เรียนรู้เพื่อตั้งรับโรคภัย เทรนด์ใหม่ของการดูแลสุขภาพ

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 19 มกราคม 2010.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <table style="width: 521px; height: 56px;" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td>เรียนรู้เพื่อตั้งรับโรคภัย เทรนด์ใหม่ของการดูแลสุขภาพ

    </td><td width="155" valign="top">
    </td></tr></tbody></table><table width="500" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td>รายงานโดย :อนุสรา ทองอุไร:
    </td><td>วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553
    </td></tr></tbody></table>
    ช่วงหลายปีหลังๆ นี้ ใครๆ ต่างพากันพูดกันถึงเรื่องของ “สุขภาพ” โดยเฉพาะโรคหวัด ที่อาจมีหวัด 2010 อุบัติขึ้นได้ทุกเมื่อ


    พร้อมทั้งโรคอื่นๆ ที่กลับมาอุบัติใหม่อีกหลากหลาย ต้องเตรียมสุขภาพตั้งรับกันให้ดี ทั้งในด้านอาหารการกิน ยาบำรุง การออกกำลังกาย การนวดผ่อนคลาย สปาเพื่อสุขภาพ การดูแลรักษาโรคต่างๆ ด้วยการแพทย์ทางเลือก รวมทั้งการดูแลให้เกิดความงามจากภายในสู่ภายนอก ซึ่งเป็นการตอกย้ำการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นแบบ “ใส่ใจสุขภาพ” กันมากขึ้น

    [​IMG]

    ส่วนหนึ่งของกระแสดังกล่าว เป็นผลมาจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ นานา ที่เข้ามาเยือน ไม่ว่าจะเป็นโรคร้ายอย่าง มะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน ในระดับความรุนแรงรองลงมา อย่าง โรคอ้วน โรคคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ซึ่งเป็นโรคพื้นฐานนำไปสู่การเป็นโรคร้ายต่างๆ โรคติดต่อ อาทิ โรคไข้หวัด อย่างในปัจจุบัน ที่มีการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 รวมไปถึงโรคที่เกิดจากพฤติกรรมโดยทั่วไปของคนทำงาน อาทิ การยกของหนัก การนั่งทำงานผิดท่า ฯลฯ ซึ่งส่งผลต่อโรคปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ โรคกล้ามเนื้ออักเสบ โรคปวดหลัง ฯลฯ
    กระแสของโรคต่างๆ นำมาซึ่งกระแสการรักษาสุขภาพในหลากหลายแบบ โดยในปัจจุบันการแพทย์ทางเลือก อย่างการรับประทานสมุนไพรไทย บำรุงสุขภาพ การแพทย์ตามแนวเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ ต้นตำรับ Anti-Aging จึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังมุ่งเน้นหลักในการดำเนินชีวิตเพื่อการสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ ดี ซึ่งเป็นการมุ่งเน้นระบบการป้องกันตั้งรับมากกว่าการแก้ไขรักษา อันจะนำไปสู่การมีสุขภาพที่แข็งแรง ดังพุทธพจน์ที่ว่า อโรคยา ปรมลาภา การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ

    โรคยอดฮิตของคนทำงาน
    โรคยอดฮิตของหนุ่มสาวออฟฟิศที่หนีไม่พ้นคงจะเป็นอาการปวดนานาชนิด อาทิ อาการปวดหลัง ปวดบ่า ปวดไหล่ และบางคนรุกหนักมาถึงอาการปวดขา นอกจากนี้ยังมีอาการปวดหัวไมเกรน ซึ่งเป็นผลสำคัญมาจากลักษณะการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นานเกินไป และไม่มีการเปลี่ยนอิริยาบถในแต่ละช่วงเวลา การยกของหนักด้วยท่าที่ไม่ถูกต้อง ความเครียดจากการทำงาน ซึ่งอาการต่างๆ เหล่านี้เป็นที่รู้จักอย่างดีในนามของโรคออฟฟิศซินโดรม

    วัย ไม่ใช่สิ่งบ่งชี้ภาวะที่เกิดโรค หากแต่เป็นพฤติกรรมที่ขาดความสมดุล ที่เป็นแรงเสริมที่ทำให้เกิดโรคได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งหากปล่อยให้วันเวลาล่วงเลยไปโดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี หรือเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม อาการของโรคอาจรุนแรงมากยิ่งขึ้น และกลายเป็นภาวะกระดูกเสื่อม หรือภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้

    เคล็ดลับง่ายๆ ของการป้องกัน คือ การเปลี่ยนอิริยาบถทุกๆ 1-2 ชั่วโมง การจัดร่างกายให้อยู่ในท่วงท่าที่เหมาะสม รวมถึงการออกกำลังกายที่ถูกวิธีและเหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ และให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายบริเวณหน้าอก หลัง ไหล่ ขา และทุกๆ ส่วนของร่างกาย

    โรคร้ายที่เริ่มคุกคามตั้งแต่ ‘วัยเด็ก’
    ไม่ใช่เพียงแค่หนุ่มสาวออฟฟิศ หรือวัยชราเท่านั้นที่ประสบความเสี่ยงต่ออาการที่เกี่ยวข้องกับกระดูก สันหลัง โรคดังกล่าวยังได้คุกคามต่อวัยเด็กอีกด้วย พฤติกรรมเสี่ยงของเด็ก คือ การใช้กระเป๋าที่หนักเกินน้ำหนักตัวถึง 20 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะการใช้กระเป๋าที่สะพายข้างหลัง ทำให้น้ำหนักของกระเป๋ากดกล้ามเนื้อต้นคอ ไหล่ หลัง และกระดูกสันหลัง และอาจกดทับบริเวณเส้นประสาทได้
    คุณพ่อคุณแม่อาจใส่ใจต่อการเลือกกระเป๋านักเรียนที่เหมาะสมกับเด็ก ตลอดจนการเลือกสายที่มีขนาดใหญ่มากกว่า 6 ซม.ขึ้นไป เพราะสายขนาดเล็กจะกดทับบริเวณไหล่ และอาจกดลึกจนมีผลต่อกล้ามเนื้อและเส้นประสาทในที่สุด ก้นกระเป๋าต้องไม่ต่ำกว่าบั้นเอว ควรแนะนำให้เด็กเดินตัวตรง ไม่เอนตัวไปข้างหน้า หรือเดินหลังค่อม ตลอดจนแนะนำให้สะพายกระเป๋าให้ได้น้ำหนักที่สมดุลทั้งด้านซ้ายและขวา เพื่อไม่ให้เกิดการถ่ายเทน้ำหนักส่วนเกินด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป

    โรค ‘อ้วน’ ต้นตอของโรคร้าย
    โรคอ้วนถือเป็นโรคที่มีความสำคัญต่อการเกิดโรคร้ายต่างๆ นานา ซึ่งเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการรับประทานอาหารอย่างไม่ระมัดระวัง และพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เกิดจากการนั่งทำงานทั้งวันและไม่ออกกำลังกาย ความอ้วนเป็นเพียงอาการเตือนระยะแรกเท่านั้น ซึ่งอาการเตือนในระยะต่อมาอาจจะเป็นอาการหอบหายใจเมื่อเดินขึ้นบันได 1 ชั้น หรือเดินขึ้นเนิน ซึ่งโรคที่สืบเนื่องจากโรคอ้วน อาทิ โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดตีบตัน โรคคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดสูง โรคเบาหวาน

    [​IMG]

    เคล็ดลับ สำคัญในการหลีกเลี่ยงโรคอ้วน คงหนีไม่พ้น การออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อเผาผลาญพลังงานส่วนเกินที่จะกลายเป็นไขมันส่วนที่พอกพูนขึ้นโดยไม่ได้ ตั้งใจของร่างกาย การเคร่งครัดในการรับประทานอาหาร อาทิ การงดน้ำตาล การงดรับประทานแป้งในมื้อสุดท้ายของวัน การงดเครื่องดื่มที่มีแคลอรี รวมไปถึงการจดบันทึกสิ่งที่รับประทานในแต่ละวันด้วย
    ข้อสำคัญคืออย่าไว้วางใจ เมตาโบลิซึม (Metabolism) หรือกระบวนการสันดาปของร่างกายมากเกินไป แต่ไว้ใจในพฤติกรรมของตัวเราเองดีที่สุด
    สำหรับโรคเบาหวานนั้น ไม่จำกัดเฉพาะแค่คนอ้วนเท่านั้นที่เป็นได้ ดังนั้นคนที่ผอมหุ่นเพรียวอย่าชะล่าใจไปจำเป็นต้องจำกัดน้ำตาลให้น้อยลงและ ให้น้อยลงเรื่อยๆ ตามอายุที่มากขึ้น อย่าตามใจปากมากเกินไป ซึ่งจะเป็นบ่อเกิดของเหตุสำคัญหลายๆ อย่าง

    โรค ‘เครียด’ ฮิตติดกระแส
    ในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้หลายๆ คนคงจะเครียดและคงจะรู้สึกเครียดมากขึ้นไปอีก ถ้ามีคนบอกว่าให้เลิกเครียด ! แต่ความเครียดนำมาซึ่งโรคร้ายหลายๆ โรค เช่นเดียวกับที่ได้กล่าวมาในข้างต้น ไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคหอบหืด โรคปวดศีรษะไมเกรน เป็นต้น นอกจากนี้ โรคดังกล่าวยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ทำให้ประสิทธิภาพของการทำงานลดลง เพราะโรคเครียดเป็นโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติทางด้านความกังวล ผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการ วิตกกังวลมากเกินปกติ บางคนมีอาการนอนไม่หลับ ใจสั่น ตื่นเต้น ตกใจง่าย เหงื่อออกมากผิดปกติ ปวดศีรษะ แน่นหน้าอก แน่นท้อง ชาตามตัว เป็นต้น
    อย่าปล่อยให้ความเครียดเกาะกินจิตใจ!

    เคล็ดลับ
    ในการผ่อนคลายความเครียดที่สำคัญ คงหนีไม่พ้นการบำรุงจิตใจ และกำลังใจให้แข็งแรง อาทิ การปล่อยวาง การทำจิตใจให้สงบ ด้วยการสวดมนต์ ทำสมาธิ หาเวลาว่างไปทำบุญ มองโลกในแง่บวก รู้จักแบ่งเวลาทำงานและเวลาผ่อนคลาย ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน สร้างสุขด้วยเสียงดนตรี และพักผ่อนหย่อนใจ

    ที่สำคัญคือจะต้องแบ่งเวลาออกกำลังกายบ้าง การออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องนานเกิน 20 นาทีขึ้นไป จะสร้างสารเอนดอร์ฟินส์ (Endorphins) ทำให้มีความสดชื่นสบายเนื้อสบายตัว ปลอดจากโรคภัยต่างๆ เป็นปลิดทิ้ง
    แบ่งเวลาตอนเช้าหรือก่อนนอนสักวันละ 10 นาทีในการสวดมนต์หรือนั่งสมาธิเพื่อให้จิตใจสงบนิ่ง เป็นการปรับจิตใจให้เบาสบายจากความวุ่นวายที่เผชิญมาทั้งวัน หรือแค่เพียงนั่งหลับตานิ่งๆ สักวันละ 10 นาทีก็ช่วยให้คุณรู้สึกว่างและปล่อยวางได้มากขึ้น เพียงทำได้อย่างที่กล่าวมา คุณก็จะใช้ชีวิตในแต่ละวันได้อย่างมีความสุขรับศักราชใหม่ได้อย่างสดชื่น แจ่มใส

    ที่มา posttoday.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 มกราคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...