ที่นายว่านั้น มันเป็นกรรม ที่ทำให้เจ็บปวด มันไม่ใช่ตะครึว นั่งข้ามได้แล้วจะรู้เองว่าเจ็บปวดเพราะอะไร มันจะเห็นขึ้นมา
อุปจารสมาธิมันเกิดได้เพียงวันเดียวก็เกิดแล้ว แต่ต้องนั่งให้นาน ทรงจิตเอาไว้ให้นาน หลายคนพลาดตรงที่ กำลังจะนิ่ง กำลังเข้าสมาธิลึกๆ กำลังจะได้ของดี...
กัมมัสสะโกมหิ (เรามีกรรมเป็นของๆตน) กัมมะทายาโท (เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น) กัมมะโยนิ (เรามีกรรมนำเกิด) กัมมะพันธุ...
อุปจารสมาธิทั้งนั้น
ในคนปกติทั่วๆไปมันก็ฝันบอกเหตุ มีอะไรมาบอกเหตุร้ายเหตุดีได้ทุกคน แต่มันไม่ชัด แต่ในคนมีสมาธิ มันชัด เพราะจิตมันเป็นสมาธิ...
ผมจะบอกให้น่ะ สมัยหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ภาวณาใหม่ๆ ท่านก็ภาวณาแบบไม่รู้เรื่องอะไรมาก เอาชื่อคนมาภาวณา ภาวณาชื่อคนนานๆ จิตก็เข้าเป็นฌาน...
เคยนั้งเฉยๆแล้วเพื่อนมาแก้ลไหม่ ตกใจ ใจเต้น นิ่งแค่นั้นยังตกใจขนาดนั้น นิ่งกว่านั้นเป็นสมาธิก็ตกใจยิ่งกว่านั้น
ใช่แล้วคับ บุญไม่ได้เพิ่ม แต่มีข้อดี คือเมื่อเค้าได้รับแล้ว เค้าจะคุ้มครองท่านผู้แผ่ แล้วมันจะทำให้อมนุษย์ทั้งหลาย มีจิตใจเมตตาช่ายเหลือเอ็นดู
นิมิตทุกชนิดเห็นได้ในสามภาวะ คือเห็นได้ในอุปจารสมาธิ และเห็นได้ในฌานสี่ อีกอย่างหนึ่ง นิมิตที่ไม่ได้อยู่ในสมาธิ...
พิจารณาไปแบบนั้นแหละ นานเข้าหนักเข้าจิตเข้าอุปจารเอง แล้วเมื่อเดินวิปัสสนาในสมาธิ จะเดินได้คล่องกว่าปกติ เพราะทรงจิตในวิปัสสนามาได้ตลอดทั้งวัน...
ลมปราณ พลังมันวิ่งลง เข้าไปจุดอวัยวะเพศ มันเลยเกิดอาการนั้นๆ เกิดโดยไม่ตั้งใจ เกิดเอง นั้นแหละพลังของร่างกาย
ถ้าร้องไห้แล้วมันทุกข์ใจนั้นไ่ม่ใช่สมาธิ ถ้าร้องไห้แล้วเบากายเบาใจสบายๆ นั้นแหละสมาธิที่มาถูกทางถูกต้อง
ชื่อก็บอกแล้วว่า "ขอขมา" คนเราทำไรผิดพลาด บางทีรุ้ตัว บางทีไม่รู้ตัว ขอขมาไว้จะได้ไม่เป็นเวรเป็นกรรม
ถ้าเค้าไม่ชอบ เมื่อสวดไป เค้าก็กลั่นแกล้ง ชีวิตก็ล่มจมได้ เวลาสวดให้บอกไป ว่าจะสวดมนต์ ไม่ได้ต้องการรบกวนใคร ใครชอบก็ฟัง ใครไม่ชอบก็ถอยไป
สมาธิยิ่งทำยิ่งสบาย เวลาทำต้องปรับ กายให้สบาย ถ้าไม่สบายก็ปรับให้สบาย แล้วก็ปรับลมหายใจให้สบาย ลมไม่สบายก็ปรับให้สบาย เวลาภาวณาก็ภาวณาให่สบาย...
แยกชื่อด้วยเครื่องหมายจุลภาค เช่น พลังจิต, พุทธศาสนา