เสกตะกรุด ให้ขลัง ด้วยตนเองทำอย่างไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย wuttichai0329, 27 พฤษภาคม 2016.

  1. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,015
    ค่าพลัง:
    +741
    ขอวิธี
    การลงอักขระ ยันต์
    การเสก
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ๑.หาต้นกระแสพลังงานก่อน เช่น พระพุทธฯ พระสงฆ์ หรือ
    วิชาเฉพาะทางท่านใดฯลฯ แล้วทำให้ถูกต้องตามระเบียบก่อน..
    ๒.ศึกษาเอกลักษณะของอักษรแต่ละตัว
    ตามแต่เจตนาที่เราต้องการ เช่น เมตตา แคล้วคลาด..ฯลฯ
    อักษรบอดเป็นอย่างไรต้องเข้าใจ..
    และเขียนบันทึกเป็นลายลักอักษรลงในวัตถุนั้นๆ..
    ๓.สร้างตัวจิตเชื่อมกับต้นกระแสให้ได้...
    ๔.สุดท้ายไม่ว่าจะบริกรรม หรือ ใช้บทสวดใดๆก็ตาม
    ให้ทำการเป่าตัด เพื่อตัดพลังงานจากต้นวัตถุ
    ให้มาอยู่ในอยู่วัตถุที่เราสร้าง...
    ปล. ข้อที่ ๒ สามารถเขียนกลางอากาศก็ได้นะครับ
    ถ้าเข้าใจที่เขียนให้อ่านได้ และสร้างตัวจิตให้ทำได้
    ก็สามารถทำได้ครับ...แต่ไม่ขอลงลายละเอียดนะครับ
     
  3. spharm

    spharm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +389
  4. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    ผมคิดว่า จะให้ขลังจิต ต้องถึง "ฌาน" และศีล ต้องบริสุทธิ์ แค่ศีล5ครบ จริงก้เหมือนไม่ยากนะ แต่มันก้ไม่ง่าย โดยปกติฆราวาสยังเป็นผู้มีกิเลส แต่ถ้าเปนนักบวชหรือผู้ทรงศีล มีหลักปฏิบัติและพื้นจากการทำสมาธิ และเคร่งในศีล หากไม่มีคำคาถากำกับ แค่เป่าลมเพรี้ยง วัตถุมงคลนั้นก้ยังขลังขึ้นได้

    ก้เหมือนเราไปทำบุญที่วัด หลวงพ่อท่านให้สวดอธิษฐานตาม หรือ รดน้ำมนต์ หรือรับของที่เราไปประเคน ก้เหมือนแผ่พลังเมตตามาให้แก่เราแล้ว นี่ก้เปนหลักทำนองเดียวกัน
     
  5. คุณกันฌามี

    คุณกันฌามี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +65
    ทำได้นะ ให้เคร่งในศิลก่อน

    แล้วสวดมนต์ยัดเข้าไป ยิ่งสวดมากยิ่งวันติดต่อมากยิ่งขลัง

    วิธีเพิ่มพลังขึ้นอีก ก็เช่น เรียกครูบาอาจารย์ ชุมนุมเทวดาให้ช่วย ฯลฯ

    ส่วนที่เหลือ เช่น การเขียนยันต์ยังไง จะใช่ส่วนผสมอะไรมั้ง ก็ไปศึกษาหาจากครูบาอาจารย์ เอาเอง
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ประเด็นแรกที่ควรเข้าใจก็คือ
    การยึดติดในวัตถุมงคลนั้น
    ยังไม่ใช่แนวทางที่แท้จริง
    ตามหลักพุทธศาสนา..
    ถ้าเรามีวัตถุใดๆแล้วเราปฏิบัติตามธรรมคำสอน
    ของท่านนั้น หรือใช้เป็นเครื่องระลึกนึกถึง
    คุณของพระรัตนตรัย
    ถึงจะเป็นถือว่าเป็นพุทธศาสนานะครับ
    แต่ถ้าไปยึดมั่นถือมันอีกก็ยังไม่ใช่นะครับ
    แต่ควรให้ความเคารพแต่ไม่ยึดครับ
    เพราะถ้าเผลอยึด รับรองว่าจะเกิดปัญหาทันที
    เป็นเหตุในการ แบ่งฝัก แบ่งฝ่าย
    ว่าตัว ว่าตนขึ้นมาทันทีครับ...

    การให้ความเคารพแต่ไม่ยึดถือนั้น...
    ยกตัวอย่างเช่นเหมือนเราไหว้
    รูปบิดามารดาของเรา แต่เราไม่ได้ยึดว่า
    รูปบิดามารดานั่นเป็นบิดามารดา
    ของเราจริงๆนั่นหละครับ

    แต่ก็ไม่ใช่ว่า อยู่ดีๆจะไปบอกให้ไม่ยึดติด
    ก็ไม่ได้อีก..เพราะว่าสิ่งที่บางคนยังยึดอยู่
    ก็ยังส่งผลดีไม่ว่าด้านใดด้านหนึ่ง
    ให้กับบุคคลนั้นๆอยู่..
    เช่น บุคคลนั้นกราบไหว้วัตถุที่สืบเนื่องกับผี
    กับเทพ กับพรหม กับวิญญานมีฤิทธิ์
    ที่สร้างบารมี กับวิญญานบรรพบรุษ ฯลฯ
    ดังนั้นเรื่องนี้ก็ควรปล่อย
    ให้เป็นไปตามวาระของ
    แต่ละบุคคลด้วยครับ


    และการเพิ่มพลังงานให้วัตถุ
    และการปลุกเสกนั้น...
    มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า บุคคลนั้น
    จะมีศีล ๕ นะครับ..และกำลังสมาธิก็มี
    ส่วนช่วยหนุนน้อยมากในเรื่องของความ
    สามารถในการทำได้ครับ...
    มันอยู่ที่กำลังจิตของจิตดวงนั้นๆ..
    ส่วนผลนั้นขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิใช้งานได้จริงครับ..
    ก็ขึ้นอยู่กับว่า จะมีความสามารถทำได้จริง
    ในกำลังสมาธิระดับไหนเท่านั้นเอง...
    .
    ถ้าบุคคลที่ทำได้ มีศีล ๕ เราจะไม่ได้ยิน
    เรื่อง ชู้สาวหลอกหลวงเพื่อกระทำชำเรา
    หรือการทำเสน่ห์เพื่อให้ผู้หญิงมารัก
    หรือเพื่อให้ครอบครองผู้ชายที่ตนหมายปอง...
    เรื่องการทำของใส่คนอื่นๆ
    เพื่อทำร้ายทำลายกันหมายเอาชีวิต...
    หรือเรื่องการกักขังหน่วงเหนี่ยว
    ดวงจิตดวงวิญญานต่างๆ
    เพื่อสนองกิเลสตัณหาตนเองหรือผู้อื่น...
    จะถามว่า บุคคลที่ทำอกุศลอย่างนี้
    เราถือว่า เป็นคนมีศีลไหมครับ
    แต่......ทำไมบุคคลเหล่านี้ถึงทำได้หละครับ....
    ประเด็นนี้ฝากไปพิจารณาด้วยครับ...




     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    การเพิ่มพลังงานให้วัตถุที่ไม่ได้มีพลังงานในตัวเอง
    อยู่แล้วเป็นธรรมชาติที่เราๆเคยได้ยินกันมา...
    ในลักษณะที่ใช้กำลังใจตัวเอง...
    กับการไปขอเชื่อมต้นกระแสพลังงาน
    ในระดับต่างๆนั้น...
    ลักษณะของพลังงานในวัตถุ
    จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงครับ...
    การใช้กำลังใจตัวเองนั้น
    พอผู้ทำเสียชีวิตวัตถุนั้น
    พลังงานก็จะหมดไป
    และต่ำลงตลอดจนไม่มี
    เพราะอะไรทราบไหมครับ....

    เพราะการใช้กำลังใจตัวเองแต่ฝ่ายเดียว
    ร้อยละร้อยมันเป็นการทำเพื่อตัวเองครับ
    เป็นการทำเพื่อสนองกิเลส
    ในใจตนเองทางด้านต่างๆทั้งนั้นหละครับ
    ไม่ว่า ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ
    ซึ่งมีเป้าหมายในเชิงก่อให้เกิดอกุศกรรมทั้งสิ้น
    โลกนี้จึงได้รู้จักคำว่า เดรัชฉานวิชา ยังไงครับ
    และก็แปลกว่า ทั้งๆที่รู้ว่า เป็นเดรัชฉานวิชา
    ไม่ใช่แนวทางพุทธศาสนา แต่ก็ยังมีเห็นพยายามฝึกกันจัง
    พยายามเรียนรู้แสวงหากันจัง..
    อยากทำกันอยู่นั่นหละ
    เพราะฝ่ายแพ้ ตัวกิเลสในใจตนที่ไปยึดติด
    ในลาภ ยศ สุข สรรเสริญนั่นหละครับ

    ส่วนตัวเท่าทีมีประสบการณ์มาพบว่า
    บุคคลที่มีความสามารถทำได้จริง
    แทบไม่เคยเห็นมีท่านใด.
    ใช้กำลังจิต กำลังใจตัวเองเป็นหลัก..
    มีแต่จะสร้างกำลังจิต สร้างกำลังใจให้จิต
    ตัวเองเข้าถึงต้นพลังงาน ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง
    เกือบแทบทั้งนั้นครับ...

    และก็เป็นธรรมดาที่จะมีลักษณะพลังงานเฉพาะ
    ที่เกิดจากจิตของผู้ที่ทำการ
    เพิ่มพลังงานปนเข้ามาด้วย
    ในกระแสของต้นพลังงาน
    เพราะใช้จิตต้น ในการเข้าถึงต้นพลังงาน
    แม้ว่าจะเป่าตัดเพื่อให้ต้นพลังงาน
    มาอยู่ในวัตถุแล้วก็ตาม
    ขึ้นอยู่กับว่าจิตดวงนั้น
    ได้ไปฝึกอะไรมา...
    ถ้าสามารถเข้าถึงเรื่องพลังงานได้
    ยังไงๆเราก็จะต้องทราบได้แน่นอนครับ...

    ทำนะทำได้ ทำเพื่อสงเคราะห์บุคคล
    ในกรณีที่ต้องการกำลังใจ กรณีที่เดือดร้อน
    หรือทำเพื่อทำนุ บำรุงสืบพระพุทธศาสนา
    ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง...
    แม้ว่าจะไม่ใช่หลักของพุทธศาสนา
    แต่ท่านก็จะเห็นว่าเป็นเจตนาที่ดี....
    และเป็นเครื่องดึงให้ระลึกถึงความดี
    ดึงให้ระลึกถึงธรรมคำสอนของท่านนั้นๆ
    .ซึ่งเป็นพื้นฐานเพื่อหนุนการสร้างสติเดินปัญญา
    เพื่อให้ถึงปลายทางได้ ไม่เป็นไร....

    แต่อย่าไปทำ เพื่อหวังลาภ หวังชื่อเสียง
    หวังยศ หวังการสรรเสริญ หวังความสุขสบาย
    หรือกระทำไปเพื่อตนเอง..และไม่มีแม้แต่การสอน
    การเตือนเพื่อให้เข้าถึงความดี ให้ระลึกถึงคุณ
    พระรัตนตรัย ฯลฯ อย่างนี้ไม่ว่าสถานะทางสังคม
    ท่านเป็นเช่นใด...โลกก็ถือว่าท่าน ทำเดรัชฉานวิชาครับ...

    แม้ท่านทำได้จริง..แต่พลังงานที่ทำบรรจุเพิ่มเข้าไป..
    ยังไงๆมันก็คนระดับกับ ต้นพลังงานอยู่ดีครับ...

    วัตถุที่กระแสดีก็จะอยู่กับกระแสจิตใจที่ดี
    วัตถุที่กระแสร้อนหรือกระแสไม่ดี
    มันก็จะอยู่กับจิตใจที่กะแสไม่ดีเช่นกันครับ

    เพราะกระแสไม่ดีก็จะมาอยู่ร่วมกันกระแสดีก็ไม่ได้
    เพราะมันคนละคลื่นความถี่กันฉันใด...
    ถ้าเรามีวัตถุที่ดี แต่จิตเราสร้างแต่เรื่องอกุศล
    คิด พูด ทำ แสดงกิริยาแต่เชิงลบ วัตถุที่ดีใดๆก็ไม่อาจ
    ส่งผลอะไรได้ เพราะจิตเรามันจะเป็นกระไม่ดี
    เป็นกระแสร้อน ซึ่งจะไม่สามารถเข้าถึงกระแส
    ที่ดีในวัตถุนั้นๆได้ฉันนันแลครับ..

    การปฏิบัติบูชาที่ดีที่สุดคือการปล่อยวาง...
    แต่การวางได้เองโดยธรรมชาตินั้น
    ก็ควรเป็นไปตามวาระด้วยครับ...
    แม้ว่ายังวางไม่ได้ แต่ยังอยู่ในกุศล
    อยู่ในความดี..แม้ว่าจะติดดี
    แต่ก็ยังดีกว่า..ทำแต่เรื่องอกุศล
    พูดชั่ว คิดชั่ว กระทำชั่วต่างๆอยู่ดีครับ
    เราต้องไม่ลืมว่า กรรมนั้นมันเกิดจาก
    กายกรรม วิจีกรรมและมโนกรรม...
    ของเรานะครับ..ฝากพิจารณาด้วยครับ.

    ปล.ค่อยๆเป็นค่อยๆไปตามวาระแห่งบุคคลนะครับ..


     
  8. คุณกันฌามี

    คุณกันฌามี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +65
    ศิล5เป็นพื้นฐาน เพื่อเพิ่มพลังงานในการทำสมาธิรูปแบบต่างๆ ให้ง่ายขึ้นเท่านั้นเอง ก็เหมือน จะสอบคณิตศาสตร์ ไม่รู้สูตรคูณแต่พอรู้บวกลบ ก็พอไปได้บ้าง

    ตัวพลังงานเองก็มีทั้งเพิ่มและลด ดังนั้น การที่เพิ่มพลังงานจากสิ่งที่มีอยู่เป็นเรื่องปกติ

    คนที่ไม่ได้เคร่งศิลก็ทำได้ไม่เห็นจะแปลกเลยก็แค่"ยืม"

    (แต่คำถามอยู่ที่ว่าการทำด้วยตัวเอง ประเด็นอื่นจึงตกไป)
     
  9. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ผมล้อเล่นเท่านั้น ที่จริงเข้่าใจตั้งแต่แรก
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010


    เด่วขออนุญาตช่วยขยายความเพิ่มนะครับ..
    ไม่ได้จะมาขัดอะไรนะครับ..ถือว่าแลกเปลี่ยนความเห็นเนาะ
    จะพยายามอธิบายให้ฟังว่า
    ในทางปฏิบัติจริงๆ นั้นเป็นอย่างไรนะครับ
    ยังไงรบกวนอ่านให้ดีๆก่อนนะครับ






    ศีล ๕ ไม่ได้เป็นพื้นฐานในการเพิ่ม
    พลังงานสมาธินะครับ ในทางกิริยาทางด้านนามธรรม
    มันคนละประเด็น คนละเรื่องกันเลยนะครับ..
    ..สมาธิเนี่ยมันเป็นเสมือน
    ตัวต้าน ตัวกด ตัวข่ม ให้จิตมันนิ่งๆเฉยๆนะครับ..
    พูดง่ายๆก็คือว่า แม้ว่าคุณจะนั่งสมาธิได้ในระดับฌาน ๔
    แต่ไม่ได้หมายความว่า ตัวจิตคุณจะมีความสามารถ
    ในเรื่อง การเพิ่ม การดึง การดูด การลดพลังงานได้นะครับ
    และการที่ตัวจิตจะมีความสามารถทำได้นั้น..
    มันอยู่ที่กำลังจิต ที่เกิดจากตัวจิต ซึ่งสมาธิเป็น
    เพียงตัวหนุนให้ไปถึงจุดที่
    จิตจะเกิดกำลังจิตได้ครับ
    ไม่งั้นคนที่เคยนั่งสมาธิได้ในระดับโน้นนี่นั้น
    ก็สามารถปลุกเสก เพิ่มพลังในวัตถุ
    ตลอดจน มีความสามารถ ดึง ดูด เพิ่ม
    ลดพลังงานได้กันหมดแล้วครับ(^_^)


    คำว่าพลังงานนั้น การจะทำอะไรกับมันได้
    มันมาจากกำลังของตัวจิตครับ..
    ส่วนความสามารถทำได้ในระดับไหน
    ขึ้นอยู่กับว่าตัวจิตที่มีกำลังจิตสามารถเข้าถึงได้
    ในสมาธิระดับไหน เช่น ตอนเพิ่มพลังงานให้วัตถุ
    ตัวจิตเข้าถึงระดับสมาธิ ฌาน ๑ ๒ ๓ เป็นต้น
    ในขณะที่จิตกำลังทำงานครับ... (^_^)




    เพิ่มให้อีกหน่อยนะครับ
    คนไม่มีศีลธรรมก็เพิ่มพลังงานในวัตถุได้
    แต่ก็จะอยู่ภายใต้กำลังใจตัวเอง..
    ทำเพื่อตัวเองทุกๆกรณีถือว่าเป็นเดรัชฉานวิชา


    ส่วนคนมีศีลธรรมก็เพิ่มพลังงานให้วัตถุได้
    ทำเพื่อตัวเองอีกก็ถือเป็นเดรัชฉานวิชาครับ


    และเข้าใจเอาไว้ด้วยว่าพลังงานเค้าไม่ได้
    เรียก. ว่ายืมครับ. เพราะยืมแล้วมันต้องคืน
    มันได้มาก็หมดไปเพราะต้องไปใช้คืน
    มันเป็นคำพูดของพวกทำเดรัชฉานวิชา
    ที่มักจะทำเพื่อตัวเองครับ. ไม่ได้ว่าคุณนะครับ




    ,,, มีนัยยะมาให้อ่าน
    ''ถ้าจะทำก็ทำไป. แล้วก็ให้ๆไป
    ทำให้ไปแบบหมดใจ ให้แบบหมดไปโดย
    ไม่คาดหวังอะไร
    มันจะกลายเป็นบารมีวนกลับเข้ามาครับ
    ทำและให้แบบมีอะไร
    ไม่มีบารมีวนกลับครับ'''










    ถึงใช้คำว่าขอเชื่อม. กับต้นพลังงานระดับสูงๆ
    หรือบ้างก็เรียก. บารมี. บ้างก็เรียกกระแสบุญ
    ของระดับที่สูงๆ. ซึ่งต้นพลังงานไม่ได้หายไปไหน
    เพราะเรื่องพลังงาน. มันไม่ขึ้นอยู่กับมิติและเวลาครับ
    อย่างบางคน. พอเกิดเหตุการณ์วิกฤต. แล้วระลึกถึง
    ครูบาร์อาจารย์ได้. จึงเกิดปาฏิหารย์ต่างๆทำให้
    แคล้วคลาด. ทั้งที่ครูบาร์อาจารย์. ท่านนั้นไม่มี
    ชีวิตอยู่แล้วบนโลกนั้นหละครับ.
    นี่คือกิริยาของ. คำว่าพลังงานไม่ขึ้นอยู่กับมิติและเวลาครับ
    พอเข้าใจนะครับ


    แต่คนไม่มีศีลธรรม. คนที่ศีลขาดๆเกินๆ
    ยังไงตัวจิตก็ไม่สามารถที่
    จะสร้างให้เกิดความสามารถที่จะไปเชื่อม
    กับต้นกระแสระดับต่างๆได้.
    แม้ว่าตัวจิตมันจะมีความสามารถ
    ในการเล่นกับเรื่องพลังงานได้
    เพราะกระแสจิตที่ทำเพื่อตัวเองที่ออกจากจิตคนนั้น
    มันจะวนเวียนอยู่แค่ที่กาย
    ไม่สามารถทะลุขึ้นบนศรีษะ...
    ไปเชื่อมต้นพลังงาน. ระดับสูงๆ
    ที่มีความถี่สูงกว่า. บารมีดีกว่า
    กำลังบุญมากกว่า. ข้างบนได้ครับ
    ซึ่งลักษณะพลังงาน. มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
    ไม่ว่าจะทางด้านไหนๆ รวมทั้งความคงอยู่ด้วยครับ


    ส่วนมากเรามักจะเข้าใจผิดว่าพลังงานในวัตถุเสื่อม
    งูมีพิษจะอยู่ที่ไหน. สถานะการณ์อะไร. ก็ยังมีพิษครับ
    แต่ที่มันเสื่อมจริงๆ. ก็เพราะไอ้ตัว. โลภะ. โทสะ โมหะ
    ที่อยู่ในจิตเราอย่างใดอย่างหนึ่ง.
    ที่มันขวางการเข้าถึงได้ซึ่งต้นพลังงาน
    และวัตถุที่เรามักเข้าใจไปเองว่าเสื่อมครับ


    ถึงมีคำกว่าว่า รูปแทน. รูปปั้นพระพุทธเจ้าแม้ว่า
    ยังไม่ทำการปลุกเสกใดๆก็ศักดิ์สิทธิ์นั่นหละครับ




    ปัญหาหลักของการสร้างวัตถุแทนต่างๆมันอยู่ที่ว่า.
    เราสร้างตัวจิตเราเข้าถึงได้หรือยัง
    เรื่องวิธีการว่าจะทำอย่างไร. เขียนอย่างไร
    สร้างอย่างไรมันเรื่องรอง


    ตอบตัวเองได้ไหมว่าศีลควรมีหรือไม่มีเพราะอะไร
    แล้วจะทำไปเพื่อตนเองฝ่ายเดียวหรือผู้อื่น
    เรามีกำลังจิตที่เกิดจากจิตในระดับใช้งานได้หรือยัง




    บุคคลที่ทำได้จริงถ้าไม่ใช่ในกรณีเข้างานพิธี
    เรื่องการเพิ่มพลังงาน. การเชื่อมต้นพลังงาน
    ใช้เวลาไม่กี่วินาทีหรอกครับ. เป่าตัดพรวดเดียวก็จบ
    ประเภทหลับตาปี๊. แล้วยังต้องมาท่องๆนี้
    ยังอีกยาวไกลสำหรับหนทางสายนี้






    และประเภททำเพื่อยกตัวเอง.
    สนองกิเลสตัวเองทั้งหลาย
    เวลาตายก็ไปเป็นเดรัชฉาน
    กลายเป็นอสูรกาย. เพราะพวกนี้เค้าจะแห่
    กันมาเยี่ยมคุณตอนที่กำลังจะตาย
    เคยเห็นมาแล้วหลายราย. จะช่วยก็ช่วยไม่ได้
    ที่พูดที่เล่าให้ฟัง. พูดจากประสบการณ์จริง
    ทั้งหมดนะครับ. เพราะฉนั้นค่อยๆอ่าน


    แล้วดูเจตนาที่พยายามสื่อด้วยครับ












    หวังว่าจะอ่านแล้วพอเข้าใจนะครับ
     
  11. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ตามปกติ พวกเล่นและหลงไหลในเดรัจฉานวิชชานี้ ตายไปสมควรตกนรกหมกไหม้
    แต่ถ้า แค่ตายไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือเป็นอสูรกาย แสดงว่า ต้องมีกุศลผลบุญบางอย่างมาอุดหนุน ทำให้ไปรับโทษเพียงสถานเบา
     
  12. คุณกันฌามี

    คุณกันฌามี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +65
    ขอบคุณ คุณนพที่ให้ข้อมูลเชิงลึก

    พอดีเค้าถามว่าทำด้วยตัวเอง ผมมองว่าผมควรพูดแบบบ้านๆเข้าใจง่ายที่สุดวิธีทำอย่างง่ายที่สุดเท่านั้นเอง

    ผมใช่คำว่า "ยืม" มันเห็นภาพง่ายกว่า ถ้าไม่ใช่พระก็เอาพลังมาจากครูบากันทั้งนั้นเป็นส่วนใหญ่


    ผมทำเพื่อตัวเองล้วนๆเลยครับ ยังไม่ได้ไปสนใจใคร 5555+
     
  13. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    หากเปรียบพลังที่มีอยู่เหมือนกับเงินทองที่เราใช้อยู่ทุกวัน เราอาจได้ข้อสรูป

    -แบมือขอเอาจากผู้อื่น
    -หามาด้วยตัวเอง
    -อาศัยทุนของผู้อื่น โดยตนเองเป็นเพียงผู้ลงแรง
    -มีแค่พอใช้เองคนเดียว
    -มีมากจนเหลือแจกจ่ายให้คนอื่นได้

    เงินทองของเรา เขาให้เรามาเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเรา หรือเราหามาได้เอง
    ถ้าเราใช้เพื่อประโยชน์ของตัวเราเองย่อมไม่ผิดอะไร

    ถ้าจะผิดก็คือ เงินทองที่เขาฝากเรามาเพื่อเอาไปช่วยเหลือผู้อื่นอีกที แต่เรากลับเอามาใช้เพื่อตัวเอง อันนี้สิผิด ก็เหมือนอย่างเช่นพวกที่อมเงินบริจาคทั้งหลาย

    อุปมาก็เหมือนกับ คนบางคนไปวิงวอนขอร้องครูบาอาจารย์ หรือท่านเทพทั้งหลายผู้มีฤทธิ์
    บอกให้ช่วยประสิทธิ์ประสาท เพื่อนำเอาพลังวิเศษนั้นมาทำเพื่อส่วนรวม ช่วยประเทศชาติ ช่วยพระศาสนา เพื่อเป็นการสร้างบารมีแก่ตนเอง และท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น ครั้นพอได้มาแล้ว แทนที่จะทำตามคำพูดที่เคยลั่นปากไว้
    กลับมุ่งหน้าแสวงหาแต่ประโยชน์และความสุขสบายใส่ตน แบบนี้ก็ผิดสัจจะผิดคำพูด

    สรูปแล้ว ของๆเรา หรือเขาให้มาเพื่อเรา เราก็ใช้ได้ตามอัธยาศัย ก็เหมือนเงินของเราเอง หรือเงินที่พอแม่ให้เรามา เราก็ใช้ได้ไม่มีความผิด
    จะใช้เพื่อตัวเอง หรือเอาไปยกให้ใคร เป็นเรื่องของเรา

    ของที่เขาฝากเรามา เพื่อไปให้ผู้อื่นอีกที เราเอามาใช้เองไม่ได้ ต้องนำไปมอบให้ผู้อื่น
    ตามความประสงค์ของผู้มอบหรือผู้ฝาก

    เพราะฉะนั้น การทำเพื่อตัวเอง ผิดหรือไม่ผิด ต้องดูว่า ของนั้นเป็นของๆใคร
    ถ้าเป็นของๆเรา เกิดเพราะอำนาจบุญบารมีของเราเอง หรือผู้ให้มีความประสงค์มอบให้กับเรา
    เราก็ใช้ได้ไม่มีความผิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มิถุนายน 2016

แชร์หน้านี้

Loading...