ห้อยพระแล้วรู้สึกเวียนหัว

ไม่ทราบมีท่านไหนเคยเป็นเหมือนผมไหม ตอนเด็กผมห้อยเหรียญหลวงพ่อทวด แล้วรู้สึกเวียนหัว ไปบอกใครเขาก็หัวเราะใส่ แล้วผมก็ไม่ห้อยอีกเลยพอโตขึ้นจึงเอาเหรียญหลวงพ่อทวด มาห้อยที่แรกก็รู้สึกเวียนหัวครับ แต่พอท่องคาถา หลวงพ่อทวดแล้วก็รู้สึกดีขึ้นครับ และจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่สัมผัสหรือมองเหรียญนี้ แต่ผมก็มีประสบการณ์เฉียดตายมาหลายครั้งครับ อาจเป็นเพราะบารมีหลวงพ่อทวดครับ อยากถามครับผมผิดปกติไหม แล้วมีใครเป็นเหมือนผมบ้างครับ

 

คนเห็นผี(อาชวิน จิรจินดา) เคยบอกว่า พระเครื่องที่มีพลังแรงมาก
โดยเฉพาะพระที่มีพลังพุทธคุณสีคราม(กันคุณไสย)จะทำให้รู้สึกมึนหัว
แต่ก็จะเป็นเฉพาะกับพวกที่มีจิตสัมผัสกับพลังพุทธคุณเท่านั้น
ถ้าเป็นคนธรรมดาๆทั่วๆไปจะไม่รู้สึก

การที่พระเครื่องปล่อยพลังออกมาในลักษณะที่รบกวนสมาธิ ทำให้รู้สึกอึดอัด
ตามที่เคยอ่านพบ มักจะเป็นพระทางอยู่ยงคงกระพัน มหาอุด
แต่คนที่จะรู้สึกได้ก็ต้องเป็นคนที่จิตไวพอสมควร

ถ้าอยากรู้ว่าจะเป็นเหมือนกันไหม ก็ต้องลองพระเครื่ององค์อื่นๆ


อีกแบบหนึ่งใกล้พระแล้วรู้สึกไม่สบาย อึดอัด มีความเชื่อกันว่า อาจมีสิ่งใดแฝงในตัว
(หมายถึงโดนของหรือมีวิญญาณมาแฝงในร่าง)ทำให้รู้สึกไม่ใคร่สบาย

 

พวกพระเครื่องก็คือการยัดพลังงานเข้าไปในวัตถุ

ที่รู้สึกมึนๆ ง่วงๆ ก็ไม่ต่างจากพวกที่เข้าพิธีใหญ่ รับขัน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่มีพลังมากๆ เกิดจากร่างกายสัมผัสพวกจิต พลังงานได้ แต่ร่างกายยังรับไม่ไหว นานๆไปเดียวก็หายไปเอง

หมั่นสวดมน นั่งสมาธิอะไรก็ว่ากันไป

 

เป็นเรื่องปกติธรรมดาของดวงจิต
ที่เข้าถึงเรื่องพลังงานได้ครับ
ลองย้อนไปสังเกตุเวลาไปสถานที่อื่นๆ
หรือเวลาเข้าใกล้คนดูซิครับ
หรือการเห็นนามธรรมต่างๆ
จะเริ่มเข้าใจได้ดีขึ้นเรื่องนี้(^_^)

 

ขอบคุณครับ
พระองค์อื่นไม่เป็นไรครับ ห้อยได้สบายเลย ส่วนเรื่องเข้าวัดผมก็ไม่มีปัญหาไม่อึดอัดอะไรครับเพราะเป็นเด็กวัดมาตอนเด็ก ๆ ครับท่าน

พระเครื่องเป็นปู่ที่ให้ผมมา ผมถามปู่ว่าได้มาจากไหน ปู่บอกว่าเขาทำแจกทหารพรานสมัยรบกับคิมมิสนิสต์ครับ

ผม ยังไม่แน่ใจในสัมผัสผมหรือเปล่า มีอยู่ครั้งนึงผมไปเล่นน้ำที่เวียงกือนา จ.เชียงราย ตอนนั้นเป็นนักศึกษาพอลงไปในน้ำ ผมเห็นมีหม้อใส่กระดูกเต็มไปหมด แบบเต็มทั้งในน้ำและเต็มตลิ่งเลย ผมไม่บอกใครขึ้นมาจากน้ำ ไม่เล่นน้ำเลย ปล่อยให้เพื่อนมันเล่นน้ำไป ในใจนึกว่า มันเล่นนำ้ไปได้ยังไง มีแต่หม้อกระดูก

 

ครับ อาการที่เกิดขึ้น มันแสดงว่าพระมีพลังนั่นเอง ทนไปเดี๋ยวก็ชินไปเอง
แต่ถ้าเราไม่ชอบก็ถอดออกหรือไปห้อยองค์อื่นที่เราไม่รู้สึกมึนเสีย
หรือใส่ในขณะสวดมนตร์นั่งสมาธิ อีกหน่อยร่างกายเราก็ปรับธาตุจนเหมาะกับเราไปเอง

สมัยก่อนเคยมีคนที่เขาเล่นพระเขาเช่ามาแล้วเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ ครั่นเนื้อครั่นตัว
ไม่ค่อยสบาย เจ้าของทนไม่ได้ เขาเลยยกให้ผม
ตอนผมรับมาใหม่ๆ เวลาจับก็จะรู้สึกมึนหัวนิด
แต่พอได้ถือนั่งสมาธิสักเจ็ดแปดวัน ทุกอย่างก็ราบคาบ
ทุกวันนี้วัตถุชิ้นนั้นไม่มีพลังอะไรที่ส่งออกมาให้มึนหัวอีกเลย

 

ขอบพระคุณครับท่าน

 

สมาธิช่วยในเรื่องการปรับธาตุ
ถ้าธาตุร่างกายเราดีห้อยอะไรก็ได้หมด
ไม่ส่งผลกับร่างกาย และไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม
ตัวจิตจะมีความสามารถรับรู้ลักษณะ
พลังงานภายนอกได้ดีขึ้นถ้าจิตเราละเอียดขึ้น


ที่บอก จขกท ว่าให้ลองสังเกตุ คือให้สังเกตุลักษณะ
ของการรับรู้พลังงานภายนอกต่างๆครับ
รวมทั้งเรื่องนามธรรมต่างๆ ก็คือเรื่องที่คนอื่นๆ
เค้าไม่เห็นเหมือนที่เราเห็น หรือเค้ารับรู้ได้ไม่เหมือนเรานั่นเอง

ไม่ได้สื่อว่า ไปโน้นนี่นั้น
หรือ ห้อยนั่นนี่แล้วเป็นอะไรหรือเปล่า
ประเด็นนี้เข้าใจเนาะ..

ปกติแล้ว พลังงานสายท่านที่เป็นพระโพธิสัตว์
จะมีความเร็ว แรง และแน่น เป็นธรรมดาถ้า
ธาตุร่างกายเราไม่แข็งแรงพอ หรือสมาธิไม่มากพอ
แต่พื้นฐานของจิตมันมีความสามารถรับรู้เรื่องพลังงานได้มัน
ก็จะส่งผลถึงร่างกายเราได้ครับ ซึ่งเป็นเรื่องปกตินะครับ


ส่วนกระแสพระพุทธฯ จะเบา นิ่ม เร็ว จึงไม่ค่อยส่งผล
ต่อร่างกายในมนุษย์เท่าไรครับ
การท่องคาถาแล้วห้อยและไม่เป็นไร
ก็เสมือนการขอบารมีท่านมาหนุนธาตุ
ร่างกายของเรานั่นเองครับ
แต่เป็นแบบชั่วคราวครับ
ถ้าจะให้ดี ก็คือควรฝึกสมาธิ
และเจริญสติเพิ่มครับ
ถึงจะเป็นแบบถาวรได้
เหมือนวิธีการที่ คุณ
Yostro เล่าให้ฟังนั่นหละครับ
ซึ่งเป็นวิธีการทั่วไปที่บุคคลนิยมทำกัน (^_^)

ไม่งั้นเด่วถ้าไปเจอพระเครื่อง
ของพระเกจิ บางรูป ที่ท่านกำลังจิตสูง
อย่าง ลป. ม วัดบานจาน ที่ศรีษเกศท่าน
บรรจุพลังงานกสิณลงไปร่วมด้วย
แถมดึงพลังงานจากภายนอกด้วยการเขียนยันต์
กลางอากาศขณะที่ทำการปลุกเสก
หรือวัตถุที่มีพระมหาฤาษีสมัยก่อนท่านบรรจุพลังงาน
ลงไปอย่างเช่น พระท่ากระดาน อย่างนี้
อาจจะทำให้เราเข้าใจผิดได้ ว่าในพระมีอะไรไม่ดีได้ครับ

ปล.ดังนั้น สมาธิและการเจริญสติช่วยได้ครับ

 

ขอบพระคุณมาก ๆ ครับ ผมก็ไม่ค่อยจะได้ฝึกสมาธิสักเท่าไหร่ครับเป็นเพราะชีวิตต้องเร่งรีบแข่งกับเวลา ต่อไปนี้คงต้องพยายามฝึกสมาธิบ่อยขึ้นครับ

 

แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน แต่เรารู้สึกว่าเคยเห็นเหตุการณ์นี้ หรือเคยฝันเห็นมาก่อน แต่มันนานมากจนเราลืมไปแล้วล่ะครับอันนี้เรียกว่าเป็นพลังงานอะไรครับท่าน พูดไปแล้วผมก็มีหลายเหตุการณ์ครับ แต่ประติดประต่อกันไม่ค่อยได้อาจเป็นเพราะจิตยังไม่นิ่ง อย่างที่ทุกท่านได้กล่าวแนะนำไว้ครับ

 

บางเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปหยกๆ แต่กลับรู้สึกคล้ายกับว่า เคยผ่านเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้
ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว(แต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน เมื่อไหร่) ผมก็เคยเป็นเหมือนกัน แต่ไม่บ่อย
ถ้าถามผมๆก็ว่า คงเกี่ยวกับสมองของเราเอง ไม่น่าจะเกี่ยวกับพลังงาน หรือพบชาติใดๆทั้งสิ้น
อาจจะเป็นเพราะพักผ่อนน้อย นอนดึก สมองมันเบลอ มันก็เลยเกิดอาการอย่างนั้น
แต่ก็แค่บางขณะ

 

ขอบพระคุณอีกครั้งครับท่าน

 

เค้าเรียกอตีสตังสญานหรืออนาคตังสญาน อย่างอ่อนครับ.
ที่บอกว่าอย่างอ่านเพราะว่า
มันยังไม่สามารถดึงขึ้นมาใช้งานได้เป็นปกติครับ
ไม่ใช่ว่าไร้ความสามารถหรือไม่เก่งนะครับ
และจะแนะนำว่า ไม่ต้องไปสนใจหรือให้ความ
สำคัญอะไรในตอนนี้ครับ(^_^)

กิริยาทางจิตก็คือ จิตเคยมีกระแสสัมพันธ์กับ บุคคล สถานที่ตรงนั้น
มาก่อน ซึ่งเป็นจิตที่อยู่ในตัวเรานี่หละครับ อาจเป็นอดีต
หรือเป็นอนาคตที่เกิดจากการที่เราเคยฝันในชาตินี้ก็ได้ทั้งนั้นครับ..
จะบอกเรื่องปกติธรรมดา สำหรับคุณ bank365ครับ
และก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วๆไป สำหรับคนที่ปฏิบัติ
หรือไม่เคยปฏิบัติเลยก็ตาม ขอแต่ให้จิตมันพอมีเชื้อ
และได้สภาวแวดล้อมที่เอื้ออำนวยมันก็จะ เหมือนๆว่า
เคยมาเคยไปนั้นหละครับ เพียงแต่เครื่องรู้ที่ต้องอาศัย
กำลังสติทางธรรมเราตอนนี้มันยังไม่พอ ที่จะรู้ได้ว่า
มันเคยมีสัมพันธ์อะไรมาเท่านั้นเองครับ เป็นเรื่องปกตินะครับเพราะ
จิตเดิมมันเคยทำได้มาก่อน แต่ถ้าจะให้แบบว่า
ใช้งานได้ ต้องมาฝึกสมาธิครับ..
ถ้าเราฝึกสมาธิมา มีกำลังสติทางธรรมมากพอ
(พวกนี้เป็นเรื่องนามธรรมต้องอาศัยกำลังสติทางธรรม
ถึงจะรับรู้ได้ครับ)เราจะรู้เลยว่า อ่อ เราเคยอยู่ตรงนี้
เมื่อสมัยโน้นนี่นั้น หรือเคยเจอคนนี้เมื่อสมัยโน้นนั่นนี่
อะไรประมาณนี้
ปล.พอเข้าใจนะครับ

 

พอจะเข้าใจแล้วครับท่าน สติสมาธิผมไม่นิ่งจริง ๆ บางทีอ่านหนังสือยังเผลอไปคิดเรื่อโน่นนี้นั้นเลยครับ ขอบพระคุณอีกครั้งครับท่าน