////// โสดาบัน อย่างนี้ อย่างนี้ //////

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย xeforce, 16 มกราคม 2014.

  1. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    เท่าที่อ่านดู เป็นแค่การสันนิษฐานของคุณจิตตินนเอาเองน่ะครับ
    ว่าน่าจะเกิดจากการอ่านไตร่ตรองด้วยสมองแล้วผสมกับการปฏิบัตินำ
    มาเขียนเป็นคำพูด

    ซึ่งแท้จริงแล้ว ก็ไม่สามารถสรุปได้ว่า
    1. บรรลุจริงแล้ว ไปค้นคว้าตำรามาเขียน
    หรือ
    2. เข้าใจผิดคิดว่าบรรลุ เพราะไตร่ตรองด้วยสมองแล้วคิดๆเอาเอง

    แต่ไม่ว่าจะแบบไหนก็ตาม ถ้าสิ่งที่เขาโพสต์ยังไม่ถึงขนาด ผิดเพี้ยนออกไปไกลสุดกู่เหมือนบางลัทธิ ผมว่าก็ไม่มีอะไรเสียหายนะครับ และที่อ่านดูก็ยังไม่เจอว่า มีจุดที่ผิดตรงไหนที่ขัดแย้งกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน

    แต่จริงๆ ก็อยากจะฟังคำตอบของเจ้าตัวเขาเหมือนกัน
     
  2. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    คุณ jittinon เขาเคยผ่านตรงนี้มาก่อนต่างหากครับ
     
  3. Workgroup

    Workgroup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +1,946
    ประกาศไป มีแต่จะเกิด กิเลส ตัณหา อุปาทาน เข้าไปยึด รูป นาม ไตรลักษณ์ นั้น ก็ จะไม่เกิดความละเอียด ของ สติ ตัว ปัญญาในการพิจารณา ก็จะไม่เกิด มีแต่ตัว สัญญา เกิดอย่างเดี่ยว

    สาธุเจริญธรรม
     
  4. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    ถ้าคุณ อินทรบตร กล่าวอย่างนี้ ก็เชื่อว่ายังไม่เกิด "ขณะบรรลุธรรม" ขึ้น ถ้าเกิดแล้วจะไม่สงสัยเลยที่ผมอธิบายไป..
    ขอกล่าวย้อนหลังไปก่อนหน้า จะปฏิบัติ "อานาปานสติ" ผมยังไม่ทราบถึง กฏไตรลักษณ์เลย ผมมีความรู้แต่เพียงว่า
    ให้เอาสติมารู้ที่ลมหายใจ และรู้ ว่าขั้นธ์5 มีอะไรบ้าง คืออะไร ซึ่งเป็นความรู้แค่เพียงได้ยินผ่านผมไม่ได้ใส่ใจมาก
    มีความรู้อยู่แค่นี้ครับ

    ผมจะลองพยายามอธิบายสภาวะให้อีกครั้งนะครับ
    ขณะที่เห็นแจ้ง ตรงนี้ไม่มีคำพูดนะครับ ไม่มีความคิด เป็นแค่ความรู้สึกอยู่ข้างใน ถึงสิ่งๆหนึ่ง กระทบกันโดยอยู่
    ไม่สามรถควบคุมได้ เป็นไปของมันเอง ไม่เห็นว่าเราอยู่ตรงไหน "ตรงนี้คือสภาวะนะครับ" ตอนนั้นขณะจิตเดียว
    จิตมันสรุปรวบยอดเองเลยว่า "ไม่มีเรา" จิตต่อมาถอยออกมา ผมเห็นสรรพสิ่งรอบๆตัว มองไปเห็นอาคารมันว่าง
    จากความเป็นตัวตนเช่นเดียวกับที่ผมเห็นขณะเห็นอยู่ภายใน มองไปที่หมาตัวหนึ่งที่มันเดินอยู่ไกล ก็เห็นถึง
    ความว่างจากตัวตน (ตรงนี้ไม่ใช่คิดนะครับ) มันเป็นความรู้สึกภายในอธิบายออกมาเป็นคำๆไม่ได้... เมื่อผมเห็น
    ภายนอกแล้วถึงสิ่งต่างๆแล้ว มันรู้สึกสลด สะอื้นออกมาสั่นๆอยู่ข้างในเหมือนจะร้องไห้ แต่ตอนนั้นไม่ร้องนะครับ
    แต่น้ำตาคลอๆ... แล้วมันมีความคิดว่าเมื่อก่อนทำไมเราโง่ไปยึดว่าเป็นตัวเรา (ตรงนี้เป็นการคิดหรือปัญญาอันนี้ผมไม่ทราบ)
    จากนั้นขณะที่เห็นแจ้งไปแล้วกลับสู่โลกปกติ... ซึ่งผมเชื่อว่าถ้าคนที่เห็นแจ้ง ต้องมีอาการและการเห็นคล้ายๆกันนี้

    สภาพของ "ไตรลักษณ์" ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายอาจได้เห็นอยู่ เพราะมันเป็นสภาวะที่เกิดตามธรรมชาติ เป็นธรรมดาอยู่แล้ว
    แต่ถ้าจิตไม่ตั้งมั่นพอที่จะฟันธงไปถึง ความเป็นไตรลักษณ์ ของรูปและนาม ก็ไม่อาจละสังโยชน์ ข้อ สักกายทิฐิได้ ไม่เข้าไป
    ถอดถึงอนุสัยที่เป็นรากลึกของจิต การที่คุณ อินทรบุตร บอกว่า สภาวะของขันธ์เกิด-ดับนี้เห็นได้ ตรงนี้จริงครับ แต่ด้วย
    ความที่จิตที่ไม่ตั้งมั่นพอ ยังทำเจตนาไปรู้"ตัวรู้" "ตัวยึด" "สิ่งที่ถูกยึด" หรืออะไรก็ตามแต่ เมื่อยิ่งเข้าไปดู จิตมันแส่ส่าย
    คุณอินทรบุตรอาจจะเถียงว่าตอนนั้น ตั้งมั่นดีแล้ว. ... เมื่อไรมีความพยายามเข้าไปเห็น ด้วยเจตนา จงใจเข้าไปดู จิตจะ
    ไม่ตั้งมั่นที่เป็นความตั้งมั่นจริงๆ พระพุทธองค์จึงตรัส "อานาปานสติ" โดยการให้มีเครื่องอยู่ของจิต คือลมหายใจ เป็นหลัก
    ให้เกาะ เป็นความแยบคายของพระพุทธองค์ ธรรมชาติของจิตที่บังคับไม่ได้ เมื่อเกิดความคิดปรุงแต่ง หรืออะไรๆขึ้น
    ระหว่างที่จิตเรารู้ลมหายใจ ด้วยความตั้งมั่นอยู่นั้น ถ้าเกิดสุขขึ้น จิต จิตที่ตั้งมั่นอยู่ที่ลมเห็นความแปรปวนไป ไม่เที่ยงของจิต
    (ตรงนี้เห็นความเป็นไม่เที่ยงแล้ว ไม่ใช่เอาคิดเข้าไปใส่แต่เป็นการเห็นสภาวะ) "แค่รู้" ว่าจิตมีสุข แต่ความรู้ว่าจิตมีสุขนั้น
    ไม่ไช่ "รู้แช่อยู่อย่างนั้น" เช่น สุขหนอๆ แต่ต้องกลับมาอยู่กับเครื่องอยู่ของจิต คือ ลมหายใจทำอย่างนี้ชื่อว่าเห็น
    "เวทนาในเวทนา"แล้ว ปฏิบัติตามคำของพระพุทธองค์แล้ว คือ

    เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า
    “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจเข้า”
    ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจออก”

    คำของพระพุทธองค์มีความหมายทุกคำ ข้ามไปไม่ได้แม้แต่คำเดียว ลองอ่านทำความเข้าใจให้ดีครับในอานาปาสติทุกลำดับ
    ระหว่างรู้ลมหายใจนั้น จิตพลิกไปมา เปลี่ยนแปลงไปทุกอาการ ทั้ง กาย เวทนา จิต ธรรม ฉะนั้นเจริญอานาปาสติจึงเป็น
    การเจริญ สติปัฏฐานทั้ง4มีทุกอาการขึ้นอยู่กับว่าจิตขณะนั้นตั้งมั่นที่ลมหายใจแล้วไปเห็นสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้นในจิตหรือเปล่า
    เช่น สุข ปิติ จิตสังขาร ฯลฯส่วนเห็นถึงความไม่เที่ยง ถ้าระหว่างรู้ลมหายใจ จิตรู้ว่าเราเข้าไปเห็นถึงความเที่ยง ตรงนี้เป็น
    "หมวดธรรม".... แต่ถึงไม่กำหนดรู้ แต่จิตที่เห็น สุขเกิดขึ้น สุขหายไป (ไม่ใช่คิดแต่เป็นการเห็นสภาวะ) ตรงนี้เท่ากับเห็น
    ความเกิด-ดับแล้ว แต่ไม่ได้กำหนดรู้ที่ความไม่เที่ยงแต่ไปรู้ถึง "เวทนา".... ตรงนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละคนจะเห็นเห็นอะไรแม้ใน
    สภาวะเดียวกัน ...อานาปาสติจึงต้องยึดที่คำพระพุทธเจ้า ไม่งั้นจะผิดไปหมด แต่ถึงแม้ได้อ่านพระสูตรแล้ว ก็ยังตีความเข้าใจ
    กันไปคนละแบบ ตรงบ้างไม่ตรงบ้างต่างกันไป แต่ถ้าไปแปลความหมายในสิ่งที่พระพุทธองค์ผิดนิดเดียว การปฏิบัติมัน
    ไปอีกอย่างเลย ข้อนี้ต้องระวัง

    การเห็นสภาวะข้างต้นอยู่ซ้ำๆ ต้องเน้นอีกครั้งนะครับว่า "เห็น" จนจิตฟันธงลงไปนั่นแหละครับ จะเรียกปิ๊ง เรียกโผล่ง
    หรืออะไรก็ตาม ก็เป็นเพียงภาษาที่ใช้ถ่ายทอดแสดงให้เห็นเท่านั้น แต่สภาวะเหล่านี้ถ้าเคยเกิดขึ้นกับตนเอง มาอ่านสภาวะ
    "ในขณะที่เห็นแจ้ง" ที่ผมอธิบายไว้ น้อมระลึกถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในตนได้ จะไม่สงสัยผมเลย เหมือนเราปฏิบัติอะไรมา
    เห็นอะไรมา แล้วมาอ่านคำพระพุทธเจ้าบ้าง คำครูบาอาจารย์บ้าง แล้วใจมันบอก "อืมใช่" เพราะสภาวะที่กล่าวมามันตรง
    กับที่เราปฏิบัติมา
    .... ส่วนจะเชื่อผมไหมก็เป็นเรื่องของแต่ละท่าน ผมก็แค่บอกสิ่งที่ผมปฏิบัติมา ให้เห็นแนวทาง ผมไม่ได้เก่งปริยัติ ซึ่งเขียน
    อธิบายแค่เท่าที่จะทำได้ และทุกกระทู้หลังๆมานี้ผมก็อธิบายว่าต้องทำอย่างไรให้จิตตั้งมั่น เป็นกลาง จะได้เห็นแจ้งสภาวะนี้
    ทุกกระทู้เหมือนกันหมดแต่เปลี่ยนแง่นั้น แง่นี้.. จุดประสงค์ผมเพียงจะทำให้คนอ่านเกิดศรัทธาในพระพุทธองค์
    แล้วนำคำสอนของพระองค์ไปปฏิบัติกัน ชี้ไปให้ พวกท่านให้ความสำคัญกับคำสอนใด
    อย่าง อานาปาสติ มรรคมีองค์8 ฯลฯ และข้อที่คนในยุคเราเข้าใจผิดกันเรื่องวิปัสนา หรือ อื่นๆ กลับมาให้ถูก วางจิตให้ถูก
    แล้วกลับไปที่คำสอนของพระพุทธองค์
    ... ผมไม่ได้หวังว่าคุณ อินทรบุตร หรือใครๆมาเชื่อสิ่งที่ผมกล่าว แต่ถ้ามันได้" สะกิดให้คุณไปสังเกตุว่าทำไมผมกล่าวอย่างนั้น "
    นั่นผมว่าเกิดประโยชน์แล้วครับ


    ........................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2014
  5. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ก็เข้าใจได้เหมือนกันครับ อย่างที่เคยคุยกัน คงต้องให้ทุกข์กระหน่ำเข้ามาอีกครั้งครับสิ่งที่ปรากฏมาดังที่กล่าวด้านบนมันก็แค่นั้น มันหด

    ผมเองอธิบายไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่พอจะเข้าใจว่าก่อนจะเกิดอาการเห็นอย่างนั้น ย่อมต้องอาศัยพื้นฐานการปฏิบัติ ศีล สมาธิมาจนพอเหมาะพอดี พอรวมลงขณะนั้น วับ มันจบครับ แต่ที่ออกมาแจ้วๆๆ นี่สิ ตรงนี้ที่ต้องเห็นมันบ่อยๆ
    ทุกข์มันไม่หายไปไหน
     
  6. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ไม่มีอะไรมาสรุป ภาวะใดๆมีปรากฏมันก็ดับปรากฏ เท่านั้นครับ
    ตรงนี้เองที่พอจะทำให้เห็นรอยจางๆของการปฏิบัติได้
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    เชยระเบิดระเบ้อ

    อนึ่ง เพื่อนๆ ในนี้พึงทราบก่อนว่า ธรรมะของ เจ้าของกระทู้ มีการ ดรฟธรรมะ นอกรอบ

    คือ เขาไปโพสในพันติ๊ป แล้ว โดนไล่กระทืบ .....โดยใคร ไม่ต้องไปรู้ให้มันยุ่งยาก
    เอาง่ายๆ เท่าที่เห็นได้ก็ได้

    แต่ โพสสุดท้าย ที่ คว่ำไม่เป็นท่า คือ โดนแย๊บเรื่อง " ไตรลักษณ์ญาณ หายจ้อย "

    อานาปานสติกรรมฐานของเขา ปราศจาก ไตรลักษณ์ญาณ ทั้งหมด ผมก็เลยเข้าไปแย๊บ
    ว่า ขี้โม้ มั่วนิ่ม

    ทำให้ โพสนี้ พี่แกก็ทำตามคาด คือ เอาไป ผสมใหม่ เอาไตรลักษณ์มาเป็น ตัวชูโรง
    มากขึ้น

    แต่ ยังเชยระเบิด ระเบ้ออยู่ดี

    โพสนี้แกเปลี่ยนจากคำว่า " ประครอง " (ซึ่งเป็น ตัวชี้ว่า ไตรลักษณ์ญาณ หายจ้อย )
    เป็นคำว่า " ต้องกลับมาที่การรู้ลมหายใจ "

    ทำไมต้องกลับหละคร้าบ ท่าน จะโง่บานลายไปถึงไหน ไม่ทราบ

    ไตรลักษณ์ญาณหากมันสัมปยุตกับการระลึก จะสภาวะ ฮา อะไร มันปล่อย
    ของมันอยู่แล้วโดยไม่ต้อง เจตนา ประครอง หรือ ต้องกลับ ต้องดึง

    พอเห็นไตรลักษณ์ญาณทำหน้าที่ มันจะ ละตัวมันเองด้วย ดังนั้น กรรมฐาน
    หรือ มรรคมันจะดับ หายจ้อยไปด้วย ทำไมเป็นแบบนั้น มันจะเกิดการเข้า
    ไปเพ่งว่า ทำไม มรรคมันดับหละหว่า เห็น มรรคดับเนืองๆ ก็จะ ปัดติโถ

    " ก็กูเสือกคิดไม่เลิก " เป็นคำตอบ ......เห็นแบบนี้ ยกเข้าการเห็น จิตสังขาร
    เห็นอาการของจิต แล้ว ภาวนา นับหนึ่ง

    เน้นนะว่า นับหนึ่ง ยังไม่ได้สักเสี้ยว ของ อุทัพยญาณ อะไรเลย ยังต้องภาวนาต่อ
    กันอีกเยอะ

    เนื่องจาก มันเป็นช่วงเข้า อุทัพยญาณ เขาจะเรียกอีกชื่อว่า ตรุณวิปัสสนาญาณ
    อะไรนี่แหละ ทั้งนี้ ท่านกำหนดชื่อขึ้นมาเพื่อเตือนว่า วิปัสสนูกิเลส จะมา จุ๊กกรู๊ !!
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    " จุดประสงค์ผมเพียงจะทำให้คนอ่านเกิดศรัทธาในพระพุทธองค์
    แล้วนำคำสอนของพระองค์ไปปฏิบัติกัน ชี้ไปให้ พวกท่านให้
    ความสำคัญกับคำสอนใด "

    อันนี้ ก็จัดว่า เชยระเบิดระเบ้อ

    มันเป็นตัว ไก่โต้งยอโย่ง ที่ปล่อยออกมา บ่อย และ เป็นหลัก

    คือ ไปเข้าใจว่า " เจตนา " หรือ " การอาศัยคิด " จะเป็น ตัวปัจจัยให้เกิด ศรัทธา

    และ ยังหวังว่า พวกเราจะหน้ามืด เห็นว่า เขาเจตนาก่อกรรมดี ก็จะไม่ขัด

    ธรรมะ นั้น หาได้ต้องอาศัย " กรรม " มาเป็นตัว นำพาให้ศรัทธาเจริญไม่

    การพ้นกรรม พ้นเจตนา ต่างหาก ที่จะทำให้ ศรัทธาที่ใช้พอกพูล

    แต่............

    การชี้ให้เห็นการพ้นกรรม การพ้นเจตนา คนภาวนาเป็นเท่านั้น ที่ กล่าวได้

    คนภาวนาไม่เป็น ขี้โม้ มั่วนิ่ม มันจะ เอา เจตนามาสร้างสรร ภาษาพระ ท่าน
    ว่า เขียนด้วยมือ แต่ลบด้วย"วัยสิบ"


    ถ้าใคร งง

    ก็ไม่ยาก พระพุทธองค์บอกว่า คำสอนของพระพุทธองค์ มีแต่ การชี้ทุกข์ ว่าด้วยสุญญตา
    กล่าวแต่โลกุตรธรรม เท่านั้น

    ส่วน " ศรัทธา " เอะอะ ศรัทธา อันนี้ หากไม่เป็น เฮววี้เมททัล โป่งแป่ง ก็มาแนว ศาสดาอื่นที่
    บาทโซปหลอกแดกมนุษย์ ขายศพ ขายโรง ขายกางเขน เป็นเครื่องทำเงิน เข้าอาราม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2014
  9. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    จำประโยคนี้ได้ขึ้นมาทันที ต้องกลับมาที่การรู้ลมหายใจ
    เคยใช้บ่อยๆ พอลองน้อมไปดูตอนนั้น มันหาคำตอบให้ตัวไม่ได้
    จะไปไหน ยังไง เจอแต่ไม่รู้ มันดับแล้วไงต่อ
    มันเลยไปจับเอา ก็ต้องมาที่ฐานสิ ตรงนี้ล่ะการจูงใจจากตัว ให้ทำงานไปเรื่อยๆ
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    เนาะ

    ยังไงมันก็คิด ไปห้ามมันไม่ได้ ใครฟังแล้ว ทะลึ่งคิดที่จะหยุดคิดเป็นคำตอบ
    ก็ลูบคลำไปเรื่อย เพราะ อเนญชา ก็คือ คิดนั่นแหละ สังขารนั่นแหละ

    ดังนั้น

    หากฟังธรรมบ่อยๆ แล้ว ภาวนาไปเรื่อย ก็จะอ๋อ เขาให้เห็นไปตามความเป็นจริง
    ไม่ต้องไป คิด แก้กรรมฐานอะไรอีก

    หลวงปู่ดูลยเลยกล่าว โศลกธรรมอมตะ บ่อยๆ เรื่อง " คิด กับ หยุดคิด แต่ก็อาศัยคิด "

    จริงๆ เคยเห็นในพระสูตรนะ แต่ ไม่ได้จำชื่อพระสูตร ......ปล่อยไปเป็นเรื่อง ยิงสามประตู ละกัน
     
  11. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    เท่าที่อ่านดู ส่วนใหญ่ที่โจมตีคุณ xeforce ก็มีแต่คิดเอาเองเหมือนกันว่า

    "เขาหลงติดในความจำจากการอ่าน"

    โดยที่
    1.ปราศจากหลักฐานอ้างอิงจากคำสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก
    2. ปราศจาก ญาณทัศนะ อันเกิดจาก เจโตปริยญาณ หรือ ทิพยจักษุ ไปรู้เห็นจิตคุณ xeforce ว่าจริงๆแล้วเป็นเช่นไร

    หรือจะมีใครที่เห็นต่างจากคุณ xeforce โดยที่ตนเองมีเจโตฯ มีทิพยจักษุ และได้บรรลุธรรมตั้งแต่ โสดาฯ ขึ้นไปบ้าง! ! !

    ถ้ามีนั่นแหละจึงตัดสินได้ว่า คุณ xeforce จริงหรือไม่จริง
    แต่ถ้าไม่มี ก็แสดงว่า ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับคุณ xeforce ก็ "คิดเอาเอง" ว่าคุณ xeforce น่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนที่ไปว่าเขาเหมือนกัน

    แต่สำหรับผมนั้น ผมถือเอาว่า คุณ xeforce ยังโพสต์ตามหลักที่พระพุทธเจ้าสอนอยู่ ไม่ได้ผิดอะไรครับ
     
  12. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413


    ลุงเชยนี่ล่ะก็... ผมถามย้อนไปในพันทิปก็ทำบ่ายเบี่ยงไม่ตอบยังมาในต่อในนี้ งั้นขออนุญาติโพสกระทู้ละกันนะครับ
    ตามที่โพสใน Pantip กระทู้ "เจริญอานาปานสติแล้วจะมีผลอย่างไร" คห.ที่13 แตกออก 18 ความเห็นลุงเชย
    ไม่เห็นตอบต่อเลยล่ะครับ จะไม่แก้ความเห็นผิดหน่อยหรือครับคุณ 563 หรือลุงเชย หรือคุณนิวรณ์ ในคห.13.4


    อ้างอิงสิ่งที่คุณ นิวรณ์หรือ 563โพส
    ตายๆ โสดาบัน ลองเห็น สักกายทิฏฐิ ด้วยมุมมองโง่ๆ แบบนี้ มีหวัง กำมะละกอ ไม่เลิก

    อานาปานสติ เป็น กรรมฐานที่ไม่มี ทิฏฐิ หรือ ตัวความคิดแทรก ในกรรมฐานเด็ดขาด 1000%
    หากมี ความคิดแทรก นั่นไม่ใช่ อานาปานสติ กรรมฐาน 1000%


    ทำไมถึงกล่าวว่า ไม่มีความคิดแทรก คนภาวนาเป็น จะทราบ

    ส่วนอานาปานสติ หรือ อะไรก็ตาม ที่ทำแล้ว สลับไปเห็น จิตไหลไปคิด อันนั้น จัดเป็นการประยุกต์
    ของกรรมฐาน
    ไม่ใช่เรื่อง กรรมฐานตัวนั้นๆ แต่อย่างใด ( ถ้าเป็น สายพระป่า จะปฏิเสธ การทำแบบ
    นี้ด้วยซ้ำ ท่านจะเน้น ตัวกรรมฐานหลักให้แน่นก่อน จึงจะมา ดูคิด หรือ ใช้คิด )

    สักกายทิฏฐิ ของอานาปาสติิ จะอยู่ที่ ตราบใด จิตยังเห้น ลมมีความแตกต่าง สั้น ยาว เข้า ออก
    นั่นแหละ วิตก ซึ่งก็คือ ตัวความคิด
    มันกัดกบาล

    การบอกว่าให้ ประครองรู้ลมด้วยสัญญาแตกต่างทั้ง6อาการ จึงจัดเป็นเรื่อง โง่ บาทอ่อน 1000%

    .................................................

    ผมเลยถามกลับ

    ไหนๆคุณ 563(นิวรณ์) ก็ให้ความเห็นต่อลงมาแล้ว งั้นขอถามกลับบ้างนะครับ

    1.ที่กล่าวว่า "อานาปานสติ เป็น กรรมฐานที่ไม่มี ทิฏฐิ หรือ ตัวความคิดแทรก" ตรงนี้ใช่หรือครับ
    ช่วยอธิบายด้วยครับ จิตเป็นสิ่งที่บังคับได้หรือครับ ที่จะไม่ให้เกิดความคิด

    2.ถ้าคุณ 563 บอกว่า "อานาปานสติ ทำแล้วจิตสลับไปเห็นจิตที่ไหลไปคิด อันนั้นเป็นการประยุกต์กรรมฐาน"
    ตรงนี้ที่กล่าวว่าประยุกต์ งั้นลองบอก "อานาปานสติที่ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าต้องเป็นอย่างไร"

    3."สักกายทิฏฐิ ของอานาปาสติ" อันนี้มันคืออะไรครับ

    4.ความประสงค์ของพระพุทธเจ้า ที่ให้เจริญ"อานาปานสติ" เพื่ออะไรครับ... และให้รู้ที่ลมหายใจสั้น-ยาว
    เพราะอะไร เพื่ออะไรครับ


    .................................................


    งั้นถือโอกาสให้คุณได้ตอบในนี้เลย นะครับ จะได้แก้ความเห็นผิดที่คุณได้แสดงไว้ด้วย
    ยังไงก็ตอบนะครับ คำถามก็มีจะถามอีก อยากทราบเหมือนกันว่าคุณนิวรณ์ เข้าใจ "อานาปานสติ" ตามคำสอน
    ของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร ย้ำนะครับตามคำของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ความเห็นผิดๆของตนนะครับ..ลุงเชย

    ...........................
     
  13. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    งั้นผมโพสขึ้นกระทู้ที่นี่อีกที่นะครับ
     
  14. Ndantchor

    Ndantchor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    276
    ค่าพลัง:
    +1,124
    เข้ามาคาระแวะ 00 :p
     
  15. สุทัส

    สุทัส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +102
    ถามกลับแบบนี้แสดงว่า ไม่เข้าใจอานาปานสติของพระพุทธเจ้าเลย
    อานาปานสติ แท้ๆ ที่จะเห็นไตรลักษณ์นี่ จะต้องเป็นปรมัตถ์ล้วนๆ
    ส่วนจิตที่ตกไปจากการรู้ ปรมัตถ์ คือไปคิด(คิดออกนอก ทั้งคิดเข้าใน คิดพุทธโธ อนิจจัง คือสังขารทุกอย่าง) พอรู้ปั๊บ ว่าดับแล้ว
    มันก็วกเข้ามา ที่ผัสสะคือลมที่เป็นอารมณ์ปรมัตถ์ ตรงนี้แหละคือที่เรียกว่าประยุกต์ ส่วนอานาปานสติของพระพุทธเจ้าจริงๆ คือตรงรู้ปรมัตถ์ในลม
    ส่วนจะละสักกายทิฎฐิ ก็ต้องรู้ว่าเราเอาสังขารไปกำหนดก่อน เช่นลมสั้น ยาว วิธีคือเพิกสมมติ วิตก วิจาร ไปรู้ความรู้สึก ปรมัตถ์แทน
    ความประสงค์ของพระพุทธเจ้าคืออะไร ทำไมให้รู้ลมสั้นยาว ก็เพราะถ้าสอนให้รู้ปรมัตถ์ โดยไม่รู้สมมติจะสอนยังไงล่ะครับ ดังนี้สมมติ นั้นจำเป็นในขั้นต้น เพื่อให้เข้าถึงปรมัตถ์ ที่ท่านห้รู้ลมสั้น ยาว สมัยนี้ก็ หนอ... พุทโธ ก็ตรงนี้ทั้งนั้น เพื่อเป็นไปในการรู้ปรมัตถ์ และเห็นไตรลักษณ์
    ส่วนอานาปานสติที่ ผิดจากนี้ก็ตกไปจากสมาธิพระพุทธเจ้า แต่ไม่ใช่ว่าไม่สามารถกลับมาทำตามพระพุทธเจ้าได้ มันประยุกต์ได้ ถ้าไม่มัวไปหลงอย่างอื่นเสียก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2014
  16. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413

    ดูดีๆนะครับว่าผมถามกลับเพื่อจุดประสงค์อะไร....กระทู้ที่ตั้งใหม่อธิบายไว้หมดแล้วลองอ่านดูครับ
     
  17. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ยังเข้าใจผิด สำคัญตัวผิด และยังห่างไกลอยู่
    แต่ผมคงไม่พูดอะไรต่อ เพราะนิสัยเขาเป็นแบบนี้มานานแล้ว
    เปลี่ยน username กี่รอบ ก็มามุขเดิมๆ ตลอด
     
  18. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    คือ ความทุกข์เข้ามาใช่ว่าพระโสดาบันจะไม่ร้องไห้นะครับ

    บางท่านที่อินทรีย์อ่อน ร้องไห้เสียใจก็มี เช่น นางวิสาขา ร้องไห้เพราะหลานตาย และไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เป็นต้น


     
  19. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    จริงๆทุกครั้งที่ กลับเข้าสู่งานภาวนา ก็ด้วยกระทบกับทุกข์เข้าจังๆ
    จะด้วยเหตุอย่างไรก็ตาม พอเห็นทุกข์ได้ จะสำรวม ระวัง ขึ้น
    เรียกว่ามีสติตั้งขึ้นได้อีก ก็ภาวนาต่อ
     
  20. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154
    ภาวนา----กระทบทุกข์----ภาวนา-----กระทบทุกข์-----ภาวนา---กระทบทุกข์-----------ภาวนา.............

    ดูเหมือนว่าจะเป็นวงจรไม่สิ้นสุด

    ทำอย่างไร ถึงจะหลุดจากวงจรที่ว่านี้ได้?
     

แชร์หน้านี้

Loading...