////// โสดาบัน อย่างนี้ อย่างนี้ //////

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย xeforce, 16 มกราคม 2014.

  1. สุทัส

    สุทัส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +102
    ในเมื่อคุณซีฟอส ประกาศตัวว่าบรรลุโสดาบัน
    และจะทำหน้าที่ ยืนยันคำสอนของพระพุทธองค์

    ก็คงไม่มีอะไรจะกล่าวอีก ผมก็ไม่ได้เครียดอะไร
    แนะนำ ได้เท่าไรก็เท่านั้น
    ส่วนตัวไม่เชื่อว่าคุณบรรลุโสดาบันแล้ว
    แต่มั่นใจเพียงว่าทางปฎิบัติที่เป็นคำสอนของพระพุทธองค์ ถ้าปฎิบัติจริงก็จะรู้ได้ด้วยตัวเอง

    ตามที่คุณรณจักรกล่าว หากมีคำสอนใดที่ โสดาบันซีฟอส บิดเบือน จากหลักธรรมของพุทธองค์ ผมก็ยังยินดีที่จะชี้ข้อบกพร่องให้ ในโอกาสต่อไป ในฐานะกัลยาณมิตร .
     
  2. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    เท่าที่อ่าน ยังไม่เห็นคุณ xeforce ระบุชัดตรงๆ เลยว่าเขาบรรลุโสดาบัน หรือขั้นไหน
    แต่จากการที่ผมเองก็ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าจากพระไตรปิฎกมากในระดับนึงพอจะแยกแยะผิดถูกได้บ้าง ขอวิจารณ์ว่า เนื้อหาสาระหลัก ๆ สิ่งทีคุณซีฟอส โพสต์ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น ยังคงอยู่ในแนวทางพ้นทุกข์ที่พระพุทธเจ้าสอนครับ

    ส่วนเรื่องที่ว่าคุณ xeforce จะบรรลุธรรมจริงหรือไม่จริงนั้นผมว่าไม่ใช่สาระสำคัญ
    (อาจจะบรรลุจริง หรือเข้าใจผิดคิดว่าบรรลุก็แล้วแต่) สำคัญที่เนื้อหาสาระมากกว่าว่าสอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้าตามหลักตัดสินพระธรรมวินัยหรือเปล่า

    ถ้าสอดคล้อง และผู้อ่านได้รับประโยชน์จากสิ่งที่คุณ xeforce โพสต์มาผมว่าก็ ok แล้วครับ
     
  3. สุทัส

    สุทัส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +102
    กระทู้นี้คุณซีฟอสเขาประกาศอยู่ปาวๆ ชัดๆว่าบรรลุ อ่านดีๆก็จะเจอแหละครับ แต่ถ้าอ่านด้วย ใจไม่เป็นกลาง อันนี้ เจ๋งดี แจ๋วดี ... ตรงนี้อาจจะทำให้มองไม่เห็น ถ้าลำบากใจจริงๆผมค่อย เอามาแปะให้อ่านว่า เขาประกาศตนตรงไหน

    คนอื่นๆที่ถามเขาเกี่ยวกับสภาวะธรรม ก็เพราะมีความคิดคล้ายๆผมนี่แหละครับ
    เพราะสภาวะธรรม แค่เข้าใจปริยัติไม่อาจตอบได้หรอก
    แล้วลองสังเกตุสิ่งที่เขาตอบ
    หากเขาเข้าใจสภาวะธรรมคลาดเคลื่อน คนที่เข้ามาอ่าน หากเชื่อตามโสดาบันจีฟอส แล้วผลที่ตามมา ล่ะ น่าคิดนะครับ
     
  4. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    อย่างที่บอกไงครับ ผมเทียบบรรทัดฐานความถูกต้องจากคำสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก ซึ่งสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นคือผลจากการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าซึ่งใครก็ค้านไม่ได้

    จะอ้างว่า ศึกษาปริยัติแล้วไม่เข้าใจปฏิบัติก็ไม่ถูก เพราะปริยัตินั่นก็คือผลการปฏิบัติของพระพุทธเจ้า สภาวะที่พระพุทธเจ้าค้นพบก็เอามาบอกสอนตรงๆในพระไตรปิฎกให้สาวก ตรวจสอบได้ว่าสภาวะที่ตนเองพบเจอนั้นสอดคล้องถูกต้องตรงทางในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนหรือไม่

    ที่บอกว่า เจ๋งดีเพราะ คุณ xeforce อธิบายด้วยภาษาร่วมสมัยแต่ยังไม่ผิดแนวทางไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้าและเป็นประสบการณ์ที่อาจพบได้จริงในทางปฏิบัติ อันนี้พูดด้วยใจเป็นกลางครับ

    ส่วนที่ว่า คุณซีฟอสเขาจะอวดหรือไม่อวด หรือ บรรลุจริงหรือไม่จริง อันนี้ผมไม่รู้ เพราะผมเห็นว่าไม่สำคัญมากไปว่า สิ่งที่เขาโพสต์นั้นถูกต้องตามสภาวะธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนหรือไม่

    ผมอยากให้คุณสุทัสระบุไปเลยว่าจุดไหน ประเด็นไหนที่คุณสุทัส คิดว่า คุณซีฟอสโพสต์ ไม่ถูกต้องกับพระธรรมวินัย ช่วยยกมาแสดงด้วยครับ แต่ขอให้อ้างอิงจากสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนนะครับ ไม่ใช่อ้างอิงจากสภาวะที่คุณสุทัสคิดหรือเข้าใจส่วนตัวว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นหรืออย่างนี้

    ผมเชื่อว่า ถ้าคุณซีฟอสเขาเป็นของจริง สิ่งที่เขาโพสต์ย่อมทนต่อการตรวจสอบและพิสูจน์ความจริงเสมอ

    ดีกว่ามาบอกแค่ว่า " หากเขาเข้าใจสภาวะธรรมคลาดเคลื่อน คนที่เข้ามาอ่าน หากเชื่อตามโสดาบันจีฟอส แล้วผลที่ตามมา ล่ะ น่าคิดนะครับ"

    บอกให้ชัดตรงๆ ไปเลยว่า สภาวะธรรมที่คุณซีฟอสบอกมีประเด็นไหนคลาดเคลื่อน (โดยอิงจากคำสอนของพระพุทธเจ้า) บ้างเพื่อให้คุณซีฟอสได้มีโอกาสชี้แจงและทำให้ผู้อ่านได้ใช้วิจารณญาณในการตัดสินประเด็นดังกล่าวด้วย ไม่ใช่เหมาเข่งรวมว่าคลาดเคลื่อนไปเสียหมด หรือ อาจจะเคลื่อนบางจุดแต่ระบุไม่ได้

    ส่วนที่คุณซีฟอสจะประกาศประกาศว่า ได้มรรคผลขั้นนั้นขั้นนี้ ผมไม่แคร์เลยครับว่าจริงหรือไม่จริง เพราะพุทธเจ้าท่านตรัสสอนว่า ถ้ามีใครประกาศว่าได้บรรลุธรรมขั้นนั้นขั้นนี้
    อย่างพึ่งรีบเชื่อ อย่างพึ่งรีบโวยวายคัดค้าน ให้ตรวจสอบเทียบเคียงว่าดูว่าถูกต้องกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนหรือเปล่า

    ดังในฉวิโสธนสูตร
    http://www.84000.org/tipitaka/read/?14/166-177
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 พฤษภาคม 2014
  5. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ส่วนที่คุณซีฟอสบอกว่า ที่ประกาศนั้น เป็นขั้นโสดาบัน
    เพราะผมไม่ได้อ่านลงรายละเอียดตอนที่เขาคุยกับคุณ สุทัส ไงครับ
    เลยมองข้ามไปไม่ใช่เพราะ อคติ อะไรหรอก

    ถึงจะจริงไม่จริงผมก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว สนใจว่าสิ่งที่โพสต์ถูกหรือไม่ถูกมากกว่า
     
  6. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    xeforce ยังไม่เข้าใจเรื่องสักกายทิฏฐิ ที่แท้จริง

    การเห็นสักกายทิฏฐิ ที่แท้จริง ไม่ใช่เรื่องของการเกิดความคิดขึ้นมา ว่า สิ่งต่างๆ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เรา

    แต่เกิดจากการเจริญสติ จนเห็นด้วยสติ ว่า ผู้ใด เป็นผู้เข้าไปยึดถือสภาวะ และ ผู้เข้าไปยึดถือสภาวะ ไม่ได้เป็นสภาวะ
     
  7. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    แล้วคุณอินทบุตร ทราบได้ยังไงล่ะครับ ว่าคุณ xeforce เขาคิดเอา ไม่ได้เห็นเอา

    เท่าที่อ่านเขาก็ไม่ได้บอกว่าคิดนะ เขาก็บอกว่าเห็น
     
  8. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ส่วนคุณ xeforce เอาเขาก็บอกว่า ถ้าคิดยังไงก็ไม่ใช่วิปัสสนา ต้องเห็นความจริง
    ถึงได้ถามคุณ อินทบุตรไงครับว่า แล้วรู้ได้ไงว่าคุณ xeforce คิดเอาเอง

     
  9. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เห็นแต่สภาวะ ไม่เห็นผู้เข้าไปยึดถือสภาวะเป็นตัวตน

    คนแก่ๆ บางคน ไม่ต้องฝึกสติก็เห็นได้
    เขาก็เห็นของเขาอยู่ว่าร่างกายไม่เที่ยง อารมณ์ความคิดก็ไม่เที่ยง
    ถ้าไม่มีกระบวนการนี้ คนเราจะไม่มีวันเบื่ออะไรหรอกนะ
    ความเบื่อทางโลกๆ ทั้งหมด มันเกิดมาจากการเห็นความไม่เที่ยงพวกนี้เหมือนกันแหละนะ

    คนแก่ๆ ที่เบื่อเรื่องพวกนี้หมดแล้ว ไม่เห็นจะไปนิพพานกันได้ตรงไหนเลย

    สิ่งที่เรียกกันว่าความคิด หรือความเห็นนะ มันเกิดขึ้นได้จากทั้งการไปพยายามคิดสร้างมันใหม่ขึ้นมา หรือเพียงแค่จากการเห็นสิ่งต่างๆ มันก็เกืดความคิด ความเห็น ขึ้นมาได้

    ตากระทบรูป เกิดอาการความคิด ความรู้สึกขึ้นมาทันที โดยเราไม่ได้ตั้งใจคิดอะไร มันก็เกิดของมันแบบนั้น ตอนคุณรณจักรอ่านข้อความนี้ คุณรณจักรก็มีความคิดความเห็นขึ้นมาเอง ทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิด มันก็เกิดเป็นธรรมชาติ

    ไอ้ที่บอกว่าดูแล้วเห็นว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มันก็แค่ผลของกระบวนการนี้เท่านั้นเอง เกิดเป็นสัญญาความจำต้วหนึ่ง แต่ตัวผู้ที่เข้าไปรู้และยึดถือสัญญานี้ ยังไม่ทันเห็นเลย

    อาการที่แท้จริง ของผู้รู้ ที่เข้าไปยึดถือสภาวะ อันนี้ต่างหาก ที่จะทำให้เห็นว่า เราไม่ใช่สภาวะ สภาวะไม่ใช่เรา
    ของทุกอย่างมีอยู่ตามธรรมชาติของมัน แต่ของเหล่านั้น ไม่ใช่เรา

    ดังนั้น มันไม่สำคัญเลย ว่าสิ่งที่ถูกรู้ จะเป็นอะไร มันเป็นอะไรก็ได้ มันมีค่าเท่ากันหมดทุกอย่างแหละ หากเห็นตัวผู้ที่เข้าไปรู้หนะนะ

    แต่ถ้ายังไม่เห็นสิ่งที่เข้าไปยึดรู้ สิ่งที่ถูกรู้บางอย่างจะมีค่ามากกว่าสิ่งอื่นเสมอ ทำให้เกิดการ เสาะหา โหยหา ไขว่คว้าให้ได้มา

    หากยังไม่เห็นตัวผู้รู้ตรงนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับคนนั่งดูทีวี รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในทีวีไม่ใช่เรา แต่ยังไม่รู้ตัวว่า เราอยู่นอกทีวี ก็จะต้องดูทีวีต่อไปรื่อยๆ ไม่จบสิ้น
     
  10. สุทัส

    สุทัส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +102
    จะดูสภาวะอะไรที่เกิดนี่ ถ้าใจตั้งมั่นจริงๆจะเห็น
    สิ่งที่ถูกรู้
    ตัวดู
    และรู้ตัวดูอีกที
    ส่วนที่คุณจีฟอสเห็นเกิดดับ ก็เพราะไปเพ่งสิ่งที่ถูกรู้ พอมันดับไปๆ
    ช่วงมันดับสัญญาแทรกเข้าไป พอมากเข้าๆก็ไปเข้าใจว่านี่ละธรรม เห็นจริง ของจริง สำเร็จแล้ว
    หลวงตาท่านเทศน์ว่า" สัญญานั้นละเอียดกว่าสังขารมาก "
    ถ้ายังไม่เข้าใจตรงนี้ แล้วประกาศว่าบรรลุ ก็เป็นแค่บรรลุความจำ จินตมยปัญญาเท่านั้น
     
  11. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    อืม... เมื่อจิตเข้าไปเห็นสภาพ ของกฏไตรลักษณ์ ตัวใดตัวหนึ่ง คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน เห็นแค่มุมเดียวแล้วแต่ละคนสั่งสมอะไรมา บ้างเห็นสภาพทุกข์ บ้างเห็นความไม่เที่ยง
    บ้างเห็นความไม่มีตัวตน
    ... ผมเองก็เคยคิดอย่างนี้ครับ มันเกิดจากการอ่านและไตร่ตรองด้วยสมอง รวมๆกับการปฏิบัติที่เข้าไปผสมๆกัน แต่งเติมเป็นคำพูดออกมา
    ตรงนี้ก็คงได้แค่บอกกล่าวกันในส่วนของกัลยาณมิตรเท่านั้น
    ธรรมที่เห็นได้เฉพาะตน และควรชี้ให้ดูในตนนั้น มันตรง ชัด
     
  12. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
    แนวทางที่คุณอินทรบุตร ฝึกมา
    นั้นเป็นแนวของไตรลักษณ์
    ที่ชี้ให้เห็นอนัตตา ชัดกว่าอย่างอื่นครับ
    ซึ่งแนวทางนี้โดยส่วนมาก เป็นการฝึก
    ของพระอรหันต์ซะเป็นส่วนใหญ่
    เพราะว่า คนธรรมดาที่มีกำลังใจไม่แก่กล้าพอ
    จะไม่สามารถฝึกได้เลย เพราะเป็นการฝึกที่
    ยากมาก แต่ถ้าใครฝึกได้ อาจจะสามารถบรรลุ
    ธรรมครั้งเดียว จบกิจเลยก็มีครับ หลักในการฝึกก็คือ
    มองให้เห็นตัวตนก่อน แล้วฝึกละตัวตนนั้น
    ฝึกไปเรื่อยจนกว่าจะชิน หรือชำนาญ ข้อนี้คือหลักใหญ่

    แต่แนวทางอื่นที่คนทั่วๆ ไปฝึกอยู่นั้น จะเน้นไปที่
    สองอย่าง คือ ไม่เที่ยง หรือ เป็นทุกข์ ซึ่งเห็นเรื่องที่ฝึกได้ง่าย
    สามารถบรรลุธรรมได้ทุกคนเท่าเทียมกัน ฝึกง่าย ได้ใช้ระยะเวลานาน
    ต้องสะสมบารมีเป็นขั้นๆ ไป การบรรุธรรม ก็ต้องเป็น
    ขั้นเป็นตอน
    ส่วนมากจะต้องบรรลุโสดาบันก่อน แต่ถ้าใครแก่กล้า
    การบรรลุธรรม ก็อาจจะไปทีเดียวถึงอนาคาได้
    แต่สุดท้าย ในขั้นอรหันต์ ก็ต้องมาตัดตัวตนให้ได้อยู่ดี
    เน้นพิจารณาไปที่สิ่งทั้งปวงก็เป็นแค่สิ่งสมมุติ ทุกสิ่งไม่มีจริง

    เพราะฉะนั้น ความหวังดีของคุณอินทรบุตร ก็คือ
    ต้องการชี้ให้เห็นว่า ที่สุดของการพ้นทุกข์แล้ว
    ทุกคนต้องละตัวตนให้ได้ จะมามัวพิจารณา
    ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ อยู่ทำไม
    ควรจะไปพิจารณาที่อนัตตาเลยดีกว่า

    การสอนของเขา จึงเป็นขั้นที่สูงมาก
    มากจนบางครั้งพระเถระยังไม่อยากจะแนะนำใคร
    เพราะอาจไม่มีใครจะเข้าใจได้ แต่ก็ต้องทำ
    เพราะว่าวันหนี่งอาจจะมีคนที่มีวาสนา
    มาพบคำสอนเข้า ก็อาจบรรลุธรรมได้
    เพราะฉะนั้น อย่าได้ดูถูกพุทธภูมิ
    แต่ยังไม่ถึงเวลาของเค้า อาจจะเป็นเพราะ
    การลาพุทธภูมิยังไม่จริงจังพอ
    ยังไม่อาจตัดบางสิ่งบางอย่างได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 พฤษภาคม 2014
  13. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ปัญญาของพระโสดาบัน คือ ละความเห็นผิดในขันธ์ 5 ว่าเป็นตัวตน เป็นตัวเรา เป็นของเรา (ละสักกายทิฏฐิ) ได้เพราะเห็นแจ้งแล้วว่า สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมต้องดับลงเป็นธรรมดา

    ขันธ์ 5 นั้น คือทั้ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
    ไม่ว่า ว่าสัญญา หรือ สังขาร อะไรจะละเอียดกว่ากันนั้น ก็ตาม พระโสดาบันต่างก็รู้ว่า ทั้งหมดในขันธ์ 5 นั้น ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเราครับ ทีนี้เรื่องสัญญาเข้าแทรกอะไรนี่ มันก็ต้องแทรกเป็นธรรมดาครับ เพราะมันเป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ แต่พระโสดาจะรู้ว่า พอมีอะไรแทรกขึ้นมา สิ่งนั้นจะอยู่ชั่วคราวและก็หายไป และก็เกิดเพราะมีเหตุปัจจัยและบังคับไม่ได้

    เขียนมาทั้งหมดเพื่อบอกว่า สิ่งที่คุณสุทัสยกมายังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ
    ที่จะสรุปว่า การที่คุณ xeforce กล่าวนั้นผิดพระธรรมวินัยตรงไหน

    แค่ดูที่ว่าสัญญาแทรกก็สรุปว่าผิดงั้นหรือ?
    แสดงว่าถ้าบรรลุธรรม(ไม่ว่าขั้นไหนก็ตาม) แล้วสัญญา
    จะแทรกไม่ได้ใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าตามความคิดของคุณสุทัส ถ้าบรรลุธรรมแล้ว ขันธ์ที่เป็นสัญญาก็จะหายไป เหลือเพียง 4 ขันธ์
    เท่านั้นหรือ?

    แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่า อาการของจิตคุณ xeforce ที่เล่ามานั้น เข้าใจผิดเพราะสัญญาแทรกล่ะ ? คุณมีทิพยจักษุเห็นสภาพจิตของคุณ xeforce หรือจึงสรุปได้ว่า เขาเข้าใจผิด?

     
  14. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ส่วนที่คุณอินทบุตร ตอบก็เช่นกันครับ
    ผมอยากรู้ว่า เราจะสามารถแยกแยะได้ยังไงว่า

    สิ่งที่คุณ xeforce โพสต์มานั้นบ่งบอกได้ว่า
    1. เขารู้เห็นจริง
    2. เป็นแค่เขาคิดไปเองแต่เข้าใจผิดคิดว่า รู้เห็นจริงอย่างถูกต้องแล้ว

    คล้ายๆ กับคนแก่ 2 คนที่พูดเหมือนกันว่า เบื่อหน่ายใน รูปและนาม
    คนนึงสภาพจิตนั้นเบื่อเพราะโทสะเข้าแทรก กับอีกคนเบื่อเพราะ นิพพิทาญาณ
    คุณอินทบุตร รู้ได้ยังไงว่าคนไหนเบื่อเพราะอะไร ถ้าหากไม่ได้เห็นสภาพจิตของผู้กล่าว น่ะครับ?
     
  15. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014
    หากเป็นการเบื่อในนิพพิทาญาณนั้น
    จะเบื่อจนรู้สึกว่า ไม่อยากเกิดอีก


    แต่ถ้าหากเบื่อในรูปนาม หรือความทุกข์
    โดยไม่สำเร็จนิพพิทาญาน จะรู้สึกเหมือน
    คนที่กำลังอยากจะฆ่าตัวตาย แค่นึกอยากจะ
    ตายให้พ้นๆ ท่าเดียว


    เพราะฉะนั้น ความเบื่อ ต้องเกิดจาก
    การพิจารณาอยู่เนืองๆ ว่า
    รูปนาม เป็นทุกข์ หรือ เป็นอนิจจัง
    หรือ เป็นอนัตตา หรือ เป็นสองอย่างรวม
    หรือ เป็นทั้งสามอย่างเลยก็ได้
    หากไม่เกิดจากการพิจารณาไตรลักษณ์แล้ว
    จะไม่เรียกว่านิพพิทาญาณ
     
  16. Workgroup

    Workgroup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +1,946
    ความเป็น โสดาบัน ไม่มีใครประกาศตัวเองหลอกครับ ว่า ข้าพเจ้า เข้าใจธรรมแล้ว มีแต่ ประคองและสำรวม สติ ทำ อินทรีย์สังวร ให้บริบูรณ์ แค่นั้นเอง

    สาธุเจริญธรรม
     
  17. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ซึ่งการที่จะตัดสินว่าตัวคุณ xeforce เข้าใจถูกหรือผิด ในเรื่องที่เขาอ้างว่าได้บรรลุธรรมขั้นโสดาบันแล้ว

    จริงๆ ต้องดูที่สภาพจิตของคุณ xeforce ว่าละสังโยชน์ 3 ได้จริงหรือไม่?

    แต่ทีนี้ถ้าเราไม่รู้

    สิ่งที่ตัดสินได้คือ พระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ในพระไตรปิฎก เป็นเครื่องตรวจสอบ

    ซึ่งผมเห็นว่า แม้จิตผู้พูดอาจจะไม่ถึงขั้นจริง (อาจเป็นเพราะผู้พูดสำคัญผิดว่าถึงแล้ว หรือ อาจเป็นเพราะผู้พูดรู้แก่ใจว่ายังไม่ถึง) แต่ถ้าผู้พูดกล่าวได้ถูกตามสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนในพระไตรปิฎกผมว่าก็ไม่เสียหายนะครับ

    เช่นถ้าผมพูดว่า ถ้ารู้แจ้งในอริยสัจจ์ (ละอวิชชาได้เด็ดขาด) ก็ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก สมมุติเรียกบุคคลนั้นว่า พระอรหันต์

    ซึ่งที่กล่าวข้างต้นก็เป็นการกล่าวในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้
    แม้ว่า ในขณะที่ผมกำลังกล่าวนี้ ผมจะยังไม่ใช่พระอรหันต์ก็ตาม

    เพราะสิ่งที่ผมทำคือ การเผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้าในรูปแบบนึงจากหลายๆรูปแบบ ที่สามารถทำได้ เช่น พิมพ์พระไตรปิฎก แจกเป็นธรรมทาน หรือ ทำ website พระไตรปิฎก เป็นต้น

    สิ่งที่เราสามารถตัดสินได้จาก คำกล่าว ก็คือถูกตามพระพุทธพจน์หรือไม่

    เช่นถ้ามีใครกล่าวว่า " นิพพานเป็นสถานที่แห่งหนึ่งมีพระพุทธเจ้าอาศัยอยู่
    เราสามารถนั่งสมาธิ แล้วไปหาพระพุทธเจ้า เอาข้าวทิพย์ไปถวายพระพุทธเจ้าได้"

    หรือมีบางคนกล่าวว่า "พระพุทธเจ้าก็แค่บรรลุอ่ะนะ แต่ยังไม่รู้จักมาร ต้องเข้าไปในแดนนิพพาน เพื่อถามพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เสียก่อน"

    อันนี้แม้ไม่มี เจโตปริยญาณ หรือทิพยจักษุ ก็สามารถตัดสินได้ว่า เป็นคำสอนที่ผิด เป็นต้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 พฤษภาคม 2014
  18. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    มีข้อห้ามตรงไหนครับว่าห้ามประกาศ
    (ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ การที่คุณ xeforce บรรลุจริงหรือไม่จริง)

    ถ้าเป็นพระนั้น พระธรรมวินัยอนุญาตให้บอกแก่ ภิกษุหรือภิกษุณีได้ (แต่ต้องบรรลุจริง หรือเข้าใจผิดคิดว่าบรรลุ)

    แต่ถ้าพระบอกกับผู้ที่ไม่ใช่ภิกษุหรือภิกษุณีต้องอาบัติครับ
    (ถ้าบรรลุจริงแล้วบอก ก็อาบัติปาจิตตีย์)

    แต่ถ้ารู้แก่ใจว่ายังไม่บรรลุ แล้วบอกว่าบรรลุ อันนี้ปาราชิก หมดแม้ว่าจะบอกกับ ภิกษุ หรือ ภิกษุณี หรือ บอกใครก็ตาม

    ส่วนฆราวาส ไม่มีข้อบังคับว่าห้ามบอกหรือบอกไม่ได้

    การที่คิดว่าบรรลุโสดาบันแล้วจะต้องไม่บอกใครเป็นความเชื่อที่คิดเอาเองครับ



     
  19. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    เบื่อแบบไม่อยากเกิดอีก ก็เป็นการเบื่อแบบโทสะเข้าแทรกเหมือนกันครับคุณนิลกานต์ มีสาเหตุมาจาก "วิภาวตัณหา" หรือ ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น

    ส่วนเบื่อแบบนิพพิทานั้น เบื่อหน่ายเพราะเห็นแล้วว่าขันธ์ทุกขันธ์ป็นไตรลักษณ์ จึงเป็นความเบื่อหน่ายในขันธ์ อันจะนำไปสู่ความคลายกำหนัดในขันธ์ เพราะขันธ์ไม่สามารถเป็นที่พึ่งได้อย่างถาวร


     
  20. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ประเด็นนี้ คิดว่าคุณ jittinon ได้ตอบไว้ชัดเจนแล้วนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...