โอวาทวันเกิด โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย อุทยัพ, 21 สิงหาคม 2015.

  1. อุทยัพ

    อุทยัพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,564
    ค่าพลัง:
    +18,112
    โอวาทวันเกิดหลวงพ่อ ตุลาคม ๒๕๒๘

    (คัดลอกจากหนังสือ สังโยชน์ ๑๐ โดยพระราชพรหมยาน ฉบับพิมพ์เป็นที่ระลึกเนื่องในวันทำบุญวันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร วันจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
    ๔ ตุลาคม ๒๕๓๕))


    วันนี้ถือว่าเป็นวันทำบุญวันเกิด แต่ความจริงฉันก็เกิดไม่ซ้ำกันหรอก ปีไหนฤกษ์ดีเมื่อไรห่ก็เกิดเมื่อนั้นแหละ ไอ้ผีตัวนี้มันเลือกที่เกิดได้ รวมความว่าขอขอบคุณหลวงน้า (หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทร์) และ ภิกษุสามเณรและก็บรรดาลูกหลานทุกคน ที่มีความปรานีมาสงเคราะห์ด้วยการทำบุญวันเกิด วันนี้รู้สึกว่าคับคั่งมากและทุกปีก็มีสภาพเหมือนกัน เพราะว่าคนเข้าข้างในแล้วห้ามออกข้างนอก อยู่ข้องนอกก็ห้ามเข้าข้างใน อันนี้ก็ถือว่าเป็นความดีของทุกคนที่มีความหวังดี ฉันเองก็คาดไม่ถึง
    แต่ว่าถ้าพูดกันตามความเป็นจริงแล้วคณะของเราส่วนใหญ่ถ้าเป็นคณะจริงๆ นี่เป็น ปรมัตถบารมี เราจะเห็นได้ว่าการบำเพ็ญกุศลแต่ละวาระที่นี่ก็ดี ที่วัดท่าซุงก็ดี หรือไปที่อื่นก็ดี ถ้าไปทำบุญร่วมกันก็ไม่ต้องประกาศเรียกว่าจงมาทำบุญ ทุกคนไปถึงต่างคนก็ต่างทำด้วยความตั้งใจจริง ถ้าจะกล่าวโดยศรัทธา อย่างนี้เรียกว่า อสังสาธิกศรัทธา เพราะว่าศรัทธา มี ๒ อย่าง คือ สังสาธิกศรัทธา อย่างหนึ่งกับ อสังสาธิกศรัทธา อย่างหนึ่ง
    สังสาธิกศรัทธา ต้องชักชวน ต้องแนะนำ ต้องเรียกจึงจะทำ ดีไม่ดีเรียกแล้วเรียกอีก นั่งบิดไปบิดมายังไม่ค่อยจะทำเลย
    อสังสาธิกศรัทธา ไม่ต้องเรียก ทำกันด้วยความเต็มใจและว่องไว
    ศรัทธาทั้ง ๒ ประการนี้บ่งชัดถึงบารมีของบุคคลว่าบุคคลใดถ้าบารมีไม่ถึงปรมัตถบารี ก็มีศรัทธาเป็น สังสาธิกศรัทธา คือ ทำบุญทำทานยาก ถึงแม้จะทำก็ทำด้วยความเนือยๆไม่กระฉับกระเฉง และผู้ที่มีบารมีเต็มเป็นปรมัตถบารมีเรียกว่า อสังสาธิกศรัทธา เช่นคณะของเราทั้งหมดที่ปรากฏมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งปัจจุบันนี้ จะเห็นได้ว่าเป็นศรัทธาที่เป็น อสังสาธิกศรัทธา
    และก็ทุกคนก็มากันด้วยความเหนื่อยยาก บางคนมาคอยข้างนอกตั้งแต่เช้ายันบ่ายยังเข้าไม่ได้ (หลวงพ่อยังปรามกับพวกกันเองภายใน บอกว่านี่เราไม่ได้แจกเงินแจกทองนะ) ที่ทุกคนมานี่ไม่ได้ทรัพย์สินอะไรไป ถ้าจะว่ากันถึงว่าทรัพย์ก็ต้องถือว่าเป็น อริยทรัพย์ แต่ว่าอริยทรัพย์นี่คนเห็นได้ยาก ถ้าคนไร้ปัญญาหรือความศรัทธามีน้อยหรือบารมีต่ำก็จะไม่เห็นเลย ถ้าหากว่าเป็นทรัพย์เป็นโลกียทรัพย์แจกเงิน แจกทอง แจกของชอบใจ เพราะเห็นง่าย ตอนนี้ถ้ามาคอยกันตั้งแต่เช้ายันบ่ายโมงยันเข้าไม่ได้ ก็รวมความว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าทุกคนมีบารมีดีแล้ว
    และก็วันนี้มีคนมีการตั้งใจเอา บายศรีเงินบายศรีทอง มา แต่เป็นที่น่าเสียดายอยู่หนึ่ง เป็นเงินปลอมทองปลอมถ้าเป็นเงินแท้ทองแท้คนที่นี่ตายกันหลายคน แย่งกันหัวชนกันตาย (หัวเราะ) แต่นี่มันหมายถึงความดี บายศรี เป็นการเชิดหน้าชูตา เป็นการบูชาความดีซึ่งกันและกัน เขาจะทำบุญที่มีความสำคัญ เขาใช้บายศรีและดอกไม้ธูปเทียน นี่เขาทำครบแล้ว
    ก็ขอบคุณทุกคนที่มีเจตนาดี แต่ว่างานที่ทำนี่จริงๆด้วยน้ำใจจริงก็เต็มใจทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่จะไปหาโปรดทราบว่า เวลานี้จิตใจที่มุ่งงานจริงๆ อย่างเดียวคือ ธรรมะ ถ้าไปหาเรื่องอื่นก็ไม่ได้ผล ไปหาหมอดูถ้าพูดถึงคำที่ ๒ ถูกด่าเลย เพราะอะไรรู้ไหม แก่มากแล้ว
    ถ้าหากจะถามว่างานก่อสร้างเป็นธรรมะไหม บอกจุดนี้เป็นจุดสำคัญมาก สังฆทาน อย่างหนึ่ง งานวิหารทานอย่างหนึ่ง เป็นงานสำคัญเบื้องต้น ที่ท่านปู่ท่านสั่งไว้เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕ บอกว่า ต้องนำคณะอย่างน้อยที่สุดนำคณะของเราทั้งหมดไปดาวดึงส์ให้หมด ถ้าหากว่าพวกนี้บรรลุมรรคผลไม่ทันชาตินี้ สมัยพระศรีอาริย์ท่านจะลงมานำคณะลงมาทั้งหมด แล้วก็ชาตินั้นทุกคนจะได้บรรลุอรหัตผลทั้งหมด ไปนิพพานหมด
    และโดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัพย์สินในแผ่นดิของเรามีมาก โดยเฉพาะทองคำนี่ของเรามาก ในที่ต่างๆ เขามาแจ้งว่า นี่ทรัพย์ของท่าน นี่ก็ทรัพย์ของท่าน ถ้าจะนำมาใส่ที่บ้านนี้ทั้งหมดเรียกว่า หลายบ้าน ไม่พอใส่ แต่ในเมื่อเทวดาเขามาบอกให้ทราบ ท่านปู่ก็มาบอกว่า เอาไว้ให้ฉันเลี้ยงลูกเลี้ยหลานเมื่อพระศรีอาริย์ลงมา ก็เลยไม่ขุด ทีแรกนึกจะงัดขึ้นมาแล้วสิ แต่นี่เขาครอง ก็เลยไม่ขุด ทีแรกนึกจะงัดขึ้นมาแล้วสิ แต่นี่เขาครอง เลยมาเตือน ๓ ครั้งว่าของท่านอยู่มุมถ้ำนี้ ถ้าคิดจำนวนทองเห็นจะหลายตัน เลย ๒๐ ตัน ถามว่าชาติไหน ท่านก็บอกเลย พอจะไปเอาเข้า โยมท่านก็บอกว่า
    “คุณ....ชาตินี้คุณไม่อยู่ก็ไม่แน่ใจว่าลูกหลานของคุณทุกคนจะไปได้หมดรึเปล่า ถ้าลูกหลานทุกไปไม่ไหมด คุณเอามาใช้ชาตินี้ ชาติตต่อไปพวกนี้มันจะไม่มีใช้ ขอให้โยมเถอะ”
    เวลานี้โยมเองก็ตัดสินใจไปนิพพาน เพราะว่ามีความหวังว่าลูกหลานทุกคนของท่านไปนิพพานได้แน่
    เป็นอันว่าทรัพย์สินต่างๆ ทั้งหมดที่มีอยู่ในแผ่นดินก็ยังเอามาใช้ไม่ได้อีก เพราะพระพุทธเจ้ามาบอกว่า “ควรให้เป็นสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ” เลยไม่ต้องใช้กัน
    แต่ว่าถึงอย่างไรก็ดี พวกเราต้องไม่อดตาย เพราะว่า สมบัติของเราที่มีใต้ดินมีอยุ่ เวลานี้ส่วนใหญ่ทั้งหมดนำมาไว้ในเขตวัดท่าซุงเต็มบริเวณ ที่คนเดินไปเดินมายังเดินไม่ถึงไอ้ ๑๐๐ ไร่นั่นก็เต็มข้างล่าง และก็เทวดาที่รักษาท่านก็มีความดีใจว่า ทรัพย์สินอยู่ในเขตที่หวงห้าม ท่านก็ไม่ต้องดูถ้าใครขืนมาขุดก็ต้องตีกับเจ้าของที่ เทวดาสบาย
    ฉะนั้นทุกคนเข้าไปที่นั่นนะ ก็บอกกับเทวดาผู้รักษาว่า “พวกเรามีส่วนในทรัพย์สินนี้เราจะไม่ขุดเอา ขอให้ท่านช่วยในการทำมาหากิน” อันนี้จะมีประโยชน์มาก
    รวามความว่า ความดีของบรรดาท่านพุทธบริษัทและลูกหลานทุกคนที่ทำและก็อาตมาเองทำเองก็เพื่อความหวังดีกับทุกคน แต่ว่าจะไปนึกว่าอาตมาหรือว่าฉันทำแต่ผู้เดียวนั่นไม่ถูก งานที่ที่ฉันนี่เป็นคำสั่งขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรง เวลานี้ถ้าใครตาดีๆ อย่าขยี้ตานะ ตาบอดเปล่าจงใช้ตาใน จะเห็นว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาประทับอยู่ด้วยถึง ๔ พระองค์
    บนหัว องค์ปฐม
    บนด้านขวา เรียกว่าไหล่ขวา พระพุทธกัสสป
    ทางด้านไหล่ซ้าย ไม่ใช่นั่งบนไหล่ พระพุทธทีปังกร
    ข้างหน้า สมเด็จองค์ปัจจุบัน
    เพราะว่า ๒ คราวที่ต้องมาคุมถึง ๔ องค์ เพราะอะไรแรงมาไม่ไหว กำลังไม่พอ การมาคราวนี้ที่วัดก็ยังไม่ได้รับแขก ยังนอนป่วยอยู่ ก่อนหน้าวันจะมาก็ยังให้น้ำเกลืออยู่ให้มันทุกวัน แรงไม่มี พอถึงวาระจะมาจริงๆ ขึ้นไปหา ท่านบอก “ไปได้ แต่ว่าคุณต้องระมัดระวังอย่าให้เหนื่อยมากเกินไป ฉันขอยืนยันว่ายังไงๆ ก็ทำงานครบ ๓ วันแน่” ท่านช่วยกำลัง
    ทีนี้ความดีที่ทำที่หลวงน้าบอกเมื่อกี้นี้ว่า ตั้งใจสอนบรรดาท่านพุทธบริษัทโดยบรรลุมรรคผลเร็ว อันนี้จริง การป่วยคราวนี้เพราะเรื่องเป็นเหตุ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงสั่งทำตำราใหม่ หนังสือเล่มใหม่นี่จะเป็นหนังสือที่ความรู้สึกว่า พระโสดาบันกับสกิทาคามีนี่เบามาก ท่านบอกสอนตามความจริง ไอ้ตำราที่เขียนนี้มามันก็เขียนจริงๆ แต่มันไม่ค่อยจะตรงความจริง อันนี้เป็นตำราของพระพุทธเจ้าเอง เพราะถ้าทุกคนถ้าอ่านไปหน้า ๒-๓ หน้าเข้าใจ ก็ไม่ต้องอ่านต่อไปถ้าสามารถทำได้ แต่บางคนที่มีบารมีอ่อนไปหน่อยหนึ่งก็ต้องอ่านหน้าต่อไปจึงขึ้นคำอธิบาย แต่ถึงอย่างไรก็ตามไม่เกินวิสัยของเราเหล่าพุทธบริษัท และท่านก็แนะด้านเสียง เสียงก็ต้องจำกัด ต้องบันทึกกันใหม่อีก พอจะเริ่มทำงานมันก็เล่นทางท้องก่อน ห้ามขี้ พอเริ่มขี้ได้ก็ ห้ามเยี่ยว ตอนห้ามเยี่ยวนี่ก็น่รักมาก พอเยี่ยวได้อีก ๒-๓ วันจะมา มันห้ามขี้อีกเพิ่งมาไล่ขี้เมื่อคืนนี้ ถ้าไม่ไล่ วันนี้ไม่ไหว
    ไอ้โรคนี้มันมาจากไหน ?
    วันนี้นอนอยู่ประมาณสัก ๔ ทุ่มเศษๆ อาการทางกายเครียดหนัก การป่วยคราวนี้เครียดหนักจริงๆ ถึง ๔ ครั้ง ก็คิดว่ามันจะทรงตัวไหวหรือไม่ไหว ไอ้เรื่องจะหนีไปอยู่บ้านใหม่เป็นของไม่ยาก แต่งานมีอยู่จึงไม่ตัดสินใจไปทีเดียว ขอไปพักชั่วคราว มันเครียดจักก็ขึ้นไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านบอกดูร่างกาย ท่านสั่งท้าวมหาราชทั้ง ๔ พระองค์มาที่ร่างกาย ทั้ง ๔ ท่านก็พยายามถอนพิษไข้สามารถทรงตัวได้ เมื่อคุยกับท่านใกล้ๆ จะมานี่ฉันก็รำคาญในใจ ว่ามันบาปชาติไหนกันแน่ ใช้ยถากรรมมุตาญานดูก็ไม่เห็นว่าไปทำอะไรไว้ชาติไหนถึงป่วยแบบนี้ ก็นึกในใจ เครียดก้ช่างมัน เดี๋ยวไปคุยกับพระพุทธเจ้าดีกว่า พอขยับออกจากตัวเห็นท้าวมหาราชทั้ง ๔ องค์นั่งอยู่ข้างหน้า ก็เลยคุยกับ ท่านท้าวเวสสุวัณ ถามว่า
    “การป่วยคราวนี้มันบาปชาติไหน ทำอะไรไว้เมื่อไหร่ ฉันใช้ยถากรรมมุตาญานดุแล้วไม่เห็น ใช่ว่าจิตฟั่นเฟือน สมาธิเสีย นั่นไม่ใช่ อารมณ์สบาย”
    ท่านท้าวมหาราช มีท่านท้าวเวสสุวัณเป็นหัวหน้าบอกว่า
    “มันไม่ใช่บาปที่ท่านทำ มันเป็นกฎอันหนึ่งที่พระพุทธเจ้าสั่งให้ท่านทำตำราง่ายที่สุด และมรรคผลเบื้องต้น ๒ ประการจะเข้าใจได้ง่ายมากคนจะบรรลุมาก
    (ถ้าถามว่าเบื้องต้นได้ เบื้องปลายเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร นั่นไมต้องห่วง ถ้าวันไหนจะตายบุคคลนั้นจะเป็นอรหันต์วันนั้นและนิพพานวันนั้น)
    “และประการที่ ๒ เสียงที่จะพึงออกมามาก็เป็นการสกัดการทำบาปของคนเป็นเสียงง่ายๆ”
    ท่านบอกว่า “เหตุนี้แหละที่กิเลสมารจะต้องเข้ามาขัดขวาง ทำลายท่านให้ยับยั้ง เมื่อกิเลสมารเข้ามาแล้ว ไอ้กิเลสมารมันทำไม่ได้เพราะ
    ๑.ราคะ ความรัก ไม่มีทาง
    ๒.โลภะ ความโลภ ไม่มีทาง
    ๓.โทสะ ความโกรธ คิดจะเข่นฆ่าใครมันก็ไม่สามารถที่จะทำได้
    ๔.โมหะ ความหลง ติดนั่นติดนี่มันก็ไม่มีโอกาสมันก็ทำได้อย่างเดียว คือทำลายร่างกาย เมื่อกิเลสมารเข้ามาสวมร่างกายเราก็เรียกว่า ขันธมาร ป่วยนั่นป่วยนี่มันจะยับยั้งท่าน ท่านจะได้ไม่สามารถบันทึกเสียงได้ หรือเขียนหนังสือได้ พอจะเขียนหนังสือทีไรมันตัดทางเขียน พอจะพูดทีไรมันตัดทางพูดด้วยเสมหะ”
    เมื่อท่านท้าวเวสสุวัณพูดแบบนี้ พระพุทธเจ้าก็เสด็จท่านบอกว่า “หนังสือน่ะเขียนไม่ครบ ก่อนที่ฉันจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาน อาการเป็นอย่างนี้”
    ท่านก็เลยทำภาพของท่านจริงๆ รูปร่างในสมัยนั้นให้ปรากฏและสถานที่ก็ปรากฏชัด มีต้นหมากรากไม้มีอะไรบ้างก็เห็นชัด อาการป่วยของท่านก็คล้ายคลึงกับที่เป็นอยู่ปัจจุบัน เสมหะก็หนัก ถ่ายก็ไม่ค่อยจะออก ขี้ออกแต่เยี่ยวไม่ออก แล้วก็อาเจียน เป็นหนักจริงๆ อยู่ ๘ วัน มันเครียดหนักท่านบอกว่า
    “ฉันก็ตัดสินใจว่าขณะใดที่ลมปราณคือลมหายใจยังมีอยู่ฉันจะถอยไม่ได้ ตั้งใจแล้ว เมื่อตัดสินใจแบบนั้นจริงๆ ไอ้กิเลสมารนั่นก็ถอยไป ร่างกายฉันก็ดีขึ้น ดีขึ้นประมาณไม่ถึง ๑๐ วันดี ก็เป็นวันบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาน”
    นั่นเรื่องพระพุทธเจ้าท่านมาทำให้ดู แล้วท่านก็บอก
    “เธอก็มีสภาพเช่นเดียวกับฉัน คือเธอปรารถนาพุทธภูมิถึงแม้จะลาพุทธภูมิแล้ว เวลานี้ทำงานเพื่อพุทธภูมิ กำลังแนะนำลูกหลานให้ห้ำหั่นกิลสชนิดง่ายๆ คือ กิเลสจะตายเร็ว เขาก็ต้องเล่นงานเธอ”
    ท่านถามว่า “เธอท้อใจไหม ?”
    ก็เลยกราบทูลท่านบอกว่า “คำว่าท้อใจน่ะไม่มีเพราะจิตมันสู้มาตั้งแต่เด็ก ขึ้นชื่อว่าอุปสรรคนี่สู้มานาน คำว่าถอยหลังนี่ไม่มีมาตั้งแต่เด็ก”
    ท่านบอกว่า “ไม่เป็นไร เพราะฉะนั้นงานนี้ต้องได้”
    ก็เลยวิตกกังวลในงานที่จะมานี่ ก็เลยถามท่านว่า “ไปกรุงเทพ นี่จะไหวไหมครับ มันยังเดินโซซัดโซเซยังเซอยู่ จะไปไหนก็ตามทหารกับพระนี่ต้องเข้าประคองกลัวล้ม จะขึ้นกุฎิทีพระก็ต้องประคอง ๒ ข้าง คือเดินดูไปกลัวจะหล่นบันได” ท่านบอกว่า “มาได้ ฉันจะครวบคุมเอทั้ง ๔ องค์” เวลานี้ก็คุมอยู่
    ฉะนั้นก็ขอบรรดาทุกคนที่มีความหวังดีตั้งใจคิดให้ฉันอยู่นานๆ ก็รวมความว่า ความตายนี่ขึ้นอยู่กับพระพุทธเจ้าองค์เดียว เพราะอายุขัยนี่มันเลยมานานแล้ว เมื่อ ๒๓ ร่างกายดีสมบูรณ์แบบไม่เป็นอะไรเลย ตอนเช้าก็ลงไปจากชั้น ๒ หิ้วกระเป๋าหวังจะไปทำงาน กระเป๋าเอกสารมันก็หนักพอลงไปที่ตึกที่งานปรากฎว่าอยากจะไปเข้าส้วม พอเข้าไปนั่งที่โถส้วมปั๊ป มันมืดตึ๊บ ไม่เห็นอะไรเลย ใจหลุดลอยขึ้นไปข้างบน ขึ้นไปที่ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ และ พระจุฬามณี ถ้าตายจริงๆที่น่ะนจะต้องมีพิธีกรรม ต้องเห็นพระเห็นเทวดา เห็นพรหมชัด แต่ไม่เห็นก็เลยพุ่งไปนิพพาน พอถึงนิพพานพระพุทธเจ้าบอก “ลงเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวเขาจะห่วงร่างกาย” ก็ลงมา ลงมาแล้วลืมตายังมองไม่เห็นอะไรเลย มืดจริงๆ สักครู่หนึ่งก็ลืมตาขึ้นมา นี่มันอยู่ไหนกันแน่ รวมความว่าอีตอนหน้ามืดมันจะเวียนหัวอยู่ในส้วม ถ้าตายตอนนั้นจะสวยมาก ก็เป็นอันว่าพอลืมตาขึ้นมามีความรู้ ก็ได้ยินเสียงพระพุทธเจ้าตรัสว่า “เธอจงคิดว่าเริ่มต้นเกิดใหม่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป” เล่นแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว นี่เกิดมาแล้วกี่ปีก็เป็นอย่างนี้นะ
    ก็รวมความว่าการตายทุกคนห่วงว่าจะตายเร็วหรือไม่เร็วนั้นก็ไม่ต้องห่วง เพราะท่านที่ห่วงอยู่คือพระพุทธเจ้า แล้วก็พวกที่น่ะงๆอยู่นี่คนที่มีความดีเต็มพอสมควรก็จะตายตามอายุขัยไม่ได้เหมือนกัน จะถูกถ่วงเหมือนกันจนกว่างานของท่านจะสมบูรณ์แบบ นี่ทุกคนไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องความตาย เรื่องตายนี่เราต้องตายกันแน่ แต่จะตายเวลาไหนเมื่อไร เป็นเรื่องของมันไม่ต้องกังวล ให้กังวลอย่างเดียวว่ากิลเสตัสไหนจะเหลือบ้าง ต้องทำลายมัน
    วิธีทำลาย อย่าทำลายแบบยาก ถ้าทำลายแบบยากไม่ใช่วิสัยของพวกเรา ก็มีบางคณะที่เขาต้องทำลายแบบยาก เพราะคนพวกนั้นเขาทำบุญแบบยากๆ มาตั้งแต่ต้น คณะของเราเรื่องบุญเรื่องทานตั้งแต่อดีตมาไม่เคยทำแบบยาก ทำแบบง่ายๆ ตัดสินใจทันทันใดทุกชาติ มีอะไรเกิดขึ้นปั๊ปไม่ต้องตรองกันมาก เรื่องความดีฉันทำแน่ มากหรือน้อยฉันก็ทำทันทีทันใด ในเมื่อบุญบารมีเราสร้างมาแบบนี้ การบรรลุมรรคผลจะปฎิบัติแบบยากไม่ได้ ถ้าปฎิบัติแบบยากจะมีความกลุ้มและจะไม่เกิดผล ต้องทำแบบง่ายๆ นี่พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้นะ ฉะนั้นท่านจึงหาแบบง่ายๆ มาให้ และก็คิดว่าก่อนตายนี่ก็คงเขียนได้ ถ้าตายแล้วคงเขียนไม่ได้ เพราะมือใช้ไม่ได้ ใช่ไหม
    ไอ้คนที่พูดมาแล้วก็ควรจะคิดว่าเป็นกรรมฐานไปด้วยนะ ถ้าขึ้นชื่อว่าร่างกายนี่มีสภาพไม่เที่ง มันเป็นทุกข์ เกี่ยวกับความหนักของร่างกาย คือโรคภัยไข้เจ็บมันหนักมาก การกินอยู่มันก็หนัก แต่ว่าจิตใจเราสบายมันเบากว่า แต่ว่าการป่วยไข้ไม่สบายมันก็เป็นของธรรมดา เตรียมตัวเตรียมใจไว้ตั้งแต่บัดนี้เป็น้ตนไป เห็นใครเขาป่วยไข้ไม่สบาย คิดว่าอาการอย่างนี้สักวันหนึ่งข้างหน้ามันจะถึงเรา เวลาจะตายจริงๆ มันจะมีความทุกข์เพราะทรมานอย่างหนัก
    แต่วา วิธีที่จะบรรเทาเวทนา มันมีอยู่ทางเดียว พยายามฝึก อานาปานุสติให้มาก อานาปานุสสติคือลมหายใจเข้าออก คำว่ามากนี่ไม่จำเป็นต้องไปล่อทั้งวันจนไม่ต้องทำมาหากิน ไม่ใช่อย่างนั้น เวลาที่เจริญพระกรรฒบานขึ้นอานาปานุสสติก่อนให้มันชิน ถ้าขณะที่ป่วยอยู่อย่างทิ้งกรรมฐาน ตื่นขึ้นมาปั๊ป จับอานาปานุสสติควบกับภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องนิพพานไปทุกวันให้ขิน นิพพานนี่ต้องไปให้ชิน เพราะอารมณ์บของนิพพานนี่เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ และอการป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น ทุกขเวทนามันจะน้อยเต็มที มันจะมีความรู้สึกไม่ถึง ๓ ใน ๑๐๐
    อย่างกับวันที่ปัสสาวะไม่ออก ไอ้ปัสสาวะไม่ออกนี่มันคั่งมาถึง ๔ วัน เพราะว่าไม่มีทางที่จะรักษา เป็ยวันเริ่มต้นของการสอนมโนมยิทธิเต็มกำลัง ( ๒๑ ก.ย. ๒๘) มันเริ่มวันนั้นเป็นอย่างหนัก และวันเสาร์-อาทิตย์ก็ต้องไปทำงาน พอวันจันทร์ก็ไปอยู่ที่กุฎิด้านล่าง วันนั้นนอนไปไหนไม่ได้ ไม่รับแขก ต่อมาวันอังคาร หมอประสิทธิ์ ขึ้นไปวัด วันนั้นพระอนันต์ถามว่า
    “หลวงพ่อครับ ท้องน้อยปวดไหม ?”
    ความจริงมันไม่รู้สึกปวดเลย เหมือกับธรรมดา แต่เวลาปัสสาวะมันไม่ค่อยจะออกเลย มันปวดมาก พอพระอนันตถามมันปวดไหม ก็เลยเอามือแตะท้องน้อย พอมืออถูกมันปวดจี๋เลย พอปวดจี๋พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า
    “ฉันคลายให้เธอรู้ว่าเวทนามันขนาดนี้นะ และเมื่อกี้เลยไม่รู้เลยก็เพราะ ๑.สมาธิ ๒.อารมณ์พระนิพพาน ๓.กำลังของฉันช่วยคบบคุม”
    ฉะนั้นขอให้ทุกคนก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้ว่าเวลาที่เราจะป่วยไข้ไม่สบายอย่าลืมอานาปานุสสติ ยามปกติอย่าทิ้งพระนิพพาน อย่างนี้เวลาป่วยจริงๆ ทุกขเวทนามันจะน้อย
    ก็จำไว้ว่าร่างกายมีสภาพไม่ดี มันเป็นทุกข์ สมบัติที่เราได้จากมันคือ
    ๑.ความแก่มาหาเราทุกวัน
    ๒.อาการป่วยไข้ไม่สบายต้องมีเป็นปกติ
    ๓.ความปราถนาไม่ค่อยจะสมหวังมีเป็นปกติ
    ๔.ความตายเข้ามาถึง
    ทั้งหมดนี้ถือไว้แต่ตอนต้นว่ามันเป็นธรรมดาของเราเมื่อเรเกิด สิ่งนี้มันต้องมี ในเมื่อมันมีเราถือเป็นธรรมดา มันจะพังเมื่อไหร่ก็เชิญ พังเมื่อไหร่ฉันขอไปนิพพานเมื่อนั้น ถ้าตั้งใจแบบนี้เวทนามันจะน้อย ถ้าจตั้งใจแบบนี้ก็ตั้งใจขึ้นอีกหน่อยหนึ่งว่า ขึ้นชื่อว่าร่างกาบเลวๆอย่างนี้เราไม่ต้องการมันอีก จุดที่เราต้องการคือ พระนิพพาน
    ที่ยี้การพูดแบบนี้นักปราชญ์บางคนอาจจะค้านว่าการปฎิบัติหวังพระนิพพานคือกำลังจิตยังอ่อน อันนี้ก็ยอมรับ แต่ว่าเราอย่าประมาทในชีวิต คนที่มีกำลังน้อยถ้าเวลาเดินขึ้นบันไดต้องเกาะราว ถ้าไม่เกาะราวก็จะหล่น ถึงแม้ว่ามีกำลังมาก ถ้ามีราวก็ต้องเกาะ คือความไม่ประมาท ถ้าไม่เกาะมันเผลอมันก็หล่นได้ฉันใด ถ้าทำจิตว่างเฉยๆ ดีไม่ดีมันจะลงอเวจีไป ต้องเกาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ อย่าไปเชื่อเขาพวกเราต้องทำแบบนั้น
    รวมความว่าขอขอบใจทุกคน ทั้งหลวงน้าด้วยที่ห่วงกลัวฉันจะตายเร็ว อยากอยู่นานๆ ฉะนั้นหลวงน้าจะตายก่อนไม่ได้เหมือนกัน ถ้าตายเมื่อไหร่จะจับยัดใส่เตาเผาทันทีเอาให้เข็ด
    (สุดท้ายหลวงพ่อท่านให้พรว่า)
    “ธรรมใดมี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุแล้ว ขอให้พุทธบริษัทและลูกหลานทุกคน จงบรรลุธรรมนั้นในชาติปัจจุบัน เทอญ”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 สิงหาคม 2015
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,809
    กระทู้เรื่องเด่น:
    80
    ค่าพลัง:
    +225,525
    [​IMG]
     
  3. Earth n Water

    Earth n Water เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    930
    ค่าพลัง:
    +2,050


    สาธุ ค่ะ และขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงที่
    สำหรับ "โอวาทวันเกิดหลวงพ่อ ตุลาคม ๒๕๒๘" นี้

    อ่านแล้ว ทำให้เข้าใจอะไรหลายๆอย่าง เป็นประโยชน์มากๆๆๆเลยค่ะ
    ดีใจมากเลยที่ได้อ่านคำสอนของหลวงพ่อบทนี้

    ขออนิสงค์ที่...คุณอุทยัพ และ/หรือ คุณชนะ สิริไพโรจน์...
    ได้นำข้อความนี้มาเผยแพร่ให้ได้อ่านกันเพื่อประโยชน์อันสูงสุด
    แก่ผู้อ่านที่สนใจคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    (พระมหาวีระ ถาวโร วันจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
    เพื่อเข้าถึงพระนิพพาน จงเป็นปัจจัยส่งผลให้...
    คุณอุทยัพ และ/หรือ คุณชนะ สิริไพโรจน์...
    ได้เข้าสู่แดนพระนิพพานภายในชาติปัจจุบันนี้เทอญ



     
  4. นาย หวังดี

    นาย หวังดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2013
    โพสต์:
    395
    ค่าพลัง:
    +1,272
    กราบหลวงพ่อครับ มีความอิ่มเอิบใจเหลือเกิน ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...