Sextest Could Atlas

ในห้อง 'Music & Karaoke' ตั้งกระทู้โดย สตธศร, 27 มีนาคม 2013.

  1. สตธศร

    สตธศร Namo Amithapho

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    707
    ค่าพลัง:
    +1,537
    ขอบอกว่าหนังเรื่องนี้กินเวลาผมไปพอสมควร
    เข้าโรง 10.40น. หนังจบ 14.40น. อืมนะ...
    ถ้าจะบอกว่าไม่พอใจหนังอะไรสักอย่าง ก็คงเป็นตอนไคลแม็กซ์
    ซึ่งผมบังเอิญอดทนไม่ไหว ต้องรีบกระโจนออกไปเข้าห้องน้ำ
    (เพราะหนังนานมาก กลั้นมานานมาก)
    กลับมาอีกที ฉากไคลแม็กซ์จบแล้ว และหนังกำลังดำเนินเรื่องเข้าถึง
    ฉากจบอย่างสวยงาม ซึ่งก็คือตอนที่.... อ่ะแหน่ ผมไม่สปอยล์หรอกครับ



    เรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นอารัมภบทขำๆที่ผมก็เกริ่นนำมาอย่างนั้นแหล่ะ
    แต่สิ่งที่ทิ้งไว้เป็นภวังค์ภายใต้ความรู้สึกนึกคิดของผมก็คือ
    "ผมอยากจะกลับไปที่พักให้เร็วที่สุด เปิดคอมพ์ให้เร็วที่สุด และเขียนชื่นชมหนังให้เร็วที่สุด"

    ต้องยอมรับครับว่า เป็นหนังไม่กี่เรื่อง ที่ทำให้ผมซาบซึ้งตรึงใจ
    วนไปวนมาในใจผม ทั้งทำนองเพลง และบทสรุปที่หนังพยายามจะสื่อ

    หนังเอาทุกอย่างมายำรวมกันหมดเลยครับท่าน!

    ศาสนา ...
    ปรัชญา ... ในที่นี้หมายถึงหลักการการใช้ชีวิตและการอยู่ร่วมกับผู้คน
    วิทยาศาสตร์ ซึ่งในที่นี้คือทฤษฎี ผีเสื้อกระพือปีก (Butterfly Effect)
    หรือ เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว (แล้วผมจะอธิบายละเอียดอีกที)
    จิตวิทยา ที่เน้นๆเลยคือ "เจตจำนงอิสระ (Free Will)"
    ผมขอสรุปเนื้อหาของหนัง สกัดออกมาเป็นข้อคิด แล้วนำมาร้อยเรียง
    ให้ทุกท่านได้อ่านกันเฉพาะเนื้อเน้นๆ ไม่เน้นสปอยล์ละกันครับ
    (แต่อาจจะมีการอธิบายโครงเรื่องของหนัง และมีการสปอยล์คำพูดบางคำที่สำคัญบ้าง
    เพื่อความเข้าใจ)

    "Story ในหนังจะมีทั้งหมด 6 Story ต่างยุคต่างสมัย และบาง Story ก็ต่างดวงดาวกัน
    และนำเสนอในลักษณะที่ตัดฉากไปๆมาๆ เหมือนเหตุการณ์เหล่านี้
    เป็นเหตุการณ์คู่ขนานกัน"

    หนังมีการพูดถึงการเวียนว่ายตายเกิด และผลของกรรม
    แว๊บแรกที่ผมดูหนังไปครึ่งเรื่อง นี่มันเป็นหนึ่งในความเชื่อของศาสนาพุทธชัดๆ
    (หนึ่งในความเชื่อเฉยๆนะครับ ไม่ใช่ "แก่น")

    หนังใช้ตัวนักแสดงซ้ำไปมาใน 6 Story เพื่อสื่อถึงการกลับมาเกิดใหม่
    หนังอธิบายเรื่องกรรมได้เนียนมาก ชนิดที่ว่า คุณต้องจับให้ได้เอง
    ว่าใครเกิดใหม่ แล้วเจอผลดี ผลร้ายอะไร?
    เพราะหนัง จะไม่มานั่งอธิบายคุณถึงเรื่องราวของวิบากกรรมใดๆทั้งสิ้น
    แต่ถามว่า มีวิบากกรรมแสดงความเชื่อมโยงกันอยู่ในหนังแต่ละตอนไหม?
    คำตอบคือมีในหนังแน่ๆครับ ^_^

    คุณเชื่อไหมว่า เดจาวู ในฉากที่ผู้หญิงคนหนึ่ง จำเสียงเพลง Cloud Atlas ได้
    เหมือนว่าเคยฟังเพลงนี้มาจากไหนไม่ทราบ แต่มั่นใจว่ารู้จักเพลงนี้

    นั่นเป็นวิธีการอธิบายการเวียนว่ายตายเกิดของหนังอย่างหนึ่งครับ
    (ทฤษฎีเดจาวูมีหลากหลายมาก บางทีก็เป็นเรื่องจิตวิทยา บางทีก็เป็นเรื่องชาตินี้ชาติก่อน
    บางทีก็เป็นเรื่องทฤษฎีโลกคู่ขนาน)

    แต่มีเรื่องนึงที่ต้องทำความเข้าใจกันก่อน
    ฝรั่งเขาไม่ได้เน้นการนำเสนอศาสนาพุทธนะครับ
    วิธีการอธิบายเรื่องวิบากกรรมเลยดู Reality กว่า ในแบบของฝรั่ง
    Cloud Atlas เน้น การนำเสนอเหตุ-ผลลัพธ์ในแบบที่จับต้องได้
    คือ มองเห็นด้วยตาเปล่า มองเห็นการเชื่อมโยงได้
    จากจุดเล็กๆ ค่อยๆทวี และไปถึงจุดใหญ่ๆ
    สุดท้ายไปกระทบกับผู้คนในจุดที่ผลลัพธ์มันแสดง
    จึงถือเป็นการนำเอาเรื่อง เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว มาอธิบายเป็นแก่นหลักในการอธิบายมากกว่า พุทธศาสนา

    "มากกว่าที่จะแค่อ้าง กฏแห่งกรรม แล้วไม่แสดงให้เห็นผลการเชื่อมโยงใดๆ"

    โลกคู่ขนาน? ทฤษฎีสตริง? เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว?
    หนังบอกเราโท่งๆในตอนท้ายๆเรื่องเลยล่ะครับ
    ว่า "ชีวิตเรา การกระทำเรา ไม่ได้เป็นของเราคนเดียว"
    (ถ้าใครเคยดูซีรีส์เกาหลี ดร.จิน คงจะเคยได้ยินคำพูดแนวๆนี้)

    แนวความคิดเรื่องโลกคู่ขนาน สรุปเป็นข้อความง่ายๆได้ว่า
    "ในเอกภพไม่ได้มีแค่เราในมิตินี้ แต่มีตัวเราในอีกมิติหนึ่ง"

    "เรา(ในอีกมิติหนึ่ง)" ดำเนินชีวิตอยู่ในรูปแบบที่แตกต่างกันไป
    ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน แต่มีสายโยงใยบางอย่าง
    ที่การกระทำหนึ่ง ...
    มีผลกระทบไปสู่อีกคนหนึ่ง ให้เกิดความคิดและการกระทำ
    ที่สอดคล้องกัน (ย้ำตัวเป้งๆว่า สอดคล้องกัน)
    คล้ายมีสายบางๆที่มองไม่เห็น(String) เชื่อมโยงการพริ้วไหว
    ของกายเรา ความคิดเราในโลกนี้ กับอีกคนหนึ่ง ที่เราไม่รู้จัก

    คำว่า "ต่างมิติ" ที่ว่าเนี่ย หนังนำเสนอได้กว้างมากครับ
    ถ้าจะสรุปเป็นคำง่ายๆ อาจใช้คำว่า กาล-อวกาศ
    คือ เกิดขึ้นในเงื่อนเวลาที่ต่างกัน (อดีต / ปัจจุบัน / อนาคต)
    เกิดขึ้นในสถานที่ที่ต่างกัน (อาจจะโลกเดียวกัน หรือต่างดาว)
    เกิดขึ้นในความน่าจะเป็นทางควอนตั้มที่ต่างกัน (หือ??? อันนี้ช่างมัน 555)

    "แต่ไม่ว่าจะต่างกันที่อะไรก็ตาม
    เรื่องราวเล็กๆน้อยๆของเรา
    ล้วนตามไปส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงได้
    กับใครบางคนที่รอรับผลนั้นๆอยู่"

    ซึ่งคนๆนั้นอาจเป็น...
    เรา ที่กลับชาติมารับผล ... หรือ
    เป็นเรา ที่อยู่คนละด้านของโลกคู่ขนาน .... หรือ
    อาจเป็นเขา หรือใครก็ได้ที่จะนำ "สาร" นี้
    ไปก่อให้เกิดผลกระทบในทางดี ทางร้าย กับสังคมในวันข้างหน้า
    (แล้วเราก็ตามไปเกิดใหม่ในสังคมนั้นอีกที 555 มันช่างงงวยยิ่งนัก)
    แต่ทั้งหมดที่พูดมา หนังเลือกที่จะอธิบายครบทุกรูปแบบเลยครับ

    แล้วจิตวิทยา เกี่ยวอะไรด้วย?
    อืม ตอบแบบกำปั้นทุบดิน องค์ประกอบหลัก(Core) ของหนังเรื่องนี้
    ไม่ใช่กฏแห่งกรรม ไม่ใช่โลกคู่ขนาน นะครับ (มี แต่ไม่ใช่เรื่องหลัก)
    แต่เป็น 2 เรื่อง ดังนี้
    1. "อิสรภาพในการตัดสินใจ โดยมาจากตัวเราเองจริงๆ"
    2. "ผลกระทบสืบเนื่องจากเรื่องเล็กไปสู่เรื่องใหญ่ ที่เราเรียกว่าทฤษฎีเด็ดดอกไม้ฯ "

    เรื่องแรงๆ ต้องเน้นแดงๆให้ชัดเจนครับ
    2 ทฤษฎีดังกล่าว หนังโคดๆจะเน้นครับ
    หนังสอดแทรกคำว่า "อิสรภาพ" อยู่ในทุกอณูของหนังเลยก็ว่าได้
    และเมื่อดูหนังจนจบแล้วลองคิดดูๆดี
    ทฤษฎีเด็ดดอกไม้ฯ นี่ล่ะครับ แกนดำเนินเรื่องของหนัง ชัดๆ!!

    เรื่องเด็ดดอกไม้ เอาไว้เด็ดกันทีหลังครับ
    ผมขออนุญาตอธิบายเกี่ยวกับอิสรภาพในการตัดสินใจก่อน

    เจตจำนงอิสระ (Free Will) เกริ่นเบาๆแบบบ้านๆ มันก็คือ อิสรภาพในการตัดสินใจ
    โดยที่มาจากสิ่งเร้าภายใน คือ ใจเราเอง

    ทฤษฎีเรื่อง Free Will มีกันมานานแล้วครับ
    เขาเชื่อว่า "มนุษย์เราจริงๆไม่มี Free Will กันหรอก หลอกตัวเองกันทั้งนั้นว่าคิดเอง"
    การตัดสินใจ การคิด และการลงมือกระทำ ทุกอย่างล้วนมีแรงผลักดันมาจาก
    สิ่งแวดล้อมและอดีต ครับ

    ในทางจิตวิทยา "อดีต" คือ พื้นที่ที่เรามองเห็น คืออดีตในช่วงที่เรามีชีวิตบนโลกนี้ครับ

    แต่ในทาง Multi-Universe หรือโลกคู่ขนาน "อดีต" คือสิ่งที่คนๆหนึ่งในมิติหนึ่งกระทำไว้
    และมีผลโยงใยมาเหนี่ยวนำให้คนอีกมิติหนึ่งกระทำการใดๆที่สอดคล้องลงไป
    (เห็นไหมครับ? ว่ามันเริ่มจะสนุกแล้วสิ เพราะนามธรรมเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง!)

    แนวความเชื่อของโลกคู่ขนาน มันเลยบังเอิญมาบ๊ะ! กันกับหลักศาสนาพุทธไงครับ
    เพราะ "อดีต" ในศาสนาพุทธเอง ครอบคลุมตั้งแต่อดีตในชาตินี้ และอดีตในชาติปางก่อน
    ของใครก็ไม่ทราบ ได้กระทำกรรมใดๆไว้ แล้วผลกรรมนั้นก็มาเป็นวิบากให้เราในชาติใหม่
    ที่ต้องเกิดมารับกรรมครับ

    แล้วเรื่องเจตจำนงอิสระ (Free Will) มันเกี่ยวอะไรวะ?
    คำตอบคือ เกี่ยวครับ!
    ศาสนาพุทธไม่ได้พูดถึง Free Will แต่!! ... ศาสนาพุทธบอกว่า
    "ผลกรรมในอดีต จะมีผลให้เรา คิด พูด และทำ ในชาตินี้ เสมือนเป็นผีพรายมากระซิบ
    ที่เรามองไม่เห็น เรานึกว่าเราคิดและทำ เพราะเราคิดเอง ทำเอง
    แต่มันล้วนมาจากการกระทบของวิบากกรรมในอดีต มาเป็นกรอบให้เราดำเนินชีวิตต่อ
    ในทิศทางที่สอดคล้องกับผลกรรมของเรา"

    ดีหน่อยตรงที่ศาสนาพุทธยังให้โอกาสมนุษย์เราครับว่า
    Free Will จริงๆมันมีได้ แต่ต้องใช้ "ตัวสติ"

    "ถ้าเราตั้งใจมองดีๆว่าเรากำลังทำอะไรอยู่? พฤติกรรมและความคิดเรามันเป็นแบบไหน?
    และเรามองเห็นได้ชัดเจนว่า อะไรทำให้เราเป็นคนแบบนี้ มีความคิดแบบนี้ มีการกระทำแบบนี้?"

    " ปัญญา จะตัดขาดประหารกิเลสนั้นทันที เปิดความเป็นไปได้ใหม่ ให้เราสร้างกรรมใหม่
    ที่ไม่มีกรรมเก่ามาให้อิทธิพลเหนือเราได้"

    สอดคล้องกับคำกล่าวหนึ่งในหนังเด๊ะๆเลยครับ
    อ้อ! ...หนังมีการใช้คำว่า "กิเลส" ด้วยนะครับ

    ถ้าเป็นเชิงจิตวิทยา กิเลสคือกรอบที่มองไม่เห็น แต่มันบังคับให้เราคิด และทำ

    เป็นไงครับ? รู้สึกสนุกขึ้นมาบ้างหรือยัง กับความสอดคล้องกันอย่างลงตัว
    ที่หนังได้เอามาใส่ไว้ในพล๊อตเรื่อง

    ผมเกริ่นยาวไปหน่อย จนลืมอธิบายว่าหนังเอาเรื่องอิสรภาพทางความคิดมานำเสนอยังไง?

    อย่างที่บอกไปว่า หนังเอาเรื่องนี้มาแทรกแทบทุกอณูของทุก Story ครับ
    หนังอธิบายเรื่อง Free Will เป็นเชิงสัญลักษณ์
    โดยเปรียบ อิสรภาพทางความคิด(นามธรรม) เทียบกับ
    อิสรภาพทางกาย (รูปธรรม)
    โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ในหลายๆ Story จะเกี่ยวกับความไม่ถูกต้อง
    การกดขี่ข่มเหง กฏหมายที่ป่าเถื่อน
    และกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง(นักปฏิวัติ) ที่ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อความถูกต้อง
    ปลดแอกเพื่ออิสรภาพ
    เป็นการนำเอาสัญลักษณ์ "อิสรภาพ" มาแสดงออก
    ว่าการเปลื้องพันธนาการนั้น ยากลำบาก และต้องมีการสูญเสียขนาดไหน?

    หลายๆตอนเป็นการต่อสู้ทางรูปธรรม
    แต่ตอนสุดท้าย ที่ ทอม แฮ้งค์ เล่นเป็นตัวดำเนินเรื่องหลัก
    "เป็นการต่อสู้กันตัวๆครับ...
    ระหว่าง ความคิดชั่วร้าย กับ การดิ้นรนที่จะมี Free Will เพื่อทำความดี"

    การหลุดออกจากกรอบความคิด
    ไปสู่ขั้นที่จะมีเจตจำนงอิสระนั้นเป็นไปได้ (หนังมันสื่องั้นนะ)
    แต่ก็ต้องผ่านความยากลำบากและอุตสาหะ กอปร กับระยะเวลาที่เนิ่นนานมาก

    หรือ... ถ้าเหนื่อยนัก จะยอมเป็นทาสทางกฏหมาย (แปลว่า ยอมเป็นทาสทางความคิดแบบเดิมๆ ที่กรรมเก่ามันส่งผลมาให้คิด) ก็ได้ แต่คุณจะวนเวียนอย่างนี้ไปไม่จบสิ้น

    แม้ความตาย ก็เป็นแต่ประตูบานหนึ่ง ที่นำเราไปสู่อีกชีวิตนึง ที่ต้องเจอกับเรื่องเดิมๆเหล่านี้
    เหมือนเอาเหล้าเก่าออก ใส่เหล้าใหม่เข้าไป แต่ขวดเหล้า ก็ขวดเก่าขวดเดิม

    Cloud Atlas นำเสนอได้สมบูรณ์แบบครับ
    คนดูตรึงตากันเลยทีเดียว ถึงความสำคัญอย่างสูงสุด
    ของอิสรภาพ ทั้งแง่รูปธรรม และนามธรรม

    เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว(บ้างก็ว่า สะเทือนถึงดวงจันทร์)
    ผมอธิบายมายืดยาวมาก เกี่ยวกับ กรรมเก่า(กิเลส กรอบความคิด) กรรมใหม่(Free Will)
    ซึ่งเป็นเรื่องที่หนัง "จงใจหยอด" มานำเสนอเยอะ...
    แต่จะขาดแกนหลักที่เป็นตัว "ร้อยเรียงเรื่อง" ไม่ได้เลย
    ก็คือ การสั่นสะเทือนให้สอดคล้องกัน ของ Story ทั้ง 6 ครับ
    (ผมก็ตั้งชื่อให้ดูหรูๆไปงั้น)

    ในหนังมีการใช้หนังสือ ไดอารี่ และหนัง หรือการกระทำใดๆก็ตาม
    เริ่มจากจุดเล็กๆที่คนทำเรื่องชั่วๆ(ไปตามครรลองสังคมที่เสื่อมทราม)
    หรือทำเรื่องดีๆ(ปฏิวัติสังคมและความคิด)
    และมีการพูดส่งต่อกัน มีการทำเป็นหนังสือ เป็นไดอารี่ เป็นหนัง

    จุดจบของเรื่อง คือผลของการกระทำที่ แทบไม่เกี่ยวกันเลย
    ของคนในอดีต หรือในโลกไหนก็ไม่รู้ ที่เนิ่นนานมาแล้ว
    ทั้งๆที่คนในอดีต กับคนในปัจจุบัน ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน

    แต่เชื่อไหมครับ? มันส่งผลกระทบมาถึงกันได้ขนาดนี้
    พลังของการเด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาวเชียวนะ
    อาจเป็นการกระพือปีกเล่นๆของผีเสื้อ
    แต่อีกซีกโลกมีพายุถล่มอยู่ก็เป็นได้

    นี่คือสิ่งที่หนังกำลังจะสื่อครับ
    และเป็นสิ่งที่ทฤษฎีเด็ดดอกไม้ฯ ได้กล่าวไว้เช่นกัน
    ถึงความสืบต่อกันและผลกระทบต่อกัน ของเรื่อง 2 เรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย

    อ่านที่ผมเขียน แล้วไปติดตามหนังดูดีๆ คุณจะเห็นครับ

    ว่าพลังของ Butterfly Effect มันทรงผลังขนาดว่าปฏิวัติโลกได้เลย
    อ้อ สำหรับคนที่กำลังงงๆว่า ทฤษฏีเด็ดดอกไม้ฯ กับผีเสื้้อฯ อันเดียวกันมั้ย?

    มันคล้ายๆกันครับ
    ทฤษฏีเด็ดดอกไม้ฯ จะเน้นในเรื่องของผลกระทบสืบต่อจากเรื่องเล็กไปเรื่องใหญ่
    ส่วนทฤษฏีผีเสื้อฯ จะเน้นในเรื่องของ "ความไม่เกี่ยวข้องกันของ 2 เหตุการณ์ และมีผลกระทบซึ่งกันและกัน" ครับ

    สุดท้ายนี้ฝากเพลงบรรเลงประกอบหนัง
    ที่สุดแสนจะก่อแรงบันดาลใจเพลงหนึ่ง
    เพลงนี้ชื่อ Sextet

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=kTESnUokhMU]Cloud Atlas - Sextet (trailer song) [HD] - YouTube[/ame]

    Read more at : Cloud Atlas ศาสนา ปรัชญา วิทยาศาสตร์ และเรืองของจิตวิทยา | ทอฝัน - ความสุขของการแบ่งปัน
    Follow us: @thorfundotcom on Twitter | ThorfunDotCom on Facebook
     

แชร์หน้านี้

Loading...