////// โสดาบัน อย่างนี้ อย่างนี้ //////

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย xeforce, 16 มกราคม 2014.

  1. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    .................................



    " โสดาบัน" คำที่บัญญัติขึ้น เพื่อแสดงระดับสภาวะทางจิต ที่เข้าไปเห็นแจ้งสภาวะของ
    "กฏไตรลักษณ์" คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา..
    เมื่อจิตเห็นแจ้งแล้ว มีผลทำให้ ความเห็นว่า "นี้ตัวเรา" "นี้ของของเรา" ขาดลงในข้อ
    "สักกายทิฐิ" หมดความเห็นว่า มีความเป็นตัวเป็นตัวขึ้นมา การที่เราเข้าถึงความเป็น
    "โสดาบัน" นั้น ความเป็นโสดาบัน ไม่ได้ทำให้เรา วิเศษ หรือ สูงเด่น ขึ้นมา ถ้าเรา
    คิดในทางโลกอาจคิดว่า เมื่อเป็นโสดาบันนี้จะเหมือนเราแข่งขันชนะอะไรซักอย่างแล้ว
    อารมณ์คงเหมือนได้รับถ้วยรางวัลเหมือนเราขึ้นแท่นรางวัล ขั้นนี้ ขั้นนี้...
    นี้เราขั้นโสดาบันนะ นี้เราสกทาคามีนะ นี้เราอนาคามีนะ นี้เราขั้นอรหันต์นะ
    แต่ในความเป็นจริง การเข้าถึงสภาวะโสดาบัน คือ การทำลายความเห็นผิด ที่ทำให้เรา
    หลงติดยึดอยู่ในอวิชชา(ความเห็นผิด) มานานแสนนาน ประมาณเวลาได้ยาก ซึ่งคน
    ทั้งโลกและในวัฎสงสารนี้ เห็นผิดเหมือนกันหมด ... สร้างเหตุให้ตนเกิด ตาย อยู่เรื่อยไป
    ร่ำไปสภาวะ "โสดาบัน" เลยไม่ได้ไปสร้างอะไรขึ้นมา แต่ไปดับความเห็นผิดตามลำดับ
    เท่านั้น


    การเกิดเป็นทุกข์ไหม ?
    หากบุคคลใดเห็นโทษภัย ของ "การเกิด" เห็นว่าการเกิดทุกครั้งมีแต่ทุกข์ บางคนอาจ
    เถียงอยู่ในใจว่า "ก็มีทั้งสุขและทุกข์นี่ ใครว่ามีแต่ทุกข์อย่างเดียว" แต่หากลองพิจารณา
    ให้ดีความสุขก็คือ เวทนา อย่างหนึ่ง ซึ่งมนุษย์ทุกคน ยอมทำผิด ยอมทำกรรม
    ยอมทำร้ายผู้อื่นก็เพื่อเวทนาตัวนี้ตัวเดียว คือ "สุข"... ซึ่งความสุขตัวนี้เอง ก็เป็นของ
    เกิด-ดับ บังคับไม่ได้ บางคน ซื้อโทรศัพท์มาใหม่ ซื้อรถใหม่ ซื้อบ้านใหม่ ซื้อกระเป๋าใหม่
    เกิดสุข(เวทนา) ขึ้นมาในใจ ลองพิจจารณาดูว่า ความสุขที่เกิดตอนนั้น ยังอยู่ไหม?
    หรือมันดับไปแล้ว.... ความสุขที่มนุษย์ทุกคนล้วนใฝ่หา เมื่อมันเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง
    แล้วมันก็ดับไป นี้เป็น "สภาพแห่งทุกข์" ที่มันปวนแปร ไม่อาจคงสภาพให้สุขแช่อยู่ได้
    ตลอดกาล....... มนุษย์ทุกคนที่ยังไม่เห็นความจริงตรงนี้ที่พระพุทธองค์ ทรงตรัสบอก
    พร่ำสอนอยู่ บางคนมองว่าไกลตัว เราทำไม่ได้ แล้วใช้ชีวิตไปตามกิเลส ตามสัญชาติญาณ
    ยอมสร้างกรรม เพื่อ "สุข" ที่มันเกิดขึ้นในใจ เพียง แวบเดียวแต่สร้างกรรมซึ่งเป็นเหตุให้
    ต้อง "เกิด-ตาย" ในภพภูมิต่างๆ เกิดในสุขคติบ้าง เกิดในทุกคติบ้าง ปนเปกันไป หากชาตินี้
    เราเป็นมนุษย์ ทำบุญทำทานบ้าง ตามโอกาส มีการรักษาศีล และเจริญภาวนาบ้าง
    เมื่อตายลงก็ไปจุติเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เสวยสุขอยู่บนนั้น ด้วยกรรมดีที่เราทำมา
    แต่เมื่อหมดผลแล้ว... กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก แต่ด้วยเศษบุญที่ติดมา มีผลให้เราเกิดใน
    ครอบครัวในตระกูลสูง ทำเราหลงระเริงในสุข เบียดเบียนผู้อื่น ไม่พอใจคนนู้น คนนี้
    ก็จ้างคนไปฆ่าสร้างกรรมในภพนั้น ครั้นเมื่อตายลง ก็ไปบังเกิดในนรก ได้รับทุกข์
    แสนสาหัส เป็นเวลานาน เมื่อเราหมดกรรมในนรกแล้ว วิบากยังให้ผลไปเกิดเป็นเปรต
    เป็นสัตว์เดรัจฉาน อีก 500 ชาติ พบกับความทุกข์อย่างมากกว่าจะได้กลับมาเป็น
    มนุษย์อีกครั้ง... แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราจะไม่เป็นอย่างนี้ เรารู้ได้ไงว่าจะมีความเห็น
    ที่เป็น สัมมาทิฐิ ในทุกชาติที่เราเกิด เราจะไม่พลาด....ก็เมื่อชาตินี้ เราได้เกิดเป็นมนุษย์
    แล้วพระสัทธรรมที่เป็นเครื่องออกจากทุกข์ ไม่ต้องเกิด-ตาย ก็ยังมีอยู่ และแพร่หลาย
    เข้าถึงได้ง่าย ทำไมไม่พาตัวเรา เข้ามาศึกษา ปฏิบัติตามคำของพระพุทธองค์ซึ่งเป็นผู้ชี้
    บอกทางให้เราแล้ว ซึ่งเป็นที่สุดแห่งกัลยาณมิตรของเรา .. คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติ
    ทั้งหลายแล้วว่า.. เมื่อไหร่ศรัทธาที่แท้จริงจะเกิด.. เมื่อไหร่จะพบคำสอนที่แท้จริง..
    เมื่อไหร่จะปฏิบัติได้ตรงตามธรรม.. เมื่อไหร่จะเกิดความเพียรอย่างเอาจริง.. เมื่อปัจจัย
    ประชุมพร้อมมรรผล ที่ไม่ต้องเกิด-ตาย ก็ไม่ไกลเกินคนคนหนึ่งจะปฏิบัติไปได้...

    "มรรคมีองค์ 8" "โพชฌงค์7" หรือองค์ธรรมต่างๆ คนธรรมดาที่ไม่มีอะไรวิเศษ ไม่ต้องมี
    หูทิพย์ ตาทิพย์ อิทธิปาฏิหารย์อะไร ก็ปฏิบัติได้ ยังไม่เห็นว่าองค์ธรรมไหน คนธรรมดา
    อย่างเราท่าน จะปฏิบัติไม่ได้เลย

    ถ้าถามว่าถ้า โสดาบันไม่ได้วิเศษ หรือ สูงส่งอย่างที่คิด แล้วจะปฏิบัติให้ถึงเพื่ออะไร?
    สภาวะจิตเข้าถึงความเป็นโสดาบัน ไม่ได้วิเศษอย่างที่คนทั่วไปคิด ไม่เหมือนการรับรางวัล
    ไม่เหมือนการได้สิ่งของมาสนองกิเลสของปุถุชน... แต่การเข้าถึงสภาวะโสดาบัน ก็ทำให้
    เป็นผู้ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพาน และมีการตรัสรู้ในการเบื้องหน้า



    ดังพุทธพจน์
    ภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวกนี้ เราเรียกว่าเป็น
    อริยสาวกผู้เป็นโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
    เป็นผู้เที่ยงแท้ (ต่อนิพพาน) มีการตรัสรู้พร้อมในเบื้องหน้า
    ดังนี้ แล.

    ภิกษุทั้งหลาย ! อานิสงส์แห่งการทำให้แจ้ง
    ซึ่งโสดาปัตติผล ๖ อย่าง เหล่านี้ มีอยู่.
    หกอย่างเหล่าไหนเล่า ? หกอย่าง คือ : -
    เป็นบุคคลผู้ เที่ยงแท้ต่อพระสัทธรรม;
    เป็นบุคคลผู้ มีธรรมอันไม่รู้เสื่อม;
    ทุกข์ดับไปทุกขั้นตอนแห่งการกระทำ
    ที่กระทำแล้ว;
    เป็นบุคคลผู้ ประกอบด้วยอสาธารณญาณ
    (ที่ไม่ทั่วไปแก่พวกอื่น);
    เป็นบุคคลผู้ เห็นธรรมที่เป็นเหตุ และ
    เห็นธรรมทั้งหลาย ที่เกิดมาแต่เหตุ.
    ภิกษุทั้งหลาย ! เหล่านี้แล อานิสงส์ ๖ ประการ
    แห่งการทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล.

    ภิกษุทั้งหลาย ! แม้มหาภูตรูปสี่ กล่าวคือ ธาตุ
    ดิน น้ำ ไฟ ลม ก็ยังมีความแปรปรวนเป็นอื่นไปได้,
    แต่เหล่าอริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ผู้ประกอบพร้อมแล้ว
    ด้วยศีลทั้งหลาย ชนิดเป็นที่พอใจของเหล่าอริยเจ้า ย่อมไม่มี
    ความแปรปรวนเป็นอย่างอื่นได้เลย. ข้อที่ว่าผู้ประกอบพร้อม
    แล้ว ด้วยศีลทั้งหลายชนิดเป็นที่พอใจของเหล่าอริยเจ้านั้น
    ยังจะมีการปรวนแปรไปเป็นเสียอย่างอื่น จนเข้าถึงนรกก็ดี
    กำเนิดเดรัจฉานก็ดี วิสัยแห่งเปรตก็ดี ดังนี้นั้น ไม่ใช่
    เป็นฐานะที่จะมีได้เลย.


    .....................................
     
  2. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    .........................................

    ปฏิบัติอย่างไรให้เข้าถึงสภาวะ โสดาบัน ?
    ปฏิบัติตามมรรคมีองค์8 ยังผลให้ศีล ทั้งสัมมาสติ สัมมาสมาธิ บริบูรณ์ ปฏิบัติตามมรรควิธี
    ของจริตแต่ละคน ว่า ปฏิบัติอย่างนี้ สมาธิ สติ ปัญญาเกิดได้ดี... แต่ทุกมรรควิธีที่ปฏิบัตินั้น
    ก็น้อมไปเพื่อ การเห็นความไม่เที่ยง ไม่คงทน ไม่ใช่ตัวตน ด้วยการเห็นถึงสภาพที่แท้จริง
    ไม่แทรกแซง ไม่คิดเอา ให้จิตเข้าไปเห็น เข้าไปดู จิตจะรู้เองด้วยจิตนี้มีธาตุรู้อยู่ เราแค่ทำเหตุ
    ให้จิตเข้าไปเห็น ความเกิด-ดับ ความไม่เที่ยง ด้วยจิตเอง ยกตัวอย่าง มรรควิธีการนั่งสมาธิ
    แล้วอยู่ในองค์ฌาน เราไม่ได้นั่งเพื่อเป้าหมาย ที่ความสงบ ความสุข ในสมาธิ แต่เมื่อฌานเกิด
    น้อมจิตไปสังเกตุอารมณ์ฌาน ให้จิตเห็น ให้จิตดู.... เห็นอะไร ดูอะไร เห็นความเปลี่ยนแปลงไป
    (ในอารมณ์เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง ไม่คงที่ เดี๋ยวเกิด เดี๋ยวดับ บังคับไม่ได้) ที่ใส่วงเล็บให้นี้เป็นผล
    ตอนปฏิบัติไม่ต้องคิดว่า อ๋อนี่ไงมันขึ้นนะ อ๋อนี่ไงมันลง อ๋อนี่ไงมันบังคับไม่ได้ ไม่ต้องพิจารณา
    ในตอนนั้นจะแทรกแซง จิตจะไม่ตั้งมั่น.... จิตไม่เห็นสภาพธรรมด้วยจิตเอง ตรงนี้เป็นส่วนสำคัญ
    เราฟังธรรมมะของของครูบาอาจารย์ ทั้งหลาย แล้วตีความกันไปอย่างนี้ ครูบาอาจารย์บอกให้เรา
    "เฝ้าดูการเปลี่ยนไปของขันธ์5 ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา" เมื่อเราได้ยินท่านกล่าว
    อย่างนั้นกลับมาทำ ก็เอาเลย เฝ้าดูพอไปเห็น ว่า มี เวทนา เกิดขึ้น พอมันดับไป เห็นที่จิตว่า
    มันดับไปก็เอาความคิดไปใส่ต่อ ว่า "อ๋อนี่ไง มันเกิด นี่ไงมันดับ มันไม่เที่ยงเป็นอย่างนี้เอง"
    แล้วก็บอกว่า เราเจริญวิปัสสนาแล้ว แต่พอปฏิบัติไป ปฏิบัติไป ทำไมไม่แจ้งธรรมซะที... แล้ว
    กลับไปบอกว่าสงสัยเราคงไม่ถูกจริตกับมรรควิธีนี้ เราคงไม่มีบุญ มีวาสนา ทำวิปัสสนามาตั้งนาน
    ไม่เห็นธรรมซะทีเกิดสงสัยครูบาอาจารย์ แล้วเราก็โทษนั่น โทษนี่ แท้ที่จริงครูบาอาจารย์
    ท่านสอนถูกแล้ว แต่เราเอาคำสอนมาตีความผิดเอง ดึงธรรมมาเข้าตัว ไม่ได้ดึงตัวเข้าหาธรรม....
    ครั้งแรกอาจได้เห็นความเป็นไตรลักษณ์ ได้จริง แต่พอทำไปทำไป เอาความคิดเข้าปรุงแต่ง
    เลยไม่เป็นวิปัสสนาที่แท้จริงผลเลยเกิดช้าหรือไม่เกิดเลย เพราะจิตเข้าไปคิดนั้น ย่อมไม่ตั้งมั่น
    เมื่อไม่ตั้งมั่นก็ไม่เห็น ความจริงตามธรรมชาติ ที่มันเปลี่ยนไปสู่ความดับเสมอ เช่นเดียวกันกับ
    มรรควิธีอื่นๆ ก็น้อมไปเพื่อให้จิตเห็นสิ่งเดียวกันนี้ มรรควิธีที่ต่างกันก็เป็นเพียง ให้จิตมีที่เข้า
    ไปเกาะ ให้ตั้งตั้งมั่น ให้มีสติ ให้มีสมาธิเพื่อจะเห็นธรรมชาติ ความเป็นไปของภายในว่า มันเที่ยง
    หรือไม่ มีตัวตนหรือไม่ สภาพอย่างนี้มันสุขหรือทุกข์..



    ต้องเห็นไตรลักษณ์แค่ไหนจะถึงสภาวะโสดาบัน ?
    ก็เมื่อธรรมชาติมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น เมื่อจิตเข้าไปเห็น เข้าไปดูอย่างนี้ เห็นซ้ำๆ บางคน
    เห็นครั้งเดียว บางคนเห็นสองครั้ง บางคนเห็นร้อยครั้ง บางคนเห็นหมื่นครั้ง แล้วแต่ว่าตนสะสม
    ของเก่ามาแค่ไหน แต่สำคัญก็คือ ต้องเห็นให้ถูก วางจิตให้ถูก แล้วเมื่อปัจจัยพร้อมจิตจะแจ้งเอง
    ว่า ธรรมชาติ ธรรมดาเป็นอย่างไร ว่ามัน มีสภาพอย่างไร เมื่อจิตเข้าใจ เกิดเห็นแจ้ง ถึงสภาพ
    ตามธรรมชาติ ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ก็ทำลายความเห็นว่า เรามีตัวตนลงได้


    ขณะบรรลุธรรม เป็นอย่างไร ?
    เมื่อจิตเข้าไปเห็นสภาพ ของกฏไตรลักษณ์ ตัวใดตัวหนึ่ง คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน
    เห็นแค่มุมเดียวแล้วแต่ละคนสั่งสมอะไรมา บ้างเห็นสภาพทุกข์ บ้างเห็นความไม่เที่ยง
    บ้างเห็นความไม่มีตัวตน เมื่อเห็นในภายในที่ตน เฝ้าดู เฝ้าเห็น มาด้วยจิตที่เป็นกลาง ตั้งมั่น
    เมื่อเห็นแจ้ง จิตจะเห็นจากข้างในถึงความไม่มีตัวตนเมื่อเห็นข้างในจิตจะน้อมมาเห็นภายนอก
    เห็นแล้ว ว่าที่ผ่านทำไมเรายึดถืออะไรอยู่ เกิดสลดใจ แล้วขณะนั้น จะทำลายความเห็นผิดลง
    ตรงนี้ ว่าเรามีตัวตน ถ้าให้เปรียบเหมือนเราแหวกเข้าไปเห็นความจริง ที่เป็นไปธรรมชาติ
    ธรรมดาอะไรซะอย่าง แค่แปล๊บเดียว เหมือนกับว่าสภาวะ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
    มันอยู่กับเราอยู่ตลอดเวลา อยู่กับทุกคน แต่ไม่มีใคร เข้าไปเห็น หรือสนใจเข้าไปดู เท่านั้น
    ถ้าไม่มีธรรมะที่พระพุทธองค์ ทรงประกาศ บอก สอน ชี้ทางมรรค ไม่มีทางที่มนุษย์ จะเห็น
    ความเป็นจริงนี้ได้เลย ว่าสภาพนี้มันสร้างทุกข์ สร้างการเกิด สร้างภพ สร้างชาติ ต่อไปอีก
    ไม่จบสิ้น ทำให้สัตว์ทั้งหลาย ต้องเวียนว่ายในวัฏสงสาร เกิดทุกข์สาหัส อย่างหาปลายทาง
    ไม่เจอเลย..


    แล้วจะแจ้งอริยสัจ (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) รู้ว่านี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้การดับไปของทุกข์
    นี้เองทางที่ทำมาให้ถึงทางดับทุกข์ เป็นลำดับที่พระพุทธองค์ ทรงบัญัติไว้อย่างแยบคายแล้ว
    บางคนอาจบอกว่าทำไม ไม่เป็นอย่างนี้... มรรค สมุทัย ทุกข์ นิโรธ คือเห็นทางก่อน แล้วรู้เหตุ
    รู้ทุกข์ แล้วดับทุกข์ แต่พระพุทธองค์ ทรงบัญัติไว้ตามที่เป็นจริง คือ เมื่อเราเกิดทุกข์ เราจะเห็นทุกข์
    เมื่อปฏิบัติไปจะเห็นเหตุที่ทำให้ทุกข์ เมื่อเห็นเหตุก็ทำให้ถึงซึ่งความดับทุกข์จนมีความดับของทุกข์
    และน้อมกลับไปมองเห็น ทางที่ดำเนินมา เป็น อริยมรรค เปรียบเหมือนคนไปถึงเป้าหมาย...
    เมื่อถึงมองกลับมา เห็นเส้นทางที่ตนผ่านมาแล้ว ต้องเจออะไรบ้าง ต้องผ่านมาอย่างไร


    .......................................
     
  3. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    ................................


    หลังบรรลุธรรมเป็นอย่างไร ?
    ตรงนี้อาจไม่เกิดประโยชน์กับผู้ปฏิบัตินัก ถือว่าเล่าสู่กันฟัง ...
    ราคา โทสะ โมหะ ของโสดาบันยังอยู่ครบ แต่กิเลสต่างๆไม่เป็นไปเพื่อความประมาท ไม่เป็นไป
    เพื่อความเบียดเบียนผู้อื่น ยังมีมานะ แต่ไม่เหมือนและไม่เท่าปุถุชน คือ ไม่ได้ถือตนว่าดีกว่าผู้อื่น
    แต่เห็นเสมอด้วยผู้อื่น และด้อยกว่าผู้อื่น (ในทางธรรม) แต่ไม่ได้ถือตนว่า เรารวยกว่า เราดีกว่า
    หรือเราแย่กว่า ฯลฯ ที่เป็นโลกธรรมทั้งหมด .... ความมั่นคงความหยั่งลงมั่น ในพระรัตนตรัย
    มีอย่างเต็ม ตรงนี้เกิดขึ้นเองในจิต ไม่ต้องคอยระวัง คอยถือ เห็นผู้อื่นเหมือนกันหมดเหมือนกัน
    ด้วยความหลง.. เห็นว่านี้เป็นผล เพราะว่ามีสิ่งนี้เป็นเหตุ เห็นว่าผู้อื่นทำผิด เพราะมีปัจจัยบีบคั้น
    ภายใน ปัจจัยรวมกันพร้อม ส่งผลเป็นการกระทำ ไม่เห็นว่ามีใครผิด เห็นว่ามีแต่คนที่ไม่รู้....
    เห็นว่าทุกสิ่ง ทุกอย่างมีสภาพ เหมือนกันหมด คือไม่เที่ยง เดี๋ยวต้องเปลี่ยนแปลง มันเป็นความ
    รู้สึกลึกๆ ที่ไม่เหมือนกับตอนที่ยังปฏิบัติอยู่ คือต้อง คิดช่วยว่า " สิ่งนี้ไม่เที่ยงนะ เดี๋ยวมันก็ต้อง
    เปลี่ยนแปลง " แต่เชื่อไม่สนิทใจ... การได้ของอะไรมาใหม่ เห็นไปสุดทาง ว่าที่สุดต้องพัง
    ไม่ใช่ของเรา ของยืมใช้ ขณะได้มีความยินดีน้อยแว๊บเดียว ความอยากได้น้อยลงมาก จะใช้แค่
    เพราะต้องใช้ไม่ได้ใช้เพื่อแฟชั่น หรือเปลี่ยนแค่อยากมีเหมือนคนอื่น ... ศีลที่มีมาใจจิตที่ไม่คิด
    เบียดเบียนผู้อื่น ศีลอยู่ที่จิต ไม่ได้ถือไม่ได้ระวัง... ทุกข์ที่เกิดขึ้นที่ใจ เป็นการกระเพื่อม ภายใน
    แต่จะมีสติเห็น แล้วตัดลง... ฟังธรรมเข้าใจง่ายขึ้นมาก ส่วนใดที่เคยสงสัย ก็คลายสงสัย เพราะรู้
    และเห็นมาด้วยสิ่งที่ตนผ่านมา มันจะอ๋อ ใช่ ใช่ จริงมานั้น... จะกล้าหาญในธรรมที่ตัวรู้มา แจ้งมา...
    เห็นกายกับจิต แยกกัน ไม่ยึดไปรวมเป็นตัว... เมื่อเข้าไปในงานลดน้ำมนต์สะเดราะห์ ที่ไม่เป็นไป
    เพื่อการพ้นทุกข์จริง ก็ไม่แปลกแยก คืออยู่ได้ไม่ถือ ไม่ต้องมาคิดว่า นี้เรา ถือพระรัตนตรัยอยู่
    ควรออกไปดีกว่า แต่อยู่ร่วมพิธีได้ไม่หวั่นไหว...มีอาการเหม่อ ไม่มีสติ อยู่ แต่น้อย ...
    มีความฟุ้งซ่านของจิต แต่น้อย... จิตไม่ไปปรุงแต่ง แล้วเพลินในอารมณ์ คิดแล้วจบไม่ต่อไปปรุงแต่ง
    สร้างเรื่องราวให้จิตเพลิดเพลิน... ความสุข-ทุกข์ที่เกิดน้อยลง ไม่ไปสุดโต้ง คือ ไม่ดีใจสุดๆหรือเสียใจสุดๆ...
    ไม่มีวิตก กังวล คืออย่างนี้ เมื่อมีปัญหา จะคิดหาทางแก้ ไม่ไปวิตกกับปัญหา คิดวิธีแก้ได้ก็จบตรงนั้น
    แล้วถึงเวลาแก้ ก็แก้ไปตามนั้นเวลานั้น เท่านั้น... การคิดจะน้อยลง หรือเรียกว่า คิดเฉพาะที่ต้องคิด
    ต่างจากก่อน คิดแล้วปรุงแต่งไปเรื่อยๆได้ทั้งวัน... ยังเห็นว่าสิ่งนี้สวย แต่จิตไม่เข้าไปปรุงแต่งต่อ
    ไม่อยากยึดมาเป็นของตน เพราะของต่างๆที่เห็นว่า สวย ก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวต้องเปลี่ยนแปลงที่สุดก็สลายไป...
    ไม่มองในแง่ดี ไม่มองในแง่ร้าย เห็นและเข้าใจสิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็นอย่างนั้น... ทิฐิ(ความเห็น)
    ที่เกิดกับจิตเป็น สัมมาทิฐิทั้งหมด ... ทำบุญไม่ได้หวังบุญ ไม่ได้หวังผล ไม่ตระกาย อยากได้บุญ
    สะสมบุญ... ทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่พอจะนึก และสำรวจตน มาได้เพียงเท่านี้ จะเห็นว่า แทบไม่ต่างจาก
    กัลยาณชน ที่เป็นคนดี เลย.. ครูบาอาจารย์จึง กล่าวว่า พระโสดาบัน ก็คือ ชาวบ้านชั้นดี นั่นเอง
    แต่ส่วนที่ต่างกันคือ กัลยาณชนที่เป็นคนดี ยังใช้ การบังคับ การกดข่ม พยายามมองให้เป็นธรรม
    ซึ่งต่างจาก ผู้เข้าถึงสภาวะโสดาบัน จะไม่ได้บังคับ ไม่กดข่ม หรือพยายามมองให้เป็นธรรม แต่เป็น
    ไปตามธรรมชาติของวิถีแห่งจิต เท่านั้น...



    จะรู้ได้ไงว่าคิดไปเอง หรือ บรรลุธรรมจริง ?
    ธรรมดาของผู้บรรลุธรรมย่อมรู้ชัด ด้วยตนว่า เห็นแจ้งอะไร.. ทิฐิ(ความเห็น)ของตนเป็นอย่างไร
    สังโยชน์ละได้หรือไม่ เราสามารถหลอกผู้อื่นได้ ซึ่งการหลอกผู้อื่น อาจเป็นทางมาแห่งลาภ สรรเสริญ
    แต่ก็ไม่สามารถหลอกตนเองได้อยู่ดีตนย่อมรู้อยู่ว่าเป็นจริงตามนั้นหรือไม่... แต่ถ้าจริงย่อมทนต่อการ
    พิสูจน์ เช่นเดียวกับธรรมะของพระพุทธองค์ เป็นสัจจะความจริง ซึ่ง ผู้ที่บรรลุธรรม ก็คือ ผู้เข้าไปรู้แจ้ง
    ในธรรมะที่ทนต่อการเพ่งพิสูจน์ ย่อมทนต่อการเพ่งพิสูจน์เช่นกัน

    ....................................
     
  4. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    ..................................


    จะได้อะไรจากผู้บรรลุธรรมไปก่อน ?
    พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "ให้พึงตน พึงธรรม" "มีตนเป็นประทีป อย่ามี สิ่งอื่นเป็นประทีปเลย"การจะหวัง
    พึงผู้อื่นให้มาชี้ทางลัด ให้แล้วบอกว่า "มาทางนี้นี่ไงทางลัด นี่ไงทางตรง" ย่อมเป็นไปไม่ได้ หากไม่ได้
    เป็นคนสอนของพระพุทธองค์ มรรควิธีของ พระพุทธองค์ นั่นล่ะ "ลัดสั้นตรงที่สุดแล้ว" คำตรัสของ
    พระพุทธองค์นั้นล่ะ ประเสริฐสุด แม้หยิบคำสอนเพียงประโยชน์เดียวแล้วมาปฏิบัติอย่างเอาจริง
    มรรคผลย่อมเกิดแน่.. ส่วนผู้บรรลุธรรมไปก่อนนั้น เป็น ผู้สำเร็จประโยชน์เฉพาะตน.. คำก็บอกแล้วว่า
    "ประโยชน์เฉพาะตน" ที่จะทำได้เพียงแนะนำบางประการ แก้ความเข้าใจผิดที่ผู้ปฏิบัติ ตีความในธรรม
    ผิดไป มาจากการที่ตนเคยทำผิด เคยติดขัด เพราะบางสภาวะบางคนอาจติดเป็นปี หรือหลายสิบปี...
    อย่างครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็น อริยะสงฆ์ ท่านเป็นผู้เลิศคุณ เป็นนาบุญ เป็นผู้ถึงฝั่ง เราทั้งหลายจึง
    ควรเข้าใกล้ เพื่อฟังธรรม เพราะผู้ที่ถึงฝั่งย่อมเห็นทางที่ตนดำเนินมา เมื่อเราติดขัด ท่านจะเมตตา
    แนะทางให้เราปฏิบัติ จนไปต่อ จนถึง การพ้นทุกข์เหมือนท่าน.. แต่คนในปัจจุบัน เห็นพระอรหันต์
    หวังแต่เพียงทำบุญ หวังผลบุญ ไม่คิดไปถึงประโยชน์ของตนมากกว่า "บุญที่เจือไปด้วยความโลภ"
    ที่อยากจะไปเอาบุญมากกว่าจิตที่คิดให้เพื่อสละออกซะอีก



    แล้วเราจะบรรลุธรรมได้จริงหรือ ?
    ขอเล่าย้อนที่ตัวผมเอง อย่างนี้ ก่อนหน้านี้ ผมสนใจธรรมะก็เพราะเรื่องราว แปลกๆ ปาฏิหารย์
    เหนือธรรมชาติ เหนือโลก นรก สวรรค์ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร คิดว่าดูหมอ สะเดราะห์
    อาบน้ำมนต์ ฤกษ์ยามสามตา บนสิ่งศักสิทธิ์ เจอศาลอะไรไหว้หมด อะไรทำนองนี้เจอสิ่งเหล่านี้
    เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้... ไปทำบุญก็หวังจะได้บุญเยอะๆ หยอดตู้ไป 20 บาท
    อธิฐานเลยขอให้ถูกหวยรางวัลที่ 1 แล้วก็มานั่งนึกคิดว่า "เอ้ .. จะเอาเงินไปทำอะไรนะ หกล้าน
    เดี๋ยวซื้อรถนะ เดี๋ยวบ้านนะ เอ้ รถอะไรดี บีเอ็มดีกว่า นั่งคิดปรุงแต่ไปเรื่อย" จำได้ว่าตอนเด็ก
    ร้องให้แม่ซื้อให้ ตำราพรหมชาติ(ตำราดูดวง) เล่มใหญ่มาก จริตมากับพวกแบบนี้ เห็นหนังสือ
    พระมาลัยท่องแดนนรก ก็อยากได้ ที่บ้านเลยมีแต่หนังสือประเภทนี้ เพื่อนพ่อมาที่บ้านก็เห็นเข้า
    ก็บอกว่าโตไปมันคงเป็นหมอดูแน่ๆ ตั้งแต่เด็กจึงเป็นอย่างนี้ มาตลอด เรียกว่าเจอแต่ อะไรไม่รู้
    เปลือกก็ยังไม่ใช่ กระพี้ยังก็ไม่ใช่เลย..... พอเริ่มมาศึกษา ซื้อหนังสือ การทำสมาธิมา ก็อ่าน อ่านแล้ว
    ก็อยากปฏิบัติ นั่งไป ครั้งแรกสมาธิลึก กลับไปอ่าน อารมณ์ฌาน ในหนังสือ คิดกระหยิ่มในใจ
    "โอ้ฌาน3เลยหรือ" ... กลับไปนั่งต่อฟุ้งซ่านด้วยความอยาก ความโลภ แม้แต่ฌาน1 ยังไม่ถึงเลย...
    ช่วงนั้นฟังธรรมะ ใครจะบอกว่า พระพุทธเจ้าแท้ที่จริงท่านสอนอะไร มันเหมือนว่าฟังอยู่ แต่มันไม่เข้าไปจิต
    คือไม่สนใจ สนใจแต่เรื่องสมาธิอย่างเดียว ใครมาเตือนว่า อย่าทำมากนะ เดี๋ยวติดสุขในฌาน ก็ไม่สน
    ยิ่งนั่ง ยิ่งสงบ นั่งนิ่งตัวแข็งอยู่อย่างนั้น นั่งอยู่เป็นชั่วโมง ไม่ขยับเลย... จนหมดเวลาปฏิบัติ
    คนที่ปฏิบัติที่นั่งอยู่ข้างหลัง เข้ามาคุยด้วยชมใหญ่เลย "นั่งเก่งนะไม่ขยับเลย" เลยบอกเค้าไป
    "ไม่หรอกครับ" แต่ในใจแสนจะฟู กูเก่งนะเนี่ย ตัวตนยิ่งเพิ่ม... ช่วงนั้นปฏิบัติถี่เอาจริงเอาจังมาก
    ว่างเป็นไม่ได้ แอบไปนั่งสมาธิตลอด นั่งบนรถรับ-ส่งพนักงาน นี่ยังเลยไป อรูปฌาน ..
    เรียกว่า หลับตา แป๊บเดียว นึกอารมณ์ฌาณ4 มาเลย ดับกายพ้นเวทนาไปเลยเรียกว่าตอนนั้นติดมาก
    แต่ผมกับไม่รู้ว่าตนติด... คนรู้จักถามผมว่า ปฏิบัติไปทำไม ตอนนั้นตอบเค้าไปว่า "อยากไปเป็นพรหม"
    แม้แต่บอร์ดอภิญญา สมาธินี้ ผมก็เคยมาโพส เกี่ยวกับอารมณ์ของฌานเอาไว้กระทู้นึงเหมือนกัน...
    แต่หลังจากนั้นอ่านหนังสือธรรมะไป ฟังธรรมะไปเค้าบอกให้ วิปัสสนาด้วย จะได้เกิดปัญญา ตอนนั้นก็โลภ
    อยากได้ปัญญาด้วย คงเท่ห์ดี ... นั่งสมาธิ เข้าไปนึกอารมณ์ฌาน4 เข้าฌาน4 ถอยกลับมาฌานหนึ่ง
    ที่มีวิตก วิจารด้วย นั่งคิดไป คิดมาว่า "ชีวิตไม่เที่ยงนะ" "ร่างกายเป็นของเน่าเปื่อยนะ" คิดอยู่อย่างนี้
    นึกว่าเป็นวิปัสสนา แต่เป็นวิปัสนึกซะมากกว่า แล้วคิดว่าทำไมไม่เกิดปัญญาซะทีนะ ทำมาก็เยอะ ...
    เวลาที่ทำสมาธินี้เป็นปี เข้าออกวัดเป็นว่าเล่น แม่ชีที่วัดจำหน้าได้เลย เดี๋ยวเสาร์-อาทิตย์ ก็เข้าวัด
    บอกคนอื่นว่าไปวิปัสสนา ฟังดูเท่ห์ดี ชวนคนนั้นไป ชวนคนนี้ไป เค้าไม่ไปก็ไปคนเดียว ไปทำคนเดียว
    ปฏิบัติคนเดียวดีจะได้บุญคนเดียว ไปปฏิบัติธรรมผมก็หวังไปเอาบุญ บอกใครต่อใครว่า "ไปปฏิบัติธรรมนี่
    บุญใหญ่สุดเลยนะ" อนุโมทนาซะนะ... ตื่นมาเช้ามืดเค้าทำวัตรเช้าสวดมนต์ ก็รีบไป พลาดไม่ได้ คิดว่า
    เดี๋ยวเทวดา นางฟ้าจะได้มาอนุโมทนากับเราด้วย... ทำอย่างนี้จน มีภารกิจทางโลก มากขึ้นเลยห่างธรรมะ
    ออกมา ไปวัดน้อยลง สนใจน้อยลง แล้วก็ห่างจากธรรมะไปเป็นปี ฟังธรรมะบ้าง แต่ไม่มาก .. จนวันที่เกิดทุกข์
    เข้ามาในชีวิตอย่างหนักก็เลยกลับสู่ธรรมะอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมหยิบคำสอน ที่เป็นของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ
    คือ อานาปานสติ แล้วปฏิบัติตนตามมรรค 8 ซักแต่ว่า ทำไป ปฏิบัติไป อานุภาพของคำสอน ของพระพุทธองค์
    เปลี่ยนผมจากผู้เป็นมิจฉาทิฐิแบบสุดๆ กลับมาเป็น สัมมาทิฐิได้ อย่างรวดเร็ว แต่ขอไม่บอกในที่นี้ว่าผมใช้เวลา
    เท่าไหร่... เพราะไม่เป็นประโยชน์กับท่าน เดี๋ยวผมบอกไป แล้วท่านไปทำแล้วไม่เป็นไปตามนี้จะท้อใจซะก่อน ...
    แต่ถ้าไม่ได้มีมิจฉาทิฐิ ขนาดผมที่ผมเคยทำเคย เป็นมา ที่เป็นคนธรรมดาศรัทธากับสิ่งที่ไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริง
    แต่เมื่อปฏิบัติ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า มรรคผลก็เกิดทุกคนก็ทำได้ ขอให้เจอคำสอนที่แท้จริง ปฏิบัติ
    ตรงตามธรรม มีความเพียรไม่ถอยกลับ ยึดพระพุทธองค์เป็นกัลยณมิตรอันสูงสุด



    ................................
     
  5. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    ........................................


    กระทู้สุดท้าย
    นี่เป็นกระทู้สุดท้ายแล้วครับ ที่จะโพสลง ในยูสเซอร์ xeforce แต่อาจจะเข้ามาคุยธรรมะบ้างตามกาล ที่สมควร
    ธรรมะที่แนะนำ พอจะมีประโยชน์บ้างก็ยินดี แต่ถ้าเห็นว่า ไม่จริง หลอกลวง ก็ทิ้งไป ถือว่ามาอ่าน ประสบการณ์
    การปฏิบัติของคนๆหนึ่ง กันเล่นๆ...... แต่ทั้งหมดที่พิมพ์ไปทั้งหมด ก็เอามาจากสัญญา(ความจำ)ล้วนๆ เป็นสภาวะ
    ภายในขณะพิมพ์ และประสบการณ์จริง เป็นชีวิตจริงๆ และไม่ได้แต่เติม เป็นสภาพทุกข์ที่เกิดจริงในชีวิต...
    อยู่ในบอร์ดนี้มา 3-4 เดือน ได้รู้ได้เห็นอะไรมากมาย ได้กลับมาพิจารณาตน ได้ใคร่ครวญในธรรม ได้เปลี่ยนแปลง
    วิธีการเขียน ... เข้าใจว่าต้องศึกษาเพิ่มอีกมากทีเดียว หากคิดว่าจะเป็นผู้ประกาศธรรม ได้อ่านความเห็นของ
    ท่านปราบผี ในกระทู้นึง แล้วสะท้อนใจเลยว่า หากจะเป็นผู้บอกสอน เป็นผู้ประกาศธรรม ต้องรู้ให้รอบ รู้ให้เยอะ
    เพราะจริตของแต่ละคนแตกต่างกันเยอะมาก... ผมผ่านจุดสำคัญมาเร็ว เลยไม่ได้เก็บความรู้ระหว่างทางมากนัก
    ผิดกับสมาชิกหลายท่านที่มีความรู้มีปัญญา เก็บเกี่ยวไปเต็มลำเรือ พอถึงจุดหมาย ก็สอน แนะนำธรรมให้ผู้อื่นได้เยอะ
    ก่อนหน้านี้ ผมมีความรู้สึกลึกๆว่า ตนเองจะต้องบรรลุโสดาบันในชาตินี้ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ มันเป็นแค่ความรู้ลึกๆ
    ตั้งเป้าในชีวิตไว้เลย ทั้งทางโลกและทางธรรม.. อย่างนี้ว่า ต้องรวย มีเงินเป็นพันล้าน ก่อนอายุ 30 ปี ให้พ่อแม่ พี่สาว
    ลูกเมีย ได้อยู่สบาย (ไปตามกิเลสแบบโลกๆ) แล้วพออายุ 40 ปี ก็จะเกษียณตัวเอง ไปบวช ในบั้นปลายชีวิต ให้ได้
    โสดาบันก่อนตาย.... เมื่อฟังธรรมะ เห็นเขา พูดธรรมมะ ก็ชื่นชมอยากเป็นเแบบเขา เคยอธิฐานจิตไว้ว่า ตราบใด
    ที่ยังต้องเกิด ขอเป็นผู้ ประกาศพระศาสนา แม้ชาติปัจจุบันจะไม่มีโอกาสก็ไม่เป็นไร... อยู่ในบอร์ดนี้ ได้ปรับเปลี่ยน
    ได้ท่าน นิวรณ์ คอยเตือนตลอด ว่า อย่าเอา "มานะ" ออกมา ระหว่างกล่าวธรรมะออกไป ก็ดีเหมือนกัน ทำให้ระวัง
    มากขึ้น... และก็ระวังเรื่องการ ออกความคิดเห็น เช่นกัน ที่ ท่านรณจักร เคยเตือนเอาไว้ ก็ต้องขอบคุณไว้ด้วยเช่นกัน
    ส่วนกระทู้นี้ก็ตั้งใจให้ ท่าน สับสน อ่านเช่นกัน เลยเอาเรื่อง ฌานสมาธิ มากล่าวด้วย เพื่อเป็นประโยชน์ได้บ้าง อาจจะ
    คิดว่าผมไม่ได้นั่งสมาธิทำฌานเลยหรือเปล่า .. คงหายสงสัย เป็นเพราะผมผ่านมาด้วยวิธีอย่างหนี่ง เลยไม่กล้าแนะนำ
    ในอีกแบบหนึ่งเท่านั้น .. เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา อันธาตุเดียวกัน ย่อมดึงดูด ธาตุเดียวกัน คือ บุคคลที่ชอบทำฌาน
    ก็จะดึงดูดบุคคลที่ชอบทำฌาน บุคคลที่ชอบเจริญสติ ก็จะดึงดูดบุคคลที่ชอบเจริญสติ เช่นเดียวกัน... และอีกหลายท่าน
    เห็นว่าที่ผมออกมาประกาศอย่างนี้ อาจคิดว่าผม ยังยึดมั่น ในธรรมอยู่ ความจริงก็เป็นเช่นนั้น... หลายคนอาจคิดว่า
    "ของจริงต้อง นิ่งเป็นใบ้" แต่ความเป็นจริง ที่ไหนสมควรบอก ไม่สมควรก็ไม่พูดไม่บอก ไม่กล่าว แต่ถ้าบอกแล้วเห็นว่า
    มีประโยชน์ มากกว่า เป็นโทษ อย่างในที่นี้เห็นว่าเป็นประโยชน์ ลองอ่านๆแล้ว บางท่านใกล้มาก เผื่อสะกิดอาจได้ข้อคิดบ้าง..
    ถ้าท่านมาถึงแล้วจะรู้ได้เองว่ามันจริงหรือไม่ เพราะแม้เดินมาคนละทางแต่จุดรวม มันเห็นที่เดียวกัน รู้ที่เดียวกัน ...
    มีหลายท่านเตือนมาเหมือนกันว่าเดี๋ยวจะโดนด่า แต่คงไม่เป็นไรโดนด่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาของโลก ถ้าจะโดนด่าบ้าง
    แต่มีประโยชน์อาจพลิกความเห็นของคนซักคนหนึ่ง ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างจริงจัง แม้ซักคนเดียว
    ก็คงคุ้มแล้ว.... ผมเองไม่ได้หวังจะสอนใครในที่นี้ เราก็ล้วนเป็นผู้เดินทางอยู่ อยู่บนเสันทางเดียวกัน จุดหมายเหมือนกัน
    เป็นเพื่อนร่วม แก่ เจ็บ ตาย... เหมือนกันเห็นบางคนยืนแช่อยู่ บางคนแวะชมนกชมไม้อยู่ บางคนกำลังเดินออกนอกทาง
    บางคนกำลังหันหลังกลับ เผื่อได้กลับมาเดินบนทางมรรคมีองค์8 อีกครั้ง... ผมเองก็พักการปฏิบัติออกมา ชมนก ชมไม้
    ได้พิจารณา ได้ทบทวนในสิ่งที่ตนผ่านมาด้วย และได้มีโอกาสบอกแนะ ไปบ้างเท่านั้น.. กระทู้นี้ร่ายยาวไปซักหน่อย
    แต่ผมมีพุทธพจน์บทหนึ่งจำได้ขึ้นใจ ก็คือบทนี้ ฟังกี่ครั้ง อ่านกี่ที เหมือนกับว่า ผมได้ยินจากพระพุทธองค์ ด้วยตนเองทุกครั้ง...


    "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจง เที่ยวจาริกไปเพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก
    เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมากเพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก เพื่อประโยชน์
    เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทพดาและมนุษย์ทั้งหลาย แต่อย่าได้ไป
    ทางเดียวกันสองรูป เธอทั้งหลายจงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง
    งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ
    บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ในโลกนี้ สัตว์พวกที่มีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุเบาบางยังมีอยู่
    เพราะไม่ได้ฟังธรรม สัตว์พวกนั้นจึงเสื่อมเสียไป ผู้ที่รู้ทั่วถึงธรรมได้ยังจักมี "


    ...........................................................................................
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    จะโพสสุดท้าย หรือไม่สุดท้าย มันก็แค่ " มาดทางโวหาร "

    วินาทีบรรลุธรรม ใช้เท่าไหร่ ที่ไม่พูด ไม่ใช่ว่า มันจะทำให้ ใครท้อ

    แต่เป็นเพราะ มันไม่มี เลยต้อง อำพราง

    ที่อำพราง เนี่ยะ ไม่ใช่เพื่อ กลัวใครท้อใจ แต่เป็นเพราะ กลัวตัวเอง รู้ว่ายังไม่มี

    ทำไมถึงปรักปรำแบบนั้น

    ก็ โถท่าน ของมันเห็นๆ อยู่ดีๆ จะมาตัด รอยเท้า ที่ตัวเอง ย่ำมา ว่า ไม่สวย
    ไม่เอา มานับหนึ่งใหม่ ณ วันที่ มาอ่าน อานาปานสติ

    พวกลืมกำพืด บัวแล้งน้ำ ขาดโคลนตม ไม่มีเง้า ไม่มีใบ มันก็ แบบนี้ ทุกราย

    คือ อยู่ดีๆ ทิ้งกำพืดตน ทิ้งรอยตีนตน ยกเฉพาะ ส่วนที่ ฮานาก้า แล้วบอก
    ว่า ข้าบรรลุไวที่สุดในโลก ...........

    โดนมันหลอกแล้วหละคร้าบท่าน

    คนรู้จริง เวลาเขา ทวนไป เขาจะไม่ลืม บุญคุณของ ธรรมดำ เลย

    เพราะถ้า สมมติไม่มี ไม่มีทางมี วิมุตติ

    แต่นี้ ถุยทิ้ง เอาเท้าเขี่ยะทิ้งใน สมมติ ที่ตนเห็นว่า ไม่ใช่ แล้ว เลือกเฉพาะ ที่ใช่
    มา ปะหน้า ปะตา อันเนี่ยะ ชัดเลย

    โดนมันหลอก แล้วไม่ใช่ใครที่ไหนหลอก ความอยากบรรลุ ตัวเดิม ตั้งแต่วันแรก
    นั่นแหละ มันยัง ขยอก ขย้ำ อยู่เลย
     
  7. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    นี่วอน ทำให้ได้เสียก่อนเถอะแล้วค่อยมา เพ่งโทษติเตียนผู้อื่น อย่างมั่วๆ ไร้หลักฐาน เอาแต่คิดเองเออเอง เฮ่ออออ
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ตุ๊ด ตุ๊ด ตุ๊ด

    ต๊อด ต๊อด ต๊อด

    initial system please wait...............

    >>

    >> hello world

    >> Ub-Dul

    >> Yes sir !!

    >> Question !!

    >> Ok cigarat !!

    >> What is Dhamma-Ka-Teuk

    >> Dhamma-Ka-Teuk is who know every him or her footpath and
    can let every body keep step by step as him or her enven if white or dark with fully
    confident that going to the right point no poison any more if.....

    Yes exist " if "

    if him not gone before any body . Heeeeeeewwwwws !!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2014
  9. ปราบผี

    ปราบผี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +365
    ขออนุโมทนากับคุณซีฟอส ที่เผยแพร่ธรรมะ และประสบการณ์
    คุณเอาตัวรอดได้ระดับหนึ่งแล้วมาสอนคนอื่นนี่ประเสริฐสุดยอดแล้ว

    มีพระพุทธพจน์อีกประโยค ที่ว่า
    "สัพพะ ทานัง ธัมมะ ทานัง ชินาติ"
    การให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง ให้อะไรก็ไม่สู้ให้ธรรม!


    ความรู้นั้นแม้คุณรู้ไม่มาก รู้น้อยแค่ใบไม้เพียงกำมือเดียว ก็พ้นทุกข์ได้แล้ว ดีกว่าหลายคนที่รู้เยอะแต่ไม่พ้นทุกข์

    อุปมาเหมือนคนจมน้ำ ใครที่ตะกายตัวขึ้นเรือแล้วช่วยเหลืออื่นที่ยังจมน้ำอยู่ จะช่วยได้ดีกว่า คนที่จมน้ำ ช่วย คนจมน้ำด้วยกัน (นั่นหมายความว่า คนที่ช่วยต้องว่ายน้ำเก่งจริงๆ จึงพอช่วยได้ แต่ถ้าคนช่วยว่ายน้ำไม่แข็งจริง ก็พากันจมทั้งคู่)

    ส่วนเรื่องความรู้นั้น เมื่อบรรลุธรรมแล้ว พอหาความรู้เพิ่มเติม จากตำรา ย่อมเข้าใจได้ง่ายขึ้นกว่า ตอนที่ยังไม่บรรลุธรรม

    อุปมาเหมือนคนเรียน จบ ป.ตรี เกษตรกรรม แต่ไม่เคยทำนาปลูกพืช แม้จะจบ แต่ก็รู้แต่ทฤษฎี ต่างจากชาวสวนที่เคยทำนาปลูกพืช จนชำนาญ แล้วพอมาเรียน ทฤษฎีทีหลังก็จะไปได้เร็วกว่า เพราะมีประสบการณ์รองรับ

    ส่วนเรื่องที่ว่า
    จริงๆ แล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน บทพระธรรมคุณ ว่า "โอปะนะยิโก" แปลว่า ธรรมะเป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว แต่การที่เข้าใจว่าวิปัสสนาจะต้องความคิดพิจารณาไตรลักษณ์ตลอดเวลานั้นจะเป็นตัวขัดความธรรม เป็นการผลักธรรมออกจากตัว เพราะไม่ได้รู้สภาวะธรรมตามความเป็นจริง

    ส่วนเรื่อง "มานะ" หรือ ความถือตัว นั้น ยังไงก็ต้องมีอยู่แล้ว เพราะเป็นกิเลสละเอียดที่กว่าจะละได้ก็ต้องขั้นสุดท้ายโน่น เพียงแต่ปฏิบัติต่อมันโดยรู้เท่าทัน

    ดังนั้นถ้าจะเป็นผู้เผยแพร่ โดยสมบูรณ์แบบต้องเป็นพระอรหันต์ที่ ศึกษาตำรา รู้พระพุทธพจน์ อย่างกว้างขวางและเชี่ยวชาญ พระอรหันต์บางท่านสามารถสอนได้ จากประสบการณ์ของตน แต่ไม่กว้างขวางเท่าพระพุทธเจ้า พระอรหันต์บางท่านสอนไม่ได้ก็มี เพราะไม่ได้สร้างบารมีมาเพื่อเป็นผู้เผยแพร่ธรรม แต่พ้นเฉพาะตน หรือพระอรหันต์บางท่านอาจจะสอนได้บ้างเล็กน้อย สอนได้เฉพาะคนกลุ่มย่อยๆไม่กว้างขวาง ส่วนท่านที่สอนได้กว้างขวางนั้นเพราะมีความตั้งใจและศึกษามาก เนื่องจาก
    - อาจจะปรารถนาพุทธภูมิ (ปรารถนาจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต) แต่ล้มเลิกความตั้งใจ แต่บารมีที่สั่งสมมา ก็จะมาแสดงออกในชาติสุดท้าย
    - อาจจะตั้งใจเป็นสาวกภูมิที่มีความสามารถในการเผยแพร่ธรรม

    นอกจากนี้ คำศัพท์ที่ใช้นั้นสำคัญมาก ที่ลูกศิษย์หลายสำนักตีกันทะเลาะก็เพราะตีความถ้อยคำของอาจารย์แต่ละท่านแตกต่างกัน ดังนั้นหลักที่ใช้ตัดสินก็คือ พระพุทธพจน์จากพระไตรปิฎกนั่นเอง

    อย่างเช่น เรื่อง "จิตไม่เที่ยง" นั้น ลูกศิษย์แต่ละสำนักมักจะทะเลาะกัน เพราะบางสำนัก อาจารย์มีปรกติสอนเรื่อง "จิตเที่ยง จิตไม่มีตาย" ทำให้แย้ง ผู้ที่บอกว่า "จิตไม่เที่ยง" ว่าสอนผิดจาก ที่อาจารย์ของตนสอน

    จริงๆ ถ้าศึกษาคำสอนพระพุทธเจ้าให้ดีก็จะรู้ว่า พระพุทธเจ้าสอนว่า "จิตไม่เที่ยง" ส่วนอาจารย์ที่สอนเรื่อง "จิตเที่ยง" นั้น บางท่านก็ดีจริง แต่ท่านอาจจะพูดโดยโวหาร เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" (ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่มีตน) เป็นต้น แต่ลูกศิษย์บางคนที่ฟัง ก็ไปติดที่ถ้อยคำแล้วยึดมั่นว่า "จิตเที่ยง" จริงๆ ซึ่งไม่ถูกต้อง
     
  10. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ขอเป็นกำลังใจให้คุณ xeforce นะครับ

    ไม่ว่าคุณจะเป็นหรือไม่เป็นโสดาบัน นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ถ้าสิ่งใดที่คุณกล่าวมาสอดคล้องเข้ากันได้กับธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน ก็ถือว่าใช้ได้ครับ อย่าไปสนโมฆะบุรุษอย่างนิวรณ์เลย
    อย่างเรื่อง กินเหล้า นั้นผมเตือนเพราะพระพุทธเจ้า ท่านตรัสสอนเรื่องศีล ห้ามกินเหล้า ก็เลยถือตามพระพุทธพจน์เป็นหลักน่ะครับ

    ว่างๆก็มาโพสต์แบ่งปันประสบการณ์ได้ทุกเมื่อนะครับ ยินดีรับฟัง

    เรื่องพระโสดาบันนั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มีคุณค่ายิ่งกว่าการเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์เสียอีก เหตุผลโดยสรุปก็คือ พระเจ้าจักรพรรดิ์นั้น แม้จะครองทวีปทั้ง 4 ก็มีความสุขแค่ชั่วคราว ยังสามารถไป อบายภูมิได้อยู่ตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิด แต่พระโสดาบันนั้นปิดอบายได้อย่างสิ้นเชิง เพราะประกอบด้วยธรรม 4 อย่างคือ เลื่อมใส ในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มีศีลสมบูรณ์ และเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติก็นิพพาน

    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=19&A=8207&Z=8234
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 มกราคม 2014
  11. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    รับออกแบบสถานปฏิบัติธรรม ให้ฟรี นะครับ


    ออกแบบให้เป็นภาพ 3d นะครับ ใช้สำหรับวางเลยเอาท์ ภายในวัด
    จะเห็นภาพก่อนสร้างจริงครับ หรือ ใช้เป็นภาพสำหรับการ บอกบุญ

    ส่วนในแบบพิมพ์เขียว หากเป็นแบบไม่ซับซ้อนมาก ไม่เกินความสามารถ
    จะเขียนแบบให้ด้วยนะครับ

    หากไม่ไกลมากจะไปดูสถานที่และออกแบบให้ครับ แต่หากไกล สามารถ
    ส่งภาพสถานที่จริง พร้อมสำเนาโฉนด มาให้ออกแบบได้ครับ

    ไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้นครับ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พอทำให้พระพุทธศาสนาได้
    โครงการนี้ทำมาซักพักแล้ว แต่ มีเหตุขัดข้องบางประการเลยหยุดไปพักนึงครับ
    ตอนนี้พอมีเวลาว่างบ้าง ปัญหาคลี่คลายบ้างแล้ว เลยตั้งใจอยากทำอีกครับ


    ติดต่อตามนี้ครับ อีเมล์ yooyee_8@hotmail.com


    ลิงก์เก่า http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมสร้าง-ศาลาปฏิบัติธรรมภูเตศวร.324311/?langid=34
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 126-4.jpg
      126-4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      232.6 KB
      เปิดดู:
      152
    • 127-2.jpg
      127-2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      178.4 KB
      เปิดดู:
      108
  12. สุทัส

    สุทัส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +102
    พระพาหิยะ ท่านเป็นเอตทัคคะทางด้านตรัสรู้เฉียบพลัน พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเรื่องวิธีปฏิบัติต่ออารมณ์ทางอายตนะจบ ท่านก็บรรลุอรหันต์ผล ใครที่สนใจประวัติท่านก็ไปหาอ่านเพิ่มเติมได้ ซึ่งจะเพิ่มศรัทธา ความเชื่อให้ยิ่งๆขึ้น
    ส่วนใครบางคนที่คิดว่าตัวเองบรรลุ กลัวว่าถ้าบอกว่าตนทำมานานเท่าไรจึงสำเร็จ คนอื่นจะท้อถอย หงอยเหงาต่อการปฏิบัติ
    ถือเป็นการอวดดี และดูถูกกำลังใจผู้ปฏิบัติคนอื่นอย่างร้ายแรง

    หากคิดว่าโดนปรักปรำ หรือยัดเยียด ก็ให้อ่านข้อความที่ขีดเส้นใต้ด้านล่าง ก็จะรู้ว่า
    คุณได้ประกาศปาวๆว่าตัวเองเกิดมรรคผล
    ซึ่ง หากมองย้อนทวนกระแสพฤติกรรมการดูถูก อวดดี ไปจะพบว่า มีต้นเหตุมาจากการสำคัญตนผิด นั่นเอง
     
  13. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413

    เจตนาผม คือ "ประกาศเพื่อยืนยันว่าถ้าปฏิบัติตามมรรควิธีตรงๆของพระพุทธเจ้าแล้ว เกิดมรรคผลได้จริง แม้ในยุคเรานี้
    ที่ผู้ปฏิบัติทั้งหลายท้อใจในมรรคผล เห็นเป็นเรื่องยาก เลยไม่ปฏิบัติกัน เค้าจะพลาดจากมรรคผลที่ควรจะได้ เพราะท้อใจซะก่อน"

    เพราะไม่มีคนออกมายืนยันคำสอนให้พระพุทธองค์ ผมเลยเห็นแล้วว่าควร จึงทำ ความเป็นจริงที่ผมประกาศนี่เป็น
    เพียงการบรรลุโสดาบัน ซึ่งผมก็บอกย้ำในทุกที่ ทุกกระทู้ว่า ถ้าปฏิบัติจริง ถูกทาง มรรคผลเกิดแน่ .. แล้วชี้ทางที่ผมเอง
    ปฏิบัติมา ว่าเป็นอย่างไร ต้องทำอย่างไร แล้วอะไรสำคัญ... ไม่ได้มาประกาศว่า เพื่อหวัง ลาภยศ สรรเสริญอะไร
    ตัวผมท่าน หรือ คนในนี้คนอื่นๆก็ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็น ใช่ไหมครับ.... วิเคราะห์เจตนาผมดีๆนะครับ คุณสุทัส กล่าวว่า ผมมี
    "พฤติกรรมการดูถูก อวดดี" ก็ต้องดูว่ากริยาผมเคยไปดูถูกใครไหม? หรือไปอวดดีกับใครไหม? ที่เห็นในกระทู้ต่างๆ
    ที่เกิดความขัดแย้งกันนั้น ... เกิดจากอะไร "ใครเป็นคนโจทย์ใคร" ... เมื่อมีคนไม่เห็นด้วย ไม่เข้าใจผิดสิ่งที่ผมโพส
    ผมก็ชี้แจงไป ก็เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าอยู่ในวิสัยแนะนำกันได้ ผมก็ชี้แจงไป แค่นั้น คุณสุทัสไม่ต้องไปหากระทู้ไหนไกลเลย
    แค่หน้าแรกของบอร์ดนี้ ก็หาอ่านได้ ลองดูครับ...ส่วนเรื่องการบรรลุธรรมไม่ได้บอกเวลา เพราะเดี๋ยวก็จะเป็นประเด็นอีก
    ถ้าถามผมก็ตอบให้ว่า... 3 วันในการเจริญอานาปานสติ แต่ผมบอกไปจะมีประโยชน์อะไรครับ ... ถ้าผมบอกว่าปฏิบัติมาอย่างไร
    เอาอะไรมาปฏิบัติ วางจิตอย่างไร ให้คำสำคัญกับอะไร ...อย่างนี้จะเกิดประโยชน์กว่า.... ถ้าผมบอกการปฏิบัติของผมไป
    ถ้าผมบอกเงื่อนเวลาไปอีก ถ้ามีคนนำไปปฏิบัติ แล้ว ใน 3 วันแล้ว ยังไม่เห็นแจ้ง ก็พากันท้อไปได้อย่างที่เห็นผมเขียนไว้ใน
    กระทู้นั่นแหละครับ ผมถามว่ามีประโยชน์หรือโทษมากกว่ากัน อินทรีย์แต่ละคนยิ่งหย่อนกว่ากัน แต่ปฏิบัติอย่างนี้ผมก็กล้ายืนยัน
    ตามคำพระพุทธเจ้าว่า 7 วัน 7 เดือน 7 ปี ต้องบรรลุธรรมแน่ไม่ขั้นใดก็ขั้นหนึ่ง... แล้วอีกอย่าง ถ้าคุณสุทัสจะยก ต้องยกให้หมด
    หัวเรื่องต้นประโยคก็บอกอยู่แล้ว ว่า "แล้วเราจะบรรลุธรรมได้จริงหรือ ?" ที่ผมยกประสบการณ์ของตัวเองว่าไม่ได้เก่งกาจอะไร
    เป็นคนธรรมดา ที่ไม่ต้องมีอะไรเลยไปกว่าท่านๆทั้งหลาย แถมมาดังมิจฉาทิฐิอีกด้วย แต่มาเจอคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว
    น้อมนำไปปฏิบัติ ก็เกิดผลได้ ... ดูเจตนานะครับ ว่า ผมตั้งใจโอ้อวดหรือเปล่า.. และเหตุผลต่างๆผมอธิบายหมดแล้วอยู่ที่ว่าคุณมอง
    อย่างไร จะคิดอย่างไรก็เป็นสิทธ์ของคุณที่ทำได้ครับ ผมไม่ไปก้าวล่วง แค่ชี้แจงไปตามเหตุผลที่เห็นสมควร

    ...........................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2014
  14. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    คนที่เข้ามาอ่าน แล้วมาตอบกระทู้หนะ เข้าใจไม่ผิดหรอก
     
  15. สุทัส

    สุทัส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +102
    ถ้าเจตนาคุณคือออกมายืนยันคำสอนของพระพุทธองค์ ขอให้คุณลองทบทวนสักหน่อยนะครับ ตามบทธรรมคุณดังนี้
    สวากขาโต ภควตา ธัมโม ธรรมอันพระพุทธองค์ตรัสไว้ดีแล้ว พร้อมทั้งอรรถะและพยัญชนะ
    สันทิฏฐิโก หมายถึง ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง ผู้ใดปฏิบัติ ผู้ใดบรรลุ ผู้นั้นย่อมเห็นประจักษ์ด้วยตนเอง ไม่ต้องเชื่อตามคำบอกเล่าของผู้อื่น ผู้ใดไม่ปฏิบัติ ไม่บรรลุ ผู้อื่นจะบอกก็เห็นไม่ได้
    อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยการ
    เอหิปัสสิโก ควรเรียกให้มาดู
    โอปนยิโก ควรน้อมเข้ามา
    ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน
    ฉะนี่แล้ว จำเป็นอีกหรือไม่ที่ต้องมายืนยันธรรมของพระพุทธเจ้า ?
     
  16. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    อันนั้นก็ตอบไปแล้วอีกนั่นแหละครับ "โพสที่คุณอ้างอิงที่ขีดเส้นใต้ไงครับ" คำตอบอยู่ในนั่น
    รบกวนลองอ่านอีกทีครับ
     
  17. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ผมว่านะจริงไม่จริง ลองเอาไปปฏิบัติดู แล้วจะรู้ด้วยตัวเองว่าจริงหรือไม่จริงครับ

    ดีกว่ามาเถียงกัน เพียงเพราะคำพูดของคุณ xeforce ที่เพียงแค่ท้าทายให้ลองพิสูจน์คำสอนพระพุทธเจ้า แต่ไม่ถูกใจบางท่านเพราะคิดว่า xeforce อวดว่าตนได้มรรคผล

    ซึ่งผมเห็นว่าคุณ xeforce ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่เห็นผิดอะไร เพราะเขาไม่ได้มีเจตนาอวดแต่พูดไปตามที่เข้าใจและท้าทายให้มาลองดู (เอหิปัสสิโก)

    ในสมัยพุทธกาล ก็มีพระที่กล่าวคล้ายๆกับคุณ xeforce แต่เข้มข้นกว่าด้วยซ้ำ นั่นคือ พระปิณโฑลภารทวาชะ ท่านมัก ประกาศอย่างมั่นใจให้ใครต่อใครฟัง โดยปรกติของท่าน (หรือที่เรียกกันว่า บรรลือสีหนาท) ว่า "ผู้ใดสงสัยในมรรคในผลให้มาถามเรานี่"

    ทั้งๆที่บางครั้งก็อยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าด้วยซ้ำ แต่พระพุทธเจ้าก็มิทรงว่าอะไร ซ้ำยังแต่งตั้งให้ท่านปิณโฑละ ดำรงตำแหน่งเอตทัคคะด้านบรรลือสีหนาทด้วยซ้ำ

    แต่ทั้งนี้มิใช่ผมหมายความว่าจะแตะต้องอะไรคุณ xeforce ไม่ได้
    ถ้ามีข้อเขียนใดของคุณ xeforceที่ขัดแย้งกับพระธรรมวินัย เรามาช่วยกันชี้แนะจะเกิดประโยชน์กว่า แต่เท่าที่ดูก็ยังไม่เห็นว่ามีข้อบกพร่องตรงไหน
     
  18. สุทัส

    สุทัส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +102
    จำเป็นอีกหรือไม่ที่ต้องมายืนยันธรรมของพระพุทธเจ้า ?
    ตรงนี้ละครับคีย์เวิร์ด ที่ขีดเส้นนั้น เพื่อแสดงว่า ทำไมไม่มีใครออกมายืนยันคำสอนของท่าน(ตามที่คุณซีฟอสกล่าว)ไงล่ะครับ เพราะคำสอนของท่านบริบูรณ์ด้วยธรรมคุณทั้ง 6แล้วนั่นเอง
    ควรพิจารณาผลมันด้วยนะครับ ผมรู้อยู่แล้วครับว่า คุณมีเจตนาดีอยู่แล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2014
  19. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ในมุมมองของผมนะ ผมว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าจริงอยู่แล้ว. และผู้ยืนยันก็มีอยู่หลายท่าน (ซึ่งตรงนี้อาจเป็นความคลาดเคลื่อนในการสื่อสารของคุณ xeforceที่บอกว่าไม่มีผู้ยืนยัน)

    แต่ผมเห็นว่า แม้คำสอนของพระพุทธเจ้าจะดีอยู่แล้ว และมีผู้ยืนยันอยู่หลายท่านแล้ว
    การที่คุณ xeforce ออกมายืนยันเพิ่มอีกซักคนก็ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน น่าจะเป็นผลดีมากกว่าที่ว่ามีคนช่วยยืนยันเพิ่มขึ้น
     
  20. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ภูมิธรรมของพระโสดา-สกทา คือเห็นเกิดดับ จนรู้ว่า รูปนามไม่ใช่ของเราครับคุณฟางว่าน
    (ดังบทธรรมใน ธัมจักร ที่ท่านโกณฑัญญะบรรลุโสดาบันว่า ยังกิญจิ สมุทย ธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะ ธัมมันติ. สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับลงไปเป็นธรรมดา)

    แต่พระโสดาบัน พระสกทาคามี แม้รู้ว่ารูปนามไม่ใช่ของเรา แต่ยังผูกพันยึดติดอยู่
    ส่วนพระอรหันต์นั้น ละความยึดมั่นผูกผันในรูปนามได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 พฤษภาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...