แจกฟรี พระธรรมเทศนา เรื่อง : ของฝากจากแดนธรรม

ในห้อง 'ธรรมทาน - วิทยาทาน' ตั้งกระทู้โดย ขอปัญญาญาณ, 27 ตุลาคม 2008.

  1. ขอปัญญาญาณ

    ขอปัญญาญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +142
    พระธรรมเทศนา เรื่อง : ของฝากจากแดนธรรม
    โดย หลวงปู่ต้นบุญ ติกขปัญโญ
    เทศน์วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม 2551 ณ.วัดป่าทุ่งกุลาเฉลิมราช จ.ร้อยเอ็ด
    ตั้งใจฟังนะ ตั้งใจฟัง วัดเป็นแดนสงบ วัดเป็นสถานที่คัดกรองจิตใจคน วัดเป็นสถานที่ที่มีความสงบเยือกเย็น ต่อให้วัดเป็นสถานที่ที่มีความสงบเยือกเย็นแค่ไหน แต่ถ้าหัวใจของท่านทั้งหลาย เร่าร้อนไปด้วยกิเลสตัณหา เร่าร้อนไปด้วยความอยากได้ เร่าร้อนไปด้วยความอยากมี เร่าร้อนไปด้วยกองกิเลสทั้งปวง จะมีประโยชน์อะไรเล่า ที่ท่านจะอยู่ในสถานที่จะเยือกเย็น ความสงบเยือกเย็นนั้นมันต้องเป็นความสงบเยือกเย็นจากภายในออกมาภายนอก หัวใจจึงจะเข้าสู่ความบริบูรณ์อย่างแท้จริง
    ต่อจากนี้ไป ขอให้ท่านทั้งหลายกำหนดลมหายใจ ทำความสงบเยือกเย็นให้เกิดขึ้นในหัวใจ ผู้ใดทำความสงบเยือกเย็นให้เกิดขึ้นในหัวใจได้มากเท่าใด ผู้นั้นก็จะทำให้หัวใจ อันเปรียบเสมือนภาชนะที่รองรับว่างได้มากเท่านั้น เมื่อหัวใจนั้น ภาชนะนั้นว่างแล้วก็พร้อมที่จะรองรับเอาพระสัทธรรมอันประเสริฐ และสามารถนำเอาพระสัทธรรมอันประเสริฐนี้ไปขัดเกลาจิตใจ ไปขัดเกลาจิตวิญญาณ ที่ถูกร้อยรัดไว้ด้วยความทุกข์โศกทั้งปวง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2008
  2. ขอปัญญาญาณ

    ขอปัญญาญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +142
    ในการประพฤติปฏิบัตินั้น เมื่อประพฤติปฏิบัติได้สำเร็จแล้ว ความสำเร็จนั้นหาได้มีประโยชน์ไม่ แต่กระบวนในการทำให้เกิดความสำเร็จนั้นต่างหาก ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เหมือนกับที่เราท่านทั้งหลายขวนขวายหาทรัพย์สินเงินทอง เพื่อให้ได้มาซึ่งปัจจัยทั้งสี่ความทุกข์ยากลำบากมิได้เกิดขึ้นเมื่อท่านได้รับปัจจัยทั้งสี่นั้น แต่ความทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้นในกระบวนการและขั้นตอนในการหาปัจจัยทั้งสี่นั้นมาต่างหาก ฉะนั้นคนที่ประพฤติปฏิบัติ ที่แสวงหาหนทางในการหลุดพ้น ค้นหาว่าไปพระนิพพานนั้นไปยังไง ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญ แต่คนที่ไปถึงพระนิพพานแล้วจะเห็นว่า “ก็เพียงแค่นี้” เหมือนคนที่รู้วิชาการต่าง ๆ ก็จะคิดว่าเรื่องที่เขารู้นั้นเป็นเรื่องง่าย แต่กว่าจะรู้ได้นั้น เขาต้องเสียเวลาในการเล่าเรียนศึกษามากมายแค่ไหน กว่าที่เขาจะรู้ในเรื่องนั้นได้ ตอนนี้เราท่านทั้งหลาย ก็กำลังศึกษาหาหนทางหลุดพ้นไปจากกองแห่งทุกข์ อดทนอีกนิดนึง ก็จะสำเร็จ มันอาจดูยุ่งยาก มันดูน่าเบื่อหน่ายบ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สำเร็จ พวกเราสามารถที่จะสละ สละเสียจากความสุขเบื้องหน้านี้ เพื่อความสุขที่ยิ่งใหญ่กว่าได้หรือไม่ เมื่อสามารถสละความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้เสีย จึงได้รับความสุขที่ยิ่งใหญ่กว่า
     
  3. ขอปัญญาญาณ

    ขอปัญญาญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +142
    มีนิทานจะเล่าให้ฟัง เรื่องมีอยู่ว่า มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งเป็นโรคห่า คนตายกันเป็นระยะเวลาหนึ่งปีเต็ม จนคนตายกันหมดทั้งหมู่บ้าน คนหมู่บ้านใกล้เคียงจึงปรึกษากันว่า เราไปที่หมู่บ้านที่เป็นโรคห่านี้กันเถอะ เพื่อเก็บเอาสิ่งของที่มีค่าต่าง ๆ ที่คนเหล่านี้ตายแล้วทิ้งเอาไว้ เพื่อประโยชน์ของพวกเรา เมื่อชักชวนกันได้แล้ว ก็ตกลงกันว่าจะไป มีชาวบ้านคนหนึ่งชื่อนายมี มีอาชีพทำกระสอบ ก็ได้แบ่งกระสอบให้กับเพื่อนแล้วก็พากันไปที่หมู่บ้านนั้น ขณะที่ไปถึงหมู่บ้านนั้น ก็ไปเจอกองปอ กองใหญ่ (ปอสำหรับฝั่นด้ายทำกระสอบ) นายมีก็ดีใจว่าวันนี้ เราได้พบของประเสริฐแล้ว นี่คืออาชีพของเรา นี่คืองานของเรา และนี่คือเงินของเรา นายมีก็คุ้ยเอาปอ ใส่ไว้ในกระสอบของตัวเองจนเต็ม แล้วก็เดินลัดเลาะไปอีก หมู่เพื่อนของเขาก็ได้เอาปอนั้นใส่กระสอบไปเหมือนกัน พอไปถึงบ้านอีกหลังหนึ่ง ก็มีเงินทองที่คนตายทิ้งเอาไว้ หมู่เพื่อนทั้งหลายเห็นเงินทองนั้น ก็เทปอในกระสอบของตนทิ้งเสีย แล้วเก็บเอาเงินทองนั้นยัดใส่ลงกระสอบแทน เมื่อเห็นของที่มีค่ามากกว่า ก็เทเอาของที่มีอยู่เดิมในกระสอบทิ้ง ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ด้วยคิดว่า สิ่งที่ตัวเองได้นี้มีประโยชน์และมีคุณค่ามากกว่า ดังนั้นเมื่อเห็นสิ่งหนึ่งที่มีค่ามากกว่าก็ทิ้งสิ่งหนึ่งที่มีค่าน้อยกว่าไปเสีย แต่นายมีไม่ยอมทิ้งปอที่อยู่ในกระสอบนั้นเพราะเห็นว่า เราแบกปอนี้มานานแล้ว เกิดความเสียดาย จะทิ้งก็เสียดาย ก็ได้แต่เอานั่น เอานี่ เอาแก้วแหวนเงินทองยัดใส่เพิ่มลงไปในกระสอบ คิดว่าไม่เป็นไรหรอก เราก็ได้แก้วแหวนเงินทองนั้นไปบ้างเหมือนกัน แล้วคนทั้งหมดก็พากันกลับหมู่บ้านของตน เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้าน คนอื่นนั้นก็มีเงินมีทองมากมาย เป็นเศรษฐีมีทรัพย์ แต่นายมีก็ยังต้องมานั่งฝั่นปอทำกระสอบเหมือนเดิม
     
  4. ขอปัญญาญาณ

    ขอปัญญาญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +142
    นิทานอีกเรื่องหนึ่ง มีเศรษฐีผู้หนึ่ง กว่าเขาจะได้เป็นเศรษฐีนั้น ต้องใช้ระยะเวลาอุตสาหะมามากพอสมควร ในครั้งที่เขาทำธุรกิจนั้น เขาอดทน อดออม ประหยัด เขาหาทรัพย์สมบัติได้แล้ว ก็ทำทรัพย์สมบัตินั้นมีเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อไปถึงระดับหนึ่งนั้น เขาจึงคิดว่าบัดนี้เรามีทรัพย์มากแล้ว ทำอย่างไรหนอ เราจึงจะมีทรัพย์อยู่ตลอด โดยทรัพย์นั้นไม่พร่องอีก เมื่อเขาคิดอย่างนั้น ก็เที่ยวถามกับผู้อื่นอยู่เรื่อย ๆ ว่าทำอย่างไรหนอ ทรัพย์นี้จะคงอยู่กับเขาไปตลอด ท้ายที่สุดก็ไปกราบถามพระอรหันต์องค์หนึ่ง พระอรหันต์องค์นั้นบอกว่า คนที่สามารถหาทรัพย์สินเงินทองมาได้นั้น ก็ถือว่าเก่ง แต่ยังไม่เก่งมาก เมื่อบุคคลสามารถรักษาทรัพย์สินนั้นไว้ได้ ถือว่าเก่งกว่า แต่คนที่สามารถรักษาทรัพย์สินนั้นไว้ได้ก็ยังถือว่าไม่เก่งจริง ต้องสามารถหาดอก หาผล เพิ่มพูนบริบูรณ์ ให้ทรัพย์สินนั้นมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ จึงจะถือว่าเก่ง แต่คนที่สามารถหาดอก หาผล ให้เงินนั้นเพิ่มพูนบริบูรณ์ มากมายมหาศาลนั้น ก็ถือว่ายังไม่เก่งจริง แต่เมื่อใดก็ตามที่บุคคลผู้นั้นสามารถละออกจากสมบัติที่เขาหามาได้นั้น จึงถือว่าเก่งจริง เศรษฐีนั้นก็ถามว่าเพราะอะไร พระอรหันต์จึงตอบว่า เมื่อใดก็ตามที่บุคคลใดคลายความยึดมั่นถือมั่นได้ เขาย่อมได้ผลที่ดีเลิศประเสริฐกว่า เพราะการยึดมั่นถือมั่นนั้น เป็นสมบัติอันแคบ เป็นของที่แคบ เมื่อใดที่เขาสามารถ ละ ปล่อย วางออกจากสิ่งที่เขายึดมั่นถือมั่นได้ ถือว่าเขาได้ปลดเปลื้องเครื่องร้อยรัดพันธนาการทั้งปวงออกจากตัวเขา
    ฉันใดก็ฉันนั้น ก็เหมือนกันกับเช่นที่นายมีคิดว่า เขาจะเก็บปอนี้ไว้ เพราะเขาเห็นเพียงแค่ความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่เบื้องหน้า จนลืมความสุขที่แท้จริง ไม่ยอมละความสุขในขณะนี้เพื่อรับความสุขที่ยิ่งกว่า เหมือนกับหมู่เพื่อน ที่เห็นคุณค่าของสิ่งที่มีค่า
     
  5. ขอปัญญาญาณ

    ขอปัญญาญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +142
    บุคคลพึงละสุขได้ ย่อมได้รับสุขที่ยิ่งกว่า เมื่อบุคคลใดที่ละโลกนี้ได้ บุคคลนั้นย่อมได้โลกกุตตรธรรม เราท่านทั้งหลายทำเช่นนั้นได้หรือ
    คนที่จะเข้ามาประพฤติปฏิบัติธรรมนั้น เนื่องด้วยสถานภาพ เนื่องด้วยกำลัง เนื่องด้วยการดำรงวิถีชีวิต และความคิดที่แตกต่างกัน มันจึงทำให้ขั้นตอนในการใช้วิถีชิวิตไม่เหมือนกัน มีทัศนคติแนวความคิดที่ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่งก็คือ โง่เหมือนกัน โง่ที่ทุ่มเท โง่ที่เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ไร้ค่าเหล่านี้ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ จีรังยั่งยืนอย่างที่เราคิดไว้ มันเพียงแค่หล่อเลี้ยงให้กิเลสตัณหาเกิดขึ้นอยู่ไม่หยุดไม่หย่อน สร้างภาระและความผูกพันให้เกิดขึ้นอยู่ไม่หยุดไม่หย่อน ชีวิตเป็นฉันใด เกิดมาเพียงแค่หลับตา แล้วก็ฝันไป ตั้งแต่เกิด จนแก่ จนเจ็บ จนตาย ผ่านวัตถุเรื่องราวมากมายมหาศาล ในครั้งที่ตื่นลืมตามา ชีวิตก็ผ่านไปหนึ่งชีวิต ในขณะที่เพียงแค่ฝันไปตื่นหนึ่งเท่านั้น ชีวิตหนึ่งก็ผ่านไป แล้วเรายังจะยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งของเหล่านี้ไปเพื่อประโยชน์อะไร ถ้าสมมติว่าเราท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ในที่นี้ กำลังเพียงแค่นอนหลับฝันไปเท่านั้น เมื่อเราท่านทั้งหลายตื่นขึ้นมา จะมีความรู้สึกว่า ก็เพียงแค่นี้ ก็เพียงแค่นี้ มีเรื่องมากมายที่ทำให้เราทุกข์ แต่ทุกข์นั้นเกิดขึ้นจากการเกาะกุม หรือยึดมั่นถือมั่นเอาไว้เท่านั้น ยิ่งยึดมั่นถือมั่นมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งมัดพันธนาการตัวเองมากขึ้นเท่านั้น จนท้ายที่สุด เรื่องทุกเรื่องกลายเป็นเรื่องของเรา ทุกข์ทุกอย่างในโลกนี้กลายเป็นทุกข์ของเรา แล้วเราก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ คนบางคนทุกข์เพราะว่าไม่พอ คนบางคนทุกข์เพราะแสวงหา คนบางคนทุกข์เพราะร่างกาย สังขาร คนบางคนทุกข์เพราะไม่รู้ ไม่เข้าใจ เมื่อความทุกข์นี้ ตั้งเกิดขึ้นแล้ว มีอยู่แล้วในจิตวิญญาณนี้ เราก็อับจนปัญญาว่าหาทางออกไม่มี ท้ายที่สุดก็มีข้ออ้างแต่ว่า นั่งสมาธิ แล้วจักหลุดพ้นไปจากปัญหานี้ เราจักไม่กลับมาทุกข์อีก แท้ที่จริงทุกข์นั้นเราเป็นคนสร้างขึ้นมาเองทั้งหมด เปรียบเสมือนคนที่ขุดหลุมเพื่อฝังตัวเองไว้ และท้ายที่สุดตัวเองก็กลบหลุมนั้นด้วยมือของตัวเอง
     
  6. ขอปัญญาญาณ

    ขอปัญญาญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +142
    เช่นเดียวกันกับคนที่มีครอบครัว ไม่มีใครบอกให้พวกคุณแต่งงานกันนะ มีครอบครัวนะ พวกคุณซื้อบ้านหลังใหญ่ ๆ นะ มีรถคันงาม ๆ นะ แต่พวกคุณก็เลือกที่จะทำเอง เลือกที่จะทุกข์เอง แล้วพวกคุณก็มานั่งตัดพ้อต่อว่าในสิ่งที่พวกคุณกระทำ ว่าทำไมถึงทุกข์อย่างนี้ ทำไมถึงลำบากอย่างนี้ ทำไมถึงต้องเป็นอย่างนี้ ชีวิตที่เกิดมาครั้งหนึ่ง ต้องมาทำเรื่องอย่างนี้ หรือทำได้เพียงแค่นี้เท่านั้นหรือ เราเห็นประโยชน์ของชีวิตมีค่าเพียงแค่นี้หรือ ถ้าประโยชน์ของชีวิตมีค่าเพียงแค่นี้ แล้วเราจะเกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาเพื่อเป็น กรรมกรก่อสร้างคนหนึ่ง เป็นคนรับจ้างในโรงงาน หรือเป็นคนที่ทำงานในออฟฟิศ ไปวัน ๆ หรือเป็นคนที่มาทุกข์เพราะเรื่องจิปาถะมากมายมหาศาลเท่านั้นรึ และท้ายที่สุดก็หาทางออกจากทุกข์ที่เราสร้างไว้ไม่ได้ ก็ขวนขวาย หาหนทางในการบำเพ็ญสมณธรรม เพื่อหลุดพ้นไปจากปัญหาทั้งปวง แต่นั่นใช่ทางออกที่แท้จริงรึเปล่า
     
  7. ขอปัญญาญาณ

    ขอปัญญาญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +142
    คนที่มีทุกข์มันปฏิบัติธรรมแล้วไม่เห็นผล เพราะเปรียบเสมือนกับคนที่มีโรคภัยไข้เจ็บเต็มตัวแล้วไปหาหมอ ไม่ว่าจะบำบัดอย่างไร รักษาอย่างไร ก็แล้วแต่ อาการแห่งโรคนั้นก็กำเริบขึ้นอยู่เสมอ กำเริบขึ้นอยู่เสมออย่างนั้น
     
  8. ขอปัญญาญาณ

    ขอปัญญาญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +142
    คนเราควรประพฤติปฏิบัติธรรม ในขณะที่ตัวเองไม่ทุกข์ หรือไม่ตกอยู่ในห้วงของความทุกข์ ปฏิบัติในขณะที่เราเข้าใจทุกข์ ปฏิบัติในขณะที่เรารู้แจ้งทุกข์ ปฏิบัติในขณะที่เราปลดเปลื้องทุกข์ จึงเห็นผลของการปฏิบัติ คนบางคนทุกข์ ลำบาก แล้วหันหน้าเข้าหาการประพฤติปฏิบัติ โดยหวังพึ่งพาว่า เมื่อนั่งสมาธิแล้ว สวดมนต์แล้ว ไหว้พระแล้ว เราจะหลุดพ้น เสียซึ่งปัญหาทั้งปวงนี้ แท้ที่จริง ยิ่งเงียบเท่าไร ยิ่งสงบสงัดเท่าไร ความทุกข์นั้นก็ยิ่งแจ่มชัดและชัดเจนขึ้นเท่านั้น
     
  9. ขอปัญญาญาณ

    ขอปัญญาญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +142
    ฉะนั้น หมู่เพื่อน ผู้ประพฤติปฏิบัติญาติธรรมทั้งหลาย เราท่านทั้งหลาย ควรพึงพิจารณาว่า เราจะปฏิบัติโดยที่เห็นทุกข์ เข้าใจทุกข์และสามารถปลดเปลื้องทุกข์ ไม่ใช่ปฏิบัติไปพร้อมกับทุกข์ที่มันตั้งอยู่ และยึดมั่นถือมั่นทุกข์นั้นไว้ในหัวใจ เราพึงพิจารณาโดยปัญญาอันแจ่มแจ้ง โดยสติอันบริบูรณ์สมบูรณ์นั้นว่า ทุกข์นี้มิใช่ของเรา ทุกข์นี้สักแต่ว่าเกิดขึ้น ทุกข์นี้สักแต่ว่าตั้งอยู่ ทุกข์นี้สักแต่ว่าดับไป ทุกข์นี้เกิดขึ้นที่ใจของเรา ทุกข์นี้ตั้งอยู่ในใจของเรา และท้ายที่สุดทุกข์นี้จักดับได้ก็ด้วยที่ใจของเรา ฉะนั้นเงื่อนปมที่สำคัญคือหัวใจของเรานี่เอง เมื่อใด บุคคลใด ที่คลายเงื่อนตายที่อยู่ในหัวใจได้ เมื่อนั้น บุคคลนั้น ก็จักเข้าใจทุกข์ รู้แจ้งทุกข์และปลดเปลื้องทุกข์ได้ บัดนี้เราจักประพฤติปฏิบัติเพื่อความรู้แจ้ง ไม่ใช่ประพฤติปฏิบัติเพื่อหนีจากทุกข์ อย่าเป็นคนที่เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บแล้วไปหาหมอ แต่เป็นคนที่พึงสำรวม ระมัดระวังว่า เราจะป่วย เราจะป่วย และเราควรปฏิบัติตัวเช่นใด เราจึงจะไม่ป่วย ฉันใดก็ฉันนั้น บุคคลที่ทำอย่างนี้ได้ เขาจักไม่กลับมาทุกข์อีก ไม่ทุกข์ด้วยภพ ไม่ทุกข์ด้วยชาติ ไม่ทุกข์ด้วยชรา ไม่ทุกข์ด้วยมรณะ เพราะเขาเหล่านี้ เข้าสู่หนทางแห่งความเป็นพระอริยบุคคลแล้วนั่นเอง
     
  10. ขอปัญญาญาณ

    ขอปัญญาญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +142
    ในท้ายที่สุดแห่งพระธรรมเทศนา ที่ได้สดับรับฟังมา ขอจิตปัญญาใดที่มืดมน ขอจิตปัญญาใดที่ถูกร้อยรัดไว้ ถูกผูกมัดไว้ จากทุกข์เวทนา กิเลสตัณหาทั้งปวง ขอเดชเดชะอำนาจ ผลานิสงค์ทั้งหลายที่พวกเราที่ได้กระทำร่วมกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นับได้ร้อยชาติพันภพ ร้อยภพพันชาติ จงมาเป็นผลานิสงค์ปลดเปลื้องทุกข์ทั้งปวง กิเลสตัณหาทั้งปวงออกจาก ดวงจิตดวงใจของพวกเราทุกผู้ทุกคน ให้พวกเราทุกผู้ทุกคนนั้น เป็นผู้สมบูรณ์บริบูรณ์ด้วยสติปัญญา ความกล้าหาญ ความเข้มแข็ง เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งปัญญา เพื่อจักนำพาจิตวิญญาณของเราท่านทั้งหลายนี้ หลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน ด้วยเทอญ
     
  11. ถนอม021

    ถนอม021 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,098
    ค่าพลัง:
    +3,163
    อนุโมทนาสาธุด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ

    และขออุทิศบุญกุศลทั้งปวงแด่เจ้ากรรมนายเวรทุกภพทุกชาติ
    ให้ทุกท่านมีความสุขกายสุขใจตลอดไป ขอให้อโหสิรรมและ
    ขออโหสิกรรมกับทุกรูปทุกนามด้วยเถิด ให้ทุกท่านได้พระนิพพาน
    ในชาตินี้ด้วยเถิด

    ถนอม สุพัตรา ถกนธ์ พร้อมครอบครัวและญาติมิตร

    หลังจากสวดบูชาพระรัตนตรัยเสร็จเรียบร้อยแล้วสำหรับท่านที่ไม่ค่อยมีเวลามาก แนะนำบทสวดพุทธมนต์แบบย่อ ๆ แต่มีพลานุภาพมาก มีอานิสงส์มาก สวดไม่เกิน 5 นาทีจบ ดังนี้

    นะโม 3 จบ


    หัวใจ อิติปิโส ว่า
    อิสะวาสุ

    นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะพะกะสะ นะมะอะอุ

    หัวใจพาหุง
    พา มา นา อุ กะ สะ นะ ทุ
    หัวใจพระเจ้าสิบชาติ
    เต ชะ สุ เน มะ ภู จะ นา วิ เว
    หัวใจบารมี 30 ทัส
    ทา สี เน ปะ วิ ขะ สะ อะ เม อุ
    หัวใจพระอาการวัตตาสูตร
    มุนินทะ วะทะนัมโพชะ คัพพะสัมภาวะ สุนทะรีปาณีนัง สะระณัง วาณี มัยหัง ปิณะ ยะตัง มะนัง
    หัวใจพระธารณะปริตร
    ทิฏฐิลา ทัณฑิลา มันติลา โรคิลา ขะระรา ทุพพิลา เอเตนะ สัจจะ วัชเชนะ โสตถิ เม โหตุ สัพพะทา
    หัวใจพระไตรปิฎก
    จิเจรุนิ
    หัวใจพระคาถาชินบัญชร
    ชะ จะ ต ะ สะ สี สัง หะ โก ทะ กะ เก นิ กุ โส ปุ เถ เส เอ ชะ ระ ธะ ขะ อา ชิ วา อะ ชิ สะ อิ ตัง
    คาถาบูชาพระพุทธเจ้า 16 พระองค์
    นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอออนออะ นะอะกะอัง อุมิอะมิ มะหิสุตัง สุนะพุทธัง สุอะนะอะ

    [​IMG]สวดจบควรแผ่เมตตาทุกครั้ง[​IMG]
     
  12. TUK2800

    TUK2800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,766
    ค่าพลัง:
    +1,161
    [​IMG]อนุโมทนาสาธุด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  13. TJ69

    TJ69 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    436
    ค่าพลัง:
    +152
    ขอกราบอนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ สาธุ
    <!-- / message -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...