เจ้าด้วน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 25 มิถุนายน 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    เจ้าด้วนจ้าด้วน ( หน้า ๒)
    นี่เป็นอันว่าจะไปเที่ยวผ่านทางนี้ละก็ คนสมัยนั้นที่เป็นหนุ่มและคนแก่ประมาณปี พ.ศ.๒๔๗๐ เศษ ๆ ความจริงตาด้วนแกมีอายุก่อนนั้นนะ ทุกคนรู้จัก นายด้วนได้ดี แล้วมาคราวหนึ่ง นายด้วนนี่ แกแผลงฤทธิ์พิเศษ คือว่ามีคนหนึ่งชื่อป้าคร้าม ป้าคร้ามนี่ผู้พูดเรียกแกว่ายังงั้นนะ เคารพแกเรียกแกว่าป้า เพราะว่าเป็นรุ่นป้า แกพายเรือไปตอนเช้ามืดไปขายมะพร้าวทุกวันรับมะพร้าวจากชาวสวนแล้วก็ไปขายที่หน้าวัดช่างเหล็ก หรือหน้าวัดเรไร เพราะว่า บรรดาเรือค้ามารอซื้อที่นั่น เช้ามืดวันหนึ่งเมื่อแกผ่านหน้าวัดเรไรหรือปากคลองบางละมาดจะออกไปวัดเรไร จะออกคลองอีกคลองหนึ่งเขาเรียกว่า คลองชักพระ พอผ่านสะพานไปก็ปรากฏว่าเรือแกวิ่งถอยหลัง แกหันหลังมาดูก็พบเจ้าด้วนนั่งอยู่ข้างตลิ่ง มันทำมือยาวมากดึงท้ายเรือแก พอเรือมาถึงตลิ่งมันก็ปล่อย แกก็ผลักเรือ ออกพายไป พอถึงกลางคลองเจ้าด้วนมันก็ดึงกลับมาอีก แกก็ร้องเอะอะโวยวายบอกเจ้าด้วน เอ็งจะมาแกล้งข้าทำไม เอ็งน่ะดีแต่มาแกล้งข้า ประเดี๋ยวข้าไปขายของไม่ทันละก็ของมันจะเสียนะ ข้าจะขาดทุน เอายังงี้นะ เอ็งอย่ามัวนั่งแกล้งข้าเลย เอ็งช่วยข้าขายนะ เวลาไปขายของน่ะ ถ้าหากว่า เอ็งช่วยข้าขายหมด แล้วขายได้รวดเร็ว พอไปถึงแล้วประเดี๋ยวเดียวขายได้หมดลำ ได้กำไรดีละก้อ ข้าจะซื้อข้าวผัดเอามาให้ เพราะว่าเอ็งชอบข้าวผัดใช่ไหม เจ้าด้วนเขาก็พยักตัว ไม่ใช่พยักหน้า ไม่มีหน้านี่ ไม่มีหัว แล้วก็ปล่อยไป แล้วก็ปรากฏว่ารูปร่างของเจ้าด้วนน่ะหายไปกับตา แกก็พายเรือ ออกไปจอด อยู่คลองชักพระหน้าวัดช่างเหล็ก ถึงเวลาเช้า ก็พอดีเรือซื้อของเขามา มีเรือขายมะพร้าวหลายสิบลำที่นำมะพร้าวออกไปจากสวน แต่ว่าเรือที่ซื้อมะพร้าวทุกลำน่ะ มีความต้องการเรือลำนี้มาก มาถึงตรงรี่เข้ามาให้ราคาสูง เป็นอันว่าป้าคร้ามก็ขายมะพร้าวได้รวดเร็ว แล้วขายหมดเป็นรายแรกแต่เช้าตรู่
    ตามปกติแกต้องขายถึงเวลา ๑๐ น. หรือ ๑๑ น. จึงจะหมด แล้วก็ต้องพูดกันมาก การค้ามะพร้าววันนั้น ไม่ได้พูดราคากันเลย หมายความว่าเจ้าของมะพร้าว ไม่ต้องตีราคา เมื่อเรือต้องการซื้อมาจอดเข้ามันก็บอกราคาเลยว่าเท่านั้นเท่านี้ ร้อยละเท่านั้นเท่านี้ซึ่งมันเป็นราคาแพงกว่าปกติ ป้าคร้ามก็ยอมขาย เมื่อขายของหมด ก็คิดว่านี่คงเป็นอานุภาพของเจ้าด้วน จึงได้แวะซื้อข้าวผัดมา พอถึงหน้าวัดเรไรก็ไปวางไว้ที่ตอไม้ต้นมะม่วง คือตอมะม่วงเขาถูกฟัน
    ตัดลงมาเหลือตอประมาณ ๑ เมตร ก็ไปวางไว้ที่นั่น แล้วก็เรียกเจ้าด้วนมา ว่าด้วนเอ๊ย มากินข้าวผัดนะลูกนะ แล้วพรุ่งนี้ช่วยกันขายใหม่นะ ถ้าเอ็งช่วยข้าขาย ทุกวัน ข้าจะเลี้ยงทุกวัน นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็ปรากฏว่าป้าคร้ามขายมะพร้าวได้ดี แล้วก็ต้องซื้อข้าวผัดมาให้เจ้าด้วนกินทุกวัน นี่เป็นเรื่องตอนหนึ่งของอานุภาพของเจ้าด้วนนะ

    แล้วก็มีอีกตอนหนึ่ง เพื่อนของผู้พูดนี่เองพายเรือไปหน้าวัดเรไร ผ่านสำนักงานเจ้าด้วน เจ้าด้วนแกก็ดึงเรือกลับ กลางคืนเหมือนกัน รายนั้น เมื่อเห็นเจ้าด้วน ดึงเรือกลับมาถึงตลิ่ง เขาปล่อยมือก็ดันเรือออกมาพายออกมาอีก เจ้าด้วนก็ดึงเข้าไปอีก พ่อเจ้าประคุณคนนี้ขี้โมโหเลยเอามีดฟันปั๊บลงไปให้ บอกเอ้าไอ้ด้วน แขนขาดละมึง เท่านั้นแหละพอพายเรือต่อไปพ่อเจ้าประคุณด้วนก็เดินเลาะตลิ่งไปร้องตะโกนว่า ต่อที ต่อที แกฟันแขนข้าขาด แขนข้ารุ่งริ่งแล้วต่อให้ทีเถอะ ข้าไม่มีแขนข้าจะทำยังไง มันก็เดินตามไป เจ้านั่นอดรำคาญไม่ไหวก็แวะเข้าไปที่ตลิ่ง เอาหญ้ามาผูกติดกันเข้า บอกเอ้าเจ้าด้วน ข้าต่อแขนให้เอ็งแล้ว เอ็งอย่าร้องรำคาญไปนะ เขาก็เลยบอกเออ ต่อให้ข้ายังงี้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย หัว หน้า ไม่มีแล้ว แขนขาดอีกข้าก็แย่น่ะซี ก็เป็นอันว่าเจ้าด้วนก็ไม่รบกวนละคราวนี้

    แต่ว่าเรื่องราวของเจ้าด้วนนี่มีมากนะ ท่านผู้ฟัง นำมาเล่าให้ท่านฟังเพียงแค่นี้ก็เพราะว่านี่มันเป็นเรื่องผีอาจารย์ สำหรับผู้พูดน่าจะเรียกว่าอาจารย์ เพราะอาจารย์ด้วน ได้สอนให้ผู้พูดรู้จักผีเป็นรายแรกแล้วก็เป็นผีใจดี แทนที่จะเป็นผีดุร้ายน่ากลัว มีลีลาหลอกหลอนให้กลัวด้วยอาการต่าง ๆ เปล่าไม่มีไม่ว่าใครทั้งหมด มาพบคุณด้วนแล้วต่างคนต่างพากันสรรเสริญว่าผีคุณด้วนนี้เป็นผีที่ดีจริง ๆ เป็นอันว่าเรื่องผี ผู้พูดเชื่อตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมานะ แต่ว่าสำหรับท่านผู้ฟังหรือท่านผู้อ่านหนังสือ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจเถอะ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าใครทั้งหมด ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพบได้ด้วยตนเอง นี่ก็เป็นการเชื่อยากเหลือเกิน การเชื่อโดยเขาพูดแต่ยังไม่พบ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นอธิโมกขศรัทธา น้อมใจเชื่อ ดีเหมือนกันแต่ว่าดีน้อยไป
    ตานี้เรื่องผีจะพบเห็นได้ก็แสนยาก ถ้าผีเขาไม่ต้องการให้เห็น บางรายคนรักตายไป จะเป็นพ่อเป็นแม่หรือสามี บุตร ธิดาก็ตาม อยากจะเห็น อยากจะพบว่าคนตาย ตายแล้วมีความสุขหรือความทุกข์ แต่ทว่าถ้าผีมาพบเข้าจริง ๆ ก็เกิดความกลัว นี่ก่อนหน้าที่จะมาพูดให้ฟังนี่ก็เหมือนกัน ระยะกาลไม่นาน มีคณะนายทหาร ๒ คน เรียกกันว่าคณะนะ สองคนเท่านั้น พร้อมด้วยเพื่อนที่เป็นพลเรือนอีกคน นั่งรถไปทางจังหวัดนครสวรรค์ เพราะว่าจะไปกินเลี้ยงกัน ก็มีรถอีกคันหนึ่ง มีคนนั่งมา เห็นจะเจ็ด กี่คนล่ะ รวมกันเป็น ๙ คน นี่ ๖ คนซี ๖ คน รถคันนี้รู้สึกว่าเมาทั้งคัน คือรถเมา เพราะอะไร เพราะว่าคนนั่งมาเมา วิ่งส่ายมาตลอดทาง พอมาถึงรถ ของคณะนายทหารทั้ง ๓ คน คือว่าพลเรือน ๑ คน นายทหาร ๒ คนพอดียางแตก รถถลาเข้าชนรถนายทหาร เป็นอันว่ารถที่นายทหารนั่งไปรวมด้วยกัน ๓ คน แล้วฝ่ายพลเรือน คันนั้นอีก ๖ คน ตายด้วยกันหมดพร้อมกัน เรียกว่าตายด้วยกันละทั้งหมดไม่มีใครเหลือ เมื่อสามีตาย หรือว่าพ่อตาย บรรดาภรรยา และลูกก็มาหาผู้พูด บอกว่าคิดถึงเขาอยากจะเห็น อยากจะรู้ว่าเขามีความ สุขหรือความทุกข์ แต่ว่าเวลาที่คิดถึงก็ปรากฏว่าบางครั้งก็ได้กลิ่น คือว่ากลิ่นตัวนะ ไม่ใช่กลิ่นสาง ของคนที่ตายปรากฏขึ้น แล้วบางคราวก็ฝันเห็น แล้วแกว่ายังไงทั้ง ๆ ที่แกอยากเห็นเขา แกบอกว่าเกิดความกลัว มารายงาน บอกว่ากรุณาติดต่อ กับเขาทีเถอะว่าอย่าให้เห็นอีกเลย ถ้ามาก็มาเงียบ ๆ อย่าให้พบเลยเพราะกลัว นี่เรื่องของคนน่ะเป็นยังงี้นะท่านผู้ฟัง อยากจะรู้ว่าคนตายไปไหน มีความสุข หรือความทุกข์ เวลาไม่เห็นก็บ่นว่าไม่มาหา แต่พอมาหาให้พบเข้าก็เกิดความกลัว
    เป็นเรื่องของคนที่สามารถจะพบได้ เพราะผีแสดงให้พบ แต่ว่าเรื่องนี้ผู้พูดไม่กะไม่เกณฑ์ให้ทุกคนเป็นคนเห็นผีรู้ผีได้ นอกจากว่าท่านผู้รับฟัง หรือท่านที่ต้องการ จะเห็น ถ้าเจริญพระกรรมฐานเข้าถึงอุปจารญาณ แล้วก็ฝึกอุปจารสมาธิ นั่นให้เป็นทิพยจักขุญาณ เท่านี้แหละหากว่าท่านต้องการ จะเห็นผีได้เมื่อไร ก็คงจะเห็นได้ สมความปรารถนา

    เอาละสำหรับเรื่องผีเจ้าด้วนก็มีเพียงเท่านี้ จะมีเรื่องอะไรต่อไปก็ต้องขอดูต้นตำรับก่อน
    ต่อไปนี้ก็จะเอาเรื่องผีมาคุยให้ฟัง สำหรับเรื่องผีนี้รู้สึกว่าเป็นปัญหาใหญ่ ทั้งนี้ก็เพราะว่าบรรดาคนที่เกิดมาในโลก คนที่เห็นผีก็มี หรือคนที่ไม่เห็นผีก็มี และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับคำว่าผีก็จัดว่าเป็นอทิสมานกาย คือว่ามีร่างกาย ที่ไม่สามารถจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ในเมื่อมีใครเห็นผีแล้วก็มาเล่าสู่กันฟัง แต่ว่าคนบางคนหรือหลายคนไม่เชื่อ เมื่อเขาไม่เชื่อแล้วคนที่เล่าให้ฟังก็ไม่สามารถจะหยิบยกเอามาให้ดูได้ ทั้งนี้เพราะผีไม่ใช่วัตถุ

    คำว่าอทิสมานกายในที่นี้ ก็หมายความว่ากายที่ไม่สามารถจะมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ถ้าจะเห็นได้ก็ หนึ่ง เมื่อผีแสดงกายให้ปรากฏ คือต้องการจะให้เห็น จึงจะเห็นได้ หรือว่า สอง ในเมื่อบุคคลผู้นั้นสามารถสร้างทิพยจักขุญาณให้ปรากฏจึงจะเห็นได้ ฉะนั้นเรื่องผีนี้จะมีใครเชื่อ หรือไม่เชื่อ ก็เป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ เหมือนกัน แล้วก็จะไปตั้งกฎเกณฑ์ให้คนนั้นเชื่อคนนี้เชื่อก็ไม่ได้ เว้นไว้แต่ท่านทั้งหลายที่ได้ประสบมาเอง สำหรับผู้พูดนี้ก็เหมือนกัน
    ในสมัยก่อน เขาพูดกันถึงเรื่องผี ก็สงสัย จะถือว่าไม่เชื่อก็ไม่ได้เพราะเคยกลัวผี ในสมัยที่กลัวผีนั้นไม่เคยเห็นผีเลยแต่ก็กลัวผี ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า เขาลือกันว่าผี นี่นะมีสภาพดุร้ายมีความน่ากลัวอยู่มาก อาการที่แสดงออกต่าง ๆ รู้สึกว่าน่ากลัวจัด ก็เลยกลัวผี กลัวทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเห็นผี แล้วในกาลต่อมา ก็กลายเป็นคนเห็นผี เห็นได้ในตอนไหน ความจริงในตอนนั้นไม่เคยเจริญพระกรรมฐาน ไม่เคยได้ทิพยจักขุญาณ แต่ก็พบผีผู้เป็นอาจารย์รายแรก ทำให้เชื่อว่าผีมีจริง ผีรายนี้ต้องเชื่อว่าเป็นรายใหญ่ ท่านอาจารย์ใหญ่รายนี้ก็ให้นามว่าเจ้าด้วน คือว่าเป็นผีหัวไม่มี หัวขาด คือคอขาด

    เจ้าด้วนนี้ ประวัติของเขาจะเป็นมายังไงในสมัยที่เป็นมนุษย์ ผู้พูดก็ไม่เคยทราบประวัติเหมือนกัน แล้วก็ไม่ทราบว่าเจ้าด้วนนี้ตายตั้งแต่เมื่อไหร่ มาทราบเอา ตอนสมัยที่เป็นรุ่นหนุ่มขึ้นมา อายุ ๑๖-๑๗ ตอนนั้น อยู่ที่อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี แล้วก็ตอนหนุ่มนี่นะตามธรรมดาของคนที่ชอบเที่ยวซิ ไอ้การเที่ยวในกาลนั้น จะไปไหนใคร ๆ ก็รู้ เรื่องของคนหนุ่ม แต่ความจริงจะหาว่าเป็นนักเจ้าชู้ไปเที่ยวบ้านสาว ๆ นี่มันก็ไม่แน่เหมือนกัน ตามปกติก็ชอบไปเที่ยวบ้านท่านผู้ใหญ่ ก็ไปหาเพื่อนคุยกันแบบสนุก ๆ ตามประสาของคนไม่ติดเหล้าเมายา เมื่อไปแล้วก็กลับไม่เกินเวลา เวลาที่ท่านยาย กับท่านแม่ สั่งต้องกลับเวลาเท่าไร ก็ต้องกลับเวลาเท่านั้น ถ้ากลับเกินเวลา ก็แสดงว่าวันนั้นถูกฟังเทศน์ จะต้องฟังเทศน์กัณฑ์มหาราช คือบ่นกันเป็นการใหญ่ เกรงว่าท่านแม่ ท่านยายจะเหนื่อย หรือว่ารำคาญท่านบ่นก็ไม่ทราบ เลยไม่ยอมกลับผิดเวลา ส่วนใหญ่ก็กลับก่อนเวลาเล็กน้อย
    ตานี้มาว่ากันถึงว่าคุณด้วน หรือท่านอาจารย์อาจารย์ด้วน อาจารย์ที่สอนให้รู้จักผี ท่านมีสำนักอยู่ที่ป่าช้าวัดเรไร สำหรับวัดเรไรนี่ก็อยู่หน้าสถานีตำรวจตลิ่งชัน ข้างมีคลองบางละมาด คืนหนึ่งเดินไปที่สะพาน เดือนหงาย เดือนหงายจัด พอเดินไปถึงกลางสะพานข้ามคลอง ก็พบชายคนหนึ่งรู้ว่าเป็นผู้ชายเดินสวนทางมา ในตอนแรกก็ไม่ได้สังเกตว่าหัวไม่มี พอถึงสะพานพอดีก็มาพบกัน มองไปอีกทีก็ปรากฏว่า พ่อเจ้าประคุณไม่มีหัว แกก็ยืนขวางหน้า มายืนขวางหน้า ก็มองไปมองมา ว่าแกจะมีอาวุธหรือเปล่า แกก็ไม่มีอาวุธ สำหรับผู้พูดนี่มีปืนพก ๑ กระบอก กับมีดดาบอีก ๑ เล่ม เพราะว่าตำบลนั้นเป็นตำบลนักเลง ถ้าใครไม่มีอาวุธ ก็ถือว่า เย่อหยิ่ง ดีไม่ดีก็ถูกไล่ตีไล่ฟันเอาเฉย ๆ ถ้าถือมีดถือปืนละก็เขาถือว่าคนนั้นขี้ขลาดเขาไม่ทำ เขาว่ายังงั้นนะ ก็เป็นอันว่าเมื่อเห็นแกไม่มีอาวุธก็ถามว่าจะไปไหน แกไม่มีปากนี่ แกก็เลยไม่พูด ทำโคลงตัวไปโคลงตัวมาก็เลยรู้ว่าเจ้าด้วนแน่ เพราะว่าผู้ใหญ่บอกไว้แล้วว่าเจ้าด้วนนี่มันเคยแผลงฤทธิ์บ่อย ๆ แต่ว่าอาการ แผลงฤทธิ์ของเจ้าด้วนไม่เคยทำให้ใครกลัว นอกจากว่า ๑ รับอาสานำเดินไปในระหว่างป่าช้า ทางนั้นผ่านไปในป่าช้าวัดเรไร เป็นสวนแล้วมีต้นไม้ครึ้ม ยอดไม้ เข้าชนกันระหว่างที่เดิน เข้าไปตามทางนั้นถ้าไม่มีไฟฉายก็มองไม่เห็นทาง เมื่อทราบว่าเจ้าด้วนแน่แล้วก็เลยบอกว่าพี่ด้วน นี่ ช่วยนำทางทีเถอะนะพี่ชาย นำทางไปส่ง ไอ้ทางนี่มันมืดฉันมองไม่เห็น ช่วยนำทางไปข้างหน้า ฉันกลัวผีอื่นมันจะหลอก พี่ด้วนนำทางทีได้ไหม เขาก็ผงกตัวของเขาก้มตัวของเขาน่ะ แสดงยอมรับจะนำทาง แล้วเขาก็หันหลังเดินไปทางวัดเรไร เดินออกหน้าผู้พูดก็เดินตามหลัง พอเข้าถึงสุมทุมพุ่มไม้เวลากลางคืนมันมืดแต่ก็น่าอัศจรรย์ เมื่อเจ้าด้วนนำทางรู้สึกว่าเห็นทางราง ๆ คล้ายกับเดือนหงายน้อย ๆ แสงเดือนน้อย ๆ นะ พอเห็นกันถนัด เจ้าด้วนก็นำทางไปส่งถึงปลายสวน คือหมดเขตที่มืด ก็หมดเขตของป่าช้า แล้วก็สั่งเขาว่า พี่ด้วน เวลาประมาณสามทุ่มฉันจะกลับมา พี่ด้วนคอยรับด้วยนะ ถ้าพี่ด้วนมารับละก็ เวลาฉันกลับฉันจะไปซื้อก๋วยเตี๋ยวมาให้ เจ้าด้วนนี่ชอบก๋วยเตี๋ยวผัด หรือข้าวผัด เป็นอันเวลาขากลับก็พบว่าเจ้าด้วนยืนรอรับอยู่แล้ว ก็นำทางมาส่งถึงกลางสะพาน เพราะว่าเดือนหงายเห็นทางถนัด
    ก็เลยสั่งว่าพี่ด้วนยืนคอยอยู่แถวนี้เถอะนะ ประเดี๋ยวฉันจะไปซื้อก๋วยเตี๋ยวผัดมาให้ เพราะว่าหน้าวัดช่างเหล็กหรือสถานีตำรวจตลิ่งชันมีร้านค้าอาหาร เขาขายอาหารก็ไปซื้อมาแล้วก็ให้นายด้วน จ้าด้วน ( หน้า ๒)
    นี่เป็นอันว่าจะไปเที่ยวผ่านทางนี้ละก็ คนสมัยนั้นที่เป็นหนุ่มและคนแก่ประมาณปี พ.ศ.๒๔๗๐ เศษ ๆ ความจริงตาด้วนแกมีอายุก่อนนั้นนะ ทุกคนรู้จัก นายด้วนได้ดี แล้วมาคราวหนึ่ง นายด้วนนี่ แกแผลงฤทธิ์พิเศษ คือว่ามีคนหนึ่งชื่อป้าคร้าม ป้าคร้ามนี่ผู้พูดเรียกแกว่ายังงั้นนะ เคารพแกเรียกแกว่าป้า เพราะว่าเป็นรุ่นป้า แกพายเรือไปตอนเช้ามืดไปขายมะพร้าวทุกวันรับมะพร้าวจากชาวสวนแล้วก็ไปขายที่หน้าวัดช่างเหล็ก หรือหน้าวัดเรไร เพราะว่า บรรดาเรือค้ามารอซื้อที่นั่น เช้ามืดวันหนึ่งเมื่อแกผ่านหน้าวัดเรไรหรือปากคลองบางละมาดจะออกไปวัดเรไร จะออกคลองอีกคลองหนึ่งเขาเรียกว่า คลองชักพระ พอผ่านสะพานไปก็ปรากฏว่าเรือแกวิ่งถอยหลัง แกหันหลังมาดูก็พบเจ้าด้วนนั่งอยู่ข้างตลิ่ง มันทำมือยาวมากดึงท้ายเรือแก พอเรือมาถึงตลิ่งมันก็ปล่อย แกก็ผลักเรือ ออกพายไป พอถึงกลางคลองเจ้าด้วนมันก็ดึงกลับมาอีก แกก็ร้องเอะอะโวยวายบอกเจ้าด้วน เอ็งจะมาแกล้งข้าทำไม เอ็งน่ะดีแต่มาแกล้งข้า ประเดี๋ยวข้าไปขายของไม่ทันละก็ของมันจะเสียนะ ข้าจะขาดทุน เอายังงี้นะ เอ็งอย่ามัวนั่งแกล้งข้าเลย เอ็งช่วยข้าขายนะ เวลาไปขายของน่ะ ถ้าหากว่า เอ็งช่วยข้าขายหมด แล้วขายได้รวดเร็ว พอไปถึงแล้วประเดี๋ยวเดียวขายได้หมดลำ ได้กำไรดีละก้อ ข้าจะซื้อข้าวผัดเอามาให้ เพราะว่าเอ็งชอบข้าวผัดใช่ไหม เจ้าด้วนเขาก็พยักตัว ไม่ใช่พยักหน้า ไม่มีหน้านี่ ไม่มีหัว แล้วก็ปล่อยไป แล้วก็ปรากฏว่ารูปร่างของเจ้าด้วนน่ะหายไปกับตา แกก็พายเรือ ออกไปจอด อยู่คลองชักพระหน้าวัดช่างเหล็ก ถึงเวลาเช้า ก็พอดีเรือซื้อของเขามา มีเรือขายมะพร้าวหลายสิบลำที่นำมะพร้าวออกไปจากสวน แต่ว่าเรือที่ซื้อมะพร้าวทุกลำน่ะ มีความต้องการเรือลำนี้มาก มาถึงตรงรี่เข้ามาให้ราคาสูง เป็นอันว่าป้าคร้ามก็ขายมะพร้าวได้รวดเร็ว แล้วขายหมดเป็นรายแรกแต่เช้าตรู่
    ตามปกติแกต้องขายถึงเวลา ๑๐ น. หรือ ๑๑ น. จึงจะหมด แล้วก็ต้องพูดกันมาก การค้ามะพร้าววันนั้น ไม่ได้พูดราคากันเลย หมายความว่าเจ้าของมะพร้าว ไม่ต้องตีราคา เมื่อเรือต้องการซื้อมาจอดเข้ามันก็บอกราคาเลยว่าเท่านั้นเท่านี้ ร้อยละเท่านั้นเท่านี้ซึ่งมันเป็นราคาแพงกว่าปกติ ป้าคร้ามก็ยอมขาย เมื่อขายของหมด ก็คิดว่านี่คงเป็นอานุภาพของเจ้าด้วน จึงได้แวะซื้อข้าวผัดมา พอถึงหน้าวัดเรไรก็ไปวางไว้ที่ตอไม้ต้นมะม่วง คือตอมะม่วงเขาถูกฟัน
    ตัดลงมาเหลือตอประมาณ ๑ เมตร ก็ไปวางไว้ที่นั่น แล้วก็เรียกเจ้าด้วนมา ว่าด้วนเอ๊ย มากินข้าวผัดนะลูกนะ แล้วพรุ่งนี้ช่วยกันขายใหม่นะ ถ้าเอ็งช่วยข้าขาย ทุกวัน ข้าจะเลี้ยงทุกวัน นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็ปรากฏว่าป้าคร้ามขายมะพร้าวได้ดี แล้วก็ต้องซื้อข้าวผัดมาให้เจ้าด้วนกินทุกวัน นี่เป็นเรื่องตอนหนึ่งของอานุภาพของเจ้าด้วนนะ

    แล้วก็มีอีกตอนหนึ่ง เพื่อนของผู้พูดนี่เองพายเรือไปหน้าวัดเรไร ผ่านสำนักงานเจ้าด้วน เจ้าด้วนแกก็ดึงเรือกลับ กลางคืนเหมือนกัน รายนั้น เมื่อเห็นเจ้าด้วน ดึงเรือกลับมาถึงตลิ่ง เขาปล่อยมือก็ดันเรือออกมาพายออกมาอีก เจ้าด้วนก็ดึงเข้าไปอีก พ่อเจ้าประคุณคนนี้ขี้โมโหเลยเอามีดฟันปั๊บลงไปให้ บอกเอ้าไอ้ด้วน แขนขาดละมึง เท่านั้นแหละพอพายเรือต่อไปพ่อเจ้าประคุณด้วนก็เดินเลาะตลิ่งไปร้องตะโกนว่า ต่อที ต่อที แกฟันแขนข้าขาด แขนข้ารุ่งริ่งแล้วต่อให้ทีเถอะ ข้าไม่มีแขนข้าจะทำยังไง มันก็เดินตามไป เจ้านั่นอดรำคาญไม่ไหวก็แวะเข้าไปที่ตลิ่ง เอาหญ้ามาผูกติดกันเข้า บอกเอ้าเจ้าด้วน ข้าต่อแขนให้เอ็งแล้ว เอ็งอย่าร้องรำคาญไปนะ เขาก็เลยบอกเออ ต่อให้ข้ายังงี้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย หัว หน้า ไม่มีแล้ว แขนขาดอีกข้าก็แย่น่ะซี ก็เป็นอันว่าเจ้าด้วนก็ไม่รบกวนละคราวนี้

    แต่ว่าเรื่องราวของเจ้าด้วนนี่มีมากนะ ท่านผู้ฟัง นำมาเล่าให้ท่านฟังเพียงแค่นี้ก็เพราะว่านี่มันเป็นเรื่องผีอาจารย์ สำหรับผู้พูดน่าจะเรียกว่าอาจารย์ เพราะอาจารย์ด้วน ได้สอนให้ผู้พูดรู้จักผีเป็นรายแรกแล้วก็เป็นผีใจดี แทนที่จะเป็นผีดุร้ายน่ากลัว มีลีลาหลอกหลอนให้กลัวด้วยอาการต่าง ๆ เปล่าไม่มีไม่ว่าใครทั้งหมด มาพบคุณด้วนแล้วต่างคนต่างพากันสรรเสริญว่าผีคุณด้วนนี้เป็นผีที่ดีจริง ๆ เป็นอันว่าเรื่องผี ผู้พูดเชื่อตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมานะ แต่ว่าสำหรับท่านผู้ฟังหรือท่านผู้อ่านหนังสือ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจเถอะ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าใครทั้งหมด ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพบได้ด้วยตนเอง นี่ก็เป็นการเชื่อยากเหลือเกิน การเชื่อโดยเขาพูดแต่ยังไม่พบ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นอธิโมกขศรัทธา น้อมใจเชื่อ ดีเหมือนกันแต่ว่าดีน้อยไป
    ตานี้เรื่องผีจะพบเห็นได้ก็แสนยาก ถ้าผีเขาไม่ต้องการให้เห็น บางรายคนรักตายไป จะเป็นพ่อเป็นแม่หรือสามี บุตร ธิดาก็ตาม อยากจะเห็น อยากจะพบว่าคนตาย ตายแล้วมีความสุขหรือความทุกข์ แต่ทว่าถ้าผีมาพบเข้าจริง ๆ ก็เกิดความกลัว นี่ก่อนหน้าที่จะมาพูดให้ฟังนี่ก็เหมือนกัน ระยะกาลไม่นาน มีคณะนายทหาร ๒ คน เรียกกันว่าคณะนะ สองคนเท่านั้น พร้อมด้วยเพื่อนที่เป็นพลเรือนอีกคน นั่งรถไปทางจังหวัดนครสวรรค์ เพราะว่าจะไปกินเลี้ยงกัน ก็มีรถอีกคันหนึ่ง มีคนนั่งมา เห็นจะเจ็ด กี่คนล่ะ รวมกันเป็น ๙ คน นี่ ๖ คนซี ๖ คน รถคันนี้รู้สึกว่าเมาทั้งคัน คือรถเมา เพราะอะไร เพราะว่าคนนั่งมาเมา วิ่งส่ายมาตลอดทาง พอมาถึงรถ ของคณะนายทหารทั้ง ๓ คน คือว่าพลเรือน ๑ คน นายทหาร ๒ คนพอดียางแตก รถถลาเข้าชนรถนายทหาร เป็นอันว่ารถที่นายทหารนั่งไปรวมด้วยกัน ๓ คน แล้วฝ่ายพลเรือน คันนั้นอีก ๖ คน ตายด้วยกันหมดพร้อมกัน เรียกว่าตายด้วยกันละทั้งหมดไม่มีใครเหลือ เมื่อสามีตาย หรือว่าพ่อตาย บรรดาภรรยา และลูกก็มาหาผู้พูด บอกว่าคิดถึงเขาอยากจะเห็น อยากจะรู้ว่าเขามีความ สุขหรือความทุกข์ แต่ว่าเวลาที่คิดถึงก็ปรากฏว่าบางครั้งก็ได้กลิ่น คือว่ากลิ่นตัวนะ ไม่ใช่กลิ่นสาง ของคนที่ตายปรากฏขึ้น แล้วบางคราวก็ฝันเห็น แล้วแกว่ายังไงทั้ง ๆ ที่แกอยากเห็นเขา แกบอกว่าเกิดความกลัว มารายงาน บอกว่ากรุณาติดต่อ กับเขาทีเถอะว่าอย่าให้เห็นอีกเลย ถ้ามาก็มาเงียบ ๆ อย่าให้พบเลยเพราะกลัว นี่เรื่องของคนน่ะเป็นยังงี้นะท่านผู้ฟัง อยากจะรู้ว่าคนตายไปไหน มีความสุข หรือความทุกข์ เวลาไม่เห็นก็บ่นว่าไม่มาหา แต่พอมาหาให้พบเข้าก็เกิดความกลัว
    เป็นเรื่องของคนที่สามารถจะพบได้ เพราะผีแสดงให้พบ แต่ว่าเรื่องนี้ผู้พูดไม่กะไม่เกณฑ์ให้ทุกคนเป็นคนเห็นผีรู้ผีได้ นอกจากว่าท่านผู้รับฟัง หรือท่านที่ต้องการ จะเห็น ถ้าเจริญพระกรรมฐานเข้าถึงอุปจารญาณ แล้วก็ฝึกอุปจารสมาธิ นั่นให้เป็นทิพยจักขุญาณ เท่านี้แหละหากว่าท่านต้องการ จะเห็นผีได้เมื่อไร ก็คงจะเห็นได้ สมความปรารถนา

    เอาละสำหรับเรื่องผีเจ้าด้วนก็มีเพียงเท่านี้ จะมีเรื่องอะไรต่อไปก็ต้องขอดูต้นตำรับก่อน
     

แชร์หน้านี้

Loading...