้างว่าจะเอามาไว้ตัดเล็บมือเล็บเท้า
    ลูกหลานเขารู้ทันจึงนำมีดพร้าและเครื่องใช้ต่าง ๆ
    ที่พอจะใช้เป็นอุปกรณ์ในการกระทำอัตวินิบาต
    ได้ไปเก็บซุกซ่อนให้ไกลมือเขา

    ข้าพเจ้าทั้งสองได้ให้ข้อคิดเตือนสติเขาหลายอย่างหลายเรื่อง
    โดยย้ำว่าอัตวินิบาตกรรมเป็นกรรมหนัก
    ขอให้เขาเชื่อในเรื่องของ กรรม บาป บุญ คุณ และโทษ
    ตามหลักพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    อย่าได้หวั่นไหวคลอนแคลนในเรื่องเหล่านี้
    เพราะกรรม บาปบุญ คุณโทษนี้เป็นสิ่งที่มีจริง
    ดังที่ตัวเขาเองก็ได้รู้ได้เรียนมาแล้วในอดีต
    ในสมัยที่ได้บรรพชาเป็นสามเณร และได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุมาแล้ว
    ขอให้ถือเสียว่าที่ต้องเป็นแบบนี้
    คงเป็นเพราะกรรมเก่าในอดีตชาติ
    ได้เคยไปทำให้ผู้อื่นเขาพิการถึงเอวลากเป็นอัมพาตครึ่งท่อน
    อย่างที่เขากำลังเป็นอยู่ในขณะนี้แน่นอน
    ในชาตินี้เขาจึงเป็นเช่นนี้เพื่อชดใช้กรรมเวรตามกฎแห่งกรรม
    จะประสาอะไรกับปุถุชนคนธรรมดา
    อย่างเราอย่างเขาที่ต้องชดใช้เวรกรรม

    แม้แต่พระอัครมหาสาวกผู้เลิศด้วยฤทธิ์ด้วยเดชอย่างพระมหาโมคคัลลาน์
    ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว
    ยังต้องเสวยกรรมชั่วที่ท่านเคยกระทำไว้ในอดีตชาติ
    เพราะหลงเชื่อในคำยุยงของภรรยา....ในชาตินี้
    ท่านจึงถูกพวกโจร ๕๐๐ ทุบจนร่างกายแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี
    ซึ่งเรื่องนี้เขาเองก็เคยได้ยินได้ฟังมาแล้ว
    จึงควรปลงซะว่าที่เราเป็นอย่างนี้ไม่ใช่อะไร เพราะกรรมเก่าของเราเอง
    ให้น้อมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน
    อย่าโศกเศร้าเสียใจให้ถือเสียว่าเป็นทีเขาทีเรา
    จะได้แล้ว ๆ กันไป หมดกรรมหมดเวรกันไป

    นอกจากนั้น ข้าพเจ้าทั้งสองได้แนะนำเขา
    ให้ลองทำตามคำสอนของพระเดชพระคุณ
    ท่านหลวงพ่อเจ้าคุณพระภาวนาวิสุทธิคุณ วัดอัมพวัน
    อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี
    คือถ้าใครเกิดทุกข์ร้อนเรื่องอะไรก็ตาม
    ให้สวดบทสรรเสริญพุทธคุณเท่าอายุของผู้นั้นบวกหนึ่ง
    แล้วแผ่เมตตาให้แก่เจ้ากรรมนายเวร
    ทุกอย่างก็จะดีขึ้น
    เพราะข้าพเจ้าทั้งสองได้อ่านพบเรื่องนี้ในนิตยสารกุลสตรี
    ในนวนิยายอิงเรื่องจริงที่มีชื่อว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”
    ของผู้เขียนคนหนึ่งที่ใช้นามปากกาว่า “สุทัสสา อ่อนค้อม”
    โดยให้ลูกสาวของนายพัด แสงจันทร์ เหลาก้านใบมะพร้าวมาให้ ๗๒ อัน
    บอกให้เขานอนทำ คือนอนสวดพุทธคุณ
    เพราะนั่งไม่ได้ เนื่องจากสภาพร่างกายของเขาทรุดโทรมมาก
    รู้สึกเขามีความสนใจและกระตือรือร้นในเรื่องนี้มาก
    ได้ซักถามข้อข้องใจสงสัยต่าง ๆ ในวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องนี้จนหายข้องใจ

    ข้าพเจ้าย้ำว่า การปฏิบัติแบบนี้ ถ้าไม่หายเพราะตัวเราถึงกาลอายุขัยแล้ว
    ด้วยอานิสงส์ที่ได้เจริญพระพุทธคุณ
    เป็นอารมณ์อยู่เนืองนิตย์ก็จะได้ไปสู่สุคติภพ
    จะไม่ตกไปสู่อบายภูมิอย่างแน่นอน
    ถ้ายังไม่ถึงกาลอายุขัยก็จะหายวันหายคืน
    ด้วยแรงศรัทธาที่มีต่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพุทธศาสนา
    หลังจากที่ข้าพเจ้าทั้งสองได้แนะนำปลุกเร้า
    ให้เขารื่นเริงในธรรมแล้วก็ลากลับ
    ตั้งแต่คืนวันที่ได้รับคำแนะนำจากข้าพเจ้าทั้งสองเป็นต้นมา
    เขาก็ได้สวดพุทธคุณครบอายุบวกหนึ่งทั้งกลางวันและกลางคืน
    ในเวลาที่ว่างจากภาระอย่างอื่นแล้ว
    ด้วยแรงศรัทธาและความเชื่อมั่น
    วันและคืนละหลาย ๆ ครั้งแล้วแต่โอกาสเหมาะ

    หลังจากปฏิบัติอย่างนั้นอยู่ต่อมาประมาณ ๒๐ วัน
    เช้าวันหนึ่งพอลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วก็ยังมืดอยู่ ยังไม่สว่าง
    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ทำให้เขาอยากกระดิกเท้า
    จึงลองกระดิกดูก็กระดิกได้ รู้สึกประหลาดใจมากสงสัยว่า
    ตัวเองกระดิกเท้าได้แล้วจริง ๆ หรือว่าฝันไป
    จึงลองทำดูอีกตั้งหลายครั้ง ทั้งข้างซ้าย และข้างขวา
    เมื่อเป็นที่แน่ชัดแล้วว่ากระดิกเท้าได้แล้วจริง ๆ
    เขารู้สึกดีใจมาก และพยายามลองยกขาดูขณะที่ตัวเขานอนอยู่
    ก็สามารถยกได้ตามใจอยากในวันต่อ ๆ มา
    พอถึงเดือนสิงหาคม ก็หัดยืนโดยอาศัยมือยึดเกาะเตียงนอน
    ทำให้ลูกหลานดีใจมาก สภาพขาทั้ง ๒ ข้างดีขึ้นเป็นลำดับ
    และอีก ๒ เดือนถัดมา คือ เดือนกันยายน และเดือนตุลาคม ๒๕๓๔
    เขาก็พยายามหัดเดิน โดยอาศัยรถเข็นแบบคนพิการ
    เขาใช้ในการไปมาของคนขาด้วน
    ด้วยการใช้มือทั้งสองยึดจับด้านหลังรถไว้ไสรถให้ค่อย ๆ เลื่อนไปข้างหน้า
    ตัวเขาค่อย ๆ ก้าวเดินตามไปอย่างช้า ๆ ก่อน และสามารถเดินได้จริง ๆ
    โดยไม่ต้องจับไม้เท้าและยึดจับอะไรเลย ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๓๔

    ข้าพเจ้าทั้งสองทราบข่าวนี้ก็ได้รีบไปเยี่ยมเขา
    เขาได้กล่าวขอบคุณข้าพเจ้า และกล่าวกราบนมัสการ
    ขอบพระคุณหลวงพ่อเจ้าคุณพระภาวนาวิสุทธิคุณ วัดอัมพวัน
    ที่ช่วยให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน เหมือนตายแล้วเกิดใหม่
    นางอ่อนจันทร์ พิสัยสวัสดิ์ ภรรยาของข้าพเจ้า
    ได้มีจดหมายไปกราบนมัสการหลวงพ่อ
    เล่าเรื่องเกี่ยวกับนายพัด แสงจันทร์นี้ให้หลวงพ่อฟัง
    ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้จักกับพระคุณท่านมาก่อน
    พระเดชพระคุณท่านหลวงพ่อก็ยังมีเมตตาส่งน้ำมันมนต์
    พร้อมกับคำแนะนำการใช้ฝากไปให้เขาด้วย
    พร้อมกันนั้นท่านก็ได้เมตตา แนะนำยาสมุนไพรให้นายพัด แสงจันทร์
    ไปซื้อจากร้ายขายยาประเภท ค มาต้มดื่มต่างน้ำ
    ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งในเมตตาธรรมของท่านเจ้าคุณมากที่สุด
    คนทั้งหลายในละแวกใกล้เคียงทราบข่าว
    ต่างก็ไปถามเขาคนแล้วคนเล่าว่า
    เขาไปรักษาที่ไหน กินยาอะไรจึงสามารถเดินได้อย่างนี้ หายอย่างนี้
    ตัวเขาเองก็ตอบทุกคนไปว่า
    เขาหายจากโรคร้ายด้วยอานิสงส์แห่งการเจริญพระพุทธคุณ
    ตามแนวปฏิบัติของหลวงพ่อเจ้าคุณพระภาวนาวิสุทธิคุณ
    วัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ไม่ได้กินยาอะไร
    และไม่ได้ไปรักษาที่ไหน
    ทำให้คนที่ได้เห็นได้ยินสนใจประหลาดอัศจรรย์ในเรื่องเหลือเชื่อนี้มาก
    มีญาติคนป่วยที่มีอาการคล้าย ๆ กับเขามาถามแนวทางปฏิบัติจากเขา ๆ
    ก็ได้แนะนำไปด้วยความเต็มใจ โดยไม่ปิดบังและย้ำเตือนว่า
    จะทำได้หรือกลัวว่าจะทำได้ไม่ดีเหมือนที่เขาปฏิบัติมา
    เมื่อไม่หายแล้ว จะกล่าวปรามาสท่านหลวงพ่อ
    เป็นบาปเป็นกรรมแก่ผู้นั้นเปล่า ๆ และย้ำเตือนว่า

    ปัจจุบันนี้ นายพัด แสงจันทร์
    เดินไปไหนมาไหนได้อย่างคนปกติทั่ว ๆ ไปแล้ว
    แต่นั่งคุกเข่าได้ไม่นาน ยังมีอาการขัดเคืองอยู่บ้าง
    นั่งคุกเข่าไปได้สักประเดี๋ยวก็ต้องนั่งพับเพียบ
    เพราะตัวเขาก็อายุปูนนี้แล้ว จะแข็งแรงอย่างกับคนหนุ่ม ๆ ก็คงไม่ได้
    เรื่องนี้เขาเองก็ยอมรับว่า “มันเป็นเรื่องของวัยชรา”
    เขาสามารถขับขี่รถจักรยานได้เหมือนก่อนเก่าที่ยังไม่ได้ป่วยเป็นอัมพาต
    เมื่อเดือนมีนาคมศกนี้เอง (๒๕๓๕)
    และเขาได้นำรถเข็นไปมอบให้เป็นสมบัติของสถานีสาธารณสุขตำบลคอกช้าง
    อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย
    เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๓๕
    และด้วยแรงศรัทธาที่เขามีต่อพระบวรพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า
    เขาจึงได้กราบลาญาติพี่น้องเพื่อเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัสตร์
    ณ อุโบสถวัดนิเวศน์คชสาร บ้านคอกช้าง ตำบลคอกช้าง
    อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ในวันที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๕
    โดยมีพระอาจารย์มหาพร้อม เรวโต ปธ.๙
    รองเจ้าคณะจังหวัดหนองคายรูปที่ ๒ วัดศรีชมชื่น อำเภอเมืองหนองคาย
    จังหวัดหนองคาย เป็นพระอุปัชฌาย์
    พระมหาอภิศักดิ์ ปิยธมฺโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    และพระมหาคำผัน ปญฺญาทีโป เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    เขาเคยปรารภเรื่องการอุปสมบทเพื่อปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
    ตามแนวทางหลวงพ่อเจ้าคุณพระภาวนาวิสุทธิคุณ
    ที่ท่านเขียนไว้ในหนังสือ “กฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติ”
    ที่ผู้เขียนได้นำไปให้เขาอ่าน
    ผู้เขียนและภรรยาก็ได้กล่าวอนุโมทนาในกุศลเจตนาของเขา
    และเขาก็ได้ปฏิบัติตามที่ได้ปรารภไว้นั้นทุกประการ
    นับว่าท่านหลวงพ่อได้ช่วยให้เพื่อนมนุษย์ได้เข้าถึงอริยทรัพย์
    ซึ่งเป็นทรัพย์อันอุดมที่สุดของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกผู้หนึ่ง
    ผู้เขียนจึงขอกราบอนุโมทนาในบุญบารมี
    ของหลวงพ่อเจ้าคุณพระอาจารย์มา ณ โอกาสนี้ด้วย

    นายสมพร พิสัยสวัสดิ์
    ผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่
    โรงเรียนสระใครนุเคราะห์


    คัดลอกจาก...กฎแห่งกรรม - ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ ๖

    <!-- m -->http://jarun.org/v3/html/lok6.html<!-- m -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...