เจ้าสัววิกรม เผยชีวิตวันเกิดวัย 70 ก่อนยกมรดก 2 หมื่นล้านให้สังคม

ในห้อง 'พุทธศาสนากับคนดัง' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 5 เมษายน 2023.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,174
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,657
    เจ้าสัววิกรม เผยชีวิตวันเกิดวัย 70 ก่อนยกมรดก 2 หมื่นล้านให้สังคม

    18 มี.ค. 2566

    “ผมเชื่อว่า ไม่มีอะไร ดีกว่า..การทำดี” คำพูดจาก เจ้าสัววิกรม ที่เปิดใจในวันเกิดวัย 70 ปี พร้อมเผยอีกว่า ภายหลังจบรายการพูดคุยวิทยุ เอฟเอ็ม 96.5 คลื่นความคิด จะไปประกาศยกมรดก ทรัพย์สินทั้งหมด คืนสู่สังคมผ่านพินัยกรรม ให้มูลนิธิอมตะ สานต่อเจตนารมณ์ มีมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท (มี Link รวมวิดีโอ เปิดใจวัย 70 ก่อนยกมรดกฯ)


    โดยเมื่อวานนี้ (17 มี.ค. 2566) ในรายการ CEO Vision Plus ดำเนินรายการโดย วิชัย วรธานีวงศ์ ทางวิทยุ เอฟเอ็ม 96.5 คลื่นความคิด ซึ่งเป็นประจำทุกวันศุกร์ เวลา 9.00 - 10.00 น. ทางรายการจะมีการพูดคุย กับ คุณวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานมูลนิธิอมตะ และ ประธานสภาธุรกิจไทย-จีน และในวันที่เป็นวันเกิด (17 มี.ค. 2566) คุณวิชัย ได้เริ่มรายการ ด้วยคำอำนวยอวยพร สุขสันต์วันเกิด คุณวิกรม พร้อมแจ้งว่า แฟน ๆ รายการ ได้ส่งข้อความเหล่านี้มาหา คุณวิกรม ในโอกาสวันเกิดครบรอบ 70 ปี (สำหรับเนื้อหารายการ Backbone MCOT ขออนุญาตคัดย่อ มาเพียงบางช่วงบางตอน ซึ่งสามารถติดตามรับชม - รับฟังย้อนหลัง(ฉบับเต็ม) ได้..มีลิงก์อยู่ใต้บทความ)

    c4e9b57e3dad265540baa3e05f7e398c.jpg

    ซึ่งคุณวิกรม ได้บอกว่า รู้สึกแก่ขึ้นอีก 1 ปี วันนี้ ไม่ใช่แก่ธรรมดา แต่แก่แบบครบ 70 ปีบริบูรณ์ และวันนี้ น่าจะต้องเข้าใจตัวเองมากขึ้น ถ้าจะ 70 พอดี ก็คือ คืนนี้ เวลาเที่ยงคืน เพราะเป็นคนที่เกิดกลางคืน วันนี้ ก็จะมาฉลองในวันที่ครบ 70 ปี ปกติไม่ได้จัดงานวันเกิดเลย ที่จริงควรจะต้องทำ เพราะว่าวันเกิด จะเป็นวันที่ได้โอกาส เจอะเจอเพื่อนฝูง และก็ได้มาฉลองด้วยกัน แต่ก็รู้สึกจะเป็นการรบกวนชาวบ้าน แต่ต่อไปก็ไม่แน่ อาจจะได้จัดทุกปี เพื่อให้ได้มีเพื่อน ๆ ได้มาเจอกัน พูดคุยกัน

    ทั้งนี้ สำหรับหัวข้อพูดคุยในรายการวันนี้ คุณวิกรม ระบุว่า มี 2 เรื่อง คือ

    1. วันนี้ เพิ่งรู้ว่า ตนเองอายุมากแล้ว
    2. กังวลสถานการณ์ การเงินโลก (จากผลกระทบ กรณีธนาคารต่างชาติ กิจการล้ม)

    คุณวิกรม กรมดิษฐ์ กล่าวว่า ตั้งแต่ทำรายการ..มา ไม่เคยพูดเจาะจง ถึงเรื่องตนเองเลย เป็นเวลา 19 ปีแล้ว วันนี้ ก็จะมาพูดคุยถึงเรื่องตนเอง เพราะบังเอิญเป็นวันเกิดของตนเอง อันแรกที่มีความรู้สึก ก็เรื่องของการลืมง่าย คิดก็ช้าลง ตรงนี้ น่าจะเริ่มตอนอายุ 65 ปีไปแล้ว โดยตอนนั้น ลุกขึ้นจากการนั่งในรถเก๋ง ปกติการลุกขึ้นง่ายนิดเดียว วันนั้นรู้สึกไม่กระฉับกระเฉง รู้สึกว่าเราช้าลง

    และตอนที่อยู่ในช่วงโควิดฯ ออกกำลังกายน้อย กลัวว่าจะไปติดเชื้อ ซึ่งปกติจะติดโรงยิม เพราะสามารถบริหารร่างกาย เฉพาะที่ ตามสัดส่วนได้ และในช่วงโควิดฯ ก็ไม่ไปเลย ได้แต่เดินออกกำลังกาย ซึ่งการเดินมันน้อยมาก

    85a3bd5938582312b846e8d73b0bd3a8.jpg

    เริ่มรู้สึก ตอนหลังอายุ 65 ปี นอนกลางคืน..ชอบตื่น เพราะว่า มีนิสัยชอบเขียนหนังสือ ตอนตี 2 เป็นนิสัยกว่า 20 ปี ก็รู้สึกนอนน้อย พอ..นอนน้อย นาน ๆ เข้า ก็เป็นเรื้อรัง ที่ทำให้เกิดอาการบ้านหมุน และในช่วงอายุเกือบ 70 ปี มีปัญหาบ้านหมุน ก็สะท้อนให้เห็นว่า ส่วนใหญ่เป็นคนมีอายุ... การที่นอนน้อย มีอาการบ้านหมุนมา 3 ครั้งแล้ว ทำให้เรารู้สึกเลยว่า เราไม่เหมือนเดิมแล้ว วันนี้ ต้องมีคนมาช่วยดูแล ติดตาม ผมเมื่อก่อนนี้ ไปไหนก็ไปคนเดียว แต่ตอนนี้ กลัวจะไปบ้านหมุนที่ไหน หรือไปล้มที่ไหน ตอนนี้ รู้สึก..ว่า หลังจากที่ เราไม่ได้ออกกำลังกาย เพราะว่าโควิดฯ และตัวเรา มีการพักผ่อนที่ไม่เป็นระบบ บางครั้งเดิน ๆ ไป จะไปทำอะไรก็ลืม จะไปทำอะไร ตรงนี้ ก็สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของเรา เราต้องปรับตัว ในอดีตเราไม่เคยอ่อนแอ ในอดีตเราไม่เคยทำอะไรช้าลง อย่างที่กำลังเป็นตรงนี้ และในช่วงอายุใกล้ 70 อะไร ๆ ก็ผุดขึ้นมา ทำให้ผมไม่มีความมั่นใจ จริง ๆ แล้ว ในความมั่นใจ ก็ต้องมีการเตรียมตัว เช่น การไปหาหมอ ตอนนี้ ก็ไปบ่อยขึ้น สัปดาห์ละ 1 ครั้ง อีกอันหนึ่ง คือ ต้องมีคนตาม อย่างวันก่อน ผมไปบ้านหมุน มีอาการอ้วก อ้วก อ้วก ซึ่งวันนั้น มีนายกเทศมนตรีฯ มานัดพบตอน 8 โมงเช้า ตอนนั้น ผมก็บ้านหมุน แล้วก็จะล้ม แต่ก็ต้องล้างหน้าแปรงฟันหน่อย พอมาพบเซ็นหนังสือ และถ่ายรูปเสร็จ ก็ขอตัวเลย และผมก็แทบจะคลานขึ้นมาบนรถ พอขึ้นรถได้ ก็อ้วก อ้วก อ้วก.. และนี่เป็นเหตุการณ์ครั้งล่าสุด ที่ทำให้รู้ว่า คนที่มีอาการบ้านหมุน มันเป็นภาระ ตรงนี้ ก็ทำให้ผม ต้องพยายาม ที่จะบริหารตัวเองใหม่ มีการปรับตัว..ไม่อยู่คนเดียว พยายามไม่อยู่คนเดียว มีปัญหาก็กดกริ่ง เรียกคนมาช่วยได้ ตรงนี้เป็นการปรับตัว

    ตอนนี้ ก็มาพยายามเข้าใจระบบ Body Clock (นาฬิกาชีวิต) ตรงนี้ เราก็จะเอามาใช้ กับชีวิตประจำวันให้มากขึ้น ผมจะไม่หักโหม ผมจะไม่ฝืน แล้วทำอะไรเกินกำลังของสุขภาพ ถ้าฝืนไปก็ไม่ดี การที่ผมเข้าใจตัวผม โดยธรรมชาติ มันมีวัฏจักรชีวิตของมนุษย์ ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามอายุยังไง ผมก็ต้องปรับตัว ให้เข้ากับความเป็นจริง มีหลายคนเลย.. ที่ไปฝืน ทำงานหนัก แล้วคิดว่า เมื่อก่อนเค้าทำได้ ซึ่งมันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว และก็เสียชีวิตไป อย่างเช่น ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ (อดีตเลขาธิการอาเซียน)

    ผมเคยคุยกับ ดร.สุรินทร์ มาหลายครั้งแล้ว บอกว่า เนี่ย... เค้าเดินทางเหมือนว่าเล่น เหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนเค้าเดินทางอย่างไร ก็เดินทางอย่างนั้น เสร็จแล้ว... สุดท้ายก็หัวใจวาย เสียชีวิตไป อันนี้เป็นตัวอย่าง ที่ผมต้องมาปฏิบัติกับตัวเอง.. ปฏิบัติกับร่างกาย ต่อมาปฏิบัติต่อจิตใจ คือ ผมจะไม่เสียใจ ผมจะไม่ยึดติดกับอดีต ที่ผ่านไปแล้ว มันเปลี่ยนไม่ได้ ถ้าจะคิดเปลี่ยนอะไร ก็คิดกับอนาคต อนาคตผมก็คิดอยู่เรื่องเดียว คือ ผมจะทำยังไงให้อนาคต ดีกว่าปัจจุบัน

    อีกเรื่องคือ ผมจะไม่อิจฉา โกรธแค้น หรือ คิดร้ายกับใคร ที่ปฏิบัติไม่ดีกับเรา วันนี้ เราต้องให้อภัย และก็ยอมรับในสิ่งที่เป็น ฉะนั้น ถ้าคิดได้อย่างนี้ มันก็จะเป็นความสุข และคิดเสมอว่า ความสุข ก็คือ บุญ และการทำบุญ อย่าไปหวังบุญ

    ผมเป็นคนที่โชคร้าย ที่สุดในครอบครัว คือ คุณแม่มีปัญหาเรื่องหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง ครอบครัวคุณแม่ พี่น้องที่เป็นผู้หญิง เสียชีวิตด้วยมะเร็งทั้งหมด ซึ่งตรงนี้ ต้องเข้าใจเรื่องของ พันธุกรรม แล้วก็เอาตรงนี้ มาตั้งเพื่อไม่ให้มีปัญหา

    เมื่อร่างกาย ต้องพยายามทำให้ดี ทำให้แข็งแรง และจิตใจ ทำให้เข้มแข็ง มีความสุข ตรงนี้ ดีใจที่เกิดในวันนี้ ถึงอดีต ชีวิตจะมีความยากลำบาก มีแต่ปัญหา แต่หลังจากก้าวผ่านตรงนั้นมา เราก็ดีมาก ผมมีความรู้สึกว่า ผมโชคดี ที่เกิดอยู่ในประเทศไทย อีกอันหนึ่ง มีความสุขมาก ๆ กับการที่ปัจจุบัน ผมใช้ชีวิตแบบนี้ พอเหมาะพอดี แล้วก็มีเจ้าหน้าที่ ให้เกียรติดูแล

    ผมเหลือเวลาอีกปี..กว่า ได้วางแผนเดินทางคาราวาน แต่ละปีเดินทางไป 8 เดือน ค่อย ๆ เดินทางไป จนกระทั่งเราเดินทางไม่ไหว อันนั้น ก็เป็นเรื่องที่ เรากำลังมาวางแผน ผมก็ใช้ชีวิตให้พอเหมาะ พอเพียง ชีวิตของผม ผมใช้ไปตาม ที่เป็นตัวตนของผมเอง ผมไม่ดัดจริต ผมไม่ทำตัวเป็นคนลืมอดีต ผมเป็นคนบ้านนอก ผมไม่ได้เป็นผู้ดี

    ไม่ว่าวันนี้ ผมจะรวยขนาดไหน ยังไงก็แล้วแต่ ชีวิตผมก็ใช้เหมือนเดิม อย่างตอนนี้ หลังจบรายการ จะไปพูดเรื่องของการบริจาคทรัพย์สินที่มี ตอนนี้ ก็ทำพินัยกรรม บริจาคทรัพย์สิน 95 เปอร์เซ็นต์ ของทรัพย์สินที่ผมมีทั้งหมดเลย ผมมีอะไร ๆ ก็ยกให้ทางสังคม แล้วตอนผมเสียชีวิต ตอนไม่อยู่แล้ว ตอนนั้นก็ยกให้ 100 เปอร์เซ็นต์

    เราคิดว่า ทำไมเราทำอย่างนั้น ก็เพราะเราคิดว่า ชีวิตเรามันมาจากไม่มีอะไร อย่างที่เค้าบอกกันว่า เรามาจากศูนย์ สุดท้ายตายไป ก็เป็นศูนย์ เรากำลังเดินทาง จากศูนย์ไปสู่ศูนย์ ตรงนี้ผมก็เลยมองว่า เมื่อเราตายไป ทำไมเราจะเก็บทรัพย์สินไว้ทำไมอีกล่ะ ก็แบ่งทรัพย์สินให้หมดเลย และการแบ่งนี้ ก็มาคิดว่า ถ้าผมทำแบบชาวบ้าน คือ แบ่งให้ลูกหลาน มันก็ให้ได้แค่ครอบครัวเดียว ผมมีเงินอยู่เท่าไรก็แล้วแต่ ผมเอามาแบ่งให้สังคม สังคมก็เป็นล้านล้านครอบครัว ยกตัวอย่าง ผมขายหนังสือ ทำไมผมถึงขายได้ในเล่มละ 20 บาท ก็เอาเงินที่ผมมีนั่นแหละ เอาไปจ่ายให้ แค่นี้ก็กลายเป็นประโยชน์ ที่ทุกคนได้อ่านหนังสือ เอาสิ่งที่ผมทำผิด ทำถูก เอาไปปรับใช้ อันนี้ ก็ถือเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ ฉะนั้น ผมเชื่อว่า

    2fb7e214d70256bc7cdebc438b093be0.jpg

    “ผมเชื่อว่า ไม่มีอะไร ดีกว่า..การทำดี” สิ่งที่ผมทำทุกวันนี้ มาตั้งแต่เกิดเลย เรารู้ว่า อะไรดี อะไรไม่ดี แต่เมื่อก่อนนี้ เป็นเด็กซนหน่อย บางครั้ง ก็ไปขโมยขนุนเค้าบ้าง ขโมยมะม่วงเค้าบ้าง อันนี้ก็ไม่ดี วันนี้ เรารู้ เราก็อย่าไปทำมัน ทำแต่สิ่งที่ดีงาม เพราะเรารู้ว่ามันดี ผมถึงบอกว่า หลังจากที่เราโตแล้ว แก่แล้ว วันนี้ ก็ทำแต่สิ่งที่ดีงาม “เพราะไม่มีอะไร ดีกว่า..การทำดี”

    ผมเชื่อว่า การพูดแต่สิ่งที่ดี คิดแต่สิ่งที่มีประโยชน์ อันนี้ก็จะทำสิ่งที่เรียกว่า เป็นบุญ เห็นไหม ทำบุญ ก็คือ ทำดี แต่ทำบุญแบบไม่งมงาย ไม่ใช่ไปถู ๆ ไปกราบไหว้ ฉะนั้น ชีวิตและเวลาที่เหลือ ผมก็จะเอามาทำประโยชน์สูงสุด คือ สูงสุดกับตัวเอง, สูงสุดในการเดินทางไปในอนาคต ผมก็เลยวางแผน ในแต่ละวันจะทำอะไร โดยมีความฝัน ตั้งความฝันไว้ว่า ฉันมีความฝัน ฉันจะทำอะไรให้กับตัวเองก่อน ฉันจะทำอะไรให้กับคนรอบข้าง ให้กับสังคม ให้กับโลกใบนี้บ้าง และในความฝันที่อยากจะทำ ต้องทำในสิ่งที่มีความสุข ทำในสิ่งที่เรามีความภูมิใจ ถ้าเราตั้งเป้าไว้อย่างนี้ สังคมก็จะดี ถ้าเกิดคนในสังคม คิดทำแต่ในสิ่งที่ดีงาม เราก็ไม่จำเป็นต้องมีตำรวจ

    ผมอยากจะบอกว่า ทำไมผมคิดอย่างนี้ ก็เพราะว่า ผมเกิดมาในแผ่นดิน ที่เรียกว่า ประเทศไทย

    ผมเกิดมาในสังคม ที่เราเรียกว่า มีวัฒนธรรมไทยที่น่ารัก ที่โอบอ้อมอารี ที่มีน้ำใจซึ่งกันและกัน ซึ่งปัจจุบัน มันหายไปเยอะเลย

    ผมเป็นเด็กบ้านนอก ผมมีความรู้สึกว่า ตอนผมเดินตรงไหน ยืนอยู่ตรงไหน ทุกคนก็จะยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วก็มีมิตรไมตรีซึ่งกันและกัน มีน้ำใจมาก

    ผมเป็นเด็กวัด เรียนอยู่โรงเรียนวัด กินข้าววัด นอนอยู่ในโบสถ์ ของที่วัดท่าเรือ อันนั้น เป็นสิ่งที่ผมมีความรู้สึกว่า ดี๊ดี

    และก็รู้สึกว่า นั่นแหละคือ สังคมไทย นั่นแหละคือ ประเทศไทย ที่ผมนั้น อยากจะให้ทุกคน ที่เป็นคนไทยด้วยกัน รู้สึกว่า ตัวเองเกิดมาด้วยความมีบุญ โชคดี ผมก็อยากจะบอกว่า สิ่งที่ผมวันนี้ อายุ 70 ปีแล้ว ก็อยากจะขอบคุณ ประเทศนี้ แผ่นดินนี้ แต่ที่สำคัญ ก็คือ ขอบคุณแฟนคลับ ที่ทนฟังผมบ่น บางทีก็อารมณ์ขึ้น ยังอดทนรับฟังกันอยู่ ผมก็ไม่ใช่ พระอิฐพระปูน วันนี้ ก็ขอบคุณแฟนรายการ ที่ทนฟังผม กับคุณวิชัย บ่นกันมาทั้งหมด 19 ปีเต็ม ๆ ในวันที่ผมอายุครบ 70 ปี

    652700c068a7b1e7d474113d36fe73b7.jpg

    หัวข้อที่ 2 ผมกังวล ผมมีความรู้สึกไม่ปกติ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เพราะระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์เต็ม ๆ มีธนาคารที่ได้รับผลกระทบ ปิดไปแล้วหลายธนาคาร ผมไม่แน่ใจ ที่ตามข่าวว่า มี 3 - 4 ธนาคาร มันมีมากกว่านั้น หรือไม่? แต่สิ่งที่เห็นเลย วันนี้ ก็เรื่องที่มันลามไปสู่ยุโรป และก็จะอาจลามเข้ามาสู่เอเชีย

    ผมก็มานึก ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โลกเราเกิดอะไรที่ไม่ปกติไหม และใน 5 ปีที่ผ่านมา มีอะไรหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้น เช่น โควิด ทำให้ทั้งโลก หยุดกิจกรรมหมดเลย ต้นปี 2021 ไม่มีการเดินทาง สนามบินร้าง บนถนนเงียบ มนุษย์ทั้งหมด เสียชีวิตโดยโควิดฯ น่าจะ 10 ล้านคน แต่ตัวเลขที่มีอยู่ น่าจะประมาณ 6 ล้านคน และการเสียชีวิตแบบนั้น ก็ทำให้เกิดผลกระทบคนที่ป่วยอีก

    และวิกฤติ ที่เราเห็นมากเลย ก็คือ ภูมิอากาศ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ภูมิอากาศ มีการเปลี่ยนแปลงสุดโต่ง เราจะเห็นเลยว่า วันนี้ ลอสแอนเจลิส หิมะตก, ตอนนี้ ในยุโรป ก็อากาศร้อน และในที่มีอากาศแห้งแล้ง ก็หนักเข้าไปอีก มันส่งผลกระทบมาก

    และตามมาด้วย ความขัดแย้งของรัสเซีย ที่ทนไม่ไหว กับการขยายตัวของนาโต เค้าก็บุก ถล่มยูเครน นี่ก็ปีกว่าแล้ว ทางผู้นำยูเครน ก็ไม่ยอมแพ้ แต่ตรงนี้ อยู่ที่วันนี้ แต่ถ้าบานปลายออกไป กลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ขึ้นมา ยุโรปก็จะราบเรียบ ตอนนี้ คนยุโรป ก็มีการประท้วงเพิ่มขึ้น, และตอนนี้ อเมริกา ก็มีปัญหาทางเศรษฐกิจ และการทำสงคราม มันเป็นเหมือนหลุมดำ ที่จะดูดทุกสิ่งอย่าง ที่เป็นเศรษฐกิจหายเข้าไปในสงคราม

    ฉะนั้น ตรงนี้ ผมก็เลยมองว่า วันนี้ เหตุการณ์เรื่องของ ธนาคารต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น มันกำลังสะท้อนโลกเรา ในช่วงที่ผ่านมา เรามีแต่ กู้หนี้ยืมสิน มีการใช้เกินตัวมากทั้งโลก วันนี้ ก็อยากมาพูดให้ทุกคนฟังว่า ทั้งหมดนี้ วันนี้ มันกำลังเกิดขึ้นในโลก มันน่าจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของเรา ปัจจุบันนี้ เราอาจจะต้องใช้อย่างระวัง เพื่อไม่ให้มีปัญหา

    c1ef4b5a17e1c7859ebedc6070246b9d.jpg

    (วิดีโอฉบับเต็ม) : CEO Vision FM96.5 ทุกวันศุกร์เวลา 9.00-10.00 น.

    จากเพจ เฟซบุ๊ก : FM96.5



    จากเพจ เฟซบุ๊ก : Vikrom วิกรม



    ภายหลังร่วมจัดรายการ CEO Vision Plus เสร็จสิ้น นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) และประธานมูลนิธิอมตะ ได้จัดแถลงเปิดเผยว่า ในโอกาสครบรอบ วันคล้ายวันเกิดปีที่ 70 นับเป็นวาระสำคัญ ของการวางแผนชีวิต เพื่อส่งต่อความมั่นคง ต่อการดำเนินงานของ มูลนิธิอมตะ อย่างไม่สิ้นสุด จึงได้ทำพินัยกรรม มอบทรัพย์สินส่วนตัว ให้กับมูลนิธิอมตะ มูลค่ากว่า 95% ของทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน, อาคาร, คอนโดมิเนียม, หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ตลอดจนทรัพย์สินส่วนตัวอื่น ๆ เพื่อให้เป็นสาธารณประโยชน์ ตามวัตถุประสงค์ของการก่อตั้ง คิดเป็นมูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท จะนำไปสู่หนึ่งในกลไกการยกระดับคุณภาพสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจไทย

    7f5c48ff635e6f1886cde1f372fd7512.jpg

    มูลนิธิอมตะ ได้ก่อตั้งเมื่อ 27 ปีที่แล้ว โดยคุณวิกรม กรมดิษฐ์ มีโครงการภายใต้วัตถุประสงค์ เช่น โครงการรางวัล “นักเขียนอมตะ”, โครงการทุนเรียนดี, โครงการประกวดศิลปกรรม “อมตะ อาร์ต อวอร์ด” โครงการด้านนวัตกรรม, โครงการหนังสือดีมีประโยชน์ สร้างการเปลี่ยนแปลง และโครงการปรับปรุงอุทยานเขาใหญ่ สู่อุทยานมาตรฐานโลก ภายในเวลา 10 ปี

    นายวิกรม กล่าวอีกว่า ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นสู่ธุรกิจ ผมยึดมั่นในเป้าหมาย All Win และความมุ่งมั่น ของการทำแต่สิ่งดีงาม ให้ไว้กับทุกคนมาโดยตลอด โดยเฉพาะเมื่อประสบความสำเร็จ ในธุรกิจการงานแล้ว ก็ควรแบ่งผลกำไร กลับคืนสู่สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สังคมไทย เป็นสังคมที่มีคุณภาพ น่าอยู่เช่นประเทศที่เจริญแล้ว ซึ่งผมได้นำประสบการณ์ชีวิต ตั้งแต่วัยเด็ก มาเรียบเรียง มาถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือพิมพ์ เผยแพร่ไปแล้วกว่า 11.6 ล้านเล่ม เพื่อให้สังคมสามารถเรียนรู้ และนำไปปรับใช้ได้ ในโอกาสต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ดังนั้นการทำพินัยกรรม มอบทรัพย์สินในครั้งนี้ นับเป็นความตั้งใจของผม หลังจากที่ได้เรียนรู้ ฝึกฝนชีวิตกับวิกฤติต่าง ๆ จนขับเคลื่อนให้ธุรกิจกลุ่มอมตะ ประสบความสำเร็จ ในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม ให้เป็นเมืองนวัตกรรมเทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ด้วยแนวคิดที่เห็นว่า เราเกิดมาจากศูนย์ และจากไปเป็นศูนย์ ระหว่างศูนย์ เราควรสร้างสรรค์สิ่งที่มีประโยชน์ และคุณค่าฝากไว้ให้กับสังคม ในระยะยาวตลอดไป

    ทั้งนี้ โลกในระยะต่อไป ยังคงมีความท้าทาย และการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ที่ทุกฝ่ายรวมทั้งกลุ่มอมตะ จำเป็นต้องปรับตัวรองรับ โดย อมตะได้วางเป้าหมายการพัฒนา ภายใต้แนวคิดเมืองอัจฉริยะอมตะ (AMATA Smart City) เพื่อสร้างความมั่นคง ให้กับธุรกิจ ที่สอดรับอนาคต การเปลี่ยนแปลงของโลก ที่มุ่งเน้นนวัตกรรมที่ทันสมัย ขณะที่ มูลนิธิอมตะ พร้อมแบ่งปันให้กับสังคมไทย ในช่วงสถานการณ์ยากลำบาก เช่น ช่วงที่ไวรัสโควิด-19 ระบาด พวกเราชาวอมตะ ได้เป็นส่วนหนึ่ง ในการส่งมอบความช่วยเหลือ รวมทั้ง ยังจัดทำโครงการบริจาคโลหิต 100 ล้านซีซี ให้กับสภากาชาดไทย เชื่อว่า จากนี้ไป ไม่ว่าจะกี่วิกฤติ ก็พร้อมที่จะช่วยเหลือสนับสนุนสังคม เพื่อก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลง ไปสู่สิ่งที่ดีกว่า อย่างยั่งยืนตลอดไป


    นอกจากนี้ Backbone MCOT มีข้อมูลคัดย่อประวัติ คุณวิกรม กรมดิษฐ์ จากวัยเด็กสู่การประสบความสำเร็จในธุรกิจ และประวัติความเป็นมาของ มูลนิธิอมตะ (คัดย่อ) ดังนี้

    0adf17d09c7b318c3d4984cad1876479.jpg

    ประวัติคุณวิกรม กรมดิษฐ์

    ปี พ.ศ. 2496
    วิกรม กรมดิษฐ์ เกิดวันอังคารที่ 17 มีนาคม 2496 จ.กาญจนบุรี เป็นบุตรชายคนโตของตระกูล มีน้องมารดาเดียวกัน และต่างมารดารวม 21 คน จบการศึกษาปริญญาตรี ด้านวิศวกรรมศาสตร์เครื่องกล จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน มีความสนใจการค้า ตั้งแต่ยังเล็ก โดยรับช่วงต่อในกิจการ ร้านถั่วคั่วจากป้า ขณะเรียนหนังสือ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3

    ปี พ.ศ. 2518
    เมื่อเรียนจบ ได้กลับมาเปิด บริษัท วี แอนด์ เค คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นธุรกิจนำเข้าส่งออก ต่อมาหันมาบุกเบิกธุรกิจ ด้านการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม 2 แห่ง ในประเทศไทย และอีก 1 แห่ง ในประเทศเวียดนาม มีโรงงานกว่า 1,300 โรง มียอดการผลิต ที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรม ทั้ง 2 ประเทศ มูลค่าการผลิตกว่า 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีประชากร ที่ทำงานในนิคมทั้งหมด กว่า 3 แสนคน

    ปี พ.ศ. 2547
    วิกรม กรมดิษฐ์ ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในต่างจังหวัด โดยมุ่งมั่นถ่ายทอดประสบการณ์ และแนวคิดผ่านการเขียนหนังสือ มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ผลงานเล่มแรก แนวอัตชีวประวัติ “ผมจะเป็นคนดี : ไฟฝันวันเยาว์” ออกสู่สาธารณชนในปี พ.ศ. 2547 และยังคงเป็นหนังสือ ที่ติดอันดับขายดีอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน ได้ถูกแปลเป็นภาษาต่าง ๆ อาทิเช่น อังกฤษ, เวียดนาม, จีน, พม่า, รัสเซีย, ญี่ปุ่น, มองโกเลีย, เยอรมัน และมาเลย์

    ปี พ.ศ. 2549 - 2552
    ได้รับการจัดอันดับ จากนิตยสาร Forbes ให้ติดอันดับ 40 มหาเศรษฐีในเมืองไทย

    ปัจจุบัน
    ดำรงตำแหน่ง ประธานบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) และ ประธาน มูลนิธิอมตะ ตลอดจนเขียนหนังสือ เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิต ให้ประโยชน์แก่อนุชนรุ่นหลัง นอกจากนี้ ยังจัดรายการวิทยุ FM 96.5 MHz CEO Vision และเขียนคอลัมน์ ในหนังสือพิมพ์


    ประวัติความเป็นมาของ มูลนิธิอมตะ

    มูลนิธิอมตะ ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2539 โดยคุณวิกรม กรมดิษฐ์ ภายใต้จุดมุ่งหมายสนับสนุน แนวคิดสร้างสรรค์การศึกษา ให้กับเยาวชนของชาติ การจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม


    #BackboneMCOT
    อ้างอิง และขอบคุณข้อมูล จาก :

    เฟซบุ๊ก : FM96.5 Thinking Radio
    https://www.facebook.com/Thinkingradio

    เฟซบุ๊ก : Vikrom วิกรม
    https://www.facebook.com/VikromKromadit

    เว็บไซต์ : วิกรม กรมดิษฐ์
    http://www.vikrom.net

    เว็บไซต์ : มูลนิธิอมตะ
    https://www.amatafoundation.org

    เฟซบุ๊ก : AMATA Foundation (มูลนิธิอมตะ)
    https://www.facebook.com/Amata.Foundation


    ------------------------
    ขอบคุณที่มา : https://www.mcot.net/view/KnRCq9J9
     

แชร์หน้านี้

Loading...