เรื่องเด่น อุกกาบาตยักษ์ ระเบิดเหนือฟ้า ทะเลเดดซีเมื่อ 3,700 ปีก่อน !!??

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ เตือนภัย, 18 ธันวาคม 2018.

  1. โพธิสัตว์ เตือนภัย

    โพธิสัตว์ เตือนภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,565
    กระทู้เรื่องเด่น:
    441
    ค่าพลัง:
    +655
    0b8b2e0b895e0b8a2e0b8b1e0b881e0b8a9e0b98c-e0b8a3e0b8b0e0b980e0b89ae0b8b4e0b894e0b980e0b8abe0b899.jpg

    ณ ริมแม่น้ำจอร์แดนทางตอนเหนือของประเทศจอร์แดน มีแหล่งโบราณคดีแห่งหนึ่งชื่อว่า ตัลเลลฮัมมัม (Tall el-Hammam) นักโบราณคดีพบว่า สถานที่นี้เคยเป็นเมืองที่รุ่งเรืองในยุคสำริด เป็นศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักร มีกำแพงเมือง 30 เมตรและสูง 15 เมตรล้อมรอบ ครอบครองพื้นที่นี้อยู่เป็นเวลากว่า 2,500 ปี

    แต่แล้วเมื่อราว 3,700 ปีก่อน จู่ ๆ เมืองนี้ก็ล่มสลายไป บ้านเรือนพังพินาศ ชีวิตผู้คนนับหมื่นหายวับไปกับตา เคยเชื่อกันว่าสาเหตุอาจเกิดจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่

    แต่ทฤษฎีใหม่ ที่เสนอโดยนักวิจัยคณะหนึ่งนำโดย ฟิลลิป ซิลเวีย จากมหาวิทยาลัยทรินิตีเซาท์เวสต์ และ สตีเวน คอลลินส์ อธิบายว่า สิ่งที่มาทำลายเมืองนี้ไปไม่ใช่เหตุการณ์แผ่นดินไหว แต่เป็นอุกกาบาตยักษ์พุ่งเข้าใส่และระเบิดกลางอากาศ เป็นเหตุการณ์ประเภทเดียวกับเหตุการณ์ทังกัสกาในปี 2451 และที่เชลยาบินส์ในปี 2556

    8b2e0b895e0b8a2e0b8b1e0b881e0b8a9e0b98c-e0b8a3e0b8b0e0b980e0b89ae0b8b4e0b894e0b980e0b8abe0b899-1.jpg

    ตำแหน่งที่ตั้งของเมืองตัลเลลฮัมมัม อยู่ในประเทศจอร์แดนในปัจจุบัน

    เมื่ออุกกาบาตยักษ์ระเบิดกลางอากาศ จะส่งคลื่นกระแทกรุนแรงออกมาและสร้างความร้อนมหาศาล อุกกาบาตที่ระเบิดเหนือเมืองตัลเลลฮัมมัมได้ส่งแรงทำลายล้างเป็นบริเวณกว้างถึง 500 ตารางกิโลเมตร

    แนวคิดเรื่องการระเบิดกลางอากาศไม่ใช่เรื่องเสนอขึ้นมาลอย ๆ ซิลเวียและคอลลินส์พบหลักฐานมากมายที่สนับสนุนทฤษฎีนี้ ตัวอย่างเช่น ซากกำแพงและสิ่งปลูกสร้างที่พบ มีการล้มพับอย่างมีทิศทางที่แน่นอน ซึ่งแสดงถึงการทำลายที่เกิดจากคลื่นกระแทกจากทางใดทางหนึ่ง ในขณะที่แผ่นดินไหวไม่ทำให้บ้านเรือนพังแบบมีทิศทางแบบนี้

    8b2e0b895e0b8a2e0b8b1e0b881e0b8a9e0b98c-e0b8a3e0b8b0e0b980e0b89ae0b8b4e0b894e0b980e0b8abe0b899-2.jpg

    ลูกไฟที่เกิดจากดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนและระเบิดเหนือน่านฟ้าของเชลยาบินสก์ในรัสเซีย ถ่ายโดยกล้องหน้ารถ

    [​IMG] [​IMG]

    ในแหล่งขุดค้น มีการพบเศษกระเบื้องดินเผาที่ผิวด้านหนึ่งกลายเป็นแก้ว สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้โดยความร้อนสูงมากเท่านั้น การวิเคราะห์เนื้อแก้วพบผลึกของเซอร์คอนในฟองอากาศซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ภายใต้อุณหภูมิเกิน 4,000 องศาเซลเซียสขึ้นไป และยังพบว่าความหนาของส่วนที่เป็นแก้วหนาเพียง 1 มิลลิเมตร แสดงว่าเกิดขึ้นจากความร้อนสูงเป็นเวลาสั้น ๆ เท่านั้น

    นอกจากนี้ยังพบก้อนหินที่เกิดจากหินต่างกันสามชนิดหลอมรวมกันและมีผิวเป็นแก้วที่มีผลึกเซอร์โคเนียมอยู่ภายใน

    นักวิจัยคณะนี้คาดว่า ทั้งเศษกระเบื้องและหินที่มีผิวเป็นแก้วต้องเคยผ่านความร้อนสูงถึง 8,000-12,000 องศาเซลเซียสเป็นเวลาสั้นเพียงเสี้ยววินาทีจึงจะมีสภาพเช่นนี้ได้ ซึ่งเหตุการณ์ไฟไหม้ที่เกิดขึ้นตามหลังแผ่นดินไหวทำสิ่งนี้ไม่ได้

    อีกหลักฐานหนึ่งคือการที่หลังจากเมืองถูกทำลายไปแล้วก็กลายเป็นดินแดนรกร้างไม่มีผู้ใดไปตั้งรกรากได้เลยเป็นเวลานานถึง 700 ปี ทั้งที่บริเวณนี้เคยเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก คำตอบของเรื่องนี้อยู่ลึกลงไปใต้พื้นดิน นักวิจัยพบว่าที่ชั้นดินที่เป็นเถ้าและที่ชั้นถัดขึ้นไปมีระดับของเกลือสูงเกิน 50,000 ส่วนในล้านส่วน แหล่งของเกลือที่เข้ามาปนเปื้อนดินนี้ย่อมเป็นเกลือในทะเลเดดซีที่อยู่ไม่ไกลนี่เอง

    ซิลเวียและคอลลินส์อธิบายว่า แรงระเบิดนอกจากจะทำลายบ้านเรือนให้พังราบแล้ว ยังส่งเกลือจากทะเลเดดซีขึ้นมาปกคลุมพื้นที่จนพื้นดินกลายเป็นดินเค็มใช้เพาะปลูกไม่ได้เป็นเวลาหลายร้อยปี

    8b2e0b895e0b8a2e0b8b1e0b881e0b8a9e0b98c-e0b8a3e0b8b0e0b980e0b89ae0b8b4e0b894e0b980e0b8abe0b899-3.jpg

    ภาพถ่ายโดยลีโอนาร์ด คูลิก ในปี 2472 แสดงกองซุงที่ล้มระเนระนาดบริเวณใกล้ที่เกิดเหตุการณ์ทังกัสกาในไซบีเรียเมื่อปี 2451 แสดงถึงคลื่นกระแทกอย่างรุนแรงจากกระเบิดกลางอากาศ ซึ่งคาดว่าเกิดจากอุกกาบาตยักษ์พุ่งเข้าใส่และระเบิดก่อนตกถึงพื้น (จาก Kulik Expedition)

    ยังมีหลักฐานอื่นอีกที่ล้วนแต่สนับสนุนทฤษฎีการระเบิดกลางอากาศ เช่น มีการพบระดับของแพลทินัมสูงเป็นพิเศษ พบเม็ดกลมเล็กแม่เหล็ก (magnetic spherule) จำนวนมาก และพบวัตถุคล้ายหินสกอเรียอยู่ในพื้นที่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็พบในเขตทังกัสกาและที่เชลยาบินสก์เช่นกัน

    ซิลเวียและคอลลินส์คาดว่า การระเบิดกลางอากาศที่ทำลายล้างเมืองตัลเลลฮัมมัมมีความรุนแรงเทียบเท่าทีเอ็นที 10 เมกะตัน เกิดขึ้นบริเวณชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลเดดซี เหนือพื้นดินราว 1 กิโลเมตร

    ขอบคุณที่มา
    https://www.matichon.co.th/lifestyle/tech/news_1277168
     

แชร์หน้านี้

Loading...