เพชฌฆาตเคราแดง หรือ ตัมพทาฐิกะ จอมโจรบรรลุธรรม

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 27 กรกฎาคม 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,433
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,022
    ค่าพลัง:
    +70,063
    jj4LVdWoYPX6BJVKkzSKdzYfJaFsba4ENo_SoW4QhPC&_nc_ohc=SsZOyMlrkgAAX9mLS1w&_nc_ht=scontent.fbkk22-3.jpg

    เพชฌฆาตเคราแดง หรือ ตัมพทาฐิกะ จอมโจรบรรลุธรรม

    สมัยหนึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ วัดพระเวฬุวันวรวิหาร พระพุทธองค์ได้ตรัสพระกถาว่า.. "...สหสฺสมปิ เจ วาจา อนตฺถปทสญฺหิตา เอกํ อตฺถปทํ เสยฺโย ยํ สุตฺวา อุปสมฺมติ. หากวาจาแม้ตั้งพัน ไม่ประกอบด้วยบทที่เป็นประโยชน์ไซร้ บทที่เป็นประโยชน์บทเดียว ซึ่งบุคคลฟังแล้วสงบระงับได้ประเสริฐกว่า..."

    เรื่องมีอยู่ว่า ในครั้งนั้นมีโจรกลุ่มหนึ่งทำหน้าที่ของโจรได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็คือ เลวได้อย่างเต็มที่ คือการเลี้ยงชีพด้วยการปล้น การฆ่าชาวบ้าน ต่อมาก็มีบุรุษคนหนึ่ง ในบาลีใช้คำว่า “ตัมพทาฐิกะ” ผู้มีตาทั้งเหลือกทั้งเหลือง และมีเคราแดง แกก็จะอยากเป็นโจรกับเขาบ้าง จึงไปยังสำนักพวกโจร และกล่าวว่า “ผมขอเป็นสมาชิกกับพวกท่านด้วยเถิด” โจรคนหนึ่งก็พาเขาไปหาหัวหน้าโจร และกล่าวว่า “ท่านหัวหน้าขอรับ บุรุษคนนี้เขาอยากเป็นโจรเหมือนพวกเรา ขอท่านหัวหน้าโปรดรับเขาด้วยเถิด”

    ปรากฏว่า พอหัวหน้าโจรสำรวจลักษณะชายคนนี้แล้วถึงกับสะดุ้ง และคิดในใจว่า พวกเราเลวแล้ว แต่ชายคนนี้มีลักษณะกักขฬะเหลือเกิน หยาบช้ามาก กัดหัวนมแม่เพื่อดื่มเลือดจากถันของมารดาก็ได้ ตัดคอพ่อแล้วดื่มเลือดจากลำคอพ่อก็ทำได้ หัวหน้าโจรจึงไม่รับเข้ากลุ่ม

    ชายเคราแดงก็พยายามเอาอกเอาใจลูกน้องคนสนิทของหัวหน้าโจร พยายามอ้อนวอน สุดท้าย ลูกน้องคนสนิทคนนี้ก็เลยเข้าไปอ้อนวอนหัวหน้าโจร

    เมื่อลูกน้องคนสนิทหัวหน้าโจรเห็นใจนายเคราแดงแล้ว ก็ไปบอกหัวหน้าว่า นายครับนายเคราแดงมีอุปการะกับกระผมมาก ขอให้รับนายเคราแดงให้เข้ากลุ่มเถอะ หัวหน้าโจรก็ใจอ่อนเพราะเห็นแก่ลูกน้องคนสนิทขอร้อง ก็เลยรับนายเคราแดงเข้ากลุ่มโจร

    ต่อมากลุ่ม โจรทั้งห้าร้อยคนนี้ก็ได้ไปปล้นฆ่าชาวบ้านแล้วก็ถูกทหารพระราชาจับได้ทั้งห้าร้อยคน แต่พอจับกลับมาก็ไม่มีใครคนไหนใจกล้าพอจะอาสาเป็นเพชณฆาตตัดหัวโจรทั้งห้าร้อยคนได้

    เจ้าหน้าที่จึงบอกกับหัวหน้าโจรว่าถ้าเจ้ายอมฆ่าลูกน้อง ๔๙๙ คนแล้ว ทางการก็จะงดโทษให้เจ้า แต่หัวหน้าโจรก็ไม่ยอมรับเพราะไม่คิดทรยศพวกเดียวกัน

    เจ้าหน้าที่จึงไปถามโจรในกลุ่มนั้นก็ไม่มีใครยอมทำ แต่พอไปถามถึงนายเคราแดง นายเคราแดงก็ยอมรับหน้าที่นี้ “ตัวข้าไม่ตาย เป็นพอ คนอื่นตายช่างมัน”

    หลังจากนั้นนายเคราแดงตัดหัวโจรทั้ง ๔๙๙ คนแล้ว เขาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเพชฌฆาตทำหน้าที่ตัดศีรษะประจำเมืองนั้น ไม่ต้องไปปล้นใคร แถมมีเกียรติเป็นที่ยกย่องเพราะถือว่าเป็นอาชีพที่พิทักษ์สันติราช ให้กับประชาชน นายเคราแดงทำหน้าที่นี้อยู่ ๕๕ ปี ก็เข้าสู่วัยชรา ไม่สามารถฟันคอคนให้ขาดภายในทีเดียวได้เหมือนเดิม ต้องฟันสองที สามที ศีรษะนักโทษถึงจะขาด สร้างความเจ็บปวดให้นักโทษ ก็เลยถูกปลดเกษียณ

    วันที่นายเคราแดงปลดเกษียณ ชาวบ้านก็ถามว่า “จะฉลองให้ อยากได้อะไรบ้างล่ะ”
    เขาจึงบอกว่า “เวลาเป็นเพชฌฆาตไม่เคยได้นุ่งผ้าใหม่ ๆ กับเขาเลย เพราะเวลาฟันเลือดมันจะกระฉูด ถ้าใส่เสื้อผ้าใหม่มันก็เสียดาย เลยต้องนุ่งผ้าสีแดงเก่า ๆ จะได้เข้ากับเลือดคนที่กระเซ็นมาโดนได้”

    แล้วที่สำคัญเขาก็อยากกินข้าวยาคู คือ ข้าวต้มที่เจือด้วยน้ำนมปรุงด้วยเนยใสใหม่ เขาบอกว่าอยากกินมาก ๆ อาหารวิเศษอย่างนี้ ขอสักถาดได้ไหม ขอให้ประดับด้วยดอกมะลิ และทาด้วยของหอม ๔ ประการนี้ว่าแกก็อยากได้มานานแล้ว ชาวบ้านก็อนุญาตว่าวันที่ปลดเกษียณเราจะจัดการทำตามที่ท่านต้องการ

    วันนั้น แกก็อาบน้ำแต่งตัวประดับดอกมะลิทาน้ำหอม มือก็ถือถาดข้าวมธุปายาส แล้วก็เดินไปเอาน้ำมาล้างมือ เตรียมจะกินให้สมกับที่อยากมานาน

    ขณะนั้นพระสารีบุตรเพิ่งออกจากสมาบัติ แล้วท่านก็พิจารณาว่าวันนี้จะไปโปรดใคร ปรากฏว่า ท่านก็เห็นภาพนายเคราแดงมาปรากฏในสมาธิของท่าน บอกว่าวันนี้นายโจรเคราแดงปลดเกษียณ องค์ท่านเลยพิจารณาว่าจะไปโปรดบุรษเคราแดงนี้ดีหรือไม่ แล้วถ้าเขาเห็นเราแล้วเขาจะเลื่อมใสหรือไม่ องค์ท่านก็สามารถรู้ได้ในญาณนั่นแหละว่าถ้านายเคราแดงเห็นท่านแล้วจะเกิดความเลื่อมใส และเมื่อฟังเทศน์เสร็จแกจะได้รับสมบัติใหญ่ จากนั้นท่านก็นุ่งห่มจีวร ถือบาตร และไปปรากฏตัวยืนถือบาตรหน้าบ้านของนายตัมพทาฐิกะ บุรุษผู้มีเคราแดง ผู้เป็นเพชฌฆาตมา ๕๕ ปี

    นายเคราแดงนี้ พอเห็นพระสารีบุตรเถระก็มีจิตเลื่อมใส เขาบอกว่าตลอดชีวิตไม่เคยได้ทำบุญกุศลอะไรเลย เมื่อก่อนก็มีแต่มือเปื้อนเลือดฆ่าโจรมาตลอดชีวิต ไม่เคยทำบุญกุศล วันนี้โชคดีเหลือเกินเป็นวันปลดเกษียณ ที่สำคัญก็คือในมือมีอาหารรสเลิศ และพระที่มาโปรดคือพระสารีบุตร ผู้เป็นอัครสาวกของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

    นายเคราแดงก็เลยไปนิมนต์พระสารีบุตรเถระเข้ามาในเรือนของตน "พระคุณเจ้านิมนต์เข้ามารับภัตตาหารในเรือนของข้าพเจ้าเถิด" พระสารีบุตรจึงรับนิมนต์ ก็ปรากฏว่า เมื่อนิมนต์พระเถระนั่งบนอาสนะเรียบร้อย ก็เอาถาดที่ใส่ข้าวยาคูเกลี่ยลงในบาตรของพระสารีบุตรเถระ จนหมด นิมนต์พระเถระฉันข้าวยาคู เมื่อพระสารีบุตรเห็นว่า ข้าวยาคูนี้นายเคราแดงต้องการฉัน ก็เลยบอกนายเคราแดงว่า ข้าวนี้ตอนนี้เป็นของอาตมา อาตมาจะแบ่งให้ใครก็ย่อมได้ใช่ไหม

    นายเคราแดงก็ตอบว่า “ได้ขอรับ” เมื่อนั้นพระสารีบุตรให้นายเคราแดงเอาถาดมา แล้วแบ่งให้นายเคราแดงไปกิน

    เมื่อพระสารีบุตรฉันข้าวยาคูเสร็จ พระสารีบุตรก็แสดงธรรมเรื่อง “โทษของปาณาติบาต” มนุษย์เป็นสิ่งที่ประเสริฐ การไปฆ่า ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีศีลหรือไม่มีศีลก็บาป แต่ถ้ามีคุณมาก เป็นพ่อแม่เราหรือเป็นพระอรหันต์ ถ้าไปฆ่าเป็นบาปหนักเขาเรียกว่า อนันตริยกรรม ตายแล้วห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ถ้าใครฆ่าแม่ ฆ่าพ่อ ฆ่าพระอรหันต์ตายแล้วตกอเวจีมหานรกสถานเดียว แต่ถ้าฆ่าพวกคนที่เลวหน่อย เป็นโจรเป็นอะไรก็บาปนะ ไม่ใช่ว่าไม่บาปแต่บาปน้อยเมื่อเทียบกับการฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์

    แค่นั้นยังไม่พอ เมื่อตายแล้วไปเกิดเป็นสัตว์นรก หลังจากใช้กรรมในนรกเสร็จ ขึ้นมาเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน จากนั้นเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น วิบากกรรมจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้น ก็จะทำให้เป็นผู้ที่มีอายุสั้น เพราะผลของการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั่นเอง ท่านทั้งหลายเห็นไหมว่า ทำไมคนเราเกิดมาบางคนอายุสั้น อยู่ในท้องแม่ ก็ถูกพ่อแม่ทำแท้ง เกิดมาก็เป็นโรคตาย นี่ก็เพราะปาณาติบาต”

    นายเคราแดงได้ฟังเทศน์แล้วก็ถึงกับหน้าซีดไป พระสารีบุตรเถระได้เห็นดังนั้นก็จึงหยุดแสดงธรรม แล้วถามว่า อุบาสกท่านเป็นอะไรไป

    นายเคราแดงจึงตอบว่า “กระผมได้ฆ่าคน ทำบาปกรรมหยาบช้า มาช้านาน ไม่อาจจะทำใจน้อมไปยินดีในธรรมที่พระคุณเจ้าเทศนาได้ขอรับ”

    พระสารีบุตรเถระเจ้าผู้ปัญญามาก จึงพิจารณาว่า ควรทำจิตของนายเคราแดงให้ผ่องใสก่อน จึงใช้กุศโลบายกล่าวเฉพาะถ้อยคำที่เขาอยากฟังว่า “เวลาที่เราไปรับจ้างทำไร่นา ข้าวที่ได้จากการทำนานั้น ข้าวในนานั้นต้องตกเป็นของคนที่เขาจ้างเราใช่ไหม”

    นายเคราแดงก็ตอบว่า “ใช่ขอรับ”

    พระเถระจึงถามว่า “ถ้าเช่นนั้น เรารับจ้างพระราชาในการฆ่าคน บาปกรรมต่าง ๆ ก็ย่อมตกเป็นของพระราชาใช่ไหม”

    นายเคราแดงเป็นคนปัญญาทึบ ถูกพระเถระกล่าวอย่างนั้น ก็สำคัญว่า "อกุศลไม่มีแก่เรา" จึงกล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ ถ้ากระนั้น ขอท่านจงกล่าวธรรมเถิด"

    นายเคราแดงนั้น เมื่อพระเถระแสดงธรรมอยู่ เขาก็มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ฟังธรรมอยู่ ยังขันติเป็นไปโดยอนุโลม ถึงซึ่งอริยสัจธรรม บรรลุโสดาปัตติผลเป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้นแล้ว จากนั้นพระสารีบุตรเถระกระทำอนุโมทนาจากนั้นก็หลีกไปจากบ้านของนายเคราแดง

    หลังจากที่นายเคราแดงส่งพระเถระออกจากเรือน นางยักษิณีตนหนึ่งมาแล้วด้วยเพศแห่งแม่โคนม ขวิดร่างนายเคราแดงตายคาที่ และนายเคราแดงก็ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต

    ในลำดับนั้นพระภิกษุสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า “บุรุษโจรเคราแดงฆ่าคนมา ๕๕ ปี ได้ฟังธรรมของพระสารีบุตรแล้วไปบังเกิดที่ไหนหนอ

    เมื่อพระบรมศาสดาได้ทรงสดับด้วยทิพยโสตแล้วก็จึงเสด็จโรงธรรมสภา ภิกษุทั้งหลายพวกเธอสนทนาด้วยเรื่องอันใด ภิกษุเหล่านั้นจึงกล่าวว่า “บุรุษเคราแดงฆ่าคนมาเป็นเวลา ๕๕ ปี ได้ฟังธรรมจากพระสารีบุตรเถระแล้วถูกโคนมขวิดตายแล้วตอนนี้นายเคราแดงไปบังเกิดที่ไหนพระพุทธเจ้าข้า”

    พระพุทธองค์ ทรงตรัสว่า “บุรุษนั้นไปบังเกิดในดุสิตบุรี ภิกษุเหล่านั้นถามว่า เหตุไรจึงเป็นเช่นนั้น เมื่อนายเคราแดงฆ่าคนมากมายมาเป็นเวลา ๕๕ ปี แล้วไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต พระเจ้าข้า”

    พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...นายเคราแดงได้กัลยาณมิตรคือพระสารีบุตรเถระ เธอได้ฟังธรรมแล้วน้อมไปตามธรรมนั้น เมื่อเคลื่อนจากมนุษยโลกไปบังเกิดในดุสิตเทวโลก” ดังนี้แล้ว พระพุทธองค์จึงตรัสพระคาถาว่า...บุรุษผู้ฆ่าโจรในเมือง ฟังคำเป็นสุภาษิตแล้ว ได้อนุโลมขันติ ไปสู่เทวโลกชั้นไตรทิพย์ ย่อมบันเทิงใจ…”

    ภิกษุจึงกล่าวถามว่า "พระเจ้าข้า ธรรมดาอนุโมทนากถานั้นมีกำลังมาก แต่บุรุษเคราแดงนั้นกระทำอกุศลกรรมไว้มาก เขายังคุณวิเศษให้บังเกิดด้วยเหตุเท่านั้นได้อย่างไรพระพุทธเจ้าข้า..."

    พระศาสดาตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...เธอทั้งหลายจงอย่าถือประมาณแห่งธรรมที่เราแสดงแล้วว่า ‘น้อยหรือมาก’ เพราะว่า แม้วาจาคำเดียวที่อาศัยประโยชน์ ย่อมประเสริฐโดยแท้"

    เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า “สหสฺสมปิ เจ วาจา อนตฺถปทสญฺหิตา เอกํ อตฺถปทํ เสยฺโย ยํ สุตฺวา อุปสมฺมติ. หากวาจาแม้ตั้งพัน ไม่ประกอบด้วยบทที่เป็นประโยชน์ไซร้ บทที่เป็นประโยชน์บทเดียว ซึ่งบุคคลฟังแล้วสงบระงับได้ประเสริฐกว่า..”

    คัดลอกจากพระธรรมเทศนาโดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    ที่มาจาก อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท สหัสสวรรคที่ ๘ “เรื่องบุรุษมีเคราแดงผู้ฆ่าโจร”

    cr : ท่องถิ่นธรรม พระกรรมฐาน

    https://web.facebook.com/เจาะเวลาหาอดีต-2007331706232995
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...