โลกนี้คือละครชีวิต

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย สุปราณี(ปู), 2 ธันวาคม 2011.

  1. สุปราณี(ปู)

    สุปราณี(ปู) เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    53
    ค่าพลัง:
    +284
    เรื่องราวนี้เกิดขึ้นเป็นอุทาหรณ์หลายๆอย่าง ทั้งการเชื่อใจคน ทั้งการทำความเข้าใจชีวิต และสุดท้ายคือ การปล่อยวาง อดีต ฉันมีพี่น้องทั้งหมด 6 คน ต่างคนต่างไปคนละทาง เพราะแม่ไม่มีเวลาที่จะมานั่งตามลูก ด้วยท่านต้องทำงานหาเงินเพื่อเลี้ยงครอบครัว ทำงานทั้งที่ตัวเป็นผู้หญิง แต่แม่ทำให้ฉันรู้ว่า แม่ทนเพื่อลูกเสมอ ทำเพื่อลูกจะมีอยู่มีกิน แต่สิ่งที่ท่านได้รับจากคนที่เป็นลูกกลับไม่ยุติธรรมเลย ฉันเป็นลูกคนกลาง รู้ทุกอย่างที่แม่ทำ แม่จะทำตัวอย่างไรไม่เคยคิดที่จะโทษแม่ ไม่มีใครหรอกที่อยากเป็นแบบนี้ ชะตาชีวิตใครกันที่จะกำหนดได้ ภาวะครอบครัวแตกแยกไปกันคนละทาง ไม่มีใครสงสารแม่ ไม่มีใครอยู่กับแม่สักคน แม้แต่เวลาที่แม่เป็นความดันสูงมีลูกคนไหนบ้างที่เห็นใจรับรู้ว่าแม่เริ่มมีปัญหาสุขภาพ แม่ต้องขับรถไปหาหมอที่คลีนิค ด้วยตัวเอง ทั้งที่ทรมานกับอาการ ฉันอยู่ข้างแม่ทำอะไรไม่ได้เพราะยังเด็ก ได้แต่ร้องไห้เป็นห่วงแม่ ฉันชอบเรียนหนังสือนะ แต่แม่ก็เหนื่อยมาก พี่ชายตาย เพราะกรรมที่เขาเป็นคนก่อเอง ที่ทำกับผู้เป็นแม่ พี่สาวก็ออกไปอยู่ข้างนอกหาเลี้ยงตัวเองส่งตัวเองเรียน น้องสาวหนีออกจากบ้านไปอยู่กับเพื่อนเมื่ออายุ 8 ขวบ ฉันทะเลาะกับน้องว่าทำไมไม่สงสารแม่บ้าง รู้มั้ยแม่เหนื่อยแค่ไหน ช่วยงานบ้านบ้าง ไม่มีใครเห็นใจแม่ ฉันทำอยู่เพื่อแม่ ฉันทนดูแม่อดทนลำพัง ฉันรู้สึกสงสารแม่มาก แล้วฉันจะทนอยู่เฉย หรือทอดทิ้งไม่เหลียวแลท่านได้อย่างไร ถึงแม้ฉันจะไม่ได้รับการอบรมอะไรจากแม่ อต่ฉันก็รู้เพียงว่า แม่เป็นผู้มีบุญคุณที่สุด เพราะท่านให้ฉันเกิดมา ด้วยเป้นคนที่รักชอบงานศิลปะ ชอบที่จะวาดรูป
    เวลานั้นฉันอายุ 12 ฉันชอบการวาดรูป เคยวาดรูปพระพุทธเจ้า แต่ไม่เข้าใจคำสอนอะไรนัก เพราะยังไม่เคยเรียนรู้ ทั้งแม่ไม่เคยอธิบายเรื่องศาสนาให้ฟัง ได้แต่เรียนไปตามๆ ที่โรงเรียนสอน เวลานั้น อาจารย์สอนวิชา ศิลปะ ท่านให้วาดรูปที่ชอบ และลงสี ฉันเลือกรูป จากปกหนังสือสวดมนต์ เป้นรุปพระพุทธเจ้าทำสมาธิใต้ต้นโพธิ์ ความรู้สึกเวลานั้น ทุกวันนี้ฉันก็ยังจำได้ดี ฉันสัมผัสได้ถึงความเป็นเอกเทศ ความสงบ เย็นภายใน ฉันวาดด้วยความตั้งใจ เวลานั้นฉันเรียนอยู่ชั้น มัทยม ปีที่ 2 ฉันวาดเสร็จ ถึงเวลาต้องส่งงาน อาจารย์พูดชมว่าเป็นรูปที่สวยมาก ความตั้งใจดี แต่จะดีกว่านี้ ถ้าลงสี ฉันจึงบอกกับอาจารย์ว่า หนูไม่ขอลงสีจะได้มั้ยค้ะ เพราะความรู้สึกที่มันเต็มอยู่ในใจ ไม่อยากให้ถูกลบลง ถ้าหากลงสี จะทำให้ออกมาไม่สวย แล้วความรู้สึกจะเปลี่ยนแปลงจากเดิม อาจารย์ก็ไม่ยินดี จึงบอกฉันว่า งานนี้คงไม่ได้ เพราะเป็นงานส่งอาจารย์ ถ้าไม่ทำ เท่ากับอาจารย์ไม่ได้รับงานส่ง อาจารย์จะให้ศูนย์ ในงานส่งนี้ ฉันก็ยินดีรับด้วยดี ฉันไม่โกรธอาจารย์เลย แต่คงทำร้ายความรู้สึกศรัทธานั้นไม่ได้จริงๆเท่านั้นเอง
    ครั้งหนึ่งก้ได้เจอกับรูปใบปริวใบใหญ่ เป็นรูปเรื่องราวของเทพสวรรค์ และเรื่องราวของพระเจ้า พระเยซูคริส แล้ว ณ วันหนึ่งฉันได้เจอกับ น้องสาวของอากง คือ น้าสาวของแม่ เขานับถือศาสนาคริสตแบบติส เพลสไบทิเลียน นับถือพระเจ้าสูงสุดผู้สร้างโลก พระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์ ฉันเป็นคนว่าง่ายไม่ค่อยโต้เถียง เพียงแต่เป็นคนซื่อคนนึง ใครพูดสอนอะไรก็รับฟัง เป็นคนเงียบ ฉันได้ไปอยู่กับ น้าของแม่ 2 ปี ไปดูแลท่าน เพราะช่วงนั้นแม่เองก็ไม่มีเวลาดูแลฉัน ฉันไปอยู่กับท่าน ก็ทำงานบ้าน ทำอาหาร ไปโรงเรียน มัทธยมปีที่ 3 ฉันอยู่ ศาสนาคริสต อยู่ถึง 6 ปี ย่างเข้าปีที่ 7 ตลอดเวลาฉันมีความสุขดี ฉันเดินทางไกลจากบ้าน ที่สำโรง ไปถึง สาธร ฉันเดินไป ไม่มีเงินสักบาท ที่จะขึ้นรถเมล์ ฉันทนอยู่หลายปี สาเหตุที่ไม่มีเงินเดินทาง เพราะฉันมีเวลาที่จะเจอแม่น้อยมาก แม่ต้องทำงาน แทบไม่มีเวลาอยู่บ้าน พี่ชายก็ต่อว่าขัดขวาง จนฉันบอกว่าฉันจะไปให้ได้ ไม่มีเงิน ไม่ให้เงินฉันก็จะเดินไป จนที่สุดพี่ชายขับรถตามมายื่นเงินให้ ฉันก็บอกว่าไม่ต้องมาสงสาร ไม่ให้ฉันก็ไม่เอา เอาคืนไป ฉันมีขา ฉันเดินเองได้จนพี่ต้องยอมกลับไป ฉันยอมรับว่าเป็นคนดื้อ ฉันทำงานให้กับทางโบสมากมาย โดยไม่มีเงินเดือน ทั้งพวกเขาเองก็ไม่รู้เลยว่าครอบครัวฉันไม่มีเงิน เพราะฉันไม่เคยพูดปัญหาให้ใครฟัง ฉันทนวันเสร์-วันอาทิตย์ ฉันต้องไปโบสถ์ ซ้อมร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า เพื่อใช้เช้าวันอาทิตย์ ตกเย็นฉันจะเดินทางไป สวนลุม ทำหน้าที่ประกาศศาสนา ฉันไปทุกวันอาทิตย์ ช่วงเวลาปิดเทอมตั้งกลุ่มเยาวชนไปค่าย ฉันเป็นหนึ่งในกลุ่มคณะกรรมการเยาวชนส่วนภาค ฉันทำชื่อเสียงให้ทางโบสถ์มากมาย
    และแล้ววันหนึ่งก็เหมือนเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันจะต้องหักเหชีวิตตัวเองออกจากชีวิตคริสเตียน ฉันได้เข้าเรียนโรงเรียนพาณิชย์ เรียน ปวช. และเป็นช่วงที่แม่ลำบากที่สุด เพราะแม่ทำงานเรื่องรับเหมาก่อสร้าง ถูกคงจ่ายเช็คแล้วไม่มีเงินจ่าย ทำให้แม่อยู่ในภาวะที่ลำบาก ทั้งหนี้สิน ฉันเองรับรู้ว่าท่านเป็นทุกข์ ไม่มีเงินที่จะซื้อข้าวสารกรอกหมอ เลี้ยงคนงานที่บ้าน ไม่มีเงินจ่ายเงินเดือน ฉันจึงเอาเงินที่คิดจะนำไปจ่ายค่าเทอม เอาให้แม่ เงินนั้นฉันได้จากบาทหลวง ท่านรักฉันเหมือนลูกสาวคนนึง เงินที่ให้ก็ไม่ได้เป้นเงินโบสถ์ แต่เรื่องราวที่ฉันเอาเงินที่ให้แม่ไป ถูกบอกเล่าปากต่อปาก คงเป็นจากภรรยาของบาทหลวงท่านที่พูดออกไป ฉันบอกความจำเป็นกับท่านแล้ว ฉันก็ขอโทษ แล้วท่านก็บอกว่าให้ฉันแยกออกมาจากแม่จะดีกว่า คนทุกคนก็พูดอย่างนั้น เขาบอกว่าเห็นว่าฉันทำงานเพื่อทางโบสถ์ น่าจะไปเรียนศาสนาต่อ เรื่องแม่ ให้พระเจ้าดูแล ฉันมาคิดทำไมให้ตกเป็นหน้าที่ของพระเจ้าโดยไม่เหลียวแล แล้วฉันจะเห็นได้ด้วยตาหรือว่าแม่ฉันอยู่ดีมีสุข ทำไมทุกคนถึงพูดอย่างนั้น ฉันอ่านหนังสือใบเบิล เล่มหนาๆ อ่านตั้งแต่ ปฐมกาล -วิวรณ์ ฉันอ่านจนจบ ในเวลา 1 ปี ฉันเข้าใจคำสอน ให้เชื่อมั่นศรัทธา และคำสอนที่มีฝังใจไว้จนทุกวันนี้ ประโยคที่ว่า จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง เมื่อเขาตกแก้มซ้ายเรา จงหันแก้มขวาให้เขาตบ และจงเลี้ยงดูเขา อย่างดีเถิด สิ่งที่สอน คือ ให้เรารักคนทุกคนด้วยใจจริง ไม่รักรังเกียจใคร แม้เขาจะไม่รัก ไม่ศรัทธาเรา ก็ไม่ควรจะโต้ตอบ ไม่ควรทำร้าย ให้ถือวางขันติ และอภัย ให้ความรัก เมตตา ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นอย่างไรก็ตาม
    ฉันได้พูดกับบาทหลวงว่า มาถึงตอนนี้ เรื่องราวไปไกลมาก ฉันผิดหวังที่คนคริสเตียนเป็นกันอย่างนี้ เรื่องเพียงครั้งเดียวที่ผิด เหมือนเป็นเรื่องผิดมหันต์ อย่างที่ให้อภัยไม่ได้ แม้แต่เพื่อนที่รัก แทบจะเป็นพี่น้องกัน ก้ยังต้องถูกห้าม ไม่ให้คบหา ฉันร้องไห้เสียใจ แต่ก็คิดได้ว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะร้องไห้ เพราะสิ่งเหล่านี้ พวกเขาเป็นคนให้ฉันเลือก ฉันไม่เข้าใจ ในเมื่อต้องการให้ฉันอยู่เป็นคริสเตียน พวกเขาประกาศศาสนาให้คนยากจน เชิญคนยากจนให้เข้าหาพระเจ้า แต่กับแม่ฉัน เขากลับไสส่ง แล้วแม่ฉันแตกต่างอะไรกับคนจนหรือ หรือไม่ใช่คน ทำไมจะต้องคิดว่าครอบครัวฉันมีปัญหา ฉันรับไม่ได้ที่เขาเห็นว่าฉันเป็นแค่คนทำงานให้ ไม่ได้มองว่าฉันทำไปเพราะแรงใจที่ศรัทธา ฉันไม่เคยเรียกร้องอะไร ไม่เคยแม้แต่จะขอเงินค่าแรงเลยสักครั้ง ไม่เคยแม้แต่จะโอดครวญว่าชีวิตนี้ไม่ยุติธรรม ไม่เคยครวญว่าตัวเองลำบาก แม้อยากจะเรียนแค่ไหน ก็ไม่ได้สมดังใจ เรียนแล้วก็ต้องหยุด เพราะแรงที่จะเดินทางไปโรงเรียนก็เหลือน้อยเต็มที อาหารที่บ้านก็ไม่มี มีข้าวสาร น้ำปลา กระเทียม หอมใหญ่ ก็ต้องเอาออกมากิน เพราะไม่มีอะไรที่จะกินได้แล้ว ฉันต้องเดินทางจากบ้านที่ปากน้ำ ไปสำโรง เงินขึ้นรถเมล์ก็ไม่มี ครั้งหนึ่ง ฉันนั่งรถเมล์ไปโรงเรียน แต่ไม่มีเงินซักสตางค์ ที่จะจ่ายค่ารถ คนเก็ฐเงินเห็นว่าไม่มีเงินจ่ายก็ไล่ ลงจากรถ ฉันบอกขอโทษ ฉันไม่มีเงินจริงๆ แต่ฉันอยากไปโรงเรียน ฉันก็เอาแต่ร้องไห้ ฉันรู้สึกอาย คนที่โดยสารในรถเมล์เขาก็รวมเงินส่งให้ฉัน ฉันบอกว่าฉันไม่เอา ไม่อยากได้ เพราะไม่ใช่เงินที่ฉันจะรับได้ ทุกคนก็บอกว่า เอาไปเถอะ เขาอยากจะช่วย ฉันก็คิด ฉันไม่กล้าที่จะใช้เงินนี้เลย ฉันไม่อยากให้คนอื่นสงสารแบบนี้ มันยิ่งทำให้ฉันเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก ฉันก็รู้สึกถึงความมีน้ำใจของคนไทยด้วยกัน ที่มีเมตตาอยู่ ซึ่งสมัยนี้ก็คงยังมีอยู่ เพียงแต่ไม่ได้ลงไปสัมผัสเอง ฉันก็พูดขอบคุณคนที่เมตตาฉัน ทั้งคนขับรถ ทั้งกระเป๋ารถเมล์ ด้วยที่ให้โอกาส แต่ด้วยความอาย ฉันก็ไม่ยอมที่จะขึ้นรถเมล์อีกเลย ถ้าในตัวไม่มีเงิน
    ฉันเรียนหนังสือ ผ่านพ้นไปด้วยความยากลำบาก ฉันลำบากยังไงก็ไม่เคยปริปากบอกใคร แม้แต่ครูที่สอบหนังสือ พอท่านรู้ทีหลังฉันก็ทนอยู่เรียนไม่ได้อีกแล้ว ฉันต้องขอลาออก เพราะต้องเริ่มหาางานทำ เลี้ยงแม่ เลี้ยงน้องชาย น้องชายก็ไม่ได้เรียนหนังสืออะไร จบแค่ ประถม 4 ช่วงจังหวะชีวิตแย่มากทุกข์ที่สุด ฉันทำงาน เป็นครูสอนศาสนา โรงเรียนย่านสุขุมวิท ตอนช่วงวันอังคาร วันพฤหัสบดี 8.00-8.55 น. แล้วเดินทางไปอีก 5 ป้ายรถเมล์ ทำงานฝ่ายบุคคล ทำงาน 9.30-5.00 น. ทำงานต่อ ตอนกลางคืน เป็นพนักงานเสริฟที่ภัตตาคารที่ทางแยกโองการไฟฟ้า สมุทรปราการ 6.30-03.00 น เข้านอน ตื่นตอนเช้ามืด ตี 4.30 น เข้าห้องครัวภัตตาคาร เตรียมของแช่แข็งออกมาระลายน้ำแข็งเพื่อทำกับข้าว ในภัตตาคาร แล้วก็ต้องเดินทางออกจากที่นั่น ตอนตี 5 ไปทำงานต่อที่สุขุมวิท กินกาแฟ ไม่ต่ำกว่า 10 แก้ว ต่อวัน 5 นาทีมีความหมายหลับได้เป็นหลับ เห็นรถเมล์ไม่มีที่นั่ง ก็ยืนหลับ ทำงานที่เป็นฝ่ายบุคคล ก็ซื้อขนมปัง กินต่างน้ำ เพื่อขจัดความหิว ฉันต้องประหยัด เพื่อเอาเงินให้แม่เปิดร้านขายอาหารอยู่กับบ้าน ฉันไปทำงานจนเหนื่อย เป็นโรคกระเพาะ ไปหาหมอ ฉันไม่มีเงิน แม่ให้ฉันรอ แม่ก็ไม่มาเพราะทำอาหารให้ลูกค้าจนลืมฉัน ฉันก็เห็นว่านานมากแล้วแม่ไม่มา ฉันก็ร้องไห้ แต่ก็ไม่นึกโกรธแม่ ฉันก็เดินทางกลับบ้าน ก็หาซื้อยามากินเอง ผ่านช่วงเวลานั้นมาฉันเริ่มสุขภาพไม่ไหว ฉันต้องหยุดทำงานสอนศาสนา เพราะฉันเหนื่อยมาก ทนทำอยู่หลายเดือน จนที่สุดก็ต้องหยุดไปทีละอย่าง และฉันก็ต้องเลือกทำงานที่ไม่ต้องวิ่งดิ้นลนไกล ฉันก็ต้องลาออกจากงานที่สุขุมวิท
    เวลานั้นครอบครัวฉันเริ่มดีขึ้น เริ่มมีรายได้มากขึ้นจากเงินที่สะสมได้ แม่ก็เริ่มกลับมาทำงานเหล็กอีกครั้ง ทำงานที่มีรายได้มากขึ้น แต่เหมือนเป็นกรรมที่ยังไม่จบ อดีตคนที่เคยทำงานเป็นผู้รับเหมากับแม่ เขาได้มาเจอแม่อีกครั้ง ด้วยความเจ้าเล่ของเขา เขาไปมาหาสู่ที่บ้านนานพอสมควร และมาบ่อย และวันหนึ่ง เขาพูดกับฉันว่า แม่ฉันต้องการเขามาเป็นสามี ฉันไม่เชื่อ เขาพูดว่า แม่ฉันทำให้เขาต้องเสียรถเพราะเช็คที่แม่ให้ไม่มีเงินจ่าย ฉันเอาเรื่องนี้เล่าให้แม่ฟัง แต่ไม่ได้เล่าเรื่องที่เขาพูดว่าแม่จะเอาเขาเป็นสามีให้ฟัง จริงๆฉันเชื่อใจแม่ แต่ฉันตางหากที่ไม่เชื่อใจเขา ฉันพยายามจะเบี่ยงเบนความสนใจเขา ฉันบอกเขาว่าฉันทำเครื่องมือได้นะ ฉันเขียนแบบเครื่องได้ ฉันเอาให้เขาดู แต่ไม่บอกวิธีประกอบให้ แม่เล่าให้ฉันฟังว่าเช็คที่เขาได้ไป แม่ก็ได้เหมือนกัน แม่เอาเช็คค่าจ้างงานก่อสร้างให้เขา แต่เช็คไม่ใช่ชื่อแม่ แต่เป็นชื่อผู้ว่าจ้าง แม่ไม่ได้เจตนา แต่เขาโทษเป็นความผิดแม่ทั้งหมด แต่ดูเหมือน เขาจะเอามาเป็นข้ออ้างกับฉันมากกว่า เป้าหมายเขาไม่ใช่แม่ฉันเลย แต่เป็นฉันเองที่เขาต้องการ ฉันยังไม่มีอะไรกับเขา แต่น้องสาวรู้เรื่อง เขาก็ปิดประตูบ้าน ไล่ฉันออกจากบ้านขนเสื้อผ้าฉันทิ้งทั้งหมด ฉันก็ได้แต่เสียใจ ฉันได้แต่บอกตัวเองว่า ฉันผิดมากหรือ ที่ฉันต้องการจะกันคนเลวอย่างคนนั้นออกจากแม่ ออกจากครอบครัวที่ฉันรัก ฉันยอมที่จะให้เข้าใจฉันผิดเพื่อรักษาแม่ฉันไว้ ไม่ให้แม่ต้องเป็นทุกข์เพราะผู้ชายคนนี้อีก เพราะแม่ทุกข์มามากแล้ว
    ขอเวลาในการทบทวนก่อนนะค้ะ ไว้จะมาต่อให้อ่านอีกค่ะ เพราะขอทำใจให้สดใสกว่านี้หากเขียนต่อ น้ำตาคงท่วมจอคอมแน่เลย
     
  2. snazio

    snazio สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +0
    สู้ๆครับ เป็นกำลังใจให้ บุญรักษา พระคุ้มครอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...