เมื่อหลวงพ่อจรัญ กล่าวถึง หลวงพ่อเดิม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ksriuta, 1 กรกฎาคม 2008.

แท็ก: แก้ไข
  1. ksriuta

    ksriuta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,051
    ค่าพลัง:
    +2,971
    จาก http://www.uamulet.com/boardDetail....AAAARopEN&bcsi_scan_filename=boardDetail.aspx

    [​IMG]
    [​IMG]
    [FONT=&quot]หลวงพ่อจรัญ เล่าเรื่องเมื่ออาตมาไปเล่าเรียนวิชากับ [/FONT][FONT=&quot]“หลวงพ่อเดิม”[/FONT][FONT=&quot]

    <o>:p></o>:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] อาตมานับถือหลวงพ่อเดิมมาก เพราะท่านให้ชีวิตอันเป็นอมตะในสมณเพศแก่อาตมา อาตมาสวดมนต์ไหว้พระแล้วก็กราบหลวงพ่อเดิมทุกวัน ระลึกถึงพระคุณของท่านที่ได้สร้างอาตมาให้เป็นสงฆ์ที่ดี อัฐิของท่านอาตมาก็แบ่งเอามากราบไหว้เพื่อเพื่อระลึกถึงพระคุณ ท่านเป็นพระลึกซึ้งและเยี่ยมยอดจริง ๆ จะหาพระอาจารย์อย่างท่านได้ยาก[/FONT][FONT=&quot]
    ย้อนระลึกเล่าสู่กันฟัง เรื่องนี้ผ่านมาเป็นเวลา ๕๐ ปีแล้ว อาตมาได้ไปเล่าเรียนวิชากับพระครูนิวาสธรรมขันธ์ (หลวงพ่อเดิม) วัดหนองโพธิ์ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ อาตมายังรู้สึกเสียดายว่า เราน่าจะพบกับท่านก่อนหน้านี้นานแล้ว แต่กรรมของเรายังมีอยู่ พอพบท่านใกล้ชิดท่านได้เพียงหกเดือน ท่านก็มรณภาพจากไป ตอนนั้นอาตมาบวชเป็นพระภิกษุด้วยความจำใจ อาตมาขอบอกตรง ๆ ว่า อาตมาเกลียดพระมาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ แล้ว อาตมาไม่ชอบเพราะพระเป็นผู้ที่ไม่ทำการงาน ได้แต่บิณฑบาตข้าวชาวบ้านไปฉัน แล้วก็สวดมนต์ทำอะไรที่ไม่ค่อยจะเป็นที่สบอารมณ์ของอาตมา แต่เมื่อโยมบิดามารดาจะตัดแม่ตัดลูกหากไม่บวช อาตมาจึงต้องโกนหัวเข้าห่มผ้าเหลือง บวชแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจสักเท่าใดนัก เขาห้ามอะไรก็ไม่ฟัง ให้มันนอกรีตนอกรอย รอจนรับกฐินเสร็จ อาตมาก็จะสึกให้มันพ้นภาระหน้าที่ไปเสียที อย่าลืมนะ อาตมาไม่ได้บวชเพราะศรัทธาก็หาไม่ อันนี้เป็นความสัตย์ อาตมาตัดสินใจในเช้าวันหลังจากรับกฐินแล้วเข้าไปกราบหลวงพ่อช่อ ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ ไปถึงก็กราบตรงหน้าท่าน บอกความประสงค์ไปเลยทีเดียวว่า
    “หลวงพ่อครับ กระผมขอสึกจากภิกษุสภาวะขอรับ”
    หลวงพ่อช่อ วัดพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ท่านเป็นพระที่หลังโกง แต่ท่านเคร่งครัดในพระธรรมวินัยนัก ท่านมีกิจนิมนต์จะไปฉันเพล ท่านก็ถามว่า
    “สึกแน่หรือพระจรัญ ไม่เปลี่ยนใจอยู่ต่อนะ”
    ว่าแล้วเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา อาตมาก็กราบลาท่านกลับมากุฏิ หลวงพ่อช่อท่านก็ทำน้ำมนต์สึกเตรียมไว้ อาตมาก็เดินมาถึงกุฏิยิ้มย่องผ่องใสว่า วันนี้ล่ะจะพ้นจากภาระที่น่าเบื่อหน่ายเสียทีหนึ่ง มองไปที่กระเป๋าใส่เสื้อผ้าที่ซื้อเตรียมไว้ใส่หลังจากสึกแล้วก็ดีใจเป็นล้นพ้นทีเดียว
    แต่พอเข้าไปในกุฏิก็เกิดง่วงเหงาหาวนอนขึ้นมาเฉย ๆ มันคล้ายครึ่งหลับครึ่งตื่น มักลืม ๆ หลง ๆ ไปหมด นอนอยู่ตรงนั้น พลันหูก็ได้ยินเสียงประหลาดแว่วมาที่หูเหมือนมาพูดที่ริมหูว่า
    “สึกไปหาอะไรกันเล่า นะโมยังไม่ได้เลย นะโมได้แล้วสึกก็ไม่น่าเสียดาย”
    ใจก็ค้านว่า “นะโมสวดได้จนคล่องไม่อย่างนั้นจะรับกฐินได้อย่างไรกันล่ะ”
    เสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกว่า “นะโมได้แล้วก็ยังไม่ได้พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณน่ะซี ได้แล้วค่อยสึกดีไหมล่ะ”
    ทันใดก็มีเสียงคนตบประตูกุฏิตึง ๆ แล้วก็มีเสียงเรียกดัง ๆ ว่า<o>:p></o>:p>[/FONT]

    [FONT=&quot]“หลวงพี่...หลวงพี่ ท่านสมภารให้ผมมาตาม ท่านว่าอย่าโอ้เอ้อยู่ ท่านจะไปฉันเพลที่วัดหนองมน ต้องเดินเท้าไปมันจะไม่ทันการ”
    อาตมาลุกทะลึ่งพรวดพราดขึ้นมาเปิดประตู เจ้าเด็กคนนั้นไปแล้ว ก็ได้ยินเสียงสั่งสอนของยายที่สั่งไว้ว่า
    “ตอนสึกนี่สำคัญนะหลานนะ ถ้าสึกในระหว่างฤกษ์ไม่ดีล่ะก็บางคนก็ตาย บางคนก็ติดคุกติดตะราง บางคนก็เสียคนไปเลย ระวังให้ดีนะ ฤกษ์สึกนี้สำคัญนัก”
    อาตมาเดินไปหาท่านสมภารตอนนั้น พระอันดับก็มานั่งกันพร้อมแล้ว ท่านสมภารส่งเสียงเร่ง
    “เข้ามาเสียทีหนึ่ง จะได้สึกให้รู้แล้วรู้รอดไป”
    “พระเดชพระคุณที่เคารพ วันนี้กระผมไม่สึกแล้วขอรับ รอวันหลังก็ได้ขอรับ วันนี้นิมนต์ท่านไปฉันเพลก่อน”
    “แล้วกันนี่เอ้า เสียเวลาแท้ ๆ เชียว”
    ท่านสมภารเทน้ำมนต์สึกจากบาตรทิ้งดังซ่า หันไปคว้าย่ามกับตาลปัตรเดินลงจากกุฏิไปกิจนิมนต์ ส่วนอาตมากลับมากุฏินั่งนึกไปนึกมาว่า เราสึกที่นี่ฤกษ์ไม่ดี ก็ไปสึกที่อื่นก็ได้ ถือโอกาสเที่ยวไปด้วย ไปเหนือดีกว่า ไปสึกเอาข้างหน้า ว่าแล้วอาตมาก็เอาไตรจีวรใส่กระเป๋าใบหนึ่ง เสื้อผ้าฆราวาสใส่กระเป๋าอีกใบหนึ่ง หิ้วมาลาหลวงพ่อช่อเพื่อเดินทางไปให้พ้นจากวัดพรหมบุรี หลวงพ่อช่อท่านก็อวยชัยให้พร เพราะท่านเองก็ไม่อยากสึกให้อาตมาเหมือนกัน อาตมาหิ้วกระเป๋าสองใบ เดินทางมาลพบุรี ซื้อตั๋วรถไฟไปพิษณุโลก แล้วก็เตรียมออกเดินทางไปพิษณุโลก พอรถไฟมาอาตมาก็ขึ้นไปนั่งในตู้รถไฟมีคนอยู่กันเต็ม แต่เขาก็สละที่นั่งให้อาตมาที่หนึ่ง รถไฟแล่นมาถึงบ้านหมี่ก็เกิดเครื่องเสียกะทันหัน จอดซ่อมอยู่นานก็ไม่เสร็จ เวลาก็ผ่านไป เสียงคนในตู้รถไฟนั้นเขาก็คุยกันว่า
    “แหม! รถไฟเสียเวลาจังเลย จะไปนมัสการหลวงพ่อเดิมสักหน่อย ไม่น่ามีอุปสรรคเลยเชียว”
    อาตมาได้ยินคำว่า “หลวงพ่อเดิม” ก็หูผึ่ง หลวงพ่อเดิมนี้ อาตมาเคยได้ยินแต่ชื่อ ไม่เคยทราบว่าท่านอยู่ที่ไหน จึงถามเขาว่า
    “หลวงพ่อเดิมท่านอยู่ที่ไหนกันหรือโยม”
    “ท่านอยู่วัดหนองโพ ต้องลงรถที่สถานีหนองโพ แล้วเดินเท้าเข้าไปที่วัด ถ้าท่านต้องการจะไปนมัสการก็ลงรถไฟที่นั่นพร้อมกับพวกเราก็ได้”
    อาตมาก็คิดตัดสินใจเลยว่า ตั๋วรถไฟเราตีถึงพิษณุโลกก็จริงอยู่ แต่ถ้าจะลงที่หนองโพเสียก่อนก็ดี เพราะถ้าอย่างไรเสียก็สึกเสียที่วัดหนองโพเลย ไม่ต้องตะรอนไปไกล จึงตอบโยมพวกนั้นไปว่า
    “อาตมาจะไปพิษณุโลก แต่โยมว่าหลวงพ่อเดิมท่านอยู่หนองโพ เป็นทางผ่าน อาตมาก็จะเดินทางไปนมัสการหลวงพ่อเดิมพร้อม ๆ กับโยมเลยทีเดียว”
    มันเหมือนปาฏิหาริย์ พออาตมารับปากโยม รถไฟก็ติดเครื่องเปิดหวูดออกเดินทางพอถึงสถานีหนองโพ อาตมาก็ลงรถไฟพร้อม ๆ ญาติโยม สถานีรถไฟหนองโพตอนนั้นเล็กนิดเดียว ไม่น่าที่ขบวนรถไฟจะจอด หากบารมีหลวงพ่อเดิมไม่ดีจริงแล้วไซร้ คงไม่มีขบวนรถไฟมาจอดเป็นแน่ แต่ด้วยบารมีเทพเจ้าแห่งสี่แควโดยแท้ รถไฟจึงจอดเพราะมีคนเดินทางไปนมัสการหลวงพ่อเดิมกันเต็มตู้รถโดยสาร อาตมาเดินตามญาติโยมไปตามทาง มือสองข้างก็หิ้วกระเป๋าไปด้วย ใจก็คิดว่า เอาล่ะวะได้สึกเสียทีหนึ่งจะได้พ้นจากสภาวะที่น่ารำคาญนี้เสียที ใจมันบอกว่า สึกเถอะ สึกเถอะ เป็นฆราวาสสบายกว่าเยอะ ทำอะไรตามใจชอบ ไม่มีศีล ๒๒๗ ข้อ มาคอยรั้งคอยดึง สึกนั่นแหละดีที่สุด คิดจะสึกมาจนถึงประตูวัดหนองโพ ญาติโยมก็นิมนต์ให้เดินไปข้างหน้า ให้ไปนมัสการหลวงพ่อเดิมก่อน อาตมาก็เดินไปถึงกุฏิของท่าน ภาพที่ได้เห็นก็คือ หลวงพ่อเดิมท่านนั่งตัวตรง เป็นสง่า รูปร่างท่านดูสูงใหญ่แบบคนโบราณ ผิวดำแดงมีรัศมีผ่องใส ผิวหนังเหี่ยวย่นไปทั้งตัว ท่านอยู่ในวัยชราภาพมาก นัยน์ตาของท่านดูเปล่งปลั่งแววแจ่มใสไม่เหมือนตาคนแก่ทั่ว ๆ ไป มีพลัง มีอำนาจ มีพลังดึงดูดเมื่อมองประสานกันแล้วทำให้เกิดความรู้สึกยำเกรงเป็นที่สุด อาตมาก้มลงกราบเบื้องหน้าท่านด้วยความเลื่อมใส นี่หรือหลวงพ่อเดิม แห่งวัดหนองโพที่ผู้คนนับถือ ชราภาพป่านนี้แล้วยังส่อความเข้มขลังและมีพลังอำนาจในตัว นี่เป็นเพราะอะไรกันหนอ หรือเป็นเพราะท่านมีศีลและภาวนา ตลอดจนบารมีอันสูงส่งของท่านคอยเป็นตบะและเดชะอยู่ หลวงพ่อเดิม เทพเจ้าแห่งเมืองสี่แคว กล่าวถามอาตมาด้วยประโยคแรก น้ำเสียงของท่านไม่แหบหรือเล็กเหมือนคนแก่อายุวัย ๙๐ ปีเศษ แต่แจ่มใสและกังวานเป็นยิ่งนัก
    “คุณมาจากอารามไหนกัน”
    “คุณเดินทางเพื่อจะสึกเพียงอย่างเดียวหรือ”
    อาตมาสะดุ้งเพราะไม่ได้บอกใคร แต่หลวงพ่อเดิมรู้ จึงตอบไปตามตรงว่า
    “ขอรับ ผมจะมาสึกหาลาเพศจากภิกษุสภาวะ”
    “อ้อ! อย่างนี้เอง เอาล่ะ อยู่กับฉันไปก่อนก็แล้วกัน วันนี้ไม่เหมาะสำหรับคุยเรื่องการสึกหาลาเพศ”
    ท่านเรียกมัคทายกให้นำอาตมาไปพักที่กุฏิรับรองแล้วสั่งว่า
    “ต้อนรับท่านให้ดี ท่านเป็นแขกของหลวงพ่อ อย่าให้ขาดตกบกพร่องนะ”
    อาตมามีนิสัยอยู่อย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดต้องตอบแทนคุณไม่อยู่เปล่า ๆ เมื่อหลวงพ่อเดิมท่านให้พักอยู่ด้วยในฐานะแขกของท่าน การตอบแทนพระคุณก็คือการไปนวดเฟ้นให้หลวงพ่อเดิมท่านคลายเมื่อย ซึ่งหลวงพ่อเดิมท่านก็มีเมตตากับแขกแปลกหน้าด้วยการพูดคุยเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง
    ตอนกลางคืนอาตมานวดให้ท่าน พอเช้าก็ได้พบกับเรื่องประหลาด คือหลวงพ่อเดิมท่านฉันข้าวต้มตอนเช้า ท่านฉันอาหารแข็งไม่ได้แล้วตอนนั้นพอฉันเสร็จเขาก็พยุงท่านมานั่งเข้าที่ พอสาย ๆ หน่อยก็มีคนมาจากทั่วทุกสารทิศ มานมัสการหลวงพ่อเดิม ท่านก็เป่าหัวให้อย่างแรงทุกคน เป่าจนน่ากลัวว่าจะเป็นลมเพราะหมดแรง แต่หลวงพ่อเดิมท่านก็เป่าอย่างนั้นแหละว่า
    “เพี้ยง ดี...เพี้ยง ดี”
    คนก็ไปเช่าแหวนลงถมบ้าง มีดหมอบ้าง เหรียญบ้าง รูปหล่อบ้าง แล้วแต่จะต้องการ พอมาถึงหลวงพ่อเดิมท่านก็เป่ากำกับให้ เขาก็เอากลับไปบ้านกัน บางคนก็เอานางกวักงาช้างไปค้าขายกันวุ่นไปหมด แต่ผู้คนก็ไม่ได้ขาดสาย วันทั้งลูฏศิษย์ก็ได้แต่มองตาละห้อย ห่วงหลวงพ่อเดิม ซึ่งอายุวัย ๙๐ ปีเศษ เกรงจะมรณภาพเพราะตรากตรำ แต่พูดอะไรไม่ได้ เวลาจะไปไหนมาไหน ตอนนั้นไม่ถนัดแล้ว ต้องเอาเกวียนเล็ก ๆ มาให้ท่านนั่งแล้วก็ลากไปตามทาง ท่านชราภาพจริง ๆ แต่ไม่ยอมหยุดกิจนิมนต์และการรับแขก ศิษย์ก็ไม่กล้าขัดใจท่าน เพราะท่านสั่งว่า ท่านจะสงเคราะห์ญาติโยมจนวาระสุดท้ายของชีวิตของท่าน เวลาตกกลางคืน อาตมาก็อดใจไม่ได้ พอนวดให้ท่าน ก็กราบเรียนถามท่านตรง ๆ ว่า
    “หลวงพ่อขอรับ เพี้ยง ดี เพี้ยง ดี ของหลวงพ่อน่ะมันดีจริงหรือครับ”
    ท่านยิ้มแล้วก็ตอบว่า
    “ดีอย่างไรฉันบอกเธอเดี๋ยวนี้ไม่ได้ ต้องอยู่กับฉันต่อไปจึงจะรู้ดี”
    พออาตมาพูพดเรื่องการสึก หลวงพ่อเดิมก็กระแอมดัง ๆ คล้ายจะดุ
    “แอ้ม อึ้ม อึ้ม อึ้อมม์”
    อาตมาก็เลยไม่ได้สึกต้องอยู่ต่อไป อาตมาเป็นคนซอกแซก มองไปมองมาก็เห็นว่าที่กุฏิหลวงพ่อเดิมด้านนอกมีปี่พาทย์ มีดาบ มีกระบี่กระบองสำหรับต่อสู้และการร่ายรำ อาตมาเป็นคนไม่ชอบเก็บความสงสัย จึงถามท่านตรง ๆ ในคืนต่อมาว่า
    “ดาบเอย กระบี่เอย มีไว้ทำไมกันครับหลวงพ่อ พระใช้ของพวกนี้ได้หรือครับหลวงพ่อ”
    หลวงพ่อเดิมหัวเราะหึ ๆ แล้วกล่าวว่า
    “ช้าไว้ ช้าไว้ เธอเป็นผู้เยาว์ บวชแค่พรรษาเดียว ก็เร่งร้อนจะสึก ฉันจะเล่าอะไรให้ฟัง ฟังแล้วคิดตามไปนะ”
    “วัดในสมัยโบราณครั้งกระโน้น เป็นแหล่งรวมสรรพวิชา เรียกกันว่า “สำนักทิศาปาโมกข์” เชียวนะจะบอกให้ บางแห่งก็เรียก “ตักศิลา” ดังนั้นผู้เข้ามาในวัดนั้นจึงไม่ได้เข้ามาทำบุญอย่างเดียว แต่เข้ามาศึกษาหาความรู้กับพระในวัดด้วย มันเป็นอย่างนี้แหละ”
    นวดไปอีกสักครู่ หลวงพ่อเดิมท่านก็เล่าเรื่องวัดในสมัยโบราณต่อไปอีก ท่านเล่าว่า
    “วัดในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น สอนอะไรบ้าง ก็สอนวิชาราชบุรุษ กฎหมาย นิติศาสตร์ต่าง ๆ เศรษฐศาสตร์ ศิลปหัตถกรรม เรียนเวชศาสตร์ เรียนดนตรีดีดสีตีเป่าต่าง ๆ พระสมัยนั้นสอนได้ทั้งนั้น ทั้งยังมีตำราพิชัยสงคราม ฤกษ์ผานาทีต่าง ๆ”
    อาตมาก็สงสัย จึงถามหลวงพ่อเดิมท่านไปว่า <o>:p></o>:p>[/FONT]

    [FONT=&quot]“ราชบุรุษน่ะ เรียนอะไรขอรับหลวงพ่อ ผมไม่เคยได้ยิน”
    หลวงพ่อเดิมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แล้วอธิบายว่า
    “ราชบุรุษคือ วิชารัฐศาสตร์ การปกครองตนเองและผู้อื่น เข้าวัดต้องปกครองตัวได้ ต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ มีระเบียบมีวินัย สามารถเอาไปใช้ในชีวิตฆราวาสได้ นี่เรียกว่า ราชบุรุษ”

    พอถึงตอนนี้อาตมาก็เลยถามเข้าจุดว่า
    “แล้วมีดพร้ากระท้าขวาน กระบี่กระบองเอาไว้ทำไมกันเล่าขอรับหลวงพ่อ”
    หลวงพ่อเดิมท่านว่า
    “ช่างสงสัยจริงนะ จะบอกให้ กระบี่กระบองคือหัวใจของการรบและการต่อสู้เพื่อป้องกันแผ่นดินไทย เป็นลูกผู้ชาย ต้องเป็นทหาร วัดหนองโพมีดีทางกระบี่กระบองและดาบต่าง ๆ ส่วนวัดอื่น ๆ ในสมัยนั้นก็เก่งไปแต่ละด้าน อักขระบ้าง การสร้างเครื่องรางของขลังบ้าง ดนตรีบ้าง ก็แล้วแต่ใครอยากเรียนอะไร ก็ไปเรียนกัน ดังนั้นวัดจึงเป็นตักศิลาโดยแท้ สมัยก่อนโรงเรียนแบบปัจจุบันไม่มี พ่อแม่ก็ต้องคอยดูว่าวัดไหนเก่งทางไหนก็พาลูกไปเรียน เรียนจบแล้วถ้ายังไม่พอก็ไปเรียนต่อที่วัดอื่น นี่แหละวัดในสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นสำนักเรียนด้วยเหตุนี้”
    อาตมาจึงได้ถามคำถามซึ่งคิดว่าหลวงพ่อเดิมคงไม่ได้เล่าเอาไว้ว่า
    “เหตุใดวัดหนองโพจึงเก่งทางด้านกระบี่กระบอง ขอรับหลวงพ่อ”
    หลวงพ่อเดิมท่านหยุดนิดหนึ่ง แล้วเริ่มเล่าย้อนหลังขึ้นไปสมัยเมื่อกรุงศรีอยุธยาใกล้จะล่ม เหมือนท่านอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยตัวท่านเอง หลวงพ่อเดิมท่านทอดสายตาออกไปนอกกุฏิสู่ความเวิ้งว้างของโลกภายนอก น้ำเสียงของท่านดูกร้าวและแกร่งขึ้นมา คล้ายกับจะรื้อฟื้นความทรงจำอันเจ็บปวดครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาต้องตกอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงที่พม่าข้าศึกเข้าปล้นสะดม เผาผลาญอย่างไร้ความปรานี แล้วเล่าให้ฟังว่า
    “คุณฟังให้ดี ๆ นะ ฉันจะเล่าเรื่องแต่เบื้องหลังให้คุณฟังแล้วคิดตาม ฉันไม่ค่อยจะได้เล่าให้ใครฟัง แต่สำหรับคุณ ฉันจะเผยเรื่องราวโดยไม่ปิดบัง หลวงพ่อเฒ่าแห่งวัดหนองโพ ซึ่งเป็นสมภารองค์แรกของวัดหนองโพ คุณรู้ไหมว่าท่านเป็นใคร เอาละฉันจะบอกให้ ท่านเป็นขุนศึกคู่ใจของพระยาตาก ซึ่งเดินทางจากเมืองตากเข้าสู่กรุงศรีอยุธยาพร้อมกับพระยาตาก เพื่อเข้ามารับตำแหน่งเจ้าพระยาวชิรปราการ ไปครองเมืองกำแพงเพชร แต่พม่าเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ทุกด้าน พระยาตากท่านจึงต้องสู้กับพม่าข้าศึกโดยตั้งค่ายที่วัดพิชัย”
    หลวงพ่อเดิมท่านได้เล่าให้อาตมาฟังต่อไปอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับว่าท่านคืออดีตนักรบแห่งกรุงศรีอยุธยาผู้สละชีวิตเพื่อเป็นชาติพลีในครั้งกระนั้น
    ”ชาวบ้านบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี ตั้งค่ายเข้าต่อตีกองทัพพม่าจนแตกกระจัดกระจายไปถึง ๗ ครั้ง ๗ หน สู้อย่างกล้าหาญ คนเพียงหยิบมือเดียวเมื่อเทียบกับกองทัพพม่า แต่สามารถทำลายกำลังพม่าข้าศึกเป็นก่ายเป็นกองแล้ว ทำไมกรุงศรีอยุธยาจึงล่ม มันไม่ได้ล่มเพราะคนไทยไม่มีฝีมือ แต่พม่าเอาสุกี้พระนายกองมอญที่เคยพึ่งบารมีข้าวแดงแกงร้อนของไทย มาเป็นคนนำทางเข้าทำลายคนไทยประการหนึ่ง”
    ”ประการที่สอง คนไทยเราแตกความสามัคคี เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ค่ายบางระจันสู้จนล้มตายเป็นอันมาก เพราะสุกี้พระนายกองเอาปืนใหญ่มายิงใส่ค่าย ส่งคนไปขอปืนใหญ่จากกรุงศรีอยุธยา ยังถูกคนไทยด้วยกันพูดให้ต้องน้ำตาตกว่า น้ำหน้าอย่างชาวบ้านธรรมดานะหรือจะเอาปืนใหญ่ไปสู้พม่า ขืนเอาไปก็ถูกพม่ามันชิงเอามายิงกรุงศรีอยุธยาเท่านั้นเอง ท่านขุนสรรค์ พันเรือง นายทองแสงใหญ่ นายจันหนวดเขี้ยว นายทองเหม็น นายดอกแก้ว นายแท่น มาประชุมหารือกันแล้วก็ท้อแท้ใจว่า ดูหรือเราสละเลือดเนื้อกันแทบตาย แต่ผลที่ได้รับก็คือ การดูหมิ่นฝีมือและน้ำใจ พม่ามันยิงด้วยปืนใหญ่ทุกวัน ล้มตายกันวันละหลายคน อย่ากระนั้นเลยเปิดค่ายออกไปรบกับมัน ให้รู้ดีรู้ชั่วไปให้โลกเขาร่ำลือว่า ชาวบางระจันยอมสละชีวิตเพื่อรักษาแผ่นดิน”
    หลวงพ่อเดิมท่านเล่าไปอีกว่า
    “คุณรู้ไหมว่า ครั้งนั้นชาวค่ายบางระจันควงมีดพร้า กระท้าขวานดาหน้าเข้าหาห่าปืนใหญ่ของพม่าข้าศึก เข้ารบกับพม่าด้วยความกล้าหาญ เอาชีวิตเข้าแลก ยอมตายกันหมดทั้งค่าย ให้พม่าเดินข้ามศพเข้าสู่กรุงศรีอยุธยาดีกว่าให้พวกมันจับไปร้อยหวายผูกเป็นพวงเอาไปเป็นขี้ข้าที่หงสาวดี พม่าข้ามศพชาวบ้านบางระจันเข้ามาตั้งทัพที่วัดทุ่งพระเมรุ มันจึงไม่เผาทำลาย มันล้อมกรุงเอาไว้ คนไทยมีฝีมือจะสู้พม่า แต่เจ้าบ้านผ่านเมืองสมัยนั้นกลับไม่ยอมสู้ นอนงอมืองอเท้ากะให้น้ำหลาก พม่าจะได้ยกทัพกลับ แต่คราวนี้ผิดคาด พม่ามันเตรียมตัวมาอย่างดี เอาปืนใหญ่ยิงเข้ามาทุกวัน ถูกเรือนชานชาวบ้าน ไฟไหม้วอดวายตายกันเป็นเบือ พระยาตากสุดจะทน ลากปืนใหญ่มายิงใส่พม่า จนล้มตายเกลื่อน กำลังจะบรรจุลูกที่สอง ก็มีคนถือดาบอาญาสิทธิ์มาบอกว่า ให้พระยาตากเข้าไปรับการพิจารณาโทษที่ศาลาลูกขุน ในฐานะฝ่าฝืนกฎมณเฑียรบาล ที่ห้ามยิงปืนใหญ่ก่อนจะได้รับอนุญาต เพราะนางสนมกรมพระแม่จะตกใจ”
    เนื่องจากพระยาตากมีความดีความชอบในแผ่นดินมาก่อน ให้รอลงพระราชอาญา หากฝ่าฝืนยิงปืนอีกจะถูกตัดหัวทันที ในที่สุดพระยาตากได้ตัดสินใจตีหักแหวกวงล้อมพม่าออกจากกรุงศรีอยุธยาเพื่อไปกู้ชาติ หลวงพ่อเฒ่า ซึ่งเป็นหนึ่งในขุนศึกคู่ใจก็ร่วมตีหักออกมาในครั้งกระนั้น ได้ช่วยพระยาตากทำศึกกับพม่าอย่างโชกโชน จนกระทั่งพระยาตากได้รับการสถาปนาเป็นพระเจ้ากรุงธนบุรีมหาราช จึงได้แต่งตั้งหลวงพ่อเฒ่าจะให้เป็นคุณหลวง แต่หลวงพ่อเฒ่าท่านถวายบังคมลาออกจากการรับราชการ เพราะเห็นว่าได้ทำศึกมามากแล้ว ฆ่าคนมาก็มาก จะขอเข้าบวชใพระพุทธศาสนา พระยาตากก็อนุญาตให้ตามที่ขอ หลวงพ่อเฒ่าท่านจึงเดินทางมาจังหวัดนครสวรรค์ แล้วอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ได้มาฟื้นฟูวัดหนองโพขึ้น หลังจากที่กรุงธนบุรีได้เป็นปึกแผ่นแล้ว พระยาตากยังได้ให้คนนำของมาถวายและไถ่ถามทุกข์สุขอยู่เสมอ แต่หลวงพ่อเฒ่าท่านไม่ได้บอกชาวบ้าน ชาวบ้านจึงรู้แต่เพียงว่าท่านบวชแล้วก็ลงเรือมากับเพื่อนภิกษุด้วยกันแล้วอพยพหลบนายภาษีมาตั้งวัดหนองโพ วัดหนองโพจึงมีการสอนวิชากระบี่ กระบอง และวิชาดาบ ได้สืบทอดกันมา หลวงพ่อเฒ่าท่านได้เคยเล่าให้ลูกหลานฟังว่า
    “สมัยกรุงศรีอยุธยานั้น คนที่จะเข้ามาเป็นนักรบชั้นแนวหน้าชั้นขุนศึกนั้น ต้องศึกษาอักขระและภาษาต่าง ๆ ไปจนถึงตำรับพิชัยสงคราม ต้องบวชเรียนวิปัสสนากรรมฐาน ฝึกรากฐานจิตใจเสียก่อนแล้วจึงจะเรียนเพลงอาวุธกันในสำนักเรียน ก็คือวัดทั้งหลายในกรุงศรีอยุธยานั่นเอง แต่ท่านไม่เคยบอกใครนะว่าท่านเป็นอดีตขุนศึกคู่พระทัยของพระเจ้าตากสินมหาราช เพราะท่านไม่ต้องการรำลึกถึงอดีต ท่านวางดาบวางมีดถวายตัวเป็นพุทธบุตรแล้ว ท่านไม่ต้องการข้องแวะอีกแต่การถ่ายทอดวิชานั้น ท่านต้องทำ ด้วยว่าหากไปข้างหน้าเกิดศึกสงคราม วิชาการต่อสู้จะได้ไม่สูญไป ชายไทยจะได้จับดาบจับมีดขึ้นสู้กับข้าศึกได้ ไม่ต้องเป็นขี้ข้าเขา เพราะว่าพระเจ้าตากสินมหาราชกว่าจะกู้ชาติมาได้แต่ละตารางนิ้วนั้น มันยากลำบากเหลือแสน ต้องสิ้นเปลืองชีวิตทหารเป็นก่ายกอง บางครั้งก็ต้องสละพระโลหิตของพระองค์ลงรดแผ่นดินเพื่อแลกเอกราชของชาติไทย นี่แหละคือหลวงพ่อเฒ่าแห่งวัดหนองโพ จำไว้นะคุณ ท่านคือขุนศึกคู่พระทัย หนึ่งในห้าคนของพระเจ้าตากสินมหาราช”
    สำนักวัดหนองโพนั้นมิได้สร้างแค่คนดี พระดี และศิลปินเท่านั้น ยังสร้างนักกระบี่กระบองที่ดีไว้อีกด้วย อาตมาได้เห็นการสอนกระบี่กระบองที่วัดหนองโพ มีพระสอนให้เด็กรู้จักการตี การป้องปัด และการร่ายรำ จึงได้เข้าใจว่า พระในวัดสมัยโบราณท่านไม่ได้ผลาญข้าวสุกชาวบ้านเปล่า ๆ ท่านตอบแทนด้วยการสั่งสอนอบรมลูกหลานของคนที่เอาข้าวปลาอาหารมาทำบุญกับท่านพร้อมกันไปด้วย วันหนึ่งหลวงพ่อเดิมท่านได้เอ่ยเล่าเรื่องวัดสมัยโบราณ สร้างปุโรหิตาจารย์ และถ่ายทอดตำราพิชัยสงคราม ปุโรหิตาจารย์นั้น สมัยนี้ก็เทียบเท่ากับเสนาธิการในการวางแผนการรบ ถ้าเสนาธิการรอบรู้พิชัยสงคราม ย่อมกำชัยชนะมาสู่ผืนปฐพีของตนได้อย่างไม่ยากนัก เพราะตำรับพิชัยสงครามก็คือการหยั่งรู้กำลังศตรูและการเดินทัพของศัตรู ท่านได้ตั้งปัญหาถามอาตมาว่า
    “นี่แน่ะเธอ ตอนกลางคืนเธอเดินอยู่ในป่า เธอรู้ไหมว่าทิศไหนเป็นทิศไหนกันแน่”
    “ไม่รู้ครับหลวงพ่อ กระผมไม่มีความรู้ด้านนี้เลย”
    หลวงพ่อเดิมหัวเราะหึ ๆ อย่างอารมณ์ดีแล้วกล่าวสอนอาตมาให้ได้รู้เคล็ดลับบางประการเอาไว้ เพื่อใช้ประดับสติปัญญา และแก้ไขสถานการณ์เมื่อคับขัน ท่านว่า
    “เมื่อจะหาทิศทางนั้น ถ้ามองไม่เห็นทิศ ให้ดูดาวเหนือ ถ้าดูดาวเหนือไม่เป็นก็ต้องใช้อย่างอื่นแทน นี่แน่ะเธอ ถ้าเธอเดินผ่านหน้าวัด เธอจะรู้ได้ทันทีว่าทิศไหนเป็นทิศไหน ถ้าไม่มีโบสถ์แล้วดูดาวไม่เป็นก็ต้องดูต้นไม้”
    “ดูต้นไม้ ต้นไม้ก็เหมือน ๆ กันนี่ครับ และมันก็ยืนต้นของมันอยู่เฉย ๆ จะไปบอกทิศทางได้อย่างไรกันครับ”
    “ฟังไว้นะเธอ เธอต้องรู้จักต้นไม้ว่า ต้นไม้แบบนี้ขึ้นอยู่ในทิศเหนือ หรือมีกิ่งก้านเอนไปทางทิศเหนือ หรือต้นไม้อย่างนี้ชอบขึ้นหรือเอนไปทางทิศใต้ เป็นต้น”
    “เข้าใจแล้วครับ แล้วไม่มีต้นไม้ ผมจะทำอย่างไรดีเล่าครับ”
    “ไม่ยากเลยนี่เธอ เรียนสมาธิ เรียนกสิณแล้ว ก็ง่ายแล้ว นอนคว่ำลงไปกางแขนทั้งสองข้างออก เจริญสมาธิจนแน่นิ่ง อธิษฐานจิตจะเกิดพลังความร้อนแผ่กระจายจากทรวงอกไปยังแขนข้างใดข้างหนึ่ง ข้างไหนร้อนนั่นแหละแขนชี้ไปทางทิศเหนือ”
    หลังจากนั้นหลวงพ่อเดิมได้สอนวิชาเมฆฉายให้แก่อาตมา ท่านกล่าวเล่าว่า
    “แม่ทัพสมัยก่อนโน้นเวลาจะออกรบทัพจับศึก นอกจากจะเตรียมอาวุธไว้ป้องกันตัวและคาถาอาคมแล้ว ยังทำเมฆฉายด้วยการยกร่างของตนเองขึ้นไปบนก้อนเมฆ ทำนิมิต จะมองเห็นเลยว่าไปคราวนี้เป็นอย่างไร ถ้าไปดีมีชัยก็จะติดต่อกันทั้งร่าง ถ้าลางร้าย ตัวนิมิตบนก้อนเมฆจะคอขาด แขนขาด ต่อกันไม่ติด ก็รู้ล่ะว่าออกไปแล้วจะตาย ก็จะสั่งเสียและฝากฝังลูกเต้าไว้กับพระเจ้าแผ่นดิน แล้วตัวเองก็ออกไปตายอย่างชายชาติทหาร นี่แหละพิชัยสงครามล่ะเธอ”
    อาตมายังทันเขาโกนจุกกันข้างวัดหนองโพ หลวงพ่อเดิมท่านเห็นว่าอาตมาเป็นพระบวชใหม่จึงถามว่า
    “สวดได้ไหมล่ะ จะได้ไปสวดมนต์ด้วยกัน”
    อาตมาก็ตอบว่า “ได้ขอรับ กระผมสวดได้” <o>:p></o>:p>[/FONT]

    [FONT=&quot] ท่านก็ให้ไปด้วย พอพระสวดเสร็จ เขาก็ให้ปี่พาทย์ของวัดนั่นแหละบรรเลงเพลงแบบการต่อสู้ แล้วก็มีเด็กวัดหนองโพอีกนั่นแหละแต่งตัวทะมัดทะแมง มารำกระบี่กระบองตีกันอย่างคล่องแคล่วว่องไว ค่าบูชาครูหกบาทใส่พานพร้อมดอกไม้ ธูปเทียน เงินหกบาทที่ได้หลวงพ่อก็แบ่งให้เด็ก ๆ ตามแต่คนไหนบ้านมีฐานะดีก็เอาไปน้อยหน่อย คนที่พ่อแม่ยากจนหรือเป็นกำพร้าก็ได้มาก เอาไว้เรียนหนังสือให้เป็นเจ้าคนนายคนต่อไป ลิเกวัดหนองโพก็มีการสอน อาตมากล้าพูดได้ว่า วัดหนองโพมีลิเก หลวงพ่อเดิมท่านเอามาหัดให้มีอาชีพกัน เมื่อมีวงปี่พาทย์ก็ต้องมีลิเก ที่วัดเทวราช จังหวัดอ่างทอง ก็มีเหมือนกัน ตอนที่อาตมาเล็ก ๆ ยังจำได้คนที่สอนกลอนลิเก ไม่ใช่ครูลิเก แต่เป็นสมภารวัดเทวราช ท่านเก่งเทศน์มหาชาติ เจ้าบทเจ้ากลอน ท่านก็สอนกลอนลิเกให้ครูโรงเรียนก็จัดเด็กที่ยากจนเอามาหัดเล่นลิเก ไม่ต้องเล่นเรื่องอะไรหรอก มหาชาติตั้งแต่ทศพรไปจนจบ คนดูติดกันเกรียวกราว พอเอ่ยถึงลิเกเทวราชแล้วทุกคนร้อง อ๋อ! ต้องรีบไปรอหน้าโรงแต่หัววัน[/FONT][FONT=&quot]
    หลวงพ่อเดิมท่านไม่แต่เพียงให้มีการสอนลิเกที่วัดหนองโพเท่านั้น เพลงฉ่อย เพลงเกี่ยวข้าว หลวงพ่อเดิมก็สอนให้หมด รักษามรดกทางวัฒนธรรมเอาไว้ไม่ให้สูญหาย หลวงพ่อเดิมท่านเป็นพระนักอนุรักษ์ของโบราณโดยสายเลือดทีเดียว พระสมัยก่อนนั้นท่านเก่งทุกด้านนะ ไม่ใช่แค่นั่งเทศนาอย่างเดียว ท่านรอบรู้ไปเสียทุกอย่าง เรียกว่า พระสมัยนั้นเป็นพระที่เก่งทั้งทางโลกและทางธรรม
    อาตมาอยู่วัดหนองโพนานวันเข้า เรื่องจะสึกก็ยังคิดอยู่ พอเห็นว่าสมควรแก่เวลาก็คลานเข้าไปหาหลวงพ่อเดิม แล้วก็กราบเรียนท่านว่า
    “หลวงพ่อขอรับ กระผมจะสึกละขอรับ อยากเป็นฆราวาสเต็มแก่”
    หลวงพ่อเดิมท่านหันมาจ้องดูแล้วก็ทำเหมือนครั้งแรกที่เคยเจอท่านกระแอม
    “แฮ้ม แฮ้ม แฮ้ม แฮ้ม แฮ้ม หยุดไว้ก่อน คุณอย่าเพิ่งจะมาสึก ตอนนี้ไม่ถึงเวลา”
    อาตมาก็ไม่กล้าจะพูดเรื่องสึกต่อไป แต่ก็คิดอุบายมาได้ว่าก็ไหน ๆ จะสึกแล้ว ไม่วันใดวันหนึ่งทำไมไม่ขอคาถามหานิยม สีผึ้ง สึกไปแล้วจะได้จีบผู้หญิงได้ง่าย ๆ มีภรรยาสวย ๆ เลยกราบเรียนท่านไปว่า
    “ไม่ถึงเวลาก็ไม่เป็นไรขอรับ กระผมขอคาถามหานิยมอย่างเด็ดขาดสักบท ที่สีปากด้วยสีผึ้ง แล้วผู้หญิงเดินตามต้อย ๆ กระผมอยากได้มานานแล้ว”

    อาตมารบเร้าเรื่องคาถามหาเมตตาจากหลวงพ่อเดิม ท่านก็สอนเป็นปรัชญาเรื่อยไป อาตมาก็อยากจะสึกแต่ไม่กล้าจะรบเร้าท่านมาก ท่านคอยห้ามเอาไว้ในที ส่วนใหญ่จะว่าไม่ได้ฤกษ์สึก ในที่สุดอาตมาก็รบเร้าเอาจนหลวงพ่อเดิมท่านใจอ่อน หลวงพ่อเดิมท่านก็หัวเราะหึ ๆ แล้วก็ยิ้มอย่างเมตตา ก่อนจะสั่งให้หากระดาษดินสอมาให้ท่าน ท่านให้คาถาสารพัด จดกันไม่หวาดไม่ไหว จดแล้วท่านบอกให้ไปท่องให้ได้ โอ้โหคาถามากมายจนอาตมาไม่ต้องมาขอคาถาเพิ่ม มัวแต่ท่องคาถา เรื่องสึกก็เลยลืมไป เห็นไหมล่ะหลวงพ่อเดิมท่านทันคนขนาดไหน ท่านดัดหลังแก้ลำอาตมาจนเซ่อไปเลยทีเดียว คาถาบทหนึ่งซึ่งหลวงพ่อเดิมท่านใจอ่อนให้ถาคาไว้ ซึ่งเป็นคาถาที่ศิษย์หลวงพ่อเดิมใช้กันทุกคน คือ
    นะ เมตตา
    โม กรุณา
    พุท ปรานี
    ธา ยินดี
    ยะ เอ็นดู
    มะ คือตัวกู
    อะ คือคนทั้งหลาย
    อุ เมตตาแก่กูสวาหะ
    นะ โม พุทธายะ

    อาตมาสุดแสนดีใจว่าได้คาถาเมตตาเอามาท่องจนขึ้นใจ คราวนี้ได้การล่ะ สึกเมื่อใดจะได้เอาไปใช้ให้สมกับที่รอ แต่จนแล้วจนรอด หลวงพ่อเดิมก็ไม่สึกให้เสียทีหนึ่ง คอยว่าเมื่อใดเหลวงพ่อจะเมตตาสึกให้ ก็ไม่มีวี่แวว อาตมาท่องจนขึ้นใจ แต่ก็ไม่ได้รู้ว่าคาถานั้นแท้ที่จริงอยู่ในพระกรรมฐานนั่นเอง เพราะพระกรรมฐานสอนให้แผ่เมตตา ถ้าไม่มีเมตตาปรานีแล้ว ท่องคาถาไปก็เปล่า ๆ พอมานั่งเจริญพระกรรมฐานจริงจัง หลังจากหลวงพ่อเดิมมรณภาพไปแล้ว จึงกระจ่างมองเห็นภาพท่านสอนคาถาเมตตาให้ทุกอิริยาบถ นี่เป็นอย่างนี้ หลวงพ่อเดิมท่านเป็นพระทันสมัยทันการณ์ทุกอย่าง อาตมายังได้คาถาอีกบทหนึ่งซึ่งท่านสอนให้ เนื่องจากอาตมาปรารภจะได้คาถาเมตตาชนิดที่เรียกว่า ภาวนาแล้วผู้หญิงติดเป็นตังเม หลวงพ่อเดิมท่านก็เลี่ยงไปเลี่ยงมา ในที่สุดก็จดคาถาให้ว่า
    นะกาโรกุกะสันโธ สิโรมัชเฌ
    โมกาโรโกมะนาคะมะโน นลาถิเต
    พุทกาโรกัสสะโปพุทโธ จะเทวเนตเต
    ธากาโรศากยะมุนีโคตโม จะเทวกัณเณ
    ยะกาโรศรีอริยะเมตตรัยโย ชีวหาถิเต<o>:p></o>:p>[/FONT]

    [FONT=&quot] ปัญจะพุทธานะมามิหัง[/FONT][FONT=&quot]
    เมื่อหลวงพ่อเดิมให้คาถามา อาตมาก็ท่องไปเรื่อย ๆ และในที่สุดก็ไม่ได้ใช้ เพราะไม่ได้สึก พอมาเรียนพระกรรมฐานและสติปัฏฐานสี่ ในตอนหลังนี้ก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่า คาถาที่หลวงพ่อให้ ไม่ใช่คาถาเมตตาที่ไหนเลย แต่เป็นคำสอนของพระบรมศาสดาทั้งนั้น ก็คือว่า ให้ระมัดระวังศีรษะ ให้รู้จักน้อมคารวะผู้มีคุณธรรม หน้าผากก็ให้ผ่าเผยด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้ม ดวงตาให้สำรวมระวังในการมองดู เพราะนั่นเป็นทางเกิดกิเลสต่าง ๆ ให้สำรวมระวังหู ให้ฟังแต่สิ่งดี ๆ อย่าไปฟังเรื่องไม่ดี ฟังหูไว้หู ให้หูหนักเข้าไว้ อย่าหูเบา และลิ้นนั้นให้ระวังสำรวมในรสอาหาร อย่าไปติดมันเข้า เพราะมันทำให้เกิดกิเลส ดังนั้นคาถาเมตตาของหลวงพ่อเดิม จึงรวมเอาคำสอนของพระบรมศาสดา เรื่องการสำรวมระวังอินทรีย์ทั้งนั้น แต่เมื่อคนเกิดไปภาวนาด้วยความมั่นใจแล้วก็ทำให้ขลังขึ้นได้เหมือนกัน อาตมาได้เรียนถามหลวงพ่อเดิมต่อไปถึงเรื่องมนตรามหาเสน่ห์ ที่ได้จดจากหลวงพ่อเดิมไปหลายบทด้วยกันว่า
    “หลวงพ่อครับ เอาบทที่ว่าแน่ ๆ เสกแล้วผู้หญิงรักสักบทเถอะ มากนักผมว่าไม่ค่อยจะดี”
    เทพเจ้าแห่งวัดหนองโพหันมาหัวเราะหึ ๆ ก่อนจะกล่าวตอบต่อไปว่า
    “ต้องการอย่างนั้นจริง ๆ นะ ไม่กลับคำนะ สัจจังเว อมตฺตา วาจา นะ”
    “แน่นอนครับ ผมสึกออกไปอยากได้เมียสวย ๆ สักคน ต้องเสกคาถากันหน่อยละครับ”
    “เอาฟังให้ดี ๆ นะแล้วจำเอาไว้ก็แล้วกัน พูดจริง ทำจริง ทุกสิ่งผู้หญิงดีรัก พูดไม่จริง ทำไม่จริง ทุกสิ่งผู้หญิงเลวรัก ผู้หญิงมีหลายอย่างนะ ผู้หญิง ผู้หยังแม่กระชังก้นรั่ว มาเที่ยวเลาะขอบรั้วหาดีไม่ได้ ผู้ชายก็ชายกระเบน ไม่เอาไหนก็เลยไปกันใหญ่”
    เมื่อท่องหนักเข้า อาตมาก็สงสัยขึ้นมาว่า คาถานี้ใช้อย่างไรดี วันหนึ่งเห็นหลวงพ่อเดิมกำลังเป่าหัวศิษย์ เสียงว่า “เพี้ยง...ดี” ไม่เห็นท่านท่องคาถาสักบท อาตมาก็จำเอาไว้ เอาล่ะเป็นไงเป็นกัน ให้คาถาเรามาท่องยืดยาว แต่พอถึงคราวท่านเองกลับไม่ท่อง ใช้ลมปากเป่าเพี้ยง ๆ พอตกกลางคืนไปนวดให้ท่าน อาตมาก็เลยตัดพ้อต่อว่าหลวงพ่อเดิมท่านว่า
    “หลวงพ่อให้คาถากระผมไปท่องตั้งมากมาย ผมก็ท่อง กะว่าจะดีให้ได้ แต่พอเห็นหลวงพ่อเป่า เพี้ยง ดี เพี้ยง ดี ให้คนอื่น หลวงพ่อไม่เห็นท่องคาถาอะไรเลย จับหัวมาได้ก็เป่าเพี้ยง ดี เพียง ดี อย่างนี้ผมก็ท่องเสียเวลาเปล่า”
    หลวงพ่อเดิมท่านก็เลยไขความลับให้อาตมาฟัง ทำให้อาตมาได้หูตาสว่างกันตอนนั้นเอง ท่านบอกอย่างนี้
    “คาถาน่ะไม่ขลังหรอก เขาเอาไว้ท่องเอาไว้เป็นองค์ภาวนา เพื่อให้จิตเป็นหนึ่งต่างหาก เหมือนเราจะเดินข้ามแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว เปรียบเหมือนกำลังจิตที่ไม่เป็นระเบียบ ไม่เป็นอำนาจอันมหาศาล ต้องอาศัยการภาวนาคาถา เพื่อให้จิตเป็นหนึ่ง ใช้คาถานั่นแหละเป็นองค์ภาวนาต่างสะพานข้ามฟากไป พอจิตข้ามฟากไปถึงจุดหมายปลายทาง คือเป็นหนึ่งเป็นพลังมหาศาลแล้วก็รื้อสะพาน คือคาถาที่ภาวนาทิ้งไป จิตเป็นหนึ่งเป็นพลังมหาศาล แล้วเขาเรียกว่าจิตตานุภาพ ฉันจึงไม่ต้องท่องคาถา แต่ใช้เจริญจิตให้เป็นหนึ่งแล้วเป่าลมปราณ อธิษฐานให้เขาสมหวังว่า เพี้ยง ดี เพี้ยง ดี เข้าใจหรือยังล่ะ ไปท่องต่อไป ท่องให้จิตมันข้ามฟากให้ได้”
    อาตมาก็ถามว่า ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น หลวงพ่อเดิมท่านก็อธิบายให้อาตมาฟังต่อไปว่า
    “ตอนแรกก็ยกระดับจิตขั้นประถมก่อน แล้วภาวนาขึ้นไปถึงชั้นมัธยม แล้วก็เจริญให้เป็นเอกัคคตา มันเป็นการเจริญภาวนา เจริญจิตให้เป็นเอกัคคตา เมื่อจิตบริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสทั้งหยาบและละเอียดแล้ว จะต้องการอะไรก็ได้ทุกประการ คิดเงินก็ได้เงิน คิดทองก็ได้ทอง แต่หลวงพ่อคิดแต่เมตตาให้เขาได้พ้นเคราะห์ ให้เขารวย ให้เขาดี เป่าไปเขาจึงได้ตามที่หลวงพ่อให้ไป” และท่านบอกว่า “คุณท่องต่อไปเถอะ ทำให้จิตเป็นเอกัคคตาให้ได้ แล้วก็จะรู้เองว่า เพี้ยง ดี ของหลวงพ่อเป็นอย่างไร”<o>:p></o>:p>[/FONT]

    [FONT=&quot] อาตมานวดหลวงพ่อเดิมทุกคืน ตลอดเวลาหกเดือนที่อยู่กับท่าน มันเป็นเรื่องน่าแปลก ไม่มีพระสักองค์ที่มานวดท่าน มาขอของดีจากท่านเหมือนอาตมา ใกล้เกลือกินด่างกันหมด อาตมาจึงว่า แม้อาตมาจะอยู่กับหลวงพ่อเดิมไม่นาน แต่อาตมาได้ของดีจากหลวงพ่อเดิมมามากพอสมควร คิดถึงเดี๋ยวนี้แล้วก็เสียดายว่า เราหนอเรา ทำไมไม่รู้จักหลวงพ่อเดิมก่อนหน้านี้นาน ๆ เสียดายเหลือเกิน[/FONT][FONT=&quot]
    อาตมาขอเล่าเรื่องแปลก ๆ ให้ฟังเรื่องหนึ่ง คนที่มาหาหลวงพ่อเดิมไม่ได้มารับแหวน รับมีด รับเหรียญ รับรูปหล่ออย่างเดียว แต่มาขอรอยเท้าหลวงพ่อ อาตมานี่แหละเป็นคนเอาครามมาทาเท้าหลวงพ่อ แล้วก็เอาหมอนรอง เอาผ้าขาวปูแล้วหลวงพ่อเดิมท่านก็เหยียบรอยเท้าลงไปแล้วก็เป่า “เพี้ยง ดี” เอาให้คนที่ต้องการเอาไป ดูเอาซีความดีของหลวงพ่อเดิมน่ะ แม้แต่รอยเท้าเขาก็เอาไปบูชากัน นี่แหละ อำนาจแห่ง ศีล ทาน และภาวนาของท่าน อาตมายังจำภาพเก่า ๆ ได้ดี ไม่มีวันลืม ก็เลยไม่สึกออกไปมีลูกมีเมีย ท่านช่างล่วงรู้เข้าไปถึงใจอาตมา หลายวันเข้า อาตมาก็อดที่จะถามไม่ได้ เพราะว่ามันมีความอยากรู้อยากเห็นว่าทำไมหนอ คนจึงต้องการรอยเท้าหลวงพ่อเดิมไปบูชารอยเท้าของท่านดีอย่างไรกันแน่ คืนหนึ่งได้โอกาสนวดท่าน แล้วก็เลยถามท่านตรง ๆ ว่า
    “หลวงพ่อครับ รอยเท้าหลวงพ่อที่เขามาเอาไปบูชาน่ะดีตรงไหน เห็นเขามาเอาไปทุกวัน ๆ ช่วยบอกให้กระผมได้ตาสว่างสักหน่อยเถอะขอรับหลวงพ่อ”
    เทพเจ้าแห่งวัดหนองโพ หันหน้ากลับมามองอาตมา นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ไม่พูดว่าอะไร อาตมาก็นิ่งคอยฟังว่า หลวงพ่อเดิมท่านจะพูดถึงรอยเท้าของท่านว่าอย่างไร ท่านดูเหมือนจะทิ้งช่วงเพื่อเหตุผลอะไรสักอย่าง แล้วท่านจึงได้กล่าวกับอาตมาให้ได้เข้าใจเป็นปรัชญาที่อาตมากล้าท้าได้ว่า ผู้มีรอยเท้าหลวงพ่อเดิมติดตัวจะไม่เคยรู้ความหมายของรอยเท้าหลวงพ่อเดิมมีอย่างไรหลวงพ่อเดิมท่านตอบอาตมาว่า
    “ในปีพุทธศักราช ๒๔๘๕ ประเทศไทยต้องถูกญี่ปุ่นเข้ายึดไว้เป็นทางผ่าน จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องเซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ทำให้สัมพันธมิตรประกาศสงครามกับไทยไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ ลำพังประกาศสงครามธรรมดาคงไม่เป็นไร แต่นี่เล่นแห่กันเอาระเบิดมาทำลาย มาถล่มใส่ที่มั่นของฝ่ายญี่ปุ่นในประเทศไทยอย่างหนัก ผลของการทิ้งระเบิดทำให้ชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยพินาศไปไม่น้อย ผู้คนต่างก็หวาดกลัวภัยสงครามกันแทบเป็นบ้า ข้าวยากหมากแพงอดอยากกันทั่วหน้า ประชาชนชาวนครสวรรค์และใกล้เคียงต่างก็พากันเสาะหาของขลังติดบ้าน ติดตัว กลัวภัยระเบิด ที่มีสตางค์ก็ไปบูชาวัตถุมงคลมาไว้เป็นกำลังใจ โดยเฉพาะวัดหนองโพนั้น วันหนึ่ง ๆ คราคร่ำไปด้วยผู้คนที่มาเช่าแหวน รูปหล่อ เหรียญ มีด พระงาแกะ สิงห์งาแกะกันเป็นจ้าละหวั่น คนที่ไม่มีเงินก็ได้แต่หน้าเศร้าเพราะกรรมการวัดเขาสร้างวัตถุมงคลต้องลงทุนด้วยเงิน เขาก็ให้เช่าบูชา ส่วนที่เกินทุนออกมา หลวงพ่อเดิมท่านก็เอาไปสร้างโบสถ์วิหาร ศาลาการเปรียญตามวัดต่าง ๆ ให้เจริญยิ่งขึ้น จะเป็นใครเป็นผู้ริเริ่มนั้นยืนยันไม่ได้ แต่ปรากฏว่ามีผู้นำเอาผ้าขาวมาให้หลวงพ่อเดิมเหยียบรอยเท้า สีที่ใช้ก็คือ ครามลงผสมน้ำนี่เอง เอามาทาฝ่าเท้าหลวงพ่อเดิมแล้วให้ท่านเหยียบ
    การเหยียบตอนแรกเหยียบกับกระดาษเปล่า ติดชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง ก็ว่ากันไปตามสะดวก ต่อมามีผู้ไปเกิดประสบการณ์ต่าง ๆ เช่น ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า ตีไม่แตก บางทีก็เอาไปโบกไล่เครื่องบินให้วนไปที่อื่น หรือโบกปัดระเบิด บางบ้านรอบ ๆ บ้านพินาศยับเยินด้วยแรงระเบิดทำลาย แต่บ้านที่มีรอยเท้าหลวงพ่อเดิมกลับปลอดภัย ไม่มีกระเบื้องแตกสักแผ่น เล่าลือกันหนักเข้า หลวงพ่อเดิมก็ต้องนั่งประทับรอยเท้าจนขาเมื่อย ทางวัดได้จัดบริการแบบใหม่คือ หาหมอนมารองเป็นที่ประทับรอยเท้าหลวงพ่อเดิม เมื่อเอาครามทาฝ่าเท้าหลวงพ่อเดิมแล้ว ก็วางผ้าขาวลงไปบนหมอน แล้วหลวงพ่อเดิมท่านก็ประทับรอยเท้าลงไป ปรากฏว่าไม่ต้องออกแรงมาก ลายเท้าติดชัดเจนเรียบร้อย
    วันหนึ่ง หลวงพ่อห้อยเท้าเหยียบรอยเท้าเป็นชั่วโมง ๆ จนศิษย์สงสาร พากันอุ้มหลวงพ่อเดิมหนีเข้ากุฏิไป หลวงพ่อเดิมท่านก็ร้องว่า อย่าเลย ๆ เขาต้องการพบฉัน อย่าให้เขาเสียศรัทธา พอศิษย์วางลงผู้คนก็ฮือกันเข้าไปใหม่ เล่นกันเหงื่อไหลไคลย้อย หลวงพ่อน้อย (ท่านพระครูนิพันธ์ธรรมคุต) อดีตเจ้าอาวาสหนองโพ เคยขอเรียนวิชากับหลวงพ่อเดิม ท่านไม่ขัดข้อง แต่ท่านได้ให้คติไว้ข้อหนึ่งว่า
    “อยากได้วิชา ฉันไม่หวง แต่เมื่อเป็นแล้วละก็ จะมานึกถึงตัวภายหลังจะได้ไม่มาว่ากัน ว่าไม่บอกเสียก่อน”
    เมื่อหมดผู้คนที่มาหลวงพ่อเดิม เทพเจ้าแห่งวัดหนองโพ จึงปรารภเป็นทำนองขบขันกับศิษย์ว่า
    “มันทำเหมือนฉันเป็นหนูถีบจักร เหนื่อยเหลือเกิน”
    ปู่โคน อินยิ้ม อดีตมัคทายกวัดหนองโพได้กล่าวถึงการเหยียบรอยเท้าหลวงพ่อเดิม ท่านเหยียบรอยเท้าต้องยกเท้าขึ้นลงอย่างนั้นว่า
    “หลวงพ่อท่านบอกเป็นปริศนาว่าฉันใช้กรรมเขาให้หมด กรรมที่ฉันตกปลอกช้างที่จับเอามาช่วยงานไงละ มันไปไหนไม่ได้ ก็ยกขาขึ้น ๆ ลง ๆ เพื่อให้หายเหนื่อย ฉันก็เลยผ่อนใช้กรรมเขาไป”
    เมื่อหลวงพ่อเดิมท่านประทับรอยเท้าครั้งหนึ่งก็จะเอามือสองข้างกดที่หัวเข่าแล้วเป่าเพี้ยงลงไปพ้วงหนึ่ง ทุกครั้งเป็นการกำกับ และเมื่อท่านไปเหยียบรอยเท้าครั้งใหญ่ที่ค่ายจิรประวัติ มณฑลทหารบกจังหวัดนครสวรรค์ ท่านเคยใช้นะปัดตลอดเหยียบรอยเท้าทะลุ ครั้งละ ๑๐ ผืน เพื่อให้ทันกับเวลาและจำนวนทหาร ซึ่งเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย เพราะหลวงพ่อเดิมท่านไม่อาจเลี่ยงได้ เพราะท่านไม่คาดว่าเขาจะให้ท่านเหยียบมากมายขนาดนั้น ครามที่ใช้ผสมน้ำนั้นมีหลายสี สีน้ำเงินแก่ก็มี น้ำเงินอมฟ้าก็มี น้ำเงินอมดำก็มี และที่ออกม่วงก็เคยพบ แต่ที่เหมือนกันก็คือ ถ้าถูกน้ำแล้วจะละลาย เพราะครามกลัวน้ำเป็นอย่างยิ่ง สีจะซีดจางหรือไม่ อยู่ที่การรักษาสภาพไม่ให้ถูกความชื้น ถูกแดดหรือถูกเหงื่อจนชุ่ม นั่นคือผ้ารอยเท้าของเทพเจ้าแห่งวัดหนองโพ อาตมาเรียนถามหลวงพ่อเดิมเรื่องรอยเท้าของท่านว่า
    “ที่หลวงพ่อเหยียบรอยเท้าให้เขาไปนั้น มันดีอย่างไรครับ บอกให้กระผมได้ตาสว่างสักครั้งหนึ่งเถิดขอรับ”
    เทพเจ้าแห่งวัดหนองโพมองดูหน้าอาตมาก่อนจะกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงอันดังกังวานว่า
    “เอ้อ ตาดีก็ได้ ตาร้ายก็เสีย หูดีก็ได้ หูร้ายก็เสีย”
    อาตมาถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก เพราะหลวงพ่อเดิมท่านตอบไม่ตรงคำถาม จึงรุกเข้าไปถามใหม่
    “ไม่ใช่อย่างนั้นหลวงพ่อครับ กระผมต้องการรู้ว่าที่เขาเอาไปใช้กันน่ะดีทางไหนกันแน่ ถึงได้มาขอกันจนเหยียบไม่ได้หยุด”
    “เอ้องั้นเรอะ ฟังนะ เขาว่าดีเอาไปโพกหัวแล้วยิงไม่ออก โพกหัวแล้วตีไม่แตก นั่นว่ากันอย่างนั้น ฉันไม่ได้ว่านะ เขาว่ากันไปเองแหละ”
    “อ้าวแล้วอย่างนั้นหลวงพ่อให้เขาเอาไปทำไมกันล่ะครับ ถ้าหลวงพ่อไม่ได้ว่าดี เขาว่ากันเองล่ะก็”
    “เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับฉันนี่คุณ ธรรมะของฉันที่ฉันฝากไว้ในรอยเท้ามันไม่ใช่อย่างที่เขาเล่าลือกัน”
    “ธรรมะอะไรกันครับหลวงพ่อ ช่วยอธิบายให้ผมเข้าใจหน่อย ผมงงไปหมดแล้ว”
    เทพเจ้าแห่งวัดหนองโพนิ่งสักครู่ เหมือนจะรวบรวมจิตแสดงธรรมให้อาตมา ซึ่งเป็นภิกษุหนุ่มฟัง อาตมาก็นิ่งคอยฟัง หลวงพ่อเดิมได้เผยธรรมะในรอยเท้าของท่านอย่างแจ่มแจ้ง ซึ่งอาตมาเชื่อแน่ว่าผู้ที่มีรอยเท้าของท่านคงไม่มีโอกาสรู้ เพราะมัวแต่ไปคิดว่ามหาอุด คงกระพัน กันลูกปืนเสียเป็นส่วนใหญ่ หลวงพ่อเดิมท่านว่าอย่างนี้
    [/FONT]
    [FONT=&quot]“รอยเท้าของฉันเหยียบไว้เป็นที่ระลึกว่า ฉันคือหลวงพ่อเดิม ที่ในหลวงท่านพระราชทานสมณศักดิ์ให้เป็นพระครูนิวาสธรรมขันธ์ หมายถึงว่า เป็นที่ตั้งแห่งธรรมทั้งปวง ฉันปฏิบัติในกรอบแห่งความดี ฉันไม่เบียดเบียน ฉันสร้างความเจริญในถิ่นกันดาร ฉันทำดีเพื่อให้พระศาสนารุ่งเรือง เมื่อได้รอยเท้าของฉันไปแล้วก็จงระลึกว่า หลวงพ่อเดิมท่านทำดี เราควรทำความดีเจริญรอยตามรอยเท้าของท่านไปเป็นคนดี คิดดี ทำดี อยู่แต่ในศีลธรรมอันดีงาม นั่นแหละรอยเท้าของฉันจึงจะขลัง ไม่ใช่เอาไปโพกหัวแล้วยิงไม่ออก แต่ไม่เคยมีใครถามฉันสักราย เห็นแต่เอารอยเท้าไปติดตัวแล้วหายเงียบไป”[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]อาตมาได้ฟังจบลงแล้วน้ำตาคลอ มันซาบซึ้งใจจริง ๆ ตั้งแต่บวชมาจนคิดจะสึกก็เพิ่งพบหลวงพ่อเดิมนี่แหละที่ท่านมีปรัชญาอันซาบซึ้งใจของอาตมา อาตมากล้าพูดได้ว่า หกเดือนที่อยู่วัดหนองโพ ทำให้อาตมาเป็นพระเต็มตัว ความคิดสึกหมดไป เพราะเห็นแล้วว่าพระที่ดีอย่างหลวงพ่อยังมี พระที่ไม่ดีที่เราเคยเห็นมานั้นเทียบกับท่านไม่ได้ เหมือนเพชรกับแก้วที่ไม่อาจมาเคียงคู่กันได้เลย[/FONT][FONT=&quot]<o>:p></o>:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]หลวงพ่อเดิมยังให้แง่คิดกับอาตมาอีกอย่างหนึ่งในวาระนั้นว่า[/FONT][FONT=&quot]
    “คุณฟังฉันให้ดี ๆ นะ คนที่มาวัดนั้นร้อยละแปดสิบเป็นพวกคนโง่ จ้องจะมาเอาแต่ของขลัง เพราะเขายังห่างธรรมะ ร้อยละยี่สิบเข้ามาหาธรรมะมาสนทนาธรรมกับฉัน มีเพียงไม่กี่คนที่ถามฉันเหมือนที่คุณถามฉัน ก็จะบอกกับเขาว่า”
    “เอารอยเท้าฉันไปนะ ฉันเป็นอุปัชฌาย์ของเธอ ฉันเป็นพระที่เธอนับถือ ฉันไม่เก่งอะไรหรอก แต่ฉันสร้างความดี เธอจงเอารอยเท้าฉันไปดูให้ติดตา แล้วทำความดีตามรอยเท้าฉัน แล้วจะประสบความสุขความเจริญทั่วหน้า”
    หลวงพ่อเดิมท่านสอนเรื่องการบวชโดยกล่าวกับอาตมาว่า
    “นี่แน่ะคุณ คุณลองนึกย้อนกลับไปดูซิว่า ก่อนที่คุณจะกล่าวคำขอบวชน่ะ ต้องพากเพียรท่องขานนาคขนาดไหน ต้องสวมเสื้อครุยแบบเนติบัณฑิตขลิบทองสวยงาม เข้าขบวนแห่ พ่อแม่ญาติพี่น้องก็ดีใจกันใหญ่ว่า เออ ลูกหลานเราได้บวชแล้ว จะได้เป็นบัณฑิตสมกับที่ได้ตั้งใจนำตัวเข้าอุปสมบท
    เข้ามาแล้ววนโบสถ์สามรอบวันทาเสมาเข้ามาในพระอุโบสถ กล่าวคำขออุปสมบทกับเหล่าสงฆ์ต่อเบื้องหน้าพระพักตร์ของพระประธานในโบสถ์ที่แทนองค์สมเด็จพระบรมศาสดา ทีละคำ ๆ ไม่ใช่บวชได้เลยนะ ต้องเอาผ้าไตรถวายอุปัชฌาย์แล้วออกไปให้พระกรรมวาจาจารย์ถามแล้วสอบอีกว่า ครบถ้วนตามพุทธบัญญัติไหม ครบแล้วก็จะมาบอกกับอุปัชฌาย์ว่าครบแล้ว ต้องทำตามขั้นตอนกว่าจะได้บาตรมาสะพาย กว่าจะสำเร็จเป็นองค์พระสงฆ์ต้องสวด ญัตติจตุตถกรรม จึงสำเร็จเป็นภิกษุสภาวะ ตายจากฆราวาส มีนามใหม่เป็นนามสำหรับภิกษุ เช่น หลวงพ่ออุปัชฌาย์ท่านจะกล่าวว่า “พุทธสโรนามะเต แปลว่า เจ้ามีนามว่า พุทธสโรภิกขุ”
    เห็นไหมล่ะว่าการเป็นภิกษุนั้นยากแค่ไหน แต่เวลาสึกซีง่ายเหลือเกิน เพียงแต่ไปคุกเข่าต่อหน้าพระอุปัชฌาย์ แล้วกล่าวคำสั้น ๆ ว่า
    “ข้าพเจ้าขออกจากการเป็นสงฆ์” พระอุปัชฌาย์ก็จะเอื้อมมือไปปลดสังฆาฏิออกจากบ่า แล้วกล่าวคำให้สึกได้ง่าย แต่คุณเห็นไหมว่าสำคัญแค่ไหน สึกออกไปแล้วบางคนแทนที่จะไปเป็นบัณฑิตหรือทิด เปล่าเลยพอสึกเช้า ค่ำก็กินเหล้าเมาหยำเป กลับกลายเป็นหมาไป อย่างน่าเสียดายที่สุด ดูเถิดบวชเรียนมาสามเดือน พอสึกเสร็จกลายเป็นหมาไปแล้ว”<o>:p></o>:p>[/FONT]

    [FONT=&quot] คำว่า พอสึกเช้า ค่ำไปกินเหล้าเป็นหมา เป็นคำพูดจากปากหลวงพ่อเดิม อาตมาไม่ได้แต่งเติมเสริมแต่ง หลวงพ่อเดิมท่านเป็นพระที่พูดตรงไม่อ้อมค้อม ท่านพูดออกมาจากใจของท่านจริง ๆ[/FONT][FONT=&quot]
    กล่าวจบหลวงพ่อเดิมท่านชี้ไปที่เสื้อนาคที่ทางวัดมีไว้ให้สวมเวลาเป็นนาค ท่านย้ำอีกว่า
    “นั่นเห็นไหมล่ะ มีตะลอมพอกเป็นเทวดา สึกเช้า เมาเย็นพวกนี้ไม่สมกับได้บวชได้เรียน ไม่เป็นบัณฑิตกลับเป็นหมาไปได้”
    อาตมาก็เลยถามหลวงพ่อเดิมต่อไปว่า “ก็แล้วบวชพรรษาเดียวกับหลายพรรษามันแตกต่างกันอย่างไรขอรับ”

    หลวงพ่อเดิมท่านก็หัวเราะหึ หึ เหมือนเคยก่อนจะอธิบายว่า
    “บวชสามพรรษาเขาว่าได้ปริญญาตรี เจ็ดพรรษาปริญญาโท สิบพรรษาปริญญาเอก บวชพรรษาเดียวสองพรรษายังเป็นทิดไม่ได้ รู้ไหมล่ะ ทิดมาจากคำว่าบัณฑิต” แล้วท่านก็ชี้ไปที่ชุดสำหรับแต่งบวชนาคของวัดหนองโพ เห็นเป็นเสื้อครุยแบบปริญญาแล้วก็มีมงกุฎแบบตะลอมพอกพร้อมอยู่สำหรับให้พ่อนาคใส่ ดูสวยงามแล้วท่านก็อธิบายต่อไปว่า
    “คนเราเป็นฆราวาส เป็นหนุ่ม มันสุก ๆ ดิบ ๆ แล้วมาบวช พอเป็นพ่อนาคก็ต้องเป็นเทวดา คือสวมชุดตะลอมพอกอย่างนั้น เรียกว่าเป็นเทวดา ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแล้ว เพราะจะได้เป็นสงฆ์ เป็นบัณฑิต พอเข้าไปอยู่หน้าอุปัชฌาย์ก็เป็นพรหมแล้ว ทีนี้พอบวชเสร็จแล้วสึกบางคนแทนที่จะเป็นบัณฑิต หรือเป็นทิด กลับกลายเป็นเดรัจฉานไปเสียทันตาเห็น”
    อาตมาเรียนถามหลวงพ่อเดิมเมื่อเห็นท่านค้างคำพูดเอาไว้เพื่อให้รู้ตลอด
    “เป็นเดรัจฉานได้อย่างไรขอรับ”
    “เป็นซี่ ทำไมจะไม่เป็น ก็พอสึกตอนเช้าก็กินเหล้าเมาเย็นหยำเปอย่างนี้ เรียกว่าบวชไม่ได้ประโยชน์ สึกแล้วกลายเป็นเดรัจฉานไป”
    นี่คือแนวคิดของหลวงพ่อเดิม ท่านเกลียดคนกินเหล้า เกลียดพวกบวชแล้วสึกออกไปเป็นคนชั่ว เป็นขี้เหล้า ท่านไม่ชอบคนกินเหล้าเมายา ตอนที่อาตมานวดให้หลวงพ่อเดิม ตอนหนึ่งท่านก็เล่าให้ฟังว่า
    “เธอฟังไว้นะ สมเด็จพระบรมศาสดาของเรา เมื่อท่านเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แห่งกรุงกบิลพัศดุ์นั้น ท่านเล่าเรียนเชี่ยวชาญในวิชาการทุกด้าน ไตรเวทก็ทรงเชี่ยวชาญ การใช้ศรชัยไปจนถึงตำรับพิชัยสงครามต่าง ๆ เรียนการปกครองคนหมู่มาก แต่แล้วก็ทรงได้พระสติว่า [/FONT]
    [FONT=&quot]วิชาหนึ่งที่ไม่ได้เรียนก็คือ วิชาการพ้นจากกองทุกข์ การเวียนว่ายตายเกิด จึงทรงออกแสวงหาความหลุดพ้น เป็นพระบรมศาสดาในที่สุด[/FONT][FONT=&quot]”
    [/FONT]
    [FONT=&quot] อาตมาฟังแล้วก็เกิดสติคิดขึ้นมาว่า หลวงพ่อเดิมองค์นี้ท่านมิได้เก่งแต่เพียงวิชาอาคม เพี้ยง ดี เพี้ยง ดี แต่อย่างเดียว แต่ท่านยังมีธรรมะที่ลึกซึ้งและกินใจ สำหรับสั่งสอนผู้คน แม้แต่ตัวของอาตมาเองที่ต้องการจะสึก ยังไม่อาจสึกได้เหมือนที่ต้องการ
    “มีหลายรายเอารอยเท้าฉันไป แล้วเอาไปประกอบกรรมชั่ว ไปปล้นเขา ไปจี้เขา ไปลักวัวลักควายเขา ถูกยิงตายคาที่ หายโหง รอยเท้าฉันอยู่กับตัวช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้เดินตามรอยเท้าฉันไปในทางที่ดี กลับแหกคอกไปในทางชั่วแล้วจะมาหวังพึ่งอะไรได้เล่า” ดังนั้นมีมีรอยเท้าหลวงพ่อเดิมแล้ว จะใช้ในทางที่ดี ๆ เดินตามรอยเท้าหลวงพ่อเดิมไปให้ตลอดแล้วจะไม่ตายโหง อย่าเดินคนละทางกับรอยเท้าหลวงพ่อเดิมท่าน มิฉะนั้นจะลำบากภายหลัง นี่คือปรัชญาชีวิตในรอยเท้าหลวงพ่อเดิมที่ฝากเอาไว้กับบรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งหลายให้ได้คิดกันต่อมา<o>:p></o>:p>[/FONT]

    [FONT=&quot] อาตมาอยู่กับหลวงพ่อเดิมเป็นเดือน ๆ เข้า ก็เลยขอลาท่านกลับวัดพรหมบุรี พระอุปัชฌาย์เห็นเข้าก็บอกว่า[/FONT][FONT=&quot]
    “เอ้าไงล่ะ ยังไม่ได้สึกอีกเรอะ”
    อาตมาก็ตอบว่า
    “ผมไปอยู่กับหลวงพ่อเดิมมาครับ ยังไม่ได้ฤกษ์สึก ว่าอยู่วัดสักพักจะกลับไปใหม่”
    หลังจากอยู่วัดพรหมบุรีได้ไม่นานก็กลับไปวัดหนองโพ คราวนี้ก็บอกกับหลวงพ่อเดิมอีกครั้งหนึ่งว่า
    “หลวงพ่อครับ ผมจะสึกละครับไม่อยากอยู่แล้ว”
    คราวนี้หลวงพ่อเดิมไม่กระแอม แต่มองหน้าอาตมานิ่งนานเหมือนจะค้นลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งแห่งจิตใจ ครู่ใหญ่ท่านก็ถอนหายใจเฮือกเหมือนโล่งใจ กล่าวกับอาตมาว่า
    “อย่าไปไหนไกลฉันเลย ฉันจะบอกเธอเป็นคนแรกว่า ไม่เกินสามเดือน ฉันจะมรณภาพจากเธอไปแล้ว จงอย่าห่างฉันช่วงนี้แหละสำคัญที่สุด เธอจำไว้”
    พอได้ยินอย่างนี้ อาตมารู้สึกใจหายวาบ เพราะเห็นว่าหลวงพ่อชราภาพมาก และท่านก็ไม่หลงไม่ลืม ดังนั้นท่านปลงอายุของท่าน จึงเป็นเรื่องใหญ่และแน่นอนที่ท่านจะลาจากโลกนี้ไปแล้วหรือ”
    ตอนนั้นเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ หลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว และเจ้าคณะอำเภอท่าตะโกมาหาหลวงพ่อที่วัดบ่อยมาก อาตมาจำได้ว่า ท่านผลัดเปลี่ยนกันมานมัสการหลวงพ่อเดิม แต่ท่านก็ไม่เคยปริปากเรื่องปลงอายุกับพระเหล่านั้น บอกกับอาตมาองค์เดียว นี่ท่านเมตตาอาตมาเป็นพิเศษทีเดียว
    วันเวลาผ่านไป อาตมายิ่งได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับหลวงพ่อเดิมท่าน ก็ยิ่งสนุกลืมเรื่องสึกไปเสียสนิท หลวงพ่อเดิมก็ดูเหมือนจะรู้ว่าอาตมาซึ่งเปรียบเสมือนม้าพยศ กำลังค่อย ๆ เชื่องลงแล้ว วันหนึ่งหลวงพ่อเดิมท่านก็เป็นฝ่ายพูดให้อาตมาได้สำนึกว่า
    “นี่คุณมาอยู่กับฉันนานแล้วเรียนพระกรรมฐานไหมล่ะ จะสอนให้ อย่าไปสึกเลย คุณน่ะอยู่ในผ้าเหลืองแล้วจะเจริญก้าวหน้ากว่าเป็นฆราวาส”
    แต่อาตมานั้นเป็นผู้เกลียดพระมาเป็นทุนเดิม ก็เลยบอกกับหลวงพ่อเดิมว่า
    “อย่างไรเสียผมก็ต้องสึกแน่ ๆ ขอรับ เพราะผมไม่เคยชอบครองเพศสมณะเลยจริง ๆ ผมไม่ค่อยจะอยากอยู่เป็นพระ ผมจะต้องสึกครับ”
    หลวงพ่อเดิมท่านก็กล่าวเป็นสุภาษิตสอนใจ ที่อาตมาจำได้ทุกวันนี้ว่า
    “ยิ่งเกลียดก็ยิ่งใกล้ ยิ่งรักก็ยิ่งไกล จำไว้ให้ดีนะคุณ”
    อาตมาก็รับคำว่า “ขอรับ จะจำไว้ครับ” ท่านก็บอกต่อไปอีกว่า
    “ยิ่งเกลียดเขา เรายิ่งต้องแผ่เมตตาแล้วความเกลียดมันจะหายไป ความรักมันจะเกิดขึ้นตรงนี้”
    กล่าวจบแล้วหลวงพ่อเดิมท่านก็เอามือชี้ไปที่หัวใจแล้วก็มองดูหน้าอาตมา อาตมานั่งนิ่งรู้สึกซาบซึ้งในคำของหลวงพ่อเดิมเป็นอย่างยิ่ง และก็มาเปรียบเทียบดูว่า อาตมาแต่ก่อนนี้เกลียดจริงเชียวพวกผู้หญิงน่ะ ไม่อยากให้เข้าวัด แต่เอาซิ เดี๋ยวนี้คนที่มาช่วยทำงานทำการ ทำครัว ช่วยดูแลญาติโยมเป็นผู้หญิงเต็มวัดเลย เขาถึงว่า เกลียดอย่างไหนก็ยิ่งใกล้

    เพราะอะไร เพราะเวลาเห็นเขาไม่ดี ไม่ว่าหญิงหรือชาย แต่พอเรามีเมตตาแล้วก็ เราก็แผ่เมตตาต้องการให้เขาพ้นจากความไม่ดี ก็เลยช่วยเขา เขาก็เลยกลายเป็นศิษย์ไปหมด
    วันหนึ่งอาตมามากราบเรียนหลวงพ่อเดิมแล้วก้มลงกราบ กล่าวย้ำอีกว่า
    “ผมต้องการสึกครับ ผมจะไม่ครองผ้าต่อไป เพราะผมไม่ปรารถนาจะเป็นพระต่อไป” หลวงพ่อเดิมท่านก็หัวเราะหึ ๆ ส่ายหน้าช้า ๆ ไม่กล่าวอะไรต่อไปอีกเลย อาตมาก็คิดว่าวันนี้แหละสึกแน่ พอกราบลาหลวงพ่อมาแล้วก็เดินไปหาทายกไปบอกว่า “ทายก วันนี้ฉันจะสึกแล้ว เอ้านี่เงินสองบาท ไปจ้างเขารีดเสื้อผ้าให้หน่อยนะ”
    ตอนนั้นอาตมาจำได้ว่ามีกางเกงอย่างดี เสื้ออย่างดี นาฬิกายี่ห้อไวเลอร์หนึ่งเรือน ไม่เดินเสียด้วย เออโก้พิลึกล่ะ ตอนที่เป็นฆราวาสก่อนบวชนี้เปรี้ยวสมวัยในตอนนั้น เตรียมรีดเสื้อไว้แล้วก็พอดีค่ำจึงไปถวายการนวดเพื่อจะได้บอกหลวงพ่อเดิมว่า
    “ผมจะสึกพรุ่งนี้ล่ะขอรับ” แต่ยังไม่ทันจะบอก หลวงพ่อก็บอกกับอาตมาถึงสิ่งที่หลวงพ่อเดิมท่านไม่เคยได้บอกใคร ทำเอาอาตมานิ่งอึ้งเป็นครู่ ท่านพูดด้วยน้ำเสียงอันเรียบ ๆ ว่า
    [/FONT]
    [FONT=&quot]“นี่แน่ะเธอ ฉันจะบอกอะไรให้นะ ฉันไม่เคยบอกใครเลย ฉันบอกเธอคนเดียว รู้แล้วนิ่งไว้อย่าแพร่งพราย เขาจะเสียขวัญกัน อีก ๑๔ วัน ฉันจะมรณภาพแล้ว ขอให้เธอจำคำฉันไว้ให้ดี ๆ”[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]หลวงพ่อกล่าวจบแล้วก็หลับตาลงนิ่งไปเป็นครู่ ลมหายใจระบายออกเหมือนโล่งใจ ก่อนจะกล่าวกับอาตมาว่า[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]“ฉันต้องการมอบวิชาการอย่างหนึ่งให้เธอไว้เป็นคนแรก และคนสุดท้าย ฉันเห็นว่าเธอนั้นเหมาะที่สุดแล้ว”[/FONT][FONT=&quot]<o>:p></o>:p>[/FONT]
    [FONT=&quot]อาตมาได้ยินก็ดีใจ เพราะคิดว่าเป็นคาถาเรียกพระเข้าตัวแน่ เพราะต้องการนัก แต่ผิดคาด หลวงพ่อเดิมท่านกล่าวว่า[/FONT][FONT=&quot]
    “วิชาที่หลวงพ่อจะมอบให้แก่เธอคือวิชาคชศาสตร์ การต่อช้างป่า การกำราบช้างตกน้ำมัน การดูแลช้าง วิชาคชศาสตร์ต้องคนมีวาสนาบารมีพอจึงจะเรียนได้ ฉันเห็นว่าเธอนี่แหละจะรับไว้ได้ ฉันจึงมอบให้”
    อาตมาได้ยินก็เลยตอบไปตรง ๆ ว่า
    “ไม่เอาล่ะครับหลวงพ่อ ผมไม่อยากได้เลยครับ ผมอยากได้คาถาเมตตามหานิยม และเรียกพระเข้าตัวครับ”
    หลวงพ่อเดิมท่านเปลี่ยนจากท่านอนให้นวด มานั่งตัวตรงประกายตาท่านที่ต้องกับแสงตะเกียงเป็นแววแห่งอำนาจอย่างเต็มเปี่ยม ท่านยกนิ้วมืออันเหี่ยวย่นตามวัยของท่าน ขึ้นชี้หน้าอาตมาแล้วกล่าวด้วยเสียงอันมีอำนาจสะท้านเข้าไปถึงหัวอกว่า
    “นี่แน่ะเธอ ฉันจะบอกให้ เธอยังเป็นเด็ก เป็นผู้อ่อนอาวุโส ผู้ใหญ่เขาให้อะไรก็รับไว้ซี ไปปฏิเสธทำไมกัน อย่าจองหองไม่เข้าเรื่องซี”

    อาตมาก็ว่า “ต่อทำไมครับ ช้างป่ามันอยู่ในป่าก็เรื่องของมัน มันตกน้ำมันก็ไม่เกี่ยวกับผมนี่ครับ แล้วเดี๋ยวนี้บ้านเมืองเจริญมากแล้ว ไม่ต้องใช้ช้างป่าแล้วล่ะครับหลวงพ่อ”
    หลวงพ่อเดิมท่านจึงใช้คำคมมาพูดกับอาตมา ซึ่งทำให้อาตมาถึงกับนิ่งอึ้ง เพราะท่านมาไม้สูงจริง ๆ ท่านถามว่า
    “นี่คุณ คุณมีเสื้อตัวเดียวกับมีเสื้อสิบตัว อย่างไหนดีกว่ากันล่ะ ลองบอกมาซิ”
    “สิบตัวก็ดีกว่าซีครับหลวงพ่อ”
    “ก็นั่นนะซิ ยังไม่ได้ใส่ก็รีดเก็บแขวนไว้ เวลาจะใช้ก็หยิบมาสวมง่ายไม่ต้องไปรีดให้เปลืองเวลา พ่อแม่ปู่ย่าตายายเขาให้อะไรก็เอาไว้ก่อนเลย อย่าไปจองหอง รับไว้ ของดีทั้งนั้นเลย แม้แต่ไม้แคะหูที่เขาให้ก็เก็บไว้ มันเป็นประโยชน์ในเวลาข้างหน้านะ”
    อาตมาก็ไม่ยอมท่าน เถียงต่อไปอีกเพราะไม่อยากได้ มีอย่างที่ไหนวิชาต่อช้าง บังคับช้าง ไม่เห็นเข้าท่าเลยจริง ๆ เลยบอกหลวงพ่อเดิมไปว่า
    “ผมไม่เรียนครับ ผมจะสึกอยู่วันนี้ พรุ่งนี้ แล้วเรียนไปทำไมกัน ผมจะสึกครับหลวงพ่อ”
    หลวงพ่อเดิมท่านถอนหายใจใหญ่แล้วกล่าวกับอาตมาว่า
    “เธอฟังหลวงพ่อให้ดีนะหลวงพ่อจะว่าให้ฟัง อันผู้ใหญ่น่ะเขาเห็นการณ์ไกลกว่าเด็กมาก ไม่ใช่เขาพูดอะไรส่งเดชก็หาไม่”
    อาตมาก็นิ่งไม่ตอบอะไร เพราะใจนั้นไม่อยากเรียน หลวงพ่อเดิมก็พูดต่อไปว่า
    “ที่หลวงพ่อมอบวิชาคชศาสตร์ให้นี้ เพื่อตอบแทนที่เธอมาช่วยปฏิบัติฉันมาเป็นเวลานาน ฉันไม่เคยให้ใครเลย คนหนองโพหรือคนที่อื่น ฉันไม่เคยสอนให้ใครมาก่อนเลย ต้องการให้เธอสืบวิชาไว้ไม่ให้ตายตามหลวงพ่อไปพร้อมกันเข้าใจหรือยังล่ะ”
    อาตมาได้แต่นิ่ง นั่นเท่ากับเป็นการยอมรับ หลวงพ่อเดิมท่านก็ว่า
    “เอาล่ะ ๆ คืนนี้เธอกลับไปนอนก่อน พรุ่งนี้หลวงพ่อจะเริ่มสอน”
    อาตมาจึงได้เรียนวิชาคชศาสตร์ เริ่มต้นด้วยการนั่งสมาธิตามที่ท่านสอน โดยท่านควบคุมเอง และยังได้สอนกสิณให้อีกด้วย หลวงพ่อเดิมท่านสอนกสิณอย่างละเอียดทีละขั้นตอน แล้วให้ทดลองทำ อาตมาก็ทำตามได้ความรู้ทางด้านการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ทำกสิณอย่างเต็มที่พอได้ความรู้อย่างดีแล้ว หลวงพ่อเดิมท่านกล่าวว่า
    “เห็นไหมล่ะ ถ้าเธอไม่เรียนวิชาคชศาสตร์แล้ว เธอก็จะไม่ได้กสิณจากหลวงพ่อและไม่ได้อะไรเลย มามือเปล่าก็กลับไปมือเปล่า อย่าเป็นคนหยิ่งยะโสแมงป่องเลย ผู้ใหญ่เขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาไม่พูดเรื่อยเปื่อยไปหรอก”
    อาตมาซาบซึ้งใจเหลือเกิน ตั้งแต่นั้นมา พระเถระผู้ใหญ่ให้อะไร สอนอะไร ก็เอาไว้หมด ไม่เคยรังเกียจหรือถือดีว่าเคยได้ยินได้ฟังหรือเคยทำมาแล้ว ไม่ว่าท่านจะให้อะไรก็น้อมรับไว้หมดเลย ทำให้กลายเป็นคนว่านอนสอนง่าย และเข้ากับคนได้ดีจนทุกวันนี้ อาตมาก็ยังระลึกถึงพระคุณหลวงพ่อเดิมไม่หาย เพราะถ้าไม่ได้ท่าน อาตมาก็คงสึกไปเป็นฆราวาส ไม่ได้นุ่งเหลืองมาสั่งสอนธรรมะกับญาติโยมหรอก อันว่าของที่เขาให้มานั้นนะ ถ้าไม่ได้ใช้เองเห็นคนไหนสมควรก็ให้ไปใช้ ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนเลย มีของไว้มาก ๆ แจกเป็นทานก็ได้” การเรียนกสิณนั้น เรียนหลายอย่าง กสิณ ดิน น้ำ ลม ไฟ กสิณในวิชากสิณ หลวงพ่อเดิมท่านสอนให้หมดไม่ปิดบัง ทำให้อาตมาเพลินเรียนไม่รู้ว่าเอากำลังมาจากไหน รับไว้อย่างเต็มที่ ความคิดเรื่องสึกเริ่มเลือนหายไป คิดแต่ว่าเรียน ๆ ๆ ให้มากที่สุด พอได้ที่แล้ววันหนึ่งหลวงพ่อเดิมท่านก็เรียกอาตมาไปเรียนวิชาคชศาสตร์ง่าย ๆ ก่อนท่านสอนว่า
    “ช้างนั้นเขาว่ามีหูทิพย์จริงไหม” หลวงพ่อขอตอบว่า “จริง” “มีทุกตัวไหม” “ไม่ทุกตัว” แล้วรู้ได้อย่างไรว่าหูทิพย์ อาตมาก็งงเลยถามหลวงพ่อเดิมท่านไปตามประสาคนไม่รู้เรื่องว่า “นั่นนะซีครับ ช้างก็เหมือนช้าง ไม่ผิดกันนี่ครับ” หลวงพ่อเดิมจึงได้ไขปัญหาต่อไป
    “ให้ดูที่เทวดารักษาตัวช้างอยู่ก็ด้วยกสิณที่เธอได้เรียนไปนั่นแหละ เป็นตัวกำหนดเอา”<o>:p></o>:p>[/FONT]

    [FONT=&quot] อาตมาจึงมารู้ตอนนี้เองว่า หลวงพ่อเดิมท่านต้องการให้เรียนกสิณก่อน เพราะกสิณคือหลักในการทำให้จิตแข็งแกร่งเป็นภูมิต้านทานเชื้อโรคสึกที่กำลังเกาะกินใจอาตมาจนกร่อนไปด้วยความเร่าร้อน กสิณดับได้เหมือนเอาน้ำเย็น ๆ สาดลงบนกองไฟอันร้อนรนให้มอดดับ[/FONT][FONT=&quot]
    “กำหนดเห็นแล้วทำอย่างไรครับจึงจะทำให้ช้างละพยศหายตกมันได้”
    “ไม่ยากแล้ว กำหนดเห็นเทวดารักษาช้าง แล้วก็แผ่เมตตาให้เทวดา เทวดารับแล้วเขาก็จะบังคับช้างให้เชื่องแล้วไม่ตกมันต่อไป พระที่ท่านมีกสิณท่านจึงแผ่เมตตาให้เทวดา ไม่ใช่แผ่ให้ช้าง แผ่ให้ช้างล่ะก็แบนเป็นกล้วยปิ้งหมด”
    อาตมาก็นิ่งฟังหลวงพ่อเดิมท่านว่าจะว่าอะไรต่อไปอีก ท่านก็เล่าความหลังเมื่อท่านเป็นเด็กว่า
    “ตอนที่หลวงพ่อตามโยมพ่อไปทำไร่ที่ท่าตะโก ที่นั่นช้างป่ามาก มันเข้ามากินของในไร่เสียหายมาก พวกชาวไร่พอเช้าขึ้นก็ด่าพ่อล่อแม่ช้างกันเป็นการใหญ่ เคียดแค้นที่ช้างมันเข้ามากินของในไร่ พอตกดึกไม่มากินเปล่า ๆ มาช่วยกันรื้อกระท่อมแล้วรื้อถูกด้วย กระท่อมไหนด่าว่าก็รื้อกระท่อมนั้น เจ้าของวิ่งหนีกันอย่างสุดชีวิต ทำไมจึงรู้เพราะเทวดาบอกเขานำมาเล่นงานเอา”
    อาตมาจึงเข้าใจในที่สุด ก็เรียนเรื่องช้างในวิชาคชศาสตร์ไปเรื่อย ๆ จนมาถึงการสยบช้างตกมัน หลวงพ่อเดิมท่านก็สอนว่า
    “ช้างตกมันนั้นมันดุและร้ายที่สุด จะสยบได้ต้องเพ่งเมตตาพระกรรมฐานให้มากที่สุด จะเผลอไม่ได้เลยต้องแน่วแน่อย่างที่สุด ไม่อย่างนั้นแล้วจะต้องเอาชีวิตไปสังเวยมัน มันไม่เห็นแล้วตอนนั้นว่าใครเป็นใคร เพราะมันตกมัน มันมืดบอดไปหมด เทวดาที่รักษาช้างเท่านั้น จะต้านช้างและเอาช้างนั้นไว้ได้ ถ้าเทวดาเขาไม่เอาด้วยล่ะก็ตาย”
    อาตมาจดจำไว้ หลวงพ่อเดิมท่านก็สอนต่อไปอีก ท่านสอนถึง การกำหนดจิตเพ่งกสิณและเจริญเมตตาพระกรรมฐาน ซึ่งการเพ่งกสิณและเจริญเมตตาพระกรรมฐานไปสยบช้างตกมันนั้น มันต้องเพ่งให้ได้ถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ เป็นอย่างน้อย ต่ำกว่านั้นไม่ได้ ต้องรีบถอนหนี เพราะช้างเป็นสัตว์ร้ายมันเอาตายแน่ จะแผ่เมตตาจะปราบช้าง ต้องดูกาลเทศะด้วย ไม่ใช่แผ่ดะไป อันนี้ขอบอกขอเตือน พระธุดงค์มือหัดใหม่อย่าได้ริอ่านทำเข้า พลาดแล้วจะกลายเป็นเหยื่อช้างตกมันไปง่าย ๆ ควาญที่เคยเลี้ยงดูมันมา เวลามันตกมัน มันยังขยี้เสียยับเยิน นับประสาอะไรกับคนอื่น เทวดารักษาช้างนั้นสำคัญที่สุด ช้างบางตัวก็มีเทวดารักษา บางตัวก็ไม่มี ต้องกำหนดจิตให้เห็นจึงจะสามารถแผ่เมตตาให้กับเทวดารักษาช้างนั้นได้ ถ้าไม่แผ่เมตตาให้เทวดาแล้วล่ะก็เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เมื่อได้เข้าป่าได้ผจญช้างตกมัน หรือช้างป่าที่ดุร้ายหมายชีวิตต้อนเจริญกสิณ ให้จิตหยั่งลงลึก ประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์ให้จงได้ แล้วเพ่งดูเทวดาที่รักษาช้าง เมื่อเห็นแล้วก็ให้กำหนดจิตแผ่เมตตาออกไปให้เต็มที่ เพื่อให้เทวดารักษาช้างได้รับ และจัดการกำราบช้าง บทที่แผ่ออกไปว่าดังนี้
    “เมตตัญจะสัพพะโล กัสสะหมิง มานะสัมภาวะเย อปริมาณัง”
    ในจังหวะเดียวกันก็แผ่กระแสแห่งเมตตาธรรมออกไปให้กว้างใหญ่ไพศาล ไร้ขอบเขตเหมือนคำบาลีที่แผ่ออกไปว่า
    เมตตัญจะ อปริมาณัง อันหมายความว่า เมตตานั้นไร้ขอบเขตจำกัดสรรพสัตว์ ตลอดจนอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ย่อมได้รับกระแสแห่งความเมตตานี้ได้ทั่วกัน กสิณคุมเอาไว้ให้มั่น นั่นแหละ คือ การกำราบช้าง”
    การคุมจิตในการแผ่เมตตานั้น หลวงพ่อเดิมท่านให้ใช้คาถาภาวนาในช่วงลมหายใจว่า
    เมตตาคุณณัง อะระหังเมตตา” เจริญไว้ทุกลมหายใจอย่าให้ขาดตกหล่น เพราะเป็นช่วงสำคัญมาก เมื่อเทพยดาที่รักษาช้างได้รับเมตตานั้นแล้วก็จะบังคับช้างให้เบี่ยงเบนแล้วออกไปให้พ้นจากที่ ๆ ประจันหน้าอยู่ พูดง่าย ๆ ก็คือเหมือนกับนักเลงโต สั่งลูกน้องว่า คนนี้เขาเป็นคนดี อย่าได้ไปทำร้ายเขา ไปที่อื่นเสียอย่างนี้แหละ เมตตา หลวงพ่อเดิมท่านว่า เป็นสุดยอดแห่งคุณธรรม เป็นเครื่องค้ำจุนโลก จะพินาศหมดเพราะเข่นฆ่ากั้นจนไม่มีใครเหลือ
    อันนี้อาตมาขอแทรกไว้ตรงนี้ว่า เวลาไปมีเรื่องกับใครอย่าใช้ความโกรธ เราต้องดูว่าเขามีผู้ใหญ่คอยคุมอยู่ มีผู้บังคับบัญชา ต้องเข้าไปให้ถึงคนใหญ่ไปบอกเขา มีเรื่องกับลูกเขา เขามีพ่อมีแม่ก็ต้องบอกพ่อบอกแม่เขาให้รู้เอาไว้ จะได้ห้ามปรามไม่ให้มามีเรื่องอีก ต้องเข้าให้ถูกตามช่องจึงจะใช้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วเรื่องไม่จบ ช้างก็เหมือนกัน เราไม่บอกเทวดาที่รักษาช้าง เขาก็วางเฉย เอ็งจะทำอะไรก็ตามใจ ไม่วิ่งหนีให้ทัน ก็มีหวังแบนแต๋อยู่ใต้อุ้งเท้าช้างแน่
    นี่แหละหลวงพ่อเดิมท่านให้วิชาคชศาสตร์แก่อาตมา เพราะอาตมาปรารภจะสึกลูกเดียว ถ้าท่านสอนให้เรียนกสิณ ก็จะไม่สำเร็จเพราะไม่ต้องการได้ แต่ท่านวิชาคชศาสตร์โดยสอนว่า ถ้าจะปราบช้างให้เจริญกสิณแล้วจึงจะปราบช้างได้ เรียนกสิณแล้วใจก็ไม่คิดสึก เรียกว่าลืมเรื่องสึกไป ท่านจึงได้สองต่อคือ ต่อแรกทำให้อาตมาเป็นพระมาได้จนทุกวันนี้ ต่อที่สองคือ วิชาคชศาสตร์ไม่ตายแต่อาตมารับทอดเอาไว้จนได้ในที่สุด<o>:p></o>:p>[/FONT]

    [FONT=&quot]อาตมาจึงว่าหลวงพ่อเดิมท่านไม่ใช่ธรรมดา แต่ท่านเป็นอัจฉริยะจริง ๆ อาตมายอมรับว่าหลวงพ่อเดิมท่านเป็นผู้รอบรู้หมดทุกด้านสมกับที่ได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากยอดขุนศึกของพระเจ้ากรุงธนบุรีมหาราช อันเป็นปฐมสมภารของวัดหนองโพโดยแท้[/FONT][FONT=&quot] และวิชานี้ได้ตกทอดมายังหลวงพ่อเดิม และถ่ายทอดมายังอาตมาให้สืบทอดเอาไว้จนทุกวันนี้ นอกจากนั้นแล้ว ยังทำให้อาตมาได้ดำรงสมณเพศมาจนวินาทีที่ได้เล่าให้โยมฟังด้วยบารมีท่าน[/FONT][FONT=&quot]”
    วิชาที่อาตมาได้รับการถ่ายทอดอีกอย่างหนึ่งก็คือ วิชาการกำหนดรู้สภาวะของผู้คน ยกตัวอย่างเช่น อาตมาเดินผ่านบ้านหลังหนึ่ง ต้นไม้เขียวสดชื่น ไม้ดอกก็งดงาม แต่เมื่อกำหนดจิตเข้าไปสิ่งที่กระทบคือ ความรู้สึก ซู่ ซู่ วาบ วาบ สลับกัน อย่างนี้ท่านว่าไม่นานนักจะมีคนตายในบ้านนั้น คนไข้หนักก็จักไม่รอดได้ บางบ้านผ่านไป ต้นไม้ก็กรอบแห้ง ไม่น่าดูเสียเลย แต่ได้กำหนดจิตเข้าไปดู ปรากฏว่ามีสัมผัสว่า ซู่ซู่ ซู่ซู่ ติดต่อกัน ท่านว่าบ้านนั้นกำลังจะรวยและมีโชคมีลาภ อีกอย่างหนึ่งก็คือเมื่อตื่นจากที่นอนแล้วถ้าหมั่นสังเกตจะพบว่า ถ้าจิตเป็นอย่างนี้จะได้เงิน ถ้าจิตเป็นอย่างนี้จะเสียเงิน และจิตเป็นอย่างนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป อารมณ์ที่อยู่ในจิตจะบอกเหตุดีร้าย <o>:p></o>:p>[/FONT]

    [FONT=&quot] อาตมาก็เรียนเอาไว้ จดเอาไว้ และแล้ววันหนึ่งก็ได้ใช้ ตอนนั้นเขานิมนต์ไปที่เชียงราย อาตมาก็ออกเดินทางจากวัดตั้งแต่ตีหนึ่ง คนขับชื่อนายวิรัช อาตมาก็บอกกับเขาว่า “นี่แน่ะวิรัช ถ้าเกิดอารมณ์อย่างนี้เมื่อใดให้บอกกับฉันนะ ฉันจะได้นั่งสมาธิเข้าควบคุมไว้ ถ้าไม่บอกแล้วจะเกิดอันตราย” พอเลยตัวเมืองเชียงรายไปได้ไม่มากนัก นายวิรัชก็บอกว่า หลวงพ่อ ๆ เกิดอารมณ์อย่างที่หลวงพ่อสอนเอาไว้แล้ว “หลวงพ่อ เอาไงดี” อาตมาก็บอกว่า “หยุดพักเสียไม่ต้องเดินทางต่อไป มันเกิดอาเพทแล้วจะมีอันตราย” จอดพักผ่อน พอได้เวลาก็ให้ออกเดินทางไปเพียงอีกสามกิโลเมตรเท่านั้น รถโดยสารประสานงากับรถบรรทุกแหลกยับ คนกระเด็นออกมาตายเกลื่อนกลาด เลือดแดงไปหมด นี่หลวงพ่อเดิมท่านพูดจริง ถ้าอาตมาไม่มีความรู้ รถแล่นไปก็คงจะโดนเข้าให้ด้วย ถึงได้บอกว่า ผู้ใหญ่ให้อะไรล่ะก็รับไว้หมด อย่ารังเกียจ อย่าจองหอง อาตมาประทับใจคำหลวงพ่อเดิมว่า
    [/FONT]
    [FONT=&quot]“อย่าจองหอง ผู้ใหญ่ให้ของ อย่าจองหองพองขน ให้รับเอาไว้ เด็กสมัยใหม่นี้มันจองหองกันนัก ให้อะไรก็ไม่เอา ๆ แล้วผลสุด้ายก็ไม่ได้ดีกันสักเท่าไร”[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot] อาตมาจะเล่าให้ฟังอีกเรื่อง เรื่องนี้ไม่ขอเอ่ยชื่อ แม่ให้ของที่ระลึก แม่ก็ไม่มีสตางค์เพราะส่งลูกเรียนหมดแล้ว พี่สาวได้ก่อน แม่เอาไม้แคะหูที่แม่เคยใช้ทำด้วยนาคมอบให้ลูกสาวคนโต เพราะไม่มีอะไรจะให้ พี่สาวคนโตแสนจะแค้น จึงพูดกับแม่ว่า
    “โธ่เอ๊ย! นึกว่าจะให้อะไร อีแค่ไม้แคะหูทำด้วยนาคแค่นี้ ราคาไม่ถึง ๑๐๐ บาท ไม่เอาล่ะ แม่เอาไว้ใช้เหอะ” ว่าแล้วก็โยนไม้แคะหูใส่หน้าแม่อย่างหมดความเกรงใจ น้องสาวคนรองก็คลานเข้าไปเก็บไว้บอกกับแม่ว่า “หนูขอเก็บเป็นที่ระลึกก็แล้วกัน” แม่ก็น้ำตาคลอบอกกับลูกว่า “เอาไปเถอะแม่ก็มีอยู่แค่นี้เองแหละ เอาไปไว้เป็นที่ระลึกก็แล้วกัน” ต่อมาพี่สาวก็ออกเรือน น้องสาวก็ตามไปอยู่ด้วย เพราะยังไม่ได้ออกเรือน แม่ก็ตายไปแล้ว คืนหนึ่งมีแมงคาเรืองเข้าหูพี่สาว ตื่นขึ้นมาร้องโอดโอย จะไปรักษาก็ไม่ได้ เพราะมันดึก และพาหนะที่จะไปก็ไม่มี น้องสาวเห็นพี่สาวดิ้นร้องอย่างนั้นก็เอาไม้แคะหูของแม่ขึ้นมา จบที่หน้าผาก ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วบอกดวงวิณญาณแม่ว่า “ด้วยความรักของแม่ที่มีต่อลูก ขอให้วิญญาณแม่มาสิงที่ไม้แคะหูนี้ หนูควานไปจงทำให้แมงคาเรืองมันตายด้วยเถอะ” เมื่อน้องสาวแหย่ไม้เข้าไปแล้วควักคว้าน ติดเอาแมงคาเรืองขาดออกมาค่อนตัว แมงคาเรืองก็ตาย หูก็หายปวด รุ่งเช้าก็ค่อย ๆ เอาน้ำหยอดแล้วแมงคาเรืองที่เหลือแต่หัวกับตัวอีกนิดหน่อยก็ออกมา ไหมล่ะ ถ้าไม่ได้แคะหูนาคที่พี่สาวโยนทิ้งรดหัวแม่ก็คงจะตายเพราะความเจ็บปวดไปแล้ว<o>:p></o>:p>[/FONT]

    [FONT=&quot] อาตมาขอพูดถึงเรื่องการที่ผู้ใหญ่ให้ของแล้วเด็กไม่รับหรือไม่รู้จักว่าผู้ใหญ่เขาเมตตาขนาดไหน อาตมาจะเล่าให้ฟัง เรื่องมีอยู่ว่ามีญาติโยมอยู่รายหนึ่งมาเล่าให้อาตมาฟังว่า ที่เขาร่ำรวยมาได้ทุกวันนี้ เพราะเขาได้ของดีมาโดยไม่คาดฝัน เรื่องมีอยู่ดังนี้ เขาเองนั้นเป็นเพื่อนกับหลานชายของคุณย่า ซึ่งรักหลานชายคนนี้มาก แต่สมบัติที่มีนั้นแบ่งให้ลูก ๆ ไปหมดแล้ว เหลือแต่หลานชายคนนี้ จึงได้เรียกไปมอบสมบัติที่ย่าสุดจะหวง[/FONT][FONT=&quot]
    “หลานเอ๊ย !ย่ามีของจะให้หลาน เป็นของที่ย่ารักมากที่สุด เอาเก็บไว้นะหลาน เก็บไว้ให้ดี ย่าให้เจ้าเพราะเป็นหลานที่ย่ารักที่สุด” เจ้าหลานชายคิดว่าถ้าไม่ใช่เงินสดก็คงเป็นเครื่องเพชรเครื่องทองโบราณ แต่พอเห็นสิ่งที่ย่ายื่นมาให้ก็หน้าเสีย เพราะมันเป็นเพียงตลับเงินโบราณเล็ก ๆ ใบหนึ่งเท่านั้น “ตลับสีผึ้งที่ย่ารักมาก เป็นของมีค่าเหนือกว่าอะไรทั้งสิ้น เก็บไว้ให้ดีนะ” หลานรับตลับสีผึ้งมาแล้วด้วยความแค้นเคืองแต่ไม่กล้าแสดงออก พอกลับมาถึงบ้านก็บอกกับภรรยาว่า ดูนี่ซิ เห็นไหมล่ะ ย่าของฉันท่านมีเมตตามาก แบ่งสมบัติให้ลูกหมดแล้ว เหลือตลับสีผึ้งอันนี้ไว้ให้ ว่าแล้วก็โยนตลับสีผึ้งลงไปกับพื้นตรงหน้าภรรยา ซึ่งมองด้วยความไม่พอใจเหมือนสามี แล้วพูดว่า “โธ่เอ๋ย! ให้หลานทั้งทีให้มันดีกว่านี้ไม่ได้เชอะ เอาไปไหนก็เอาไปไป๊ เอาไปให้พ้นเลย” หลานผู้นั้นเก็บตลับสีผึ้งไว้ระยะหนึ่ง พอเพื่อนมาเห็นเข้าก็ชอบใจ จึงได้ออกปากขอเอาไปใช้ ผู้เป็นหลานกำลังเคืองอยู่พอดี ก็ให้เป็นการประชดไปทันทีโดยไม่ได้คิดว่าตลับสีผึ้งนั้นผู้ให้คือมารดาของผู้ให้กำเนิดตัวเอง
    เพื่อนได้ตลับสีผึ้งไปแล้วก็เอาไปสีปาก ทำมาค้าขึ้น ก็ทำบุญอุทิศให้ผู้เป็นเจ้าของตลับสีผึ้งทุกเข้า ฐานะก็ดีขึ้นทันตาเห็น ทำให้ชาวบ้านถึงกับออกปากว่าครอบครัวนี้ทำมาค้าขึ้นจริง ๆ เรื่องรู้ไปเข้าหูของเจ้าของเก่าเข้า ก็พูดว่าดวงมันดีก็รวยนะซี ตลับสีผึ้งขี้กะโล้โท้แบบนั้นจะมีอะไร วิญญาณย่าได้รับการอุทิศกุศลหนักเข้าก็ไปเข้าฝันคนที่บูชาตลับสีผึ้งว่า “สีผึ้งธรรมดาน่ะ ไม่มีอิทธิฤทธิ์อะไร แต่ที่อยู่ก้นตลับนั้นให้นำขึ้นมาเป็นเครื่องประดับให้เหมาะสม เพราะเป็นเพชรตาแมวที่เจ้าของหวงมาก ตั้งใจจะให้หลานได้ไว้ แต่หลานก็กลับไม่ใส่ใจ ความมาแตกรู้ถึงหูของหลาน ก็มาขอคืน แต่เพื่อนก็ไม่ยอมให้คืน เพราะเจ้าของให้มาด้วยความเสน่หาแล้ว ถือว่าถูกต้อง ฟ้องร้องกัน ก็ปรากฏว่า เจ้าของเดิมแพ้คดีด้วยพยานรู้เห็นกันอยู่เป็นการให้ด้วยเสน่หา จึงได้แต่น้ำตาตกเพราะไม่เฉลียวใจ ดูถูกปู่ย่าตายายตัวเอง ดังนั้นโปรดจำไว้ ผู้ใหญ่ให้ของอะไรอย่าไปรังเกียจ เก็บเอาไว้ให้ดี วันนี้ไม่มีประโยชน์ วันพรุ่งนี้มีประโยชน์ วันพรุ่งนี้ไม่มีประโยชน์ วันมะรืนไม่มีประโยชน์ ปีหน้าอาจมีประโยชน์ ตั้งแต่อาตมาอยู่กับหลวงพ่อเดิมได้รับฟังคำสั่งสอนของท่านแล้ว อาตมาก็จำเอาไว้เลย พระผู้ใหญ่ให้อะไรอาตมารับหมดไม่ยอมทิ้งเลย
    จึงได้บอกว่า ผู้ใหญ่ให้ของล่ะก็อย่าปฏิเสธ รับเอาไว้เลย เขาให้น่ะเขาเห็นแล้วว่าต่อไปได้ใช้ สำหรับอาตมานั้น ใครให้วิชาก็เรียนเอาไว้ แม้แต่เขมรมาจากสุรินทร์ พวกส่วยเอาผ้าไหมทอมาขายที่แถววัดอัมพวัน นักเลงใหญ่มีลูกสาวซื้อผ้าไหมซิ่นและเสื้อไหมไว้แล้วไม่ให้สตางค์เขา เขาก็เลยใช้วิชาปิดประตู กำลังท้องใช้วิชาไม่ให้ลูกคลอดออก ก่อนจะไปส่วยเขามาพักกับอาตมา เขาเรียกอาตมาว่า หลวงพี่ เขาว่า “บ้านนักเลงนั้นซื้อของแล้วไม่ให้เงิน มันโกงฉันก็เลยเอากุญแจใส่ไม่ให้มันคลอดลูกออกมาได้” อาตมาก็เลยขอเรียนรู้ เจ้าส่วยนั้นก็สอนให้ สอนทั้งวิธีใส่กลอนลั่นกุญแจ และการเปิด การถอนให้ เขาคิดค่ายกครู ๑๒ บาท อาตมาก็หาให้ เรียกว่า เรียนเอาไว้เพราะว่าเวลาจำเป็นจะได้ช่วยเหลือสัตว์ผู้ยาก ก็เพราะถือคติของหลวงพ่อเดิมนั่นแหละ เรียนแล้วส่วยคนนั้นก็กลับไป อาตมาก็เฉยไว้ พอได้กำหนดคลอดเท่านั้นแหละ หมอตำแยห้าหมอส่ายหน้าดิก บอกว่ายอมแพ้ เพราะไม่ว่าจะใช้ความรู้ที่เล่าเรียนมาจนหมดไส้หมดพุง เด็กมันก็ไม่กลับหัวลงมา ลมเบ่งมีแต่มันช่วยไม่ได้ ร้องได้ยินไปสามบ้านแปดบ้าน อาตมาจึงรู้ว่า อ้อ! บ้านนี้เองที่ส่วยทำวิชาเอาไว้ อาตมาก็จะช่วย ช่วยไม่ได้เพราะวิชาที่เรียนมามีเคล็ดว่าต้องให้เขาออกปากเชิญจึงจะช่วย ถ้าอยู่ ๆ ไม่มีใครขอร้อง ไปช่วยวิชามันเสื่อมหมด อาตมาก็บอกให้เจ้าศิษย์วัดไปทำลับ ๆ ล่อ ๆ แล้วก็พูดเปรย ๆ ว่า ไปให้หลวงพ่อจรัญท่านรักษาซี ได้การแห่กันมาทั้งบ้าน มาบอก “หลวงพ่อขา ช่วยทีเถอะเด็กน่ะตายแน่แล้ว ก็เอาเด็กออกไม่ได้ แม่มันก็ต้องตายอีกคนหนึ่ง” อาตมาก็ทำน้ำมนต์ตามที่เจ้าส่วยสอน ก็ยังไม่เคยทำสักที ถ้ามันหลอกก็คงจะหน้าแตก แต่มันพูดจริง พอทำน้ำมนต์แล้วเพ่งพลังจิตลงไปแล้วก็ให้เอาไปกินที่บ้านของเขา ปรากฏว่าพอน้ำมนต์ถึงท้อง เด็กที่ตายก็ออกมาพร้อมรก ตัวแม่รอดชีวิตได้ นี่แหละอาตมาจึงว่า รู้ไว้ ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม หลวงพ่อเดิมท่านสอนอย่างนั้น เดี๋ยวนี้อาตมาไม่ได้ใช้แล้ว คาถาอาคม เพราะเรามาเป็นอาจารย์สอนวิปัสสนากรรมฐาน แล้วก็ละทิ้งเสียทั้งหมด เพราะไม่รู้จะใช้ไปทำไม แต่ก็ยังอยู่ในไส้พุงนะ ไม่ใช่ทิ้งแล้วลืมเลย คือไม่ทำเท่านั้น
    เมื่ออาตมาเรียนจบแล้ว หลวงพ่อเดิมท่านอาพาธหนัก ทรุดลงทันที เหมือนกับว่าท่านทรงสังขารอยู่เพื่อสอนวิชาคชศาสตร์ให้กับอาตมาเป็นครั้งสุดท้าย หลวงพ่อเดิมท่านอาพาธคราวนี้อาตมาได้ใกล้ชิดอยู่จนมรณภาพ เพราะอยู่กับท่านมาตลอดหกเดือนจนคุ้น ลูกหลานหลวงพ่อเขาช่วยกันพยาบาลอย่างใกล้ชิด อาตมาก็อยู่หน้ากุฏิ เพราะไม่มีที่และหลวงพ่อก็อาพาธหนัก<o>:p></o>:p>[/FONT]

    [FONT=&quot]ปีพุทธศักราช ๒๔๙๔ อาตมาอยู่กับหลวงพ่อเดิมจนวาระสุดท้ายมาถึง วันนั้นท้องฟ้าแจ่มใส เมฆไม่มี อากาศร้อนอบอ้าว มันแล้งจริง ๆ แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีเมฆฝนตั้งเค้าทะมึนมาเหนือท้องฟ้าบ้านหนองโพ และฝนก็เทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา มันเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกมาก อาตมารู้ตอนหลังนี้ว่า หลวงพ่อเดิมท่านปรารภก่อนหน้าที่ฝนจะตกว่า [/FONT][FONT=&quot]“น้ำในสระบ้านหนองโพมีกินกันพอหรือ” ลูกหลานก็บอกว่า [/FONT][FONT=&quot]“ถ้าฝนไม่ตกในสี่ห้าวันนี้ก็ต้องอดกันแน่ เพราะน้ำแห้งลงไปมาก” หลวงพ่อเดิมท่านก็ให้ลูกหลานช่วยแต่งจีวรครองให้ท่านให้รัดกุม แล้วท่านก็หลับตา มือสองข้างพนมไว้ที่หน้าอก ปากสวดพร่ำภาวนาคาถาและเจริญกสิณของท่านไปเพียงไม่นาน เมฆฝนก็ก่อตัวขึ้นดำมืดไปหมด แล้วก็ตกลงมาอย่างหนักจนน้ำไหลลงสระถึงค่อนสระจึงขาดเม็ด และเมื่อฝนขาดเม็ด หลวงพ่อเดิมท่านก็ขาดใจเหมือนสายฝน
    [/FONT]
    [FONT=&quot]
    อาตมารู้ว่าหลวงพ่อสิ้นเมื่อได้ยินเสียงลูกหลานหลวงพ่อที่อยู่ด้านในห้องร้องไห้ และออกมาร้องบอกคนข้างนอกว่า หลวงพ่อเดิมท่านมรณภาพแล้ว ให้ตีกลองและระฆังเป็นสัญญาณ อาตมารู้สึกใจหาย แม้จะเป็นศิษย์เพียงหกเดือนสุดท้าย แต่อาตมาได้รับสมบัติตกทอดจากหลวงพ่อเดิมอย่างมหาศาล คือ กสิณ และความเป็นพระมาจนทุกวันนี้ ถ้าไม่ได้หลวงพ่อเดิม ป่านนี้อาตมาก็คงไม่ได้มาเล่าเรื่องนี้ทั้งที่ครองผ้าเหลืองหรอกนะ
    อาตมาอยู่ช่วยงานศพหลวงพ่อเดิมตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืนที่มีการตั้งศพหลวงพ่อเพื่อสวดพระอภิธรรม ท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธินายก (เดิมเป็นมหาห้อง) เจ้าคณะจังหวัดเป็นประธานจัดงานศพ เพราะเลื่อมใสในองค์หลวงพ่อเดิมอย่างยิ่ง ตอนนั้นอาตมาได้เข้าใกล้ชิดท่าน เพราะท่านเคยมาเยี่ยมหลวงพ่อเดิม และหลวงพ่อเดิมก็คงจะบอกกับท่านว่า พระจรัญรูปนั้นเขาจะสึกไปเป็นฆราวาสแล้วท่านยับยั้งเอาไว้ พอว่างแขกท่านก็เรียกอาตมาเข้าไป อาตมาก็เข้าไปกราบท่านพูดว่า
    “เธอใช่ไหมชื่อ จรัญ มาจากพรหมบุรี”
    “ขอรับกระผม หลวงพ่อบอกกับพระคุณท่านหรือขอรับ”
    “นี่เธอฟังฉันนะ ฟังให้ดี ๆ เธอเคารพหลวงพ่อเดิมหรือเปล่า”
    “ขอรับ กระผมเคารพขอรับ”
    “ดีแล้วฉันจะบอกกับเธอตรงนี้โดยไม่ปิดบังว่า ฉันเป็นเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ฉันนี่แหละคือศิษย์ของหลวงพ่อเดิมองค์หนึ่ง ได้ดีมาทุกวันนี้ก็ด้วยบารมีหลวงพ่อเดิมนี่แหละ เธอเป็นศิษย์ที่หลวงพ่อเลือกสรรแล้ว” อาตมาก็งงนอกจากเจ้าคณะจังหวัดจะเป็นศิษย์หลวงพ่อเดิมแล้ว จึงเรียนถามเจ้าคณะจังหวัดไปตามประสาซื่อว่า
    “กระผมไม่เข้าใจขอรับว่าทำไมพระคุณท่านจึงว่า หลวงพ่อเดิมเลือกสรรกระผมแล้ว”
    “เธอฟังฉันให้ดี ๆ นะ วิชาคชศาสตร์นี้ไม่ว่าฆราวาสหรือสงฆ์ในหรือนอกบ้านหนองโพ หลวงพ่อเดิมไม่เคยถ่ายทอดให้ แต่คุณคนเดียวนี่แหละที่หลวงพ่อมอบให้ จึงนับเป็นวาสนาบารมีของคุณโดยแท้ มีผู้มาขอเรียนกับหลวงพ่อเดิมตรง ๆ แต่หลวงพ่อเดิมก็ได้แต่หัวเราะ อย่างเก่งก็บอกว่า รอไปก่อนนะ ยังไม่ถึงเวลาจนแล้วจนรอด หลวงพ่อท่านก็ไม่พูดถึง เป็นอันว่าไม่ได้เรียน” อาตมาจึงเข้าใจในทันทีว่า หลวงพ่อเดิมท่านเมตตาต่อตัวอาตมามากเป็นพิเศษ จึงถ่ายทอดวิชาคชศาสตร์ให้จนครบถ้วนกระบวนความ เหมือนท่านจะมีญาณวิเศษหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าเมื่อท่านมรณภาพแล้ว อาตมาจะได้เข้าไปในป่าเรียนวิชากับพระอาจารย์อีกองค์หนึ่ง แล้วออกเดินธุดงค์เดี่ยวหาความชำนาญ วันนั้นก็ได้พบกับช้างป่าตัวเบ่อเริ่มส่งเสียงร้องแปร๋น ๆ กางหูชูงารี่เข้ามาจะกระทืบอาตมาให้แบนติดเท้า อาตมาจึงเข้าที่เจริญพระกรรมฐานและกสิณจนแน่วแน่ แล้วแผ่เมตตาให้เทวดาประจำตัวช้าง ช้างที่กำลังวิ่งแปร๋นเข้ามามีอันเป็นหน้าหงายสะบัดหูชูงา สะบัดงวงไปมาเข้ามาไม่ได้ เทวดาเขารั้งเอาไว้จนอยู่ บอกว่าอย่าไปทำร้ายพระสงฆ์ท่านไม่ใช่ผู้เบียดเบียน เจ้ามาเกิดเป็นเดรัจฉานก็นับว่ากรรมแล้ว ถ้าไปแทงท่านตายก็กรรมหนักเข้าไปอีก ไม่ต้องมีโอกาสได้เป็นคนกัน
    มันเป็นเสี้ยวชีวิตแห่งความเป็นความตายทีเดียว เพราะช้างมันแล่นเข้ามาเกือบจะถึงอยู่แล้ว มันจึงเบนออกจากอาตมา หลังจากนั้นได้มองเห็นภาพหลวงพ่อเดิมทุกอิริยาบถ นึกถึงคำที่ท่านว่า ผู้ใหญ่เข้าให้อะไรอย่างหยิ่งยะโสโอหัง เอาไว้ก่อน วันหน้าจะเป็นประโยชน์ อาตมายกมือขึ้นจบที่หน้าผาก ระลึกถึงพระคุณหลวงพ่อเดิมว่า
    [/FONT]
    [FONT=&quot]“หลวงพ่อครับ ถ้าหลวงพ่อไม่สอนวิชาคชศาสตร์ให้กระผมในวันนั้น วันนี้ผมต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี้แน่ ๆ ดีแต่ว่าหลวงพ่อสอนวิชาคชศาตร์ให้จึงรอดมาได้ หลวงพ่อครับ ชาตินี้ผมไม่ลืมหลวงพ่อเด็ดขาด”[/FONT][FONT=&quot]
    อาตมายังย้อนไปถึงคำหลวงพ่อเดิมว่า “ฉันรู้นะว่าเธอน่ะต้องการสึกและเมื่อก่อนเธอเกลียดผู้หญิงมาก แต่เธอจะกลับสึกไปหาผู้หญิง ต่อไปเธอจำไว้นะ จำคำหลวงพ่อไว้”
    “ยิ่งเกลียดยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งรักยิ่งออกห่าง เมื่อเรามีความเกลียดแล้ว แผ่เมตตาความเกลียดก็หายไป ความรักใคร่ก็เข้ามาแทนที่ต่อไป” <o>:p></o>:p>[/FONT]

    [FONT=&quot] ไม่แต่เท่านั้นนะ อาตมาจะเล่าต่อให้ฟัง วิชาคชศาสตร์นี้ อาตมายังนำเอามาใช้ประโยชน์ได้อีกเรื่องเมื่อแม่ชีอายุ ๖๐ ปี เคยเกิดเป็นช้างมาก่อน ระลึกชาติได้ พอมาที่วัดอาตมาก็สอบสวนได้ความอย่างนี้ว่า พรานทองดีมีช้างตัวเมียอยู่ตัวหนึ่ง เป็นลูกช้างเก็บจากป่ามาตั้งแต่เล็ก ๆ พรานทองดีเลี้ยงไว้ เจ้าช้างนี้ประหลาดชอบตามพรานทองดีไปวัด ไปฟังเทศน์ ไปหมอบฟังพระเทศน์จนโตก็ยังทำอย่างนั้นเป็นประจำ พรานทองดีแกรักของแกมาก เลี้ยงดูไม่ให้อดอยาก แต่พรานทองดีแกบุญน้อย เมื่อพรานทองดีเสียชีวิต ช้างก็ต้องตกเป็นของลูกหลาน ลูกหลานเห็นอยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ ต้องหาหญ้าหาของกินให้ช้างกิน จึงขายต่อไป แม่ช้างน้ำตาไหล ร้องไห้ไม่อยากจากบ้านพรานทองดี ซึ่งเหมือนพ่อของมันไป แต่ควาญช้างที่ซื้อไปก็เอาตะขอสับลากไปจนได้ มันเดินไปร้องไห้ไป ตรอมใจไป ไม่ยอมกินอาหาร พอไปถึงเมืองศรีเทพ (เพชรบูรณ์เก่า) ก็ล้มลงขาดใจตายอยู่ตรงนั้นเอง เพราะมันเสียใจ พอช้างตายแล้วจึงได้กลับมาเกิดเป็นผู้หญิงอยู่ข้างบ้านพรานทองดีที่ภูพาน อายุได้ ๑๒ ปีก็ร่ำลาพ่อแม่ บวชชีแล้วระลึกชาติได้ อายุ ๖๐ ปี มาที่วัด อาตมาก็สอบสวนอย่างไร ก็เอานิสัยที่หลวงพ่อเดิมท่านสอบว่าช้างตัวผู้มีนิสัยอย่างไร ช้างตัวเมียมีนิสัยอย่างไรแล้ววันหนึ่ง ๆ ทำอะไรบ้าง คนที่นั่งฟังอาตมาถามให้แม่ชีก็ตอบเป็นข้อ ๆ ก็งงไม่รู้ว่าอาตมาเอาอะไรมาถาม จนที่สุด อาตมาก็ยอมรับว่า จริงเพราะถ้าคนไม่เคยเป็นช้างและไม่เคยรู้เรื่องคชศาสตร์ที่อาตมาได้รับการถ่ายทอดจากหลวงพ่อเดิมมาแล้ว จะไม่รู้เลยว่าอะไร แต่แม่ชีตอบได้ฉะฉานว่าอะไรเป็นอะไร แต่แม่ชีตอบได้ฉะฉานและขาวสะอาดเป็นอันว่าระลึกชาติได้จริง นี่เห็นไหมล่ะว่า หลวงพ่อเดิมท่านเหมือนมีตาทิพย์ มองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้[/FONT][FONT=&quot] <o>:p></o>:p>[/FONT]
    [FONT=&quot] อาตมาขอแทรกคำกลอนไว้ตรงนี้ เป็นคาถาแก้จน คาถาทำให้มีกินมีใช้ คาถามีอยู่ว่า
    [/FONT]
    [FONT=&quot]“ไม่ยอมเรียนหรือจะรู้ ไม่ยอมดูหรือจะเห็น ไม่ยอมทำหรือจะเป็น ก็ลำเค็ญย่ำแย่จนแก่ตาย”[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot] ดังนั้น ต้องเรียน ต้องรู้ ต้องทำให้เป็นตัวอย่าง อย่าดูถูกวิชาการเรียน เขาให้อะไรก็เรียนไว้ไม่เสียหาย ช่วยตัวได้เวลาจำเป็นนี่เป็นตัวอย่าง เมตตาที่หลวงพ่อเดิมท่านสอนให้นี้ ท่านให้อาตมาไว้ผจญภัยจริง ๆ เพราะแม้แต่ไปต่างแดนก็ได้ใช้เมตตานี้เหมือนกันที่ศรีลังกาโน่นมันร้ายกาจกว่าช้าง เพราะเข้าเป็นคนที่มีใจอำมหิตโหดร้าย เมตตาที่หลวงพ่อเดิมสอนนี้ ทำให้อาตมากำราบได้แม้แต่คนใจทมิฬ อาตมาออกจากวัดหนองโพแล้วก็ปวารณาตัวเองเลยว่า [/FONT][FONT=&quot]ข้าแต่หลวงพ่อเดิม ท่านพระครูนิวาสธรรมขันธ์ แห่งวัดหนองโพ ศิษย์ขอบบวชจนตายไม่ยอมสิกหาลาเพศ เพราะหลวงพ่อเดิมคือดวงประทีป คือตัวอย่างที่ทำให้ผมได้รู้ว่าพระคือใคร พระมีหน้าที่อะไร พระทำอะไรได้บ้าง และพระที่ดีนั้นควรทำอย่างไร[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot] อาตมากบอกกับโยมตรง ๆ เลยว่า อาตมานับถือหลวงพ่อเดิมมาก เพราะท่านให้ชีวิตอันเป็นอมตะในสมณเพศแก่อาตมา ถ้าท่านไม่ประทังไว้ อาตมาก็คงจะสึก ไม่ได้มานั่งคุยกับโยมในผ้าเหลืองอย่างนี้หรอก [/FONT][FONT=&quot]อาตมาสวดมนต์ไหว้พระแล้วก็กราบหลวงพ่อเดิมทุกวัน ระลึกถึงพระคุณของท่านที่ได้สร้างอาตมาให้เป็นสงฆ์ที่ดี อัฐิของท่านอาตมาก็แบ่งเอามาไหว้ มากราบระลึกถึงพระคุณ ท่านเป็นพระที่ลึกซึ้งและเยี่ยมยอดจริง ๆ จะหาพระอาจารย์อย่างท่านได้ยาก[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot] วันพระราชทานเพลิงศพนั้น จะเล่าให้ฟัง ผู้คนล้อมรอบเมรุที่เผาท่านเบียดเสียดยัดเยียดกัน ตำรวจก็เข้าไปกัน ไฟยังไม่ทันดับสนิท ผู้คนต่างเฮโลเข้ามาจะเก็บอัฐิเพราะความนับถือ อาตมาเป็นพระก็ได้เปรียบเพราะอยู่ใกล้ จึงคว้าเอาไว้ก่อน เอาห่อผ้าเหลืองใส่ยามติดตัว เพราะเป็นของมีค่าที่สุดในชีวิตของอาตมาในตอนนั้น อาตมาบูชาหลวงพ่อเดิมยิ่งชีวิต เพราะท่านเป็นผู้ให้สติ ให้เราพ้นจากความหลง ความกระวนกระวายใคร่จะสึกออกไปใช้ชีวิตแบบฆราวาส ท่านใช้อุบายต่าง ๆ ทำให้เราติด เราเกิดความสนใจและสอนวิชาให้จนในที่สุดเลิกความคิดที่จะสึกออกไป นอกจากหลวงพ่อเดิมแล้ว อาตมาก็เดินทางไปแสวงหาพระอาจารย์อีกหลายรูป อาทิเช่น เจ้าคุณอริยะคุณาธาร (เส็ง) ปุสสโส องค์นี้เก่งกล้าสามารถแยกจิตและวิญญาณออกจากกันไปปรากฏกายสอนในที่ต่าง ๆ กันในเวลาเดียวกันได้อย่างอัศจรรย์ ท่านได้สอนเรื่องทิพย์อำนาจให้กับอาตมาหลายอย่างด้วยกัน ท่านมรณภาพไปแล้ว อาตมาก็ยังระลึกถึงอยู่ อีกองค์หนึ่งคือหลวงพ่อลี ท่านพระอาจารย์ลี ธัมมธโร วัดอโศการาม อาตมาเคยไปอยู่ในป่ากับท่านสามเดือนเต็ม ๆ ได้วิชาสะเดาะต่าง ๆ พอพลังจิตแน่วเป่ากุญแจหลุด เอาเชือกมาพันตัวเป่าก็หลุด นี่เคยทดลองมาแล้ว เห็นแล้วก็เลิกเสียเพราะไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาทำ เพราะสัจธรรมนั้นดีกว่า ท่านพ่อลีองค์นี้ก็เก่งไม่ลืมพระคุณเลยทีเดียว
    อาตมาเรียนหมด ก็ถือแบบหลวงพ่อเดิม ผู้ใหญ่ให้อะไรก็รับไว้หมด แต่ไม่ค่อยได้ใช้เพราะเรามาพัฒนาคนแล้ว อาตมายกหลวงพ่อเดิมให้เป็นอันดับหนึ่ง เพราะท่านทำให้อาตมาไม่สึก ทำให้บวชต่อได้ตลอดชีวิต ถ้าไม่ได้ท่าน อาตมาก็คงเป็นฆราวาส ไม่ได้มาสร้างความเจริญให้กับพระศาสนาเป็นแน่แท้ทีเดียว....[/FONT]
    [FONT=&quot]<o>:p></o>:p>[/FONT]
    <table style="width: 100%;" class="MsoNormalTable" border="0" cellpadding="0" width="100%"><tbody><tr style=""> <td style="border: medium none rgb(212, 208, 200); padding: 0.75pt; width: 50%; background-color: transparent;" width="50%"> <o>:p> </o>:p>
    บางส่วนบางตอนจากข้อเขียนของ หลวงพ่อจรัญ ธิตธัมโม วัดอัมพวัน สิงห์บุรี<o>:p></o>:p>
    </td> </tr> <tr style=""> <td style="border: medium none rgb(212, 208, 200); padding: 0.75pt; width: 50%; background-color: transparent;" width="50%"> เผยแพร่โดย สุโขทัย (ประเสริฐ สารการ)<o>:p></o>:p>
    </td> <td style="border: medium none rgb(212, 208, 200); padding: 0.75pt; background-color: transparent;"> 1 กรกฎาคม 2551<o>:p></o>:p>
    </td> <td style="border: medium none rgb(212, 208, 200); padding: 0.75pt; background-color: transparent;">
    ขอมอบกุศลนี้แด่เจ้ากรรมนายเวรทุกท่าน
    </td></tr></tbody></table>
     
  2. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    กุศลผลบุญใด ๆ ก็ตามที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศให้<O:p</O:p


     
  3. อิทธิปาฏิหาริย์

    อิทธิปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,834
    ค่าพลัง:
    +1,472

แชร์หน้านี้

Loading...