ให้อภัยไม่ง่ายเลย (แต่ทำได้)

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย OddyWriter, 20 มีนาคม 2021.

  1. OddyWriter

    OddyWriter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +977
    เรื่องนี้อาจจะน่าเบื่อสำหรับหลายท่าน โดยเฉพาะท่านที่ไม่เคยโดนคนที่เราเคยช่วยเหลือทำลายจนแทบตายดิ้น

    ต้องบอกก่อนว่าเรื่องนี้เป็นการเล่าจากมุมมองของผมเพียงฝ่ายเดียว อีกฝ่ายไม่มีโอกาสได้มาเล่าเพื่อแก้ต่างใดๆ เพราะจุดประสงค์ที่แท้จริงคืออยากเล่า เท่านั้นเอง

    เรื่องหลายเรื่อง ผมก็รู้ว่าเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง แต่มันก็เป็นเรื่องของความคิดของผมคนเดียว


    เรื่องมันเริ่มจากเมื่อ 10 กว่าปีก่อน

    น้อง น. เป็นรุ่นน้องต่างแผนกในที่ทำงาน ต้องบอกก่อนว่า เธอไม่ใช่สเปคผม และผมก็ไม่ใช่สเปคเธอ ดังนั้นไม่เคยซักวินาทีที่จะมีความคิดจะจีบหรืออะไรทั้งสิ้น สำหรับสเปคผู้ชายของน้อง น. ต้อง ขาวสูง ผมยาว (เห็นได้จากสายตาวิบวับๆ เวลามองใครบางคนในบริษัท) ตัวผมน่ะ ไม่สูง ไม่ขาว และผมสั้นเกรียนมาตลอดดังนั้นสบายใจได้

    วันหนึ่งผมรับรู้ได้ว่าน้อง น. มีอาการทุกข์ใจมาก ก็เลยได้พูดคุยกัน จนรู้ว่า “แม่เธอเป็นมะเร็ง” ท่าทางหนักด้วย ผมก็เลยแนะนำให้เธอนำบทสวดมนต์ของหลวงพ่อจรัญไปให้แม่สวด ถ้าแม่สวดไม่ไหวก็ให้สวดให้แม่ฟัง โดยต้องทำทุกวัน

    หลังจากนั้นนานพอดู แม่เธอก็ดีขึ้น และหายจากมะเร็งได้ในที่สุด


    วันหนึ่ง แผนกของน้อง น. ก็มีตำแหน่งว่าง ซึ่งเป็นสายงานที่ตรงกับที่ผมเรียนจบมา ดังนั้นผมจึงไม่ลังเลที่จะทำเรื่องขอย้ายไปแผนกนั้น โดยมีเงื่อนไขที่ผมขอกับบริษัทไว้ว่า ขอทำงานที่กรุงเทพ 3 วัน และที่ชลบุรี 2 วัน ในวันจันทร์และวันศุกร์ ซึ่งทาง ผู้อำนวยการแผนกก็โอเค


    จนวันที่รอคอยมาถึง ผมก็ทำการเดินทางจากชลบุรีไปทำงานที่กรุงเทพในเช้าวันอังควร แล้วกลับมาทำงานที่ชลบุรีในวันพฤหัสเย็น และด้วยความที่ตัวเองเป็นคนใหม่ของแผนกไอที ผมก็เลยเข้าโรงงานที่ชลบุรีในวันเสาร์-อาทิตย์เพื่อไปเรียนรู้งานในสายงานไอทีของฝ่ายผลิต

    ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมทำงานสนุกมาก แม้จะทำงานจันทร์ถึงอาทิตย์ก็เถอะ

    ผมใช้ชีวิตอย่างนี้อยู่ราวๆ 7 เดือน ได้ แล้วตำแหน่งผู้จัดการแผนกก็มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งคนที่ผมคาดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะได้ตำแหน่งนี้คือ น้อง น. อย่างแน่นอน ซึ่งก็เป็นจริงดังคาด

    และจุดนี้เองที่เรื่องราวต่างๆ เริ่มเปลี่ยนไป

    จากน้อง น. ที่พูดจาไพเราะ เป็นมิตรกับผมแบบคนที่เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมา กลายเป็นคนที่สร้างความกดดันให้กับผมอย่างมาก ไม่รู้ทำไมต้องกับผมคนเดียวด้วยนะ

    ต่อหน้าคนอื่น เธอจะพูดกับผมดีมาก เวลาสั่งงานก็ พี่ช่วยทำนั่นที ทำนี่ที

    แต่พออยู่กัน 2 คนเท่านั้นแหละ หน้ามือเป็นหลังเท้าเลย สั่งงานแต่ละอย่างนี่ไม่เคยคิดว่าจะมีแบบนี้เช่น

    เหตุการณ์ที่ 1

    ไลน์ มาสั่งงานตอนเที่ยงคืน ให้ดึงข้อมูลจาก SAP 1 ปีย้อนหลัง ขอรายงานในตอนเช้า

    คือสมัยนั้นอินเทอร์เน็ตมันเร็วแค่ 256 K เองครับ แล้วข้อมูล 1 ปี ย้อนหลังมันจะทำจากคอนโดที่เช่าอยู่ได้อย่างไร แต่ผมก็พยายามนะ จนตี2 เพิ่งดึงได้เดือนเดียว ก็เลยเลิกทำ

    ตอนเช้าไปบอกเธอว่า ทำไม่ทันจริงๆ เธอตอบว่า เธอไม่เอาแล้ว

    เหตุการณ์ที่ 2

    ขอโปรไฟล์ของผู้บริหารฝ่ายการเงินใน SAP ว่าสามารถใช้อะไรได้บ้าง

    ผมก็เลยขอ ID/Password ที่สามารถเข้าไปเช็คโปรไฟล์ได้

    เธอบอก ไม่มี ไปหาวิธีเอาเอง

    จนเกือบเลิกงานวันนั้น ผมก็ไม่สามารถดึงโปรไฟล์จาก SAP มาให้เธอได้ ก็เลยเดินไปบอกว่าทำไม่ได้

    เธอ Logout จากหน้า SAP ที่กำลังใช้งาน แล้ว Login ด้วยอีก User นึง จากนั้นก็เปิดหน้ารายงานโปรไฟล์ของผู้บริหารท่านนั้น แล้วบอกผมว่า แค่นี้เองไม่เห็นจะยากอะไรเลย (แสดงว่าเธอมีรหัสผ่านอยู่แล้ว แล้วจะสั่งให้ทำทำไม)

    เหตการณ์ที่ 3

    จากเดิมที่ผมทำงานกรุงเทพ 3 วัน ชลบุรี 2 วัน (เสาร์-อาทิตย์ไม่เกี่ยว แม้ผมจะยังทำงานก็เถอะ) เธอก็สั่งให้ผมมาทำงานกรุงเทพ จันทร์ถึงศุกร์ ซึ่งผมก็บอกว่าตอนแรกตกลงกับผู้ใหญ่ไว้แล้วว่าให้อยู่กรุงเทพวันอังคารถึงพฤหัส ซึ่งเธอก็บอกว่านั่นตกลงกับคนอื่น ไม่ใช่เธอ (ซึ่งเป็นหัวหน้าโดยตรง...)


    เหตุการณ์ที่ 4

    JD ข้อหนึ่งของผมคือ มีหน้าที่สนับสนุนการทำงานของพนักงานที่มีปัญหาในการใช้คอมพิวเตอร์ ดังนั้นเวลาใครมีปัญหาในการใช้งานก็ยกโน้ตบุ๊คมาหาผม ผมก็ช่วยเต็มที่จนพนักงานสามารถแก้ปัญหาเองได้ หรือไม่ก็ได้คำตอบในข้อสงสัย

    จนวันหนึ่งเธอเดินมาบอกผมหลังจาก ผจก.บัญชี มีปัญหาในการใช้ฟังก์ชั่นของ Excel ว่า “อย่าโง่ ให้ User หลอกใช้”


    ยังมีอีกหลายหตุการณ์ จนที่สุดผมทนไม่ไหวจริงๆ ไม่รู้จะจงเกลียดจงชังอะไรกับผมนักหนา คือมันรับรู้ได้จากสายตาที่มองผมเลยล่ะ


    ผมเลยเขียนใบลาออกแล้วไปยื่นให้เธอ ซึ่งคำตอบที่ได้รับนั้นสั้นมาก “ขอบคุณค่ะ”


    โดยสัตย์จริง ผมไม่อยากลาออกครับ ผมอยากทำงานในสายงานนี้มาตลอด แต่ผมก็ทนสายตาที่มองแบบจะแผดเผาให้ผมมอดไหม้ และบรรยากาศกดดันแบบดำดิ่งสุดๆ ไม่ไหวจริงๆ

    ดังนั้นผมจึงลาออกมาด้วยความจงเกลียดจงชังคนๆ นี้มาก


    หลังจากลาออกได้ 1-2 เดือน คุณแม่ของผมก็ตรวจพบมะเร็งระยะ 3 เกือบๆ จะ 4 แล้ว


    ตอนนั้นเหมือนโลกทั้งใบมันทลายลงตรงหน้าจริงๆ นะครับ คือมันอึ้งๆ หน่วงๆ ทำอะไรไม่ถูกเลย

    จำได้ว่าถ้าไม่นับตอนไปเรียนกรรมฐานแล้ว วันนั้นเป็นวันที่ผมนั่งกรรมฐานได้นานที่สุด ราว 2-3 ชั่วโมงได้


    ด้วยความที่แม่ไม่มีประกัน (คือไม่ยอมทำประกัน) และเงินก็มีไม่มาก แม่ก็เลยจะไม่ยอมรับการรักษา จนผมกับน้องต้องพูดหว่านล้อมสารพัด เพื่อให้แม่ยอมผ่าตัดและทำคีโม

    ค่าใช้จ่ายในการรักษาแม่คราวนั้น ก็เป็นล้านครับ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เงินสำรองเลี้ยงชีพที่ได้รับมาตอนลาออก จะหายวับไปอย่างรวดเร็ว

    พอแม่ให้คีโมครั้งสุดท้าย คราวนี้ก็ถึงคุณพ่อครับ พ่อเป็นโรคที่รักษาไม่หาย (คล้ายๆ โรคพุ่มพวง) แต่พ่อไม่ยอมบอกใคร พ่อเก็บซ่อนอาการไว้จนอาการหนัก ต้องเข้า ICU ตั้งหลายรอบ

    ตอนนั้นเอง ที่ผมตั้งใจจะบวช 1 เดือน เพื่อให้พ่อได้เห็นชายผ้าเหลือง รวมถึงผมเองก็ตั้งใจจะบวชอยู่แล้วด้วย เผื่อเรื่องแย่ๆ ในชีวิตจะจบลงซักที


    ช่วงที่ผมบวช 1 เดือนนั้น เป็นช่วงที่พ่อดีขึ้นมากอย่างคาดไม่ถึง สามารถกินอาหารได้โดยไม่มีปัญหาเหมือนก่อน


    ผมใช้เวลา 1 เดือนในการบวชนี่อย่างเต็มที่ครับ เช่น ขัดพื้นโบสถ์ทุกวันเท่าที่ไหว ตื่นตี 5 ทำวัตรเช้าทุกวัน รักษาศีล 227 ข้อให้บริสุทธิ์ที่สุด ขนาดพระอาจารย์ สั่งให้ไปเด็ดใบเงินใบทอง มาทำน้ำมนต์ ผมยังขออนุญาตไม่ทำกับท่านเลย บอกว่าผมไม่สบายใจ ซึ่งท่านก็พยักหน้ารับรู้ แล้วไม่ได้สั่งให้ใครไปทำอีก

    เดินทางไปปฏิบัติธรรมที่ธุดงคสถานแห่งนึงที่ปราจีน 15 วัน พอกลับจากปราจีน ก็รีบไปหาพ่อที่บ้านทั้งผ้าเหลือง เพื่อไปโปรดพ่อ (คิดเอาเองนะว่าโปรดพ่อ) อ้อ! ขออนุญาตพระอาจารย์แล้วด้วยนะครับ


    พอครบเดือนผมก็ลาสิกขา พร้อมความภาคภูมิใจ ที่บวชได้อย่างที่ตั้งใจ และปฏิบัติตนได้สมกับเป็นพระจริงๆ


    26 พ.ค. 2558 เป็นเวลา 30 วันหลังจากการสึก พ่อผมก็เสียครับ


    ช่วงนี้เองครับ ที่ด้านมืดเข้าครอบงำ เหมือนอนาคิน สกายวอร์คเกอร์


    ผมโกรธตัวเองที่ออกจากงานมาหลายปีแล้วยังหางานทำไม่ได้

    ผมโกรธตัวเองที่ไม่มีเงินซื้อยาให้พ่อ ค่ายาพ่อ เดือนละหมื่น ซึ่งพ่อรับยาแต่เดือนเดียวคือเดือนที่ผมไปบวช พอรู้เรื่องค่ายา พ่อก็ไม่ยอมไปรับยาอีก น่าจะเพราะพ่อรู้ว่าผมตกงาน ยังหางานทำไม่ได้

    ผมโกรธคนที่ทำให้ผมทนไม่ไหวจนต้องออกจากงาน

    จากนั้นความโกรธผสมความเกลียดชังที่มีมาตั้งแต่แรก มันก็กลายเป็นความแค้น ผมแค้นน้อง น. มาก เรียกว่าอยากจะฆ่าให้ตายเลยเชียวล่ะ


    โชคดีหรือร้ายก็ไม่รู้ ผมไม่มีเงินกระทั่งจะไปซื้อปืน แต่ก็คิดทุกวันนะ

    ตอนแรกคิดว่าจะเข้าไปเอาปืนยิงน้อง น. ตรงหน้าผากให้ตายคาออฟฟิศ

    จากนั้นก็เปลี่ยนความคิด เพราะกลัวติดคุก ก็เลยกะจะเข้าไปหา แล้วยิงน้อง น. ให้ตาย จากนั้นก็ยิงตัวตาย แต่ก็ทุเรศตัวเอง ตรงที่จะต้องมีคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพิศวาสฆาตรกรรม ทั้งที่ผมไม่เคยมีความพิศวาสใดๆ มาตั้งแต่แรกเลย

    จนเปลี่ยนไปว่าจะเข้าไปหา แล้วยิงหัวตัวเองให้ตายไปต่อหน้าต่อตาน้อง น. แถมเป็นการยิงแบบที่ให้มันสมองของตัวเองกระเด็นไปเต็มหน้าน้อง น. ด้วย จะได้ฝังใจเธอไปจนตลอดชีวิต แต่ติดตรงที่ดีไซน์ท่ายิงไม่ออก คืออยากให้เห็นสายตาผมตอนกำลังยิงหัวตัวเอง แล้วพอยิงปุ๊บก็ให้มันสมองกระเซ็นไปจนเต็มหน้าเธอ ซึ่งคิดท่ายิงอย่างไรก็คิดไม่ออก แถมยังมีเรื่องเดิมๆ อีก คือไม่มีเงินซื้อปืน

    ทุกวันผมจะหลับไปพร้อมกับความแค้น ตื่นขึ้นมาก็แค้น มันแค้นๆๆๆ อยากฆ่าให้ตาย

    จนบางวันผมก็เอามีดกรีดแขนตัวเองครับ คือมันแค้นมาก แค้นแต่ทำอะไรไม่ได้ เงินก็ไม่มี แถมตกงานอีก

    คือมันเป็นความรู้สึกที่มืดดำมากๆ บางวันก็เอามีดจ่อที่ข้อมือตัวเอง ตั้งใจจะฆ่าตัวตายให้พ้นจากภาวะนี้ไปซะ


    โชคดี (มั๊ง) ทุกเช้าผมตื่นมา ผมจะสวดมนต์ หลังสวดมนต์ผมจะอุทิศส่วนกุศล แผ่เมตตา แล้วก็อโหสิกรรมให้น้อง น. ความแค้นหายไปพักนึง แล้วก็ค่อยๆ สะสมเพิ่ม จนกลับมาแค้นหนักๆ ตอนก่อนนอน แล้วยิ่งแค้นหนักตอนตื่นนอน (สิ่งแรกที่คิดคือแค้นอยากฆ่ามัน...ทุกวัน)


    10 ปีผ่านไป ราวๆ ต้นเดือน กุมภาพันธ์ 2564

    ผมเหนื่อยกับความแค้นอันแสนยาวนาน เช้าวันนึงหลังสวดมนต์ ผมตะโกนออกมาดังๆ ในห้องพระเลย

    “ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในห้องพระแห่งนี้ เทพเทวดาเทพารักษ์ทุกๆ พระองค์ ผีบ้านผีเรือน โปรดเป็นพยาน ข้าพเจ้าขอประกาศอโหสิกรรมให้น้อง น. (ชื่อ-นามสกุล) ไม่ว่าจะเคยทำอะไรให้ข้าพเจ้าเดือดร้อน เจ็บแค้นมากเพียงไหน ข้าพเจ้าขออโหสิให้ทั้งหมด อย่าได้มีเวรมีกรรมต่อกันและกันอีกเลย”


    ไม่น่าเชื่อครับ ความแค้นผมลดลงไปเยอะมาก จากที่แค้นจนแทบกระอักเลือดทุกวัน มันละลายหายไปเกือบหมด แถมไม่กลับมารบกวนจิตใจผมอีกเลย


    เหลือแต่คำว่า “ช่างมันเถอะ อะไรเกิดแล้วคือเกิดแล้ว กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้”


    สรุปคือ ผมใช้เวลาถึง 10 ปีเต็ม กว่าจะละความแค้น อโหสิกรรมให้คนที่เป็นสาเหตุให้ชีวิตผมพังทะลายไม่เหลือชิ้นดี หมดสิ้นเกือบทุกอย่าง แม้กระทั่งตัวเอง


    10 ปีที่ผ่านมา ผมสูญเสียความเป็นตัวเอง

    1. ผมเลิกเชื่อเรื่องการทำดีได้ดี ทั้งที่เมื่อก่อนเชื่อเรื่องกรรมมาก ศึกษาเรื่องนี้ทั้งแนวลึกและแนวกว้าง

    2. ผมเลิกเชื่อเรื่องการตั้งจิตอธิษฐานเพื่อขอในสิ่งที่ดีที่สุจริตและมีความเป็นไปได้ เพราะ 10 ปีที่ผ่านมาขออะไรไม่เคยได้เลย เช่น

    a. ถือศีล 8 อย่างเคร่งครัด เก็บตัวอยู่ในห้องพระตลอด 7 วัน เพื่อของานทำ ก็ไม่ได้รับการติดต่อใดๆ จากบริษัทที่สมัครไว้ 100 กว่าแห่งเลย

    b. เคยขึ้นเขาคิชฌกูฏ จันทบุรี แล้วตั้งจิตอธิษฐานของานก็ไม่มีแม้แต่โทรเรียกสัมภาษณ์

    c. เคยขัดห้องน้ำวัด เพื่อของานทำ ก็ไม่ได้ (ขัดไป ขอไป)

    d. เคยขัดล้างลานหน้าโบสถ์คนเดียว ขัดไปก็ตั้งจิตอธิษบานไปว่า ขอให้ได้งานทำ ก็เงียบหายไร้การติดต่อจากบริษัทที่ส่งใบสมัครไป

    e. แม้กระทั่งใช้วิธีการของคุณดังตฤณ คือตั้งจิตอธิษฐานพิสูจน์ว่าเวรกรรมมีจริง โดยตั้งจิตอธิษฐานว่าถ้าเวรกรรมมีจริง ขอให้มีบริษัทติดต่อเข้ามานัดสัมภาษณ์ภายใน 7 วัน โดยจะได้งานหรือไม่ก็ไม่เป็นไร แต่เชื่อไหมครับ ทุกอย่างเงียบสนิท ไม่มีใครติดต่อเข้ามาเลยซักราย

    3. ผมเลิกเชื่อว่า การที่เราช่วยเหลือใครต่อใครเอาไว้ พอถึงวันที่ลำบาก จะมีมือที่มองไม่เห็นมาช่วยเหลือเราบ้าง แต่ผมก็ไม่เห็นอะไรๆ มันจะดีขึ้นเลย ลำบากขัดสนตกงานอย่างไร ก็ยังเหมือนเดิม

    เมื่อมีเสีย ก็มีได้ สิ่งที่ผมได้จากเหตุการณ์ตกงานนานต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้คือ

    1. ผมเลิกเชื่อเรื่องทรงเจ้าอีกแล้ว เพราะเคยมีร่างทรงบอกจะช่วยเรื่องงาน แต่จนวันนี้ก็ยังไม่ได้งานทำ ช่วงหลังนี่ ผมถึงขนาดไล่ร่างทรงที่กำลังลงประทับออกจากบ้านเลยเชียวล่ะ ตะเพิดไล่จนเทพกระเด็น ร่างทรงกระดอนออกจากบ้านแทบไม่ทัน

    2. ผมเลิกเชื่อเรื่องหมอดู เพราะในวันที่ทุกข์มากๆ จนแทบฆ่าตัวตาย ผมไปหาหมอดูตาบอดที่ว่าแม่น ซึ่งเค้าก็ทำนายว่าจะได้งานภายในปีนั้น (จำไม่ได้ว่าปีไหน) แต่จนผ่านปีนั้นไปหลายปีจนถึงปีโควิด ก็ไม่มีการการติดต่อเรื่องงานใดๆ ทั้งสิ้น

    3. สิ่งที่ตอกย้ำให้ผมชังหมอดูยิ่งขึ้นคือน้องชายผมเอาวันเดือนปีเกิด เวลาตกฟากของผมไปทำนาย ซึ่งเรื่องงานเค้าทำนายว่าผมจะมีตำแหน่งใหญ่โตเงินเดือนมากมาย แต่เป็นงานที่เครียดมาก ทุกวันนี้เหรอครับ ตกงานจนเครียด เงินเดือนก็ไม่มีซักบาท อยากจ่ายภาษีปีละหลายแสนแบบเมื่อก่อนใจแทบขาด แต่ทุกวันนี้เห็นเงินบาทนึงตกอยู่ริมถนนยังแทบจะรีบกระโจนใส่เลยเชียวล่ะ

    4. เลิกคิดฆ่าตัวตายเด็ดขาด


    อยากเน้นย้ำกับใครที่คิดฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหาว่า

    ปัญหาที่ทำให้เราฆ่าตัวตายน่ะ มันไม่หายไปไหนแม้เราจะฆ่าตัวตายแล้วก็ตาม

    ลองคิดดีๆ นะครับ

    ถ้าคุณเป็นหนี้ แล้วหนีปัญหาด้วยการฆ่าตัวตาย คนที่อยู่ภายหลัง เค้าก็ต้องคอยชดใช้หนี้ให้คุณอยู่ดี

    แล้วถ้าคิดว่าจะฆ่าคนในครอบครัวให้หมดก่อน แล้วค่อยฆ่าตัวตายตาม (ถ้าทำได้สำเร็จ) หนี้ที่คุณสร้างไว้ มันก็ไม่ได้หมดไปไหน มันยังเป็นตัวเลขติดอยู่ในบัญชีและหัวใจของเจ้าหนี้ไปอีกนาน แล้วถ้าเจ้าหนี้ (นอกระบบ) พบว่าคุณยังมีพ่อแม่ที่ยังไม่ตายอยู่ คุณคิดว่าหนี้ก้อนนี้จะไปตกที่ไหน

    หรือถ้าคุณฆ่าตัวตายเพราะอกหัก คุณคิดว่าฆ่าตัวตายแล้วเรื่องอกหักมันจะหายไปไหม ลองมองในมุมที่คุณคืออีกฝ่ายดูสิครับ ถ้ามีใครฆ่าตัวตายเพราะเค้ารักคุณ แต่คุณไม่ได้รักเค้า พอเค้าฆ่าตัวตายไปแล้วคุณจะรู้สึกอะไรไหม จะทุกข์ใจทั้งที่คุณไม่ได้รักเค้าเหรอ กลับรู้สึกโล่งซะอีก เพราะไม่ต้องมีใครมาสร้างความอึดอัดให้อีกแล้ว แล้วไอ้ความอกหักมันจะไปอยู่ไหนล่ะ มันก็อยู่กับคนที่ฆ่าตัวตายน่ะสิ แถมอาจจะเป็นที่โจษขานกันต่อไปอีกว่า “ขนาดตัวเองยังไม่รัก แล้วจะไปรักใครได้”


    สถานะปัจจุบัน เลิกแค้นเค้าแล้วล่ะ ทำใจได้ในระดับนึง (เยอะอยู่) ใช้ชีวิตไปวันๆ รอว่าเมื่อไหร่จะตายซักที และไม่มีงานทำ
     
  2. On_a

    On_a สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2021
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +13
    ชีวิตคนเรามันมีเวลาของมันอยู่แล้วค่ะ เหตุผลของคนๆ นึงที่ทำแบบนั้นทำแบบนี้กับเรา นอกจากตัวเขาจะบอก เราก็อาจจะคาดเดาได้ไม่ถูกต้องนัก แต่ความคับแค้นในใจเราถ้ามันเกิดขึ้นและดับได้ มันก็ดีสำหรับตัวเราแล้ว ใจคนเราน่ะคุณ ถ้าผูกติดกับความสมหวัง ผิดหวัง ความรัก ความชัง มันก็ไม่เคยเป็นอิสระ จะมีแต่ทุกข์ตลอดเวลา วางได้ก็สบายใจเรา

    อีกอย่างคือ เราว่าคุณเป็นคนมีอารมณ์ขันนะ เข้าใจล่ะว่าคนตลกก็แค้นเป็น 10 ปีที่ถูกความแค้นทำลายจิตใจจนสลายไปได้ น่ายินดีจริงๆ และอยากให้คุณเชื่อมั่นในสิ่งที่ดีต่อไป

    คำว่า สิ่งที่ดี เหตุที่ดี ถ้ามันดีต่อตัวเรา ดีต่อใครๆ มันก็ย่อมส่งผลดีให้เราสักวัน ซึ่งเราอาจจะหมดกำลังใจ หมดความเชื่อมั่นไปได้บ้าง ก็ขอแค่ให้เป็นอาการชั่วคราว ก็พอ

    หวังว่านับจากวันนี้คุณจะพบเจอเรื่องดีๆ ต่อไปนะคะ
    ขออวยพรให้ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2021

แชร์หน้านี้

Loading...