"เถรภาษิต10 พระสุปฏิปันโน"หลวงปู่มั่น ปู่เสาร์ หลวงพ่อสิงห์ ...ฯลฯ

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 28 ธันวาคม 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,025
    เถรภาษิต10พระสุปฏิปันโน
    คำสอนโดนใจที่ไม่มีวันตาย
    จาก หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงพ่อสิงห์ หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวณ หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่อ่อน หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่เทสก์ และหลวงพ่อชา
    คัดลอกมาจากคอลัมน์ สกู๊ปพิเศษ

    ชาวพุทธรุ่นใหม่น้อยคนนักที่จะได้รับรู้ หรือได้สัมผัสกับ "เถรภาษิต" หรือ "คำสอน" ดีๆ จากพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบระดับอาจารย์ใหญ่สายวิปัสสนากรรมฐาน หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าสาย " พระป่า"

    ณ ที่นี้ จึงขอหยิบยกเอาส่วนหนึ่งของเถรภาษิต มานำเสนอพุทธศาสนิกชน เพื่อน้อมนำไปปฏิบัติและปรับใช้กับชีวิตประจำวัน เชื่อว่าจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    ...."การปฏิบัติเป็นเครื่องยังพระสัทธรรมให้บริสุทธิ์ สติปัฎฐาน เป็นชัยภูมิคือสนามฝึกตน พลธรรม 5 ใครไม่เหินห่างไปอยู่ที่ไหนไม่ขาดทุนล่มจม"

    หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล

    ...."ให้พากันละบาป และบำเพ็ญบุญอย่าให้เสียชีวิตและลมหายใจไปเปล่าๆ ที่ได้มีวาสนาเกิดมาเป็นมนุษย์

    เราเกิดมาเป็นมนุษย์มีความสูงศักดิ์มาก แต่อย่านำเรื่องของสัตว์มาประพฤติ มนุษย์ของเราจะต่ำลงกว่าสัตว์และจะเลวกว่าสัตว์อีกมากเวลาตกนรก จะตกหลุมที่ร้อนกว่าสัตว์มากมาย อย่าพากันทำ"

    หลวงพ่อสิงห์ ขันตฺยาคโม

    ...."นักปฏิบัติในพุทธศาสนานี้ เมื่อเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระวินัย ดำเนินตามธรรมวินัย ตามหนทางอริยมรรคถูกต้อง ตลอดจิตประชุมอริยมัตถสมังคีเองแล้ว ย่อมบังเกิดอริยพลแจ้งประจักษ์ใจ"

    หลวงปู่ขาว อนาลโย

    ...."การทำความดี มีการให้ทานรักษาศีล ภาวนาเป็นต้น ครั้นเราทำความชั่ว มีกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เป็นต้น

    ครั้นเราทำความดี ความดีจะตามสนองให้เรามีความสุขมีสุคติเป็นที่ไป

    ครั้นเราทำความชั่ว ความชั่วจะตามสนองให้เรามีความทุกข์ มีทุคติเป็นที่ไป

    พวกเราได้อัตตาภาพร่างกายมาสมบูรณ์บริบูรณ์ก็เป็นเพราะ ปุพเพปุญญตา บุญของเราที่ได้ทำมาแต่ปางก่อน

    พวกเราจึงไม่ควรประมาท ควรรีบทำคุณงามความดี แล้วละความชั่วไปด้วย"

    หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ

    ...."ให้ภาวนา เอากายเป็นมรรค เอากายเป็นผล จงพากันละอุปาทาน ทั้ง 5 อนิจจังทั้ง 5 ทุกขังทั้ง 5 อนัตตาทั้ง 5 ละรูปธรรมนามธรรมนี้ วางได้มันก็เป็นธรรมนั่นแหละ

    วางไม่ได้ มันก็ยึดเอารูปธรรม เป็นตนเป็นตัว มันก็เป็นธรรมเถรอยู่นั่นเอง

    รักษาศีล รักษาขา 2 แขน 2 ศีรษะ 1 ห้าอย่างนี้แหละ ไม่ให้ไปทำโทษ 5 ปานานั่นก็โทษ อทินนานั่นก็โทษ มุสานั่นก็โทษ กาเมนั่นก็โทษ สุรานั่นก็โทษ

    เรารักษากายของเรา รักษา 5 อย่างไม่ให้ไปทำโทษ 5 อย่างนี้ ก็รักษาศีล 5 ได้ให้พากันทำ"

    หลวงพ่อตื้อ อจลธมฺโม

    ...."หมดลงแล้ว เรียกว่าตาย มีเงินมีทอง มีแก้วก็ตาย ละเสียจากเงินทองเหล่านั้น

    มีลูกสาวก็ตายจากลูกสาว มีลูกชายก็ตายจากลูกชาย มีผัว มีเมีย ก็ตายจากผัวจากเมีย มีพ่อมีแม่ก็ตายจากพ่อจากแม่

    จะมีเงินหมื่นเงินแสน เงินล้านก็เป็นแค่ของกลางเท่านั้นที่มีอยู่ในโลก เราตายเสียแล้วก็ทิ้งหมด

    ถ้าเมื่อเรายังไม่ตายจงมาพากันสร้างบุญสร้างกุศลให้ พอเมื่อเราตายไปแล้ว บุญนั้นก็จะได้เป็นที่พึ่งของเรา

    สำคัญต้องรู้จักก่อนว่าบุญนั้นคืออะไร เราทำแต่เพียงทานเท่านั้นหรือเราทำแต่เพียงศีลพอแล้วหรือ

    หรือว่าเราทำทั้งทาน ศีล และภาวนา"

    หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ

    ...."นักบวชที่แท้จริง ต้องเป็นผู้ต่อสู้หรือปราบปรามกับกิเลส ถ้าเราไม่มีการต่อสู้กับมัน ปล่อยให้มันย่ำยีเราแต่ฝ่ายเดียวตัวเราเองจะย่ำแย่ลงไปทุกที

    ผลสุดท้ายเราก็เป็นผู้แพ้ ยอมเป็นทาสรับใช้กิเลสใช้การไม่ได้

    ญาติโยมเราก็เหมือนกัน หากไม่มีการต่อสู้กับความโลภ โกรธ หลง ละก็ เป็นทาสกิเลสทั้งนั้น ผลก็เหมือนๆ กับนักบวชนั่นแหละ"

    หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

    ...."ให้พากันเข้าวัดนะ วัดดูจิตวัดดูใจของเราต้องวัดเสมอๆ

    นั่งก็วัด นอนก็วัด เดินยืนก็วัด วัดเพราะเหตุใด? ให้มันรู้ไว้ว่า จิตใจเรามันดีหรือไม่ดี ไม่ดีก็จะได้แก้ไข ต้องวัดทุกวัน

    ตัดเสื้อ ตัดผ้า เขาก็ต้องวัดไม่ใช่เหรอ ไม่วัดจะใช้ได้อย่างไรล่ะ"

    หลวงปู่เทสก์ เทสก์รังสี

    ...."คำสอนของพระพุทธศาสนาทั้งหมดมาลงอยู่ที่สติอันเดียว ตั้งแต่เบื้องต้นก็สอนสติ ที่สุดก็สอนสติ เป็นศาสนาที่สอนถึงที่สุด อย่าให้จิตอยู่แต่ในอำนาจของกิเลส ให้จิตอยู่แต่ในอำนาจของสติ

    สติเป็นตัวระมัดระวัง อันนั้นแหละเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยแท้ มีสติสมบูรณ์บริบูรณ์ก็เรียกว่าถึงศาสนา"

    หลวงพ่อชา สุภทฺโท

    ...."พวกวัวควาย เราหัดได้ไม่นานก็ใช้งานได้ คนเราหัดตั้งนานก็ยังใช้ไม่ได้ยังเป็นสัตว์อยู่ เพราะมันหนามาก

    เราต้องพิจารณาให้ลึกๆ ให้เข้าถึงธรรม เกิดมาชาติใด กายวาจาใจไม่บกพร่องเพราะว่าเราจะถึงสุคติก็เพราะศีล มีโภคสมบัติก็เพราะศีล ถึงพระนิพพานก็เพราะศีล จะมีความสุขมีโรคน้อย

    วาจาที่พูดมีประโยชน์ไม่มีโทษ จิตใจนึกคิดไปในทางที่ดี ย่อมก่อให้เกิดความสงบสุข ประกอบไปด้วยกายสมบัติ โภคสมบัติ ทำให้กาย วาจา ใจ สงบเยือกเย็น เรากลับเห็นว่าศีลเป็นทุกข์ท่านว่างามตา เราเห็นว่าไม่งาม ผู้มาฟังธรรมะก็ยากจะทำตามก็ยาก เพราะยังไม่พร้อม

    พระให้บุญเวลาเราเป็นๆ อยู่ก็ไม่รับคอยรับและเห็นว่าเหมาะแต่เวลาตายแล้ว เพราะเรายังไม่เข้าใจลึกซึ้ง วัวควายอ่านหนังสือไม่ออกก็น่าอภัยเป็นพวกอบายภูมิต่ำๆ พูดกันด้วยค้อนด้วยแส้ ต้องตีต้องเฆี่ยน

    พระพุทธองค์สอนศีลสอนธรรมมิได้สอนแก่สัตว์ ท่านสอนคนเรานี่เอง"

    ทั้งหมดนี้คือ "เถรภาษิต" อันทรงคุณค่า ที่ไม่มีวันตาย

    หยิบยืมไปใช้เตือนสติได้ตามใจชอบ แล้วจะรู้ว่าคติธรรมคำสอนไม่ใช่เรื่องไร้สาระแต่อย่างใด!!!
     

แชร์หน้านี้

Loading...