ใครเคยมีอาการแบบนี้บ้าง นั่งสมาธิแล้วอยากแสดงธรรมให้ผู้อื่นฟัง!

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Norlnorrakuln, 3 พฤศจิกายน 2013.

  1. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    เวลานั่งสมาธิแล้วมักจะเกิดความรู้ต่างๆเกี่ยวกับการปฎิบัติบ้าง เกี่ยวกับการสร้างกุศลบำเพ็ญบุญบ้าง ฯลฯ แล้วแต่ว่าในขณะนั้นจิตมันจะเกิดจะเป็นไปเอง
    เรียกว่าธรรมะผุดไหลออกมาไม่จบไม่สิ้น แล้วทีนี้มันอยากจะแสดงๆๆๆๆๆ(ระบาย) ธรรมในสิ่งที่ตนรู้(สำคัญว่ารู้)ให้ผู้อื่นรับฟัง!

    ๑. อาการแบบนี้เขาเรียกว่าอะไรครับ?
    ๒. ทั้งๆที่เป็นเจตนาดีหวังจะให้ผู้อื่นได้รู้ตามอ่ะนะ มันผิดด้วยหรือ?
    ๓. อารมณ์ละเอียดมาก บางครั้งก็สำคัญตนผิดไป คิดว่าเราสำเร็จโน่นนี้นั่น ถึงขั้นนั้นขั้นนี้แล้ว ฯลฯ จะแก้อย่างไรครับ?
    ๔. ท่านใดเคยเป็น หรือเคยผ่านอาการแบบนี้มาแล้ว(แก้ด้วยวิธีใด) หรือท่านใดที่กำลังเป็นอยู่(ยอมรับมาซะดีๆ) อยากฟังประสบการณ์จริงเพื่อเป็นธรรมทานครับ?
     
  2. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ไอ้ที่มันผุดๆ ออกมานั่นหนะ เกี่ยวข้องกับกระบวนการปรุงแต่งทั้งนั้น
    ปรุงถูกก็ดีไป ปรุงผิด พาคนอื่นหลงทาง

    ทางแก้ คือ กลับมามีสติ รู้กาย รู้ใจ ดูให้เห็นว่า กิเลสตัวไหน มันคอยสั่ง ให้คันปากยิบๆ อยากไปสอนคนอื่น หามันเจอเมื่อไหร่ เห็นหน้ามันชัดเมื่อไหร่ จะรู้เลยว่ามันเป็นกิเลสอีกตัวที่น่าเกลียดมาก
     
  3. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    เว็บนี้เป็นกันเยอะ และผมเป็นหนึ่งในนั้นครับ 555+
     
  4. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    เป็นปกติธรรมดาครับ ที่คนเราจะมีอารมณ์ต่างๆร้อยแปดผ่านเข้ามาจิตใจ
    หากยึดติดก็เสียเวลาเปล่าย่ำอยู่กับที่ หากปล่อยวางความคิดต่างๆที่เกิดขึ้นได้
    ก็ก้าวหน้าขึ้นอีกขั้น .....
    โมทนา....
     
  5. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    จะเรียกวิปัสสนูกิเลส หรือวิปลาสธรรมได้หรือไม่? ก็ในเมื่อจิตเป็นกุศลและมีเหตุผลลงไปในหลักธรรม?

    แต่ที่ข้าพเจ้าสังเกตุตนเองได้อย่างหนึ่งคือ จิตเรา(ในขณะนั้น)มันจะไม่ยอมรับความรู้อื่นใด นอกจากความรู้ที่เกิดภายในจิตตนเอง(เชื่อมั่นสูงมาก)
    และจะเริ่มปฎิเสธตำหรับตำราต่างๆแม้กระทั้งความรู้ในพระไตรยปิฎก ก็ให้นึกรำคราญ(แต่ไม่ถึงกับคัดค้าน) คำสอนครูบาอาจารย์ก็ไม่อยากรับฟัง(เพราะคิดว่าเรารู้แล้ว เผลอๆจะรู้มากกว่าท่านด้วยซ้ำไป) เกิดอารมณ์ไม่พอใจหงุดหงิดอยู่ลึกๆ เวลาใครมาพูดหักล้างเหตุผลหรือคติธรรมะของตนเอง แต่พยายามข่มไว้ มิให้ใครรู้ เลยคิดไปว่าเรานั้นไม่ธรรมดาสามารถเห็นและเอาชนะกิเลสในใจตนได้(แท้จริงยังมีอยู่)

    พอนั่งปฎิบัติไปนานวันๆเข้าทีนี้ ไม่ต้องนั่งสมาธิก็ได้(จิตมันจดจำอารมณ์เดิมได้แล้ว)จิตในขณะนั้นมันจะมองอะไรก็เป็นธรรมะไปหมดเลยลึกซึ้งละเอียดประณีตมาก สามารถบอกสอนผู้อื่นได้เป็นคุ้งเป็นแคว (ชักจะเก่งแล้วเรา)

    ที่เล่าๆมานี้เป็นเพียงอดีตของข้าพเจ้าเองครับ ^_^

    เลยอยากรู้ว่าท่านอื่นมีใครเป็นบ้างหรือเปล่า?
     
  6. sirigul

    sirigul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +2,515
    มีอยู่ช่วงหนึ่งที่สวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิ ทุกวันเที่ยงคืนถึงตีสอง ตีสี่ลุกขึ้นมาสวดมนต์นั่งสมาธิ จิตมีความสุขดี ไม่ถึงขั้นคิดอยากสอนธรรมะผู้อื่น แต่คนรอบข้างกับพูดว่าพี่นี่พูดอะไรก็เป็นธรรมะไปหมด
     
  7. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    ก็มีเหมือนกันครับ ตอนสวดมนต์ไหว้พระอยู่หากเราติดขัดสงสัยปัญหาอะไร บางทีวิธีแก้มันก็ผุดขึ้นมาเอง แต่ไม่ได้บอกสอนหรือเอาไปอวดใคร รู้แล้วก็ละไป เพราะประเดี๋ยวจะสวดผิดสวดถูก!(เสียสมาธิ)

    บางทีเราอยากรู้เรื่องราวอะไร ตั้งคำถามไว้ในใจพอไปสวดมนต์ไหว้พระมันก็จะผุดขึ้นมาเอง แต่ส่วนมากจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
    (เพราะยังไม่ไว้ใจมัน อาจจะหลอกเราก็ได้)
     
  8. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    อธิบายอีกนัย1 คือ
    ผู้ที่มีจิตใจเยี่ยงโพธิสัตว์ มักจะเป็นในทำนองที่ว่า คือเมื่อทำใจให้สงบเป็นสมาธิแล้ว
    จิตใจแห่งความเมตตาที่เคยสั่งสมมาจะปรากฏชัดขึ้น(ดวงจิตแห่งความเมตตาที่อยู่ในสามัญสำนึก)
    ทำให้รู้สึกอยากแบ่งปันสาระธรรมดีสู่ผู้คน
    อย่างนี้เป็นต้น....
    โมทนา
     
  9. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    ก็คิดเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน แต่ไม่กล้าเข้าไปหักหาญน้ำใจใคร
    เพราะถือว่าเราก็ยังไม่ดีพอครับ
    :cool:
     
  10. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    สาธุครับ...เป็นการอธิบายที่ฟังแล้วทำให้มีกำลังใจมากๆเลย :cool:
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ส่วนตัวผมคิดว่า คุณถามได้น่ารักดีครับ.
    บางข้อผมอ่านไปแล้วก็อมยิ้มไปครับ
     
  12. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    วิปัสสนูกิเลส หรือวิปลาสธรรม
     
  13. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    วิปัสสนูกิเลส

    1 ใน อาการวิปัสสนูกิเลส

    เมื่อจิตมีความสงบเป็นสมาธิได้แล้วย่อมมีความรู้เกิดขึ้น ความรู้ที่เกิดขึ้นนี้เองจะทำให้เกิดความหลงผิดไปได้ง่าย จะตีความหมายไปว่าปัญญาญาณได้เกิดขึ้นกับตัวเองแล้ว อยากรู้เรื่องอะไรอยากรู้ในธรรมหมวดไหนก็กำหนดถามลงไปที่ใจ ก็จะมีความรู้ตอบขึ้นมาในหมวดธรรมนั้น ๆ จะเข้าใจไปว่าคุณธรรมได้เกิดขึ้นกับตัวเองแล้ว อยากรู้ว่าเราอยู่ในคุณธรรมระดับไหน ก็จะมีความรู้บอกขึ้นมาว่า เป้ฯคุณธรรมของพระอริยโสดาบันบ้าง เป็นคุณธรรมของพระสกิทาคามีบ้าง เป็นคุณธรรมของพระอนาคามีบ้าง เป็นคุณธรรมของพระอรหันต์บ้างจึงได้เกิดความเชี่อมั่นในความรู้ที่เกิดขึ้นว่าเป็นจริงที่ฝังใจอย่างสนิททีเดียว ใครจะมาว่ามีความสำคัญผิด ก็จะยืนยันว่าเรามีญาณรู้ที่ถูกต้องและมีความเชื่อมั่นว่าตัวเองได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าจริง ถ้าเป็นในลักษณะนี้จึงยากที่จะแก้ไข

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2013
  14. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    [​IMG]

    วิปัสสนูปกิเลส
    โดย หลวงปู่ดูลย์ อตุโล


    ในประวัติของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล พอจะเห็นตัวอย่างของวิปัสสนูปกิเลส ๒ ตัวอย่าง คือกรณีของท่านหลวงตาพวง และกรณีของท่านพระอาจารย์เสร็จ จะขอยกกรณีของหลวงตาพวงมาเล่าเพื่อประดับความรู้ต่อไป

    ศิษย์ของหลวงปู่ชื่อ “หลวงตาพวง” ได้มาบวชตอนวัยชรา นับเป็นผู้บุกเบิก สำนักปฏิบัติธรรมบนเขาพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์

    หลวงตาพวงได้ทุ่มเทชีวิตจิตใจให้แก่การประพฤติปฏิบัติ เพราะท่านสำนึก ตนว่ามาบวชเมื่อแก่ มีเวลาแห่งชีวิตเหลือน้อย จึงเร่งความเพียรตลอดวัน ตลอดคืน

    พอเริ่มได้ผล เกิดความสงบ ก็เผชิญกับวิปัสสนูปกิเลสอย่างร้ายแรง เกิดความสำคัญผิดเชื่อมั่นอย่างสนิทว่าตนเองได้บรรลุอรหัตผล เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง เป็นผู้สำเร็จผู้เปี่ยมด้วยบุญญาธิการ ได้เล็งญาณ (คิดเอง) ไปจนทั่วสากลโลก เห็นว่าไม่มีใครรู้หรือเข้าถึงธรรมเสมอด้วยตน ดังนั้น หลวงตาพวงจึงได้เดินทางด้วยเท้าเปล่ามาจากเขาพนมรุ้ง เดินทางข้ามจังหวัดมาไม่ต่ำกว่า ๘๐ กิโลเมตร มาจนถึงวัดบูรพาราม หวังจะแสดงธรรมให้หลวงปู่ฟัง

    หลวงตาพวงมาถึงวัดบูรพาราม เวลา ๖ ทุ่มกว่า กุฏิทุกหลังปิดประตูหน้าต่าง หมดแล้ว พระเณรจำวัดกันหมด หลวงปู่ก็เข้าห้องไปแล้ว ท่านก็มาร้องเรียก หลวงปู่ด้วยเสียงอันดัง

    ตอนนั้นท่านเจ้าคุณพระโพธินันทมุนียังเป็นสามเณรอยู่ ได้ยินเสียงเรียกดังลั่นว่า “หลวงพ่อ หลวงพ่อ หลวงพ่อดูลย์.....” ก็จำได้ว่าเป็นเสียงของหลวงตาพวง จึงลุกไปเปิดประตูรับ

    สังเกตดูอากัปกิริยาก็ไม่เห็นมีอะไรผิดแปลก เพียงแต่รู้สึกแปลกใจว่า ตาม ธรรมดาท่านหลวงตาพวงมีความเคารพอ่อนน้อมต่อหลวงปู่ พูดเสียงเบา ไม่บังอาจระบุชื่อของท่าน แต่คืนนี้ค่อนข้างจะพูดเสียงดังและระบุชื่อด้วยว่า

    “หลวงตาดูลย์ ออกมาเดี๋ยวนี้ พระอรหันต์มาแล้ว”

    ครั้นเมื่อหลวงปู่ออกมาแล้ว ตามธรรมดาหลวงตาพวงจะต้องกราบหลวงปู่ แต่คราวนี้ไม่กราบ แถมยังต่อว่าเสียอีก “อ้าว ! ไม่เห็นกราบท่านผู้สำเร็จมาแล้ว ไม่เห็นกราบ”

    เข้าใจว่าหลวงปู่ท่านคงทราบโดยตลอดในทันทีนั้นว่าอะไรเป็นอะไร ท่านจึงนั่งเฉย ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ปล่อยให้หลวงตาพวงพูดไปเรื่อยๆ

    หลวงตาพวงสำทับว่า “รู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้ผู้สำเร็จอุบัติขึ้นแล้ว ที่มานี่ก็ด้วย เมตตา ต้องการจะมาโปรด ต้องการจะมาชี้แจงแสดงธรรมปฏิบัติให้เข้าใจ”

    หลวงปู่ยังคงวางเฉย ปล่อยให้ท่านพูดไปเป็นชั่วโมงทีเดียว สำหรับพวกเรา พระเณรที่ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ก็พากันตกอกตกใจกันใหญ่ ด้วยไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรกันแน่

    ครั้นปล่อยให้หลวงตาพวงพูดนานพอสมควรแล้ว หลวงปู่ก็ซักถามเป็นเชิง คล้อยตามเอาใจว่า “ที่ว่าอย่างนั้นๆ เป็นอย่างไร และหมายความว่าอย่างไร” หลวงตาพวงก็ตอบตะกุกตะกัก ผิดๆ ถูกๆ แต่ก็อุตส่าห์ตอบ

    เมื่อหลวงปู่เห็นว่าอาการรุนแรงมากเช่นนั้น จึงสั่งว่า “เออ เณรพาหลวงตาไปพักผ่อนที่โบสถ์ ไปโน่น ที่พระอุโบสถ”

    ท่านเณร (เจ้าคุณพระโพธินันทมุนี) ก็พาหลวงตาไปที่โบสถ์ ไปเรียกพระ องค์นั้นองค์นี้ที่ท่านรู้จักให้ลุกขึ้นมาฟังเทศน์ฟังธรรม รบกวนพระเณรตลอดทั้งคืน

    หลวงปู่พยายามแก้ไขหลวงตาพวงด้วยอุบายวิธีต่างๆ หลอกล่อให้หลวงตา นั่งสมาธิ ให้นั่งสงบแล้วย้อนจิตมาดูที่ต้นตอ มิให้จิตแล่นไปข้างหน้า จนกระทั่ง สองวันก็แล้ว สามวันก็แล้วไม่สำเร็จ

    หลวงปู่จึงใช้อีกวิธีหนึ่ง ซึ่งคงเป็นวิธีของท่านเอง ด้วยการพูดแรงให้โกรธ หลายครั้งก็ไม่ได้ผล ผ่านมาอีกหลายวันก็ยังสงบลงไม่ได้ หลวงปู่เลยพูดให้โกรธด้วยการด่าว่า “เออ ! สัตว์นรก สัตว์นรก ไปเดี๋ยวนี้ ออกจากกุฏิเดี๋ยวนี้”

    ทำให้หลวงตาพวงโกรธอย่างแรง ลุกพรวดพราดขึ้นไปหยิบเอาบาตร จีวร และกลดของท่านลงจากกุฏิ มุ่งหน้าไปวัดป่าโยธาประสิทธิ์ซึ่งอยู่ห่างจาก วัดบูรพารามไปทางใต้ประมาณ ๓ - ๔ กิโลเมตร ซึ่งขณะนั้นท่านเจ้าคุณพระราชสุทธาจารย์ (โชติ คุณสมฺปนฺโน) ยังพำนักอยู่ที่นั่น

    ที่เข้าใจว่าหลวงตาพวงโกรธนั้น เพราะเห็นท่านมือไม้สั่น หยิบของผิดๆ ถูกๆ คว้าเอาไต้ (สำหรับจุดไฟ) ดุ้นหนึ่ง นึกว่าเป็นกลด และยังเปล่งวาจาออกมา อย่างน่าขำว่า “เออ ! กูจะไปเดี๋ยวนี้ หลวงตาดูลย์ไม่ใช่แม่กู” เสร็จแล้วก็คว้า เอาบาตร จีวร และหยิบเอาไต้ดุ้นยาวขึ้นแบกไว้บนบ่า คงนึกว่าเป็นคันกลด ของท่าน แถมคว้าเอาไม้กวาดไปด้ามหนึ่งด้วย ไม่รู้เอาไปทำไม

    ครั้นหลวงตาพวงไปถึงวัดป่า ทันทีที่ย่างเท้าเข้าสู่บริเวณวัดป่านี่เอง อาการของจิตที่น้อมไปติดมั่นอยู่กับอารมณ์ภายนอก โดยปราศจากการควบคุมของ สติที่ได้สัดส่วนกันก็แตกทำลายลง เพราะถูกกระแทกด้วยอานุภาพแห่งความ โกรธ อันเป็นอารมณ์ที่รุนแรงกว่า ยังสติสัมปชัญญะให้บังเกิดขึ้น ระลึกย้อนกลับ ได้ว่า ตนเองได้ทำอะไรลงไปบ้าง ผิดถูกอย่างไร สำคัญตนผิดอย่างไร และได้ พูดวาจาไม่สมควรอย่างไรออกมาบ้าง

    เมื่อหลวงตาพวงได้สติสำนึกแล้ว ก็ได้เข้าพบท่านเจ้าคุณพระราชสุทธาจารย์ และเล่าเรื่องต่างๆ ให้ท่านทราบ ท่านเจ้าคุณฯ ก็ได้ช่วยแนะนำและเตือนสติ เพิ่มเติมอีก ทำให้หลวงตาพวงได้สติคืนมาอย่างสมบูรณ์ และบังเกิดความ ละอายใจเป็นอย่างยิ่ง

    หลังจากได้พักผ่อนเป็นเวลาพอสมควรแล้ว ก็ย้อนกลับมาขอขมาหลวงปู่ กราบเรียนว่าท่านจำคำพูดและการกระทำทุกอย่างได้หมด และรู้สึกละอายใจมากที่ตนทำอย่างนั้น

    หลวงปู่ได้แนะทางปฏิบัติให้ และบอกว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ว่าถึงประโยชน์ ก็มีประโยชน์เหมือนกัน มีส่วนดีอยู่เหมือนกัน คือจะได้เป็นบรรทัดฐาน เป็นเครื่องนำสติมิให้ตกสู่ภาวะนี้อีก เป็นแนวทางตรงที่จะได้นำมาประกอบ การปฏิบัติให้ดำเนินไปอย่างมั่นคงในแนวทางตรงต่อไป”

    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6839
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2013
  15. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    เป็นธรรมมุทธัจจ์ (ความฟุ้งซ่านธรรม) หรือวิปัสสนูปกิเลส (สิ่งที่ทำให้วิปัสสนาไม่บริสุทธิ์)


    วิธีแก้ คือ กำหนดรู้ตามทีมันเป็น เป็นยังไง รู้สึกยังไง กำหนดยังงั้น ตรงๆ ไม่เลี่ยงหนี่หนีสภาวะของมัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2013
  16. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ตอบ จขกท จากความเห็นส่วนตัวนะครับ

    0.อาการของ ธรรมในสิ่งที่ตนรู้(สำคัญว่ารู้)ให้ผู้อื่นรับฟัง! นี่ต้องระวังให้ดี

    ทั้งๆที่ตัวเอง ยังไม่ได้บรรลุอริยเจ้า เช่น โสดาบัน เลย แต่อยากแสดงธรรม

    ระวังจะกลายเป็นแสดงธรรมประเภท คิดเองเออเอง เข้าใจเองคนเดียวว่าถูก อยากแสดงธรรม ให้คนอื่นได้รับผู้สิ่งที่ตัวเองรู้มา


    1.เรียกว่าอาการ ธรรมผุด ครับ

    อาการเป็นอย่างไรหรอ ลองอ่านดูครับ ถ้าท่านเคยเป็น หรือเป็นอยู่นะ

    1.1 จะฟุ้งเรื่องธรรม ออกมาจากจิต ไหลไม่หยุดบังคับไม่ได้ ฟุ้งธรรมนั้นโน้นนี้ ไปเรื่อยๆ
    1.2 หยุดธรรมที่ ผุด ธรรมที่ฟุ้งออกมา ออกมาไม่ได้
    1.3 ธรรมผุดที่ออกมาต่างนาๆ ตัวเราจะคิดเองเออเอง ตีความธรรมต่างๆนาๆ ตามปัญญาของตัวเองในขนาดนั้น แล้วก็เข้าใจว่าเรา รู้ธรรมนั้นๆ
    1.4 นั่งสมาธิ ยิ่ง จิตสงบเท่าไหร่ ธรรมที่ผุด ก็ยิ่ง ผุดออกมามากมายเท่านั้น ไม่มีเหนื่อย บลาๆๆ ไหลไปเรื่อยๆๆ
    1.5 บลาๆๆๆๆ นึกถึงธรรม อะไรก็แล้วขึ้นมา ก็จะมีคำตอบคำอธิบายออกมาจากจิต ไหลออกมาต่างนาๆ

    ประมานนี้ละ เอาว่าธรรมมันจะเลิกผุด เลิกธรรมผุด ก็ต่อเมื่อ นอน แล้วหลับ ตกภวังค์ ไม่ได้สติ หลับ สนิท เอานั้นละครับ


    ปล.ไม่เหมือนการยกธรรมขึ้นมาพิจารณาธรรมเองนะนะครับ คนละอย่างกันเลย
    .

    2.ผิด หรือ ถูก ก็ต้องถามตัวเองว่า ธรรมผุด ที่จะไปสอนคนอื่น ขัดแย้งคำสอนพระพุทธเจ้าไหม ขัดแย้งคำเทศน์สอนของครูบาอาจารย์ ที่เป็นพระอรหันต์ไหม ขัดแย้งพระไตรปิฏก ไหม ขัดแย้ง วิสุทธิมรรค ไหม



    เพราะส่วนใหญ่เท่าๆที่ผมเห็น เจอมาถ้าคนเป็น วิปัสสนูปกิเลส ไม่ได้เป็นธรรมผุด ธรรมวิปัสสนูปกิเลส ของบุคคลพวกนี้ จะแย้ง คำสอนของครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ แล้วก็เข้าข้างตัวเองว่า ธรรมของตัวเองที่บอกคนอื่น ถูกต้อง ตัวเองถูก คนอื่นผิด หมด คนอื่นไม่เข้าใจเหมือนที่ตัวเองเข้าใจ บลาๆๆๆ ต่างๆนาๆ ครับ


    3.เข้าใจว่าตัวเองสำเร็จ ขั้นนั้น ขั้นนี่ แก้โดยการ ดูตัวเอง ครับ เอาไปสอบ เทียบดู ว่าเราสำเร็จจริง หรือ ปลอม ในขั้นนั้นๆครับ



    4.วิธีแก้ วิปัสสนูปกิเลส มีมากมายหลายวิธีแล้วแต่ตัวบุคคลนั้น ว่าเป็นขนาดไหน


    ถ้าแก้ด้วยตัวเอง แก้โดยการใช้ สติ ของตัวเอง ครับ


    เราต้องรู้ตัวก่อนว่าโดน วิปัสสนูปกิเลส

    เพราะบางคน เป็นวิปัสสนูปกิเลส ก็ยังไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นวิปัสสนูปกิเลสเลย คนอื่นบอก พูด เตือน ก็ยังแก้ไม่ได้เพราะตัวเองเป็นวิปัสสนูปกิเลสขนาดหนัก


    ใช้ สติ ของตัวเอง เพราะ กำลัง สติ อ่อน ตามความคิดไม่ทันเวลาธรรมผุด แล้วก็คิดว่าตัวเองมีธรรม มันก็เลย ไหลตามไปธรรมที่ผุด ออกมา นั้นละครับ



    เราปฏิบัติกรรมฐาน กรรมฐาน 40 ห้อง เรา ปฏิบัติ ภาวนากองไหนอยู่ ก็ย้อนกลับไปดูกรรมฐานกองนั้น ตามความเป็นจริงครับ

    เช่น ภาวนา พุธ โธ ก็ให้กลับไปที่คำภาวนา อย่าไปส่งจิตออกไหลไปกับธรรมผุด ต่างๆนาๆ นั้นเองครับ หรือ กรรมฐานกองอื่นๆ ก็ว่ากันไป

    จะแก้ วิปัสสนูปกิเลส ได้เร็ว หรือ นานกว่าจะแก้ได้ ก็อยู่ที่กำลังใจของบุคคลนั้นๆ ครับ


    ศาสนาพุทธ ทาน ศีล ภาวนา

    ปฏิบัติ ให้รู้เอง เห็นเอง ตามความเป็นจริงครับ

    .

    และที่สำคัญ จขกท ต้องแยกให้ออกนะครับ ละหว่าง ธรรมผุด กับ วิปัสสนูปกิเลส ครับ
    .
    .


    ธรรมผุด นี่เป็นเฉพาะบุคคล ที่เคยสร้างสะสมมาครับ

    สอนตัวเอง ธรรมสอนตัวเอง จิตสอนตัวเองครับ

    ธรรมข้างในสอนตัวเอง

    และถ้าไม่รู้จักวิธีรักษาใจ จิตตัวเอง รับลองเป็นสักพักสักช่วงก็หาย




    เมื่อมี ธรรมผุดแล้ว ก็อย่าให้เป็น วิปัสสนูปกิเลส อย่าไปหลง จนเป็น วิปัสสนูปกิเลส ครับ

    ดังนั้นถ้าจะแก้ไข นะ ต้องไปแก้ อาการ วิปัสสนูปกิเลส ครับ


    ไม่ใช่ไปแก้ อาการ ธรรมผุด ครับ ไปแก้ วิปัสสนูปกิเลสโน้นครับ

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2013
  17. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    กิเลสต่างๆนั้นเป็นเครื่องทดสอบความมั่นคงของจิตใจได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
    ช่วยให้ก้าวหน้าในธรรมยิ่งๆขึ้นไป กล่าวคือ
    เป็นบททดสอบปัญญาของผู้ปฏิบัติให้เข้าว่า สิ่งนั้น สิ่งนี้ ที่เกิดขึ้นมาในจิตใจ
    คืออะไร มีลักษณะแห่งคุณและโทษอย่างไร มีคุณมากน้อยหรือโทษมากน้อยเช่นไร
    ซึ่งกิเลสในชั้นสูงบางตัวนั้น อาจมีคุณมากกว่าโทษเสียอีกถ้าพินิจพิเคราะห์ดีๆ...........
    โมทนา....
     
  18. ABT

    ABT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +1,524
    การเกิดอาการจิตรู้เป็นสภาวธรรมอย่างหนึ่ง เนื่องจากจิตสงบแล้วพิจารณาธรรมได้ดีมีความรู้สึกว่าตัวเองรู้มาก สิ่งที่ตัวเองรู้นะวิเศษสุดหาผู้ใดเทียมไม่ได้ ครูบาอาจารย์ที่เทศน์นะผิดหมดสิ่งที่ฉันรู้เนี่ยเป็นธรรมที่แท้จริง ธรรมที่ที่คนอื่นแสดงไม่ถูก ฟังก็ฟังอยู่แต่ไม่ยอมรับ หนักเข้าก็ถึงั้นปรามาสครูบาอาจาย์ หรือผู้อื่นว่าโง่ ที่โดนกิเลสหลอกอยู่ได้ แต่ที่แท้จริงตัวเองนั้นแหละที่โดนกิเลสอย่างหยาบค่อนข้างจะกลาง ๆ หน่อย หลอกอยู่ ท่านลองกลับไปคิดดูนะครับว่า ท่านอยู่ในขั้นใด พระโสดาบัน พระสกิทาคา พระอนาคามี หรือพระอรหันต์ แล้วลองไปหาอ่านอาการของแต่ละขั้นครับ ของหลวงปู่ฤาษีลิงดำก็อธิบายชัดเจนอยู่นะครับ ดูจากอาการแล้วโสดาบันท่านก็ยังไม่เ้ข้าเลย น่าจะเฉียด ๆ สมาธิเท่านั้น เพราะอาการเช่นนี้เป็นอาการการหลอกของกิเลส ให้รู้สึกถือตัว อวดรู้ เหยียดหยามครูบาอาจารย์ แค่นี้ก็ไม่เข้าโสดาบันแล้วครับ ผมนะเคยแล้วดูถูกครูบาอาจารย์หลายท่านเพราะอาการอวดรู้นี่แหละขนาดหลวงปู่ฤาษีลิงดำเองผมยังเคยปรามาสเลยครับ ทุกวันนี้รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ได้แต่กราบขอขมาครูบาอาจารย์ทุกท่านที่เคยปรามาส ใช้สติและปัญญาไตร่ตรองให้รอบคอบนะครับ มิฉะนั้นจะต้องมาค้นหาว่าทำไมนั่งสมาธิไม่ไปไหนเีสียที เสียเวลาอย่าหลงกลกิเลส เพราะมันยังปลอมเป็นผู้รู้ไปหลอกพระอรหันต์องคุลีมาลให้หลงผิดเสียนานเลย อนุโมทนาครับ (หากเป็นการจาบจ้วงหรือไม่สมควรก็ต้องขออภัย และขออโหสิกรรมด้วยครับ)
     
  19. ZIGOVILLE

    ZIGOVILLE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +792
    ขออนุโมทนาบารมีท่านทั้งหลายในที่นี่ด้วยครับ
    แท้จริงแล้ว กาย เวทนา จิต และธรรม เป็นอนัตตา เราคือผู้เจริญสติ
    ธรรมผุดขึ้น ก็แล้วแต่ธรรม เพราะธรรมก็มีอยู่แล้วในจิตในธรรมชาติ แม้พระองค์เองก็เป็นเพียงแค่ผู้ชี้ทาง และนำธรรมะเหล่านั้นมาแสดง รู้แล้วก็ละ อย่าไปหลง แต่ก็อย่างว่าแหละ คนหลงมักจะไม่ค่อยรู้ตัว ไม่แน่ล่ะ ตอนนี้เราอาจจะหลงอยู่ก็ได้...ถือเป็นแบบฝึกหัดก็แล้วกัน อยู่ที่ว่าใครเลิกหลงได้เร็วกว่ากัน
     
  20. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984

    ผมเองครับ..เหมือนฝาแฝดเลย
    เป็นนิมิตรที่ดีมาก ครับ อาการที่เกิดจะแสดงกริยาหยาบหรือละเอียดนั้นต้องดูตรง จุดเริ่มแรกคุณมีศิลค่อนข้างบริสุทธิ์รึไม่และเข้าใจธรรมต่างๆแค่ไหน เช่น
    การไม่ยอมรับความเห็นผู้อื่น..กริยา-ความรู้ ที่สะสมมาจะแสดงออกเองเลยในครั้งนี้ ทั้งหมดหากสะสมมาดี จิตใจจะส่งออกมาดีตามกำลังจิตครับ
    การไม่ยอมรับความเห็นผู้อื่น
    ..อันนี้ต้องดูที่ความเห็นคนๆน้ันว่า คุณฟังเขาจบรึไม่หรือเข้าใจเนื้อหาที่เขาพูดทั้งหมดรึไม่ หรือคาดคะเนรู้ก่อนล่วงหน้าก่อน ที่เขาจะพูดจบแล้วว่าผลเป็นเช่นไร..และถูกต้องไหมตามหลักธรรมที่คุณมี คุณเกิดในใจขณะนั้น
    หากไม่ถูกต้อง จนทำให้คุณไม่ยอมรับความเห็นเขา ..นั่นไม่ผิดครับเพียงแต่สมาธิจิต ขันติความสงบระงับ คุณน้อยเกินไปที่จะทนฟังได้ก็แค่นั้น
    แต่หากธรรมที่คู่สนทนาคุณเขาพูดถูกต้อง เพราะคุณพบเจอคนที่เขาผ่านมาแล้วก่อนคุณ ผ่านสภาวะมาก่อนจึงแสดงธรรมเหนือกว่าในลักษณะทายใจคุณได้ว่า จะเกิดอาการใดขึ้นต่อไปหลังจากนี้ คุณจะสยบให้เขาเลยว่าคนๆนี้ ไม่ธรรมดา เพียงแค่สนทนาก็รู้เลยด้วยจิตที่คุณยอมสยบเขา ..เพราะเขารู้จริง รู้ยิ่งกว่าคุณ
    สรุปคือ คุณไปพบเจอคนที่ไม่มีธรรมหรือไม่เคยผ่านสภาวะธรรมแบบคุณมา จึงทำให้คุณไม่ยอมรับพวกเขา ดิ้นรนอยากหนีไม่อยากฟังสิ่งที่ไเหมือนไร้สาระเพราะคุณรู้ลึก..ลึกกว่าที่พวกเขาพูดมามากมายนั่นเองครับ
    ที่พูดมาทั้งหมดคือ อัตตาตัวตนแท้ๆเลยละครับ คนมีความรู้ จะมีมานะ ทิฏฐิ แฝงอยู่มากจะมีอหังการณ์มมังการ แฝงอยู่ทุกคำพูดเป็นธรรมชาติของจิต..ของอัตตานุสัยที่แฝงอยู่ในตัว ที่เกิดสมาธิในขณะนั้น จะหัวปักหัวปำ เห็นดิ่ง..แต่ในความเห็นตนที่พบเห็นมาจากการปฏิบัติ เขาจึงไม่เชื่อใครเลย..นี่ทุกคนจะต้องเกิดแบบนี้ทั้งสิ้น ในสภาวะที่เกิดกับคุณ
    ผู้ที่เกิดอาการแบบนี้เรียกว่า วิปัสสนู อย่างคุณการพูดจา หนักแน่น มั่นคง มีแต่สาระจะเอาแต่สาระ จิตใจมีแต่ธรรมเราเรียก อารมณ์ธรรม ครับ มองเห็นอะไร ก็นำมาพิจราณาเป็นธรรมไปหมด(ไม่ใช่ธรรมฟุ้ง)อยากสอน อยากบอกคนอื่นไปหมด ใครถามอะไรจะรู้ไปหมด ตอบแบบละเอียด ลึกซึ้งเป็นห่วงผู้ถาม กลัวว่าเขาจะไม่เข้าใจ
    นี่แหละครับ นิมิตรหมายที่ใครๆก็อยากจะถึงจุดนี้กันทั้งนั้น(แต่เขาไม่รู้-ณุ้ไ่เท่ากันในการปฏิบัติ) แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับที่จะอธิบายให้ดูดี หากถามคนที่ไม่เคยผ่านหรือผ่านมาแบบไม่แยบคาย คุณจะเสียกำลังใจ ผมยืนยันคุณมาถูกทางแล้วครับ ทุกท่านที่กล่าวมาถูกหมด แต่ละเอียด-หยาบ อธิบายต่างกันตามประสบการณ์ คุณควรภูมิใจครับมันเป็นธรรมชาติของจิต ที่สะสมความรู้-ศิล-ความละอาย ไว้แล้วนำออกมาแสดงได้เองโดยมิต้องเตรียมตัวแต่อย่างใดเลยครับ ปัจจัตตัง สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...