คำเท็จที่บอกเล่าว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำ(สด จันทสโร) เลิกวิชชาธรรมกาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมโพธิสัตโต, 7 พฤษภาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,158
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +29,710
    ในช่วงปี 2490-2497 ชื่อเสียงของหลวงพ่อวัดปากน้ำซึ่งมิได้มีเปรียญธรรมชั้นใด แต่กลับมีผู้คนศรัทธากราบไหว้มากกว่าพระมหาเถระรูปใดๆ ในประเทศไทย เวลานั้น คนที่อิจฉาท่านก็ออกมาโจมตีว่า ท่านสอนผิดๆ ทั้งยังมีข่าวลืออกุศลว่าที่วัดมีแม่ชีมาก และไปทำวิชากัน เขาก็ลือกันไปในทางเสียหาย แม้แต่พระสังฆราชในเวลานั้น (ถ้าจำไม่ผิด)คือกรมหลวงวชิรญาณวัดบวรฯ ท่านได้ข่าวอกุศลนี้เช่นกันจึงได้นิมนต์ให้พระอริยคุณาธาร(เส็ง ปุณโส) ซึ่งเป็นพระเถระผู้ใหญ่ลูกศิษย์รุ่นแรกๆของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งเชี่ยวชาญทั้งปริยัติ และปฏิบัติ เป็นสปายไปสืบเรื่องหลวงพ่อฯ ต่อมาท่านก็ได้ตระหนักถึงบุญบารมีของลพ.วัดปากน้ำว่าเป็นนักสมาธิจริงๆ มีความสนใจเฉพาะเรื่องของการปฏิบัติธรรม จึงนำความไปกราบทูลพระสังฆราช ข่าวอกุศลก็ดับไป


    ต่อมา พระพิมลธรรม (อาจ อาสภเถระ) อธิบดีสงฆ์ วัดมหาธาตุ ซึ่งกำลังสนใจเรื่องอภิธรรมที่ได้รับจากพระพม่า อีกทั้งท่านยังเป็นเจ้าคณะพระนคร คุมวัดปากน้ำด้วย ท่านต้องการให้พระในสังกัดท่านสนใจเรียนอภิธรรมเพื่อให้วิชาอภิธรรมแพร่หลาย จึงไปกราบอาราธนาลพ.วัดปากน้ำให้มาฝึกวิชานี้ด้วย


    อันลพ.วัดปากน้ำเป็นผู้มีนิสัยใฝ่ศึกษามาแต่ครั้งยังเยาว์และท่านก็เคยเรียนสมาธิในทางอื่นมาก่อนทั้งพุทโธ และสติปัฎฐาน ทั้งท่านก็ให้ความนับถือเจ้าคุณวัดมหาธาตุดี เคยไปเทศน์ให้วัดมหาธาตุ ตามที่ท่านเจ้าคุณอาราธนาอยู่บ่อยครั้ง จึงรับที่จะเรียนวิชายุบหนอพองหนอ ท่านเจ้าคุณอาสภะให้ท่านเจ้าคุณโชดกมาสอนวิชายุบหนอกับหลวงพ่อ หลวงพ่อก็เรียนอยู่ราวสองสัปดาห์ ภายหลังเมื่อเรียนแล้วท่านก็ให้ความนับถือวิชายุบหนอของวัดมหาธาตุเช่นกัน


    ท่านอจ.โชดกได้ขอให้หลวงพ่อเขียนวิจารณ์สิ่งที่ท่านได้เรียน หลวงพ่อก็เขียนจดหมายสั้นๆ ดูเหมือนจะมีภาพลพ.ด้วย ว่าวิชาที่เรียนตรงกับหลักสติปัฏฐานทุกประการ เรื่องก็มีเท่านี้


    แต่ผมไม่เข้าใจว่าสำนักเรียนวัดมหาธาตุรวมทั้งศิษยานุศิษย์สายนี้เขามีเจตนาอย่างไรแน่จึงนำหนังสือที่ลพ.เขียนรับรองมาลงพิมพ์


    รวมทั้งที่หน้าวัดอัมพวันของหลวงพ่อจรัล ก็เอาภาพนี้มาติดไว้ด้วย


    ภาพนี้อ่านดูอย่างไรไม่สามารถแปลได้ว่าลพ.วัดปากน้ำได้เลิกวิชาธรรมกาย หรือแปลว่ายุบหนอเหนือกว่าวิชาธรรมกายตามที่ฝ่ายผู้เรียนวิชายุบหนอพองหนอพยายามจะกล่าวอ้างและบิดเบือนข้อเท็จจริง



    อันที่จริงพระพิมลธรรมท่านก็เป็นพระแท้มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย แต่ความเคร่งครัดนำมาซึ่งพระเดช การใช้อำนาจต่อพระอริยสงฆ์อย่างลพ.วัดปากน้ำทั้งที่พระพิมลธรรมเป็นพระเด็กแต่ได้เปรียญธรรมก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควร ความดีและไม่ดีของท่านก็เป็นกรรมที่สนองท่านเองในเวลาต่อมา


    วันที่ 21 เม.ย.2505 ท่านถูกใส่ร้ายและถูกจอมพลสฤษดิ์ฯ สั่งให้จับกุม คุมขัง และจับท่านสึกหาลาเพศ แต่ท่านไม่ยอมเปล่งวาจาสึกท่านต้องโทษทัณฑ์จากทางการอยู่สิบปี ในที่สุดศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้ท่านพ้นผิด โดยในคดีนั้นปรากฏว่ามีความอิจฉาริษยากันในหมู่สงฆ์ และพระสังฆราชพระองค์หนึ่งมีความเกี่ยวข้องกับคดีนี้เช่นกันศาลได้กล่าวในตอนหนึ่งว่ากรรมที่ท่านถูกใส่ร้ายก็ขอให้เป็นอโหสิกรรมแก่กัน เมื่อพระพิมลธรรมพ้นโทษแล้วก็ได้รับสมณศักดิ์คืน จนได้เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์วัดมหาธาตุ แต่ภายหลังท่านควรได้เป็นพระสังฆราช แต่ท่านก็ไม่ได้เป็นตำแหน่งพระสังฆราชตกแก่พระญาณสังวร โดยที่ท่านอาสภะเถระได้ขอถอนตัวโดยเห็นแก่ความสามัคคีแห่งสังฆมณฑล


    เมื่อใกล้มรณภาพ เลขาของท่านยังต้องคดีปาราชิก ทำให้ตำรวจมาค้นกุฏิท่าน แต่ก็ไม่ได้พบอะไรที่ผิดปกติ แน่นอนชื่อของท่านก็มามีมลทินเพราะพระเลขา(สมีเจี๊ยบ)แท้ๆ ตราบจนท่านมรณภาพไป


    ตัวอย่างชีวิตของท่าน เป็นตัวอย่างพระที่มีทั้งสุขและทุกข์โคจรมา


    สำหรับหลวงพ่อจรัลนั้นก็เคยไปฝึกวิชาธรรมกายกับหลวงพ่อวัดปากน้ำแต่ไม่ถูกอัธยาศรัย จึงเปลี่ยนมาฝึกยุบหนอพองหนอ ซึ่งท่านก็ได้รับผลสำเร็จตามส่วนแห่งธรรม


    หลวงพ่อวัดปากน้ำเป็นผู้มีเมตตา อัธยาศรัยดีและใจกว้างมาก ศิษย์หลายคนได้เปลี่ยนไปเรียนกับครูท่านอื่น อาทิ แม่ชีกบิล วรมัย กบิลสิงห์ ได้ย้ายไปเรียนวิชาที่วัดโสมนัส แล้วคิดว่าตนเองบรรลุธรรมจึงมากราบเรียนแนะหลวงพ่อ หลวงพ่อฟังโดยสงบ และกล่าวสั้นๆ ว่า เอ็งยังเห็นดวงธรรมในท้องหรือเปล่า เมื่อแม่ชีบอกว่าเห็น หลวงพ่อก็พูดว่า เออ ดีแล้ว ขอให้เห็นดวงธรรมในท้องเอ็งจะไปเรียนวิชาอะไรก็ช่างเถอะ หลวงพ่อฤษีลิงดำ หลวงพ่อจรัลเหล่านี้ล้วนเคยเรียนวิชากับท่านมาทั้งนั้น ภายหลังไปเรียนวิชาอื่น ท่านก็ไม่ว่ากล่าวว่าใคร


    คุณเคยได้ยินชื่อหลวงพ่อบุดดา ถาวโร วัดศรีประจันต์ จ.สิงห์บุรีหรือไม่ คนเขาลือว่าหลวงปู่เป็นพระอรหันต์แล้ว เมื่อหลวงปู่มรณภาพคนเขาไปรื้อย่ามท่าน มีพระอยู่องค์หนึ่งคือ พระของขวัญวัดปากน้ำรุ่นหนึ่ง


    นายมหา <!--MsgFile=1-->
     
  2. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,158
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +29,710
    Hades said:
    มีสำนักวิปัสนาสำนักหนึ่ง ชอบอ้างว่าหลวงพ่อสด ไปเรียนวิปัสนาเมื่อปี 2498
    แล้วหลวงพ่อสดก็เลิกวิชชาธรรมกาย พร้อมทั้งมอบรูปและลายเซ็นรับรองไว้ด้วย
    แต่ผมได้ฟังเสียงหลวงพ่อสดเทศน์เรื่องโอวาทปาฏิโมกข์ แล้วพบว่า ปี 2499 หลวงพ่อสดยังสอนวิชชาธรมกายอยู่เลย เชิญรับฟังได้





    ใครพูดจริง ใครโกหก ใช้ปัญญาพิจารณาเอาเอง

    แต่ผมตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าหลวงพ่อสดเลิกวิชชาธรรมกายจริง
    ทำไมไม่ออกมาบอกตอนท่านยังมีชีวิตอยู่
    มาพูดทำไมตอนท่านมรณภาพแล้วตั้งหลายปี
    หรือเพราะคนตายเถียงไม่ได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,158
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +29,710
    อย่าลืมว่าหลวงพ่อสดนั้นไม่เคยกล่าวว่าวิธีปฏิบัติกรรมฐานแบบอื่นไม่ถูกต้อง

    ถามว่ามีหลักฐานอะไรที่บ่งชี้ว่าหลวงพ่อสดไม่ได้ว่าวิธีปฏิบัติกรรมฐานแบบอื่นไม่ถูกต้อง ?


    ที่ปรากฏเป็นหลักฐานทางเอกสาร มีดังนี้คือ:


    ๑. ท่านแนะนำให้หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฯ ไปเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อโหน่งวัดคลองมะดัน (ทั้งที่ตอนนั้นหลวงพ่อสดท่านค้นพบวิชชาธรรมกายแล้ว) ซึ่งเป็นพระอาจารย์กรรมฐานองค์แรกของหลวงพ่อ ((( ประชุมพระธรรมเทศนาและหลวงปู่สอนธรรม, ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พิมพ์พระราช ทาน, ในงานพระราชทานเพลิงศพ, พระราชสังวราภิมณฑ์ (โต๊ะ อินฺทสุวรรณณเถร), เจ้าอาวาส วัดประดู่ฉิมพลี, ๒๕๔๒, กรุงเทพ ฯ : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒ หน้า. (หน้า ๑๔และหน้า ๖๑ ))) หลวงพ่อโหน่งนั้นเมื่อท่านมรณภาพปรากฏว่าศพท่านไม่เน่า หลวงพอปานวัดบางนมโคบอกว่าหลวงพ่อโหน่งเป็นพระอรหันต์


    ๒. หลวงพ่อเขียนรับรองวิชาหนอว่าถูกต้องตรงร่องรอยสติปัฏฐาน ๔ (แต่ท่านละคำว่าต้องปฏิบัติอย่างเข้าใจจริง จึงจะถูกต้อง) ซึ่งได้มีกลุ่มบุคคลนำข้อความที่ท่านเขียนรับรองวิชาหนอในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาไปบิดเบือนเพื่อสนับสนุนวิชาของพวกตน ซึ่งจะไม่กล่าวซ้ำในที่นี้อีก

    ( หลวงพ่อสด ท่านเป็นผู้รับรองให้นะ ... ไม่ได้หมายความว่าท่านรับเอาแต่สาย...xxx ซึ่งพยายามบิดเบือนความจริง/ นโมโพธิสัตโต ผู้ตั้งกระทู้ )


    ๓. แม้หลวงพ่อชา จะได้มาพักที่วัดปากน้ำ ๑ อาทิตย์ หลวงพ่อสดก็ไม่ได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะหลวงพ่อท่านทราบดีว่า หลวงพ่อชานั้นสร้างบารมีมาทางสายพระอาจารย์มั่น (ซึ่งหาอ่านได้ในประวัติหลวงพ่อชาบางเล่ม) เหมือนๆกับที่หลวงพ่อทราบว่าสมเด็จป๋าจะได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช เพราะว่าถ้าพระพิมลธรรมไม่ต้องคดีเสียก่อน สมเด็จป๋าจะไม่มีโอกาสขึ้นเป็นสมเด็จพระสังราชเลย เรียกปิดประตูตายทีเดียว


    ๔. หนังสือกรรมฐานชื่อ “สมถวิปัสสนากัมมัฏฐาน” ซึ่งประพันธ์ โดยคุณโสภณ ชื่นชุ่ม เป็นศิษย์วิชชาธรรมกายรุ่นแรกๆ ของพระอาจารย์พระราชพรหมเถร วิ (วีระ คณุตฺตโม ) ต้นฉบับของหนังสือเล่มนี้พระอาจารย์พระราชพรมเถรได้ตรวจทานอย่างละเอียด


    ***ในหนังหนังสือกรรมฐานเล่มดังกล่าวมีคำอธิบายกรรมฐานแบบไตรลักษณ์ กรรมฐานแบบโบราณ และสมถวิปัสสนาแบบธรรมกาย ***



    จากหลักฐานทั้ง ๔ ข้อนี้ สามารถใช้ยืนยันได้ว่า หลวงพ่อสดไม่เคยว่าการปฏิบัติกรรมฐานของไทยสายไหนไม่ดี



    จากคุณ : <!--MsgFrom=171-->CALAVERITE smilex.gif - [ <!--MsgTime=171-->18 ก.พ. 50 22:57:57 <!--MsgIP=171-->] <!--pda content="end"-->
     
  4. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,158
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +29,710
    leaf.gif ทำไม พระอริยคุณาธาร(ปุสโสเส็ง )พระอาจารย์ของพระอาจารย์สิงห์จึงต้องไปสืบปฏิปทาหลวงพ่อวัดปากน้ำในทางลับ leaf.gif


    คณะสงฆ์ทั้งฝ่ายมหานิกายและคณะธรรมยุติได้ส่งสายมาสืบปฏิปทาหลวงพ่อในทางลับ เมื่อคำว่า “ธรรมกาย” แพร่หลายออกไป ถึงกับเข้าหูท่านผู้เป็นนักปราชญ์มหาบัณฑิต ทำความฉงนสนเท่ห์ให้เกิดในคณะสงฆ์ บางท่านปลงใจว่าหลวงพ่อมีความรู้และปฏิบัติธรรมเกินธง ถึงกับมีประชุมลับกันในพระเถระผู้ใหญ่และผู้เชี่ยวชาญกรรมฐาน ส่วนมากลงความเห็นหนักไปทางการละเมิดพระวินัย เข้าขั้นอวดอุตริมนุสธรรม ยกโทษสูงถึงเพียงนั้น ท่วงทีก็หาทางเพื่อจะคว่ำบาตรหลวงพ่อ


    สงฆ์คณะมหานิกาย “มีพระเถระรูปหนึ่ง ได้รับเกียรติเข้าประชุมอยู่ด้วย ท่านผู้นี้พูดว่าอันอุตริมนุส ธรรมนี้เป็นคำที่แปลว่า เป็นธรรมของมนุษย์อันยอดยิ่ง คือเป็นธรรมสูงสุดของมนุษย์ทางพระพุทธศาสนา เมื่อใครผู้ใดเข้าถึงแล้วย่อมข้ามพ้นโอฆะทั้งมวลถึงฝั่งพระนิพพานอันไม่มีภพชาติสืบต่อไป แต่ผู้ที่จะเข้าถึงอุตริมนุสธรรมต้องเป็นคนที่มีบารมีสูง มีความเพียรมาก งามทั้งปริยัติ งามทั้งปฏิบัติ งามทั้งศีลาจารวัตร์ ต้องมีสัจจะประจำสันดาน ไม่ใช่วิสัยคนพอดีพอร้าย ต้องเป็นคนใจกล้า เสียสละ มีเมตตาสูง


    เจ้าคุณวัดปากน้ำ เป็นคณาจารย์กล้าพูดกล้าสอน ไม่มีความครั่นคร้ามต่อใครผู้ใด เมื่อเห็นดีอย่างไร ก็ปฏิบัติไปตามความเห็น น่าจะมีความบริสุทธิ์ใจตามความรู้ความเห็น แม้แต่พระพุทธเจ้าเมื่อจะทรงประกาศสัจจะธรรมก็ตรัสแก่เบญจวัคคีย์ว่า เมื่อญาณทัศนะยังไม่บริสุทธิ์ตราบใด เราก็ไม่สามารถปฏิญาณความเป็นพระสัมพุทธะแก่สมณพราหมณ์ ประชาชน แก่เทวดา และมนุษย์โลก มารโลก พรหมโลกได้ ที่พระองค์กล้าปฏิญาณได้ ก็เพราะได้ญาณทัศนะ รู้ความจริงแล้ว นี่เป็นข้อความที่จำต้องคำนึงถึงเป็นบทมาติกาก่อน


    เจ้าคุณวัดปากน้ำตามเสียงพูดกันมีเมตตาธรรมสูง ให้การศึกษาทั้งปริยัติ ทั้งการปฏิบัติแก่ภิกษุสามเณรวัดปากน้ำไม่น้อยกว่า๓๐๐รูป สอบนักธรรมและบาลีในสนามหลวงได้จำนวนตั้ง ๑๐๐ ลองตรึกตรองดูบ้างว่า ในประเทศไทยวัดไหนทำประโยชน์ศาสนาถึงขนาดนี้ ถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระภิกษุสามเณรทุกวัน ทุกเวลา เป็นจำนวนตั้ง ๓๐๐ ถึง ๔๐๐ องค์ ใครทำได้อย่างนี้


    เจ้าคุณวัดปากน้ำจะเข้าขั้นไหนเราไม่ทราบ แต่ควรคิดไว้ก่อนว่า สำนักวัดปากน้ำสอนมานาน พูดมานานแล้ว ธรรมวัดปากน้ำยังไม่เสื่อม มีแต่เพิ่มผู้ปฏิบัติยิ่งขึ้น ท่านยังตั้งเจตนาจะรับพระภิกษุสามเณรให้เข้ารับการศึกษาถึง ๕๐๐ องค์ เฉพาะวัดปากน้ำ ลักษณะนี้น่าจะมีอะไรดีอยู่มาก ถ้าเป็นเจตนาลวงโลกคงอยู่ไม่ได้ถึงเพียงนี้ เท่าที่พบมาพระอาจารย์ลามกอยู่ได้ ๕ – ๖ ปีก็สาบสูญไป แต่วัดปากน้ำสู้หน้าโลกโดยไม่ตกต่ำ ก็น่าจะมีอะไรดีเป็นหลักประกันอยู่มาก

    พวกเราที่มาพิจารณาโทษวัดปากน้ำทั้งหมดนี้ ความจริงก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางพระกรรมฐานมากนัก รู้พอรักษาตัวรอดได้ ความรู้ทางธรรมปฏิบัติก็มีความลุ่มลึกสุขุมแตกต่างกัน แม้พระอรหันต์ก็ยังต่างกันโดยคุณสมบัติ อุตริมนุสธรรมนั้นผู้ปฏิบัติพึงรู้พึงถึง ต้องสามารถดำเนินปฏิปทาทางจิต มีวิริยะอย่างอุกฤษฏ์ พวกเรายังปฏิบัติไม่เข้าขั้นเช่นนี้ จะไปลงโทษผู้เชี่ยวชาญกรรมฐานได้อย่างไร เอาความรู้อะไรไปลงโทษเขา ที่ประชุมยอมรับความเห็นนั้น และให้พระเถระรูปนี้มาสอบสวนเป็นทางลับ และท่านมาในฐานะเป็นผู้สนใจในการปฏิบัติธรรม ในที่สุดเรื่องร้ายไม่เกิดขึ้น และไม่ถูกสงสัยในแง่อุตริมนุสธรรมอีกต่อไป”


    (สมเด็จพระสังฆราชปุ่นครั้งมีสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระวันรัต, ๒๕๒๙, ประวัติพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อวัดปากน้ำ)และอนุภาพธรรมกาย ใน พระมงคลเทพมุนี ประวัติหลวงพ่อ และคู่มือสมภาร. วัดปากน้ำ, ภาษีเจริญ, และสมาคมศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำ, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ ไทยวัฒนาพานิช จำกัด, หน้า๑๐๖ )


    สงฆ์คณะธรรมยุต ท่านเจ้าคุณพระอริยคุณาธาร(ปุสโสเส็ง )หรือฤาษีสันตจิต ท่านเป็นศิษย์รุ่นแรกของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านเป็นอาจารย์ของพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม แม่ทัพธรรมสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญในวิชชาทิพยอำนาจ เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ท่านได้มีโอกาสเข้ามาในพระนคร ได้ยินเสียงโจษจันกันถึงเรื่องที่ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ได้พบเห็นเฝ้าแหนพระพุทธเจ้าและแสดงปาฏิหาริย์ให้คนเห็นพระพุทธเจ้าด้วย มีพระเถระชั้นผู้ใหญ่สงสัย และได้ปรึกษาเรื่องนี้กับท่าน ท่านแนะนำว่าควรไปสืบดูก่อน อย่าด่วนโต้แย้งคัดค้าน


    เมื่อท่านไปพบหลวงพ่อแล้ว ท่านจึงเข้าใจหลวงพ่อด้วยดี ในกรณีของหลวงพ่อ แสดงปาฏิหาริย์ในเรื่องพระพุทธเจ้านั้น เข้าใจว่าท่านมุ่งต่อต้าน ปรับปวาท (คือวาทะของผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธศาสนา ซึ่งกำลังมีอิทธิพลและได้รับความสนับสนุนอย่างดีในระยะกาลนั้นเป็นประมาณ ไม่ได้มุ่งอวดอ้างเพื่อลาภสักการะยศศักดิ์แต่ประการใด ท่านจึงได้อนุโมทนาและได้ช่วยยับยั้งพระเถระผู้ใหญ่ มิให้แสดงปฏิกริยาเป็นปฏิปักษ์ต่อหลวงพ่อ ดังใจความที่คัดจากหนังสืออิทธิปาฏิหาริย์ เกจิอาจารย์ ของดวงธรรม โชนเชิดประทีป, ๒๕๐๗, กรุงเทพฯ: บรรณาคาร, หน้า ๓ –๖ มีความว่าดังนี้ :


    “ เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ข้าพเจ้า( พระอริยคุณาธาร ปุสฺโสเส็ง ) ได้มีโอกาสเข้าไปในพระนคร ได้ยินเสียงโจษจันกันถึงเรื่องที่ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ได้พบเห็นเฝ้าแหนพระพุทธเจ้าและแสดงปาฏิหาริย์ให้คนเห็นพระพุทธเจ้าด้วย มีผู้สงสัยกันมาก พระเถระชั้นผู้ใหญ่ก็สงสัย บางท่านทำทีจะโต้แย้งคัดค้าน และได้ปรึกษาเรื่องนี้กะข้าพเจ้า


    ข้าพเจ้าแนะนำว่าควรจะสืบสวนให้รู้ถ่องแท้ก่อน อย่าด่วนโต้แย้งคัดค้าน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้ลึกซึ้ง อันยากแก่การพิสูจน์อิทธิวิสัย เป็นเรื่องที่คิดไม่ถึง และอภิญญาเป็นวิชชาชั้นสูงในพระพุทธศาสนา ถ้าเรารู้ไม่ถึงแล้วด่วนคัดค้านโต้แย้ง อาจได้รับความอับอายภายหลัง ท่านผู้นั้นขอร้องข้าพเจ้าให้เป็นผู้สืบสวน ข้าพเจ้ารับภาระนั้นด้วยเห็นแก่ความสวัสดีของพระพุทธศาสนา


    วันหนึ่งข้าพเจ้ามีโอกาสดี ให้คนไปพบปะสนทนากับหลวงพ่อ ท่านนัด ๑๖. ๐๐ น. ข้าพเจ้าไปวัดปากน้ำตามเวลานัด ขณะนั้นหลวงพ่อยังอยู่ในที่ฝึกภาวนาแก่ภิกษุสามเณร อุบาสก-อุบาสิกา ข้าพเจ้ารอคอยอยู่ที่รับแขกราวครึ่งชั่วโมง มีคนไปบอกหลวงพ่อ ท่านออกมาปฏิสันถารเมื่อรู้ว่าเป็นบุคคลที่นัดไว้ จึงนำไปที่กุฏิของท่าน เพื่อมีโอกาสสนทนาโดยเฉพาะ เมื่อผ่านการปราศัยไต่ถามชื่อเสียงเรียงนามตำแหน่งแห่งที่พอรู้เรื่องแล้ว หลวงพ่อพูดถึงแนวการปฏิบัติและแนวการสอนของท่าน พร้อมกับเล่าเรื่องไปเฝ้าพระพุทธเจ้าให้ฟัง


    ข้าพเจ้าสอบถามพระพุทธลักษณะกับหลวงพ่อเล็กน้อย ท่านชี้ให้ดูพระพุทธรูปว่ามีลักษณะอย่างนั้น และมีพระเกตุมาลายอดแหลม เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า หลวงพ่อให้หนังสือ “ธรรมกาย” แก่ข้าพเจ้า ๑ เล่ม ส่วนข้าพเจ้าได้ตอบแทนท่านด้วยหนังสือ “สีลวัต” ๑ เล่ม


    จากคุณ : ธารณธรรม - [ 6 ส.ค. 49 09:40:44 ]
    ........................................................................................................



    leaf.gif ทิพยอำนาจ อดึตพระอริยคุณาธาร เรียบเรียง leaf.gif


    อินทรีย์แก้วปกรณ์ฝ่ายมหายานหรืออุตตรนิกาย เขาแบ่งภาคพระพุทธเจ้าเป็นหลายชั้น เช่น

    (๑) พระอาทิพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าเที่ยงแท้ มีพระรัศมีรุ่งเรืองที่สุดหาเขตจำกัดมิได้ ไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย เป็นอยู่ชั่วนิรันดร
    (๒) พระฌานิพุทธเจ้า ได้แก่พระนิรมานกายที่ทรงเนรมิตบิดเบือนขึ้นด้วยอำนาจฌานสมาบัติ มีพระรัศมีรุ่งเรือง มิใช่พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้โปรดสัตว์ในโลก
    (๓) พระมานุสีพุทธเจ้า ได้แก่พระพุทธเจ้าซึ่งมาตรัสรู้โปรดสัตว์ในโลก มีพระกายในความเป็นมนุษย์

    ส่วนปกรณ์ของฝ่ายทักษิณนิกาย หรือเถรวาท (คือฝ่ายเรา) ท่านโบราณาจารย์ ก็แบ่งพระกายของพระพุทธเจ้าเป็น ๓ ภาคเช่นเดียวกัน แต่เรียงลำดับจากต่ำไปหาสูง เมื่อเทียบดูแล้ว ก็จะเห็นว่าคล้ายคลึงกัน คือ :-

    (๑) พระรูปกาย เป็นพระกายซึ่งเอากำเนิดจากพระพุทธบิดา พระพุทธมารดา ที่เป็นมนุษย์ธรรมดา ประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ เหมือนกายของสามัญมนุษย์ เป็นแต่บริสุทธิ์สะอาดสวยงาม พระฉวีวรรณเปล่งปลั่งเกลี้ยงเกลากว่ากายของมนุษย์สามัญ เป็นวิบากขันธ์สำเร็จแต่พระบุญญาบารมี

    (๒) พระนามกาย ได้แก่กายชั้นใน ปราชญ์บางท่านเรียกว่า กายทิพย์ และว่าเป็นกายที่มีรูปร่างสัณฐานเหมือนกายชั้นนอก เป็นแต่ว่องไวกว่า และสามารถกว่ากายชั้นนอกหลายร้อยเท่า สามารถออกจากร่างหยาบไปในที่ไหนๆ ได้ตามต้องการ เมื่อกายหยาบสลายแล้ว กายชั้นนี้ยังไม่สลาย จึงออกจากร่างไปหาที่เกิดใหม่ต่อไป นามกายเป็นของมีทั่วไปแม้แต่สามัญมนุษย์ แต่ดีเลวกว่ากันด้วยอำนาจกุศลากุศลที่ตนทำไว้ก่อน ส่วนพระนามกายของพระพุทธเจ้า ท่านว่าดีวิเศษยิ่งกว่าของสามัญมนุษย์ด้วยอำนาจพระบุญญาบารมี ที่ทรงบำเพ็ญมาเป็นเวลาหลายอสงไขยกัปป์

    (๓) พระธรรมกาย ได้แก่ พระกายธรรมอันบริสุทธิ์ ไม่สาธารณะทั่วไปแก่เทวาและมนุษย์ หมายถึงพระจิตที่พ้นจากกิเลสอาสวะแล้ว เป็นพระจิตบริสุทธิ์ผุดผ่อง มีพระรัศมีแจ่มจ้า เปรียบเหมือนดวงอาทิตย์อุมัยไขแสงในนภากาศฉะนั้น พระธรรมกายนี้ เป็นพระพุทธเจ้าที่จริงแท้ เป็นพระกายที่พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย และทุกข์โศกทั้งหลายได้จริง เป็นพระกายที่เที่ยงแท้ถาวรไม่สูญสลาย เป็นอยู่ชั่วนิรันดร เป็นที่รวมแห่งธรรมทั้งปวง แต่ท่านมิได้บอกให้แจ้งชัดว่า พระธรรมกายนี้มีรูปพรรณสัณฐานเช่นไร หรือไม่

    ความเป็นพระอรหันต์นี้ ท่านก็จัดเป็นอินทรีย์ชนิดหนึ่ง เรียกว่า อัญญินทรีย์ พระผู้มีพระภาคเข้า คงหมายเอาอินทรีย์นี้เอง บัญญัติเรียกว่า วิสุทธิเทพ เป็นสภาพที่คล้ายคลึง วิสุทธาพรหมในสุทธาวาสชั้นสูง เป็นแต่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าเท่านั้น เมื่อมีอินทรีย์อยู่ก็ย่อมจะบำเพ็ญประโยชน์ได้ แต่ผู้จะรับประโยชน์จากท่านได้ ก็จะต้องมีอินทรีย์ผ่องแผ้วเพียงพอที่จะรับรู้รับเห็นได้ เพราะอินทรีย์ของพระอรหันต์ประณีตสุขุมที่สุด แม้แต่ตาทิพย์ของเทวดาสามัญก็มองไม่เห็น

    มนุษย์สามัญซึ่งมีตาหยาบๆ จะเห็นได้อย่างไร อินทรีย์ของพระอรหันต์นั้นแหละ เรียกว่าอินทรีย์แก้ว ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจของท่านเป็นแก้ว คือ ใสบริสุทธิ์ดุจแก้วมณีโชติ ผู้บรรลุถึงภูมิแก้วแล้ว ย่อมสามารถพบเห็นพระแก้วคือ พระอรหันต์ที่นิพพานแล้วได้

    ความรู้เรื่องนี้ เป็นความรู้ลึกลับในพระธรรมวินัย ผู้สนใจพึงศึกษาค้นคว้าต่อไป ถ้ายังรู้ไม่ถึงอย่าพึงค้าน อย่าพึงอนุโมทนา เป็นแต่จดจำเอาไว้ เมื่อใดตนเองได้ศึกษาค้นคว้าแล้ว ได้ความรู้ ได้เหตุผลที่ถูกต้องดีกว่า เมื่อนั้นจึงค้าน ถ้าได้เหตุผลลงกัน จึงอนุโมทนา ถ้ารู้ไม่ถึง ด่วนวิพากษ์ วิจารณ์ ติเตียน ผู้พูดเรื่องเช่นนี้ จะเป็นไปเพื่อ บอดตา บอดญาณ ตนเอ ปกติตาไม่ดีญาณไม่โปร่งอยู่แล้ว ถ้าด่วนติเตียนในเมื่อตนเองรู้ไม่ถึง ก็ชื่อว่าบอดตาบอดญาณตนเองยิ่งจะซ้ำร้ายใหญ่ ข้าพเจ้านำเรื่องนี้มาพูดไว้ ด้วยมีความประสงค์จะให้นักศึกษาพระพุทธศาสนาช่วยกันค้นคว้าความรู้ส่วนลึกลับของพระพุทธศาสนาต่อไป


    จากคุณ : <!--MsgFrom=52-->ebusiness smilex.gif iconbloggang.gif - [ <!--MsgTime=52-->9 ก.พ. 50 00:58:57 <!--MsgIP=52-->] <!--pda content="end"-->
    <!--MsgEdited=52-->
     
  5. นโมโพธิสัตโต

    นโมโพธิสัตโต ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ผู้ดูแลเว็บบอร์ด สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,158
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +29,710
    ปาจิตตีย์ ๙๒

    ปาจิตตีย์ แปลว่า การละเมิดอันยังกุศลให้ตกไป
    คือเมื่อละเมิดอาบัตินี้แล้วย่อมทำให้กุศลธรรมของผู้ละเมิดให้ตกไปให้เสียไป ทำให้พลาดจากอริยมรรคไป เป็นความผิดที่ปิดกั้นโอกาสแห่งความดีมิให้เกิดขึ้น

    ปาจิตตีย์๙๒ สิกขาบทนี้เป็น สุทธิกปาจิตตีย์ คือเป็นปาจิตตีย์ล้วนๆ เมื่อต้องคือล่วงละเมิดแล้วเป็นอันต้องเลย ไม่ต้องสละสิ่งของที่ทำให้ต้องอาบัติเหมือนนิสสัคคิยปาจิตตีย์

    ปาจิตตีย์เหล่านี้จัดเป็น ลหุกาบัติ คืออาบัติเบา และเป็น สเตกิจฉา คือยังแก้ไขได้ยังกลับคืนบริสุทธิ์เหมือนเดิมได้โดยเมื่อต้องอาบัติเหล่านี้เข้าแล้วสามารถพ้นจากอาบัตินั้นๆได้ด้วย เทสนาวิธี คือแสดงอาบัติหรือปลงอาบัติเป็นการแสดงความผิดต่อหน้าสงฆ์ต่อหน้าคณะ หรือต่อหน้าบุคคล

    ปาจิตตีย์ มี ๙๒ สิกขาบท แบ่งเป็น ๙ วรรค คือ
    วรรคที่ ๒ มุสาวาทวรรค
    วรรคที่ ๒ ภูตคามวรรค
    วรรคที่ ๓ โอวาทวรรค
    วรรคที่ ๔ โภชนวรรค
    วรรคที่ ๕ อเจลกวรรค
    วรรคที่ ๖ สุราปานวรรค
    วรรคที่ ๗ สัปปาณวรรค
    วรรคที่ ๘ สหธัมมิกวรรค
    วรรคที่ ๙ รตนวรรค
    ในแต่ละวรรคมี๑๐ สิกขาบท เว้น สหธัมมิกวรรค มี๑๒ สิกขาบท



    วรรคที่ ๑ มุสาวาทวรรค
    ว่าด้วยการพูดเท็จ


    มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๑

    คำแปลพระบาลีที่เป็นพุทธบัญญัติ
    “เป็นปาจิตตีย์ เพราะกล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่”

    เนื้อความย่อในหนังสือนวโกวาท
    “พูดปด ต้องปาจิตตีย์”


    อธิบายความโดยย่อ
    คำว่า พูดเท็จทั้งที่รู้อยู่ หมายถึงพูดปด พูดโกหก พูดเรื่องไม่จริงทั้งที่รู้ว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องโกหก เป็นเรื่องไม่จริง มีลักษณะเป็น ๒ อย่างคือ

    (๑) เรื่องเป็นอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่จงใจพูดให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
    (๒) มีเจตนาพูดหรือแสดงอาการอย่างอื่นด้วยเจตนานั้น เพื่อให้คนฟังหรือคนเห็นมีความเข้าใจเป็นอย่างอื่นจากความเป็นจริง เช่น เขียนหนังสือหรือบอกใบ้
    สิกขาบทนี้เป็นสจิตตกะ คือมีเจตนาที่จะพูดให้คนฟังเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนจากความจริง จึงจะเป็นอาบัติหากพูดโดยไม่ตั้งใจว่าจะพูดเท็จ แต่พูดพลั้งไป ไม่เป็นอาบัติแต่เมื่อรับคำแล้วไม่ปฏิบัติตามที่รับคำ เช่นรับนิมนต์แล้วไม่ไปตามที่รับ ไม่เป็นปาจิตตีย์แต่เป็น ปฏิสสวทุกกฏ เป็นทุกกฏเพราะรับคำ

    เจตนารมณ์ของสิกขาบทนี้
    สิกขาบทนี้ทรงบัญญัติไว้เพื่อให้ภิกษุรักษาคำพูด เป็นผู้พูดจริง พูดตรง ไม่เหลาะแหละ ให้อยู่กะร่องกะรอยอันเป็นเหตุให้เชื่อถือได้ไว้วางใจได้ป้องกันมิให้ภิกษุเป็นผู้เหลาะแหละเหลวไหล พูดจาไม่น่าเชื่อถือ

    อนาปัตติวาร
    ในสิกขาบทนี้ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้คือ
    (๑) ภิกษุพูดพลั้ง (คือพูดเร็วไป)
    (๒) ภิกษุพูดพลาด (คือตั้งใจว่าจะพูดอย่างหนึ่งแต่กลับพูดไปอีกอย่างหนึ่ง)
    (๓) ภิกษุผู้วิกลจริต
    (๔) ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ หรืออาทิกัมมิกะ ได้แก่ พระหัตถกศากยบุตร
     
  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +69,978
    ?temp_hash=733cc56e96f7dfc533b82f4907e3b1ce.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +69,978
    เมื่อผู้ปฏิบัติภาวนาได้ถึงธรรมกายแล้ว ย่อมสามารถเจริญภาวนาทั้งสมถะและวิปัสสนาให้เกิดอภิญญาและวิชชา ให้สามารถพิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม ให้เจริญวิปัสสนาปัญญาเห็นแจ้งรู้แจ้งสภาวะของสังขาร อันประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง
    (สังขตธรรม) ว่ามีสามัญญลักษณะที่เป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ และ อนตฺตา อย่างไร อันเป็นพื้นฐานสำคัญในการเจริญโลกุตรวิปัสสนาให้เห็นแจ้งในอริยสัจ ๔ เป็นโลกุตรปัญญาต่อไป กล่าวคือ เมื่อผู้ปฏิบัติภาวนาได้ถึงธรรมกายแล้ว
    ๑.พึงฝึกเจริญฌานสมาบัติให้เป็นวสี แล้วย่อมเกิดอภิญญา มีทิพพจักขุ ทิพพโสต เป็นต้น ตามระดับภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้ เพราะการเริ่มเจริญสมถภาวนาโดยการกำหนดบริกรรมนิมิตเป็นดวงแก้วกลมใสนั้น มีลักษณะเป็นการเพ่งกสิณแสงสว่าง ชื่อว่าอาโลกกสิณ อันเป็นกสิณกลาง และมีผลให้เกิดอภิญญาได้ง่าย
    ๒.สามารถน้อมไปเพื่ออตีตังสญาณ เห็นอัตภาพของตนและสัตว์อื่นในภพก่อนๆ น้อมไปเพื่ออนาคตังสญาณ เห็นจุติปฏิสนธิของสัตว์ทั้งหลายที่เป็นไปตามกรรม และน้อมไปเพื่อปัจจุปปันนังสญาณ เห็นสัตว์โลกในทุคติภูมิ ได้แก่ ภูมิของเปรต สัตว์นรก อสุรกาย และในสุคติภูมิ ได้แก่ เทวโลก และพรหมโลก ตามที่เป็นจริง ตามพระพุทธดำรัสได้
    ให้สามารถรู้เห็นสภาวะของสังขาร ได้แก่ เบญจขันธ์ของสัตว์โลกทั้งหลาย อันปัจจัยปรุงแต่งด้วยปุญญาภิสังขาร คือ ความปรุงแต่งด้วยบุญ คือ กุศลกรรม
    อปุญญาภิสังขาร คือ ความปรุงแต่งด้วยบาป คือ อกุศลกรรม และอเนญชาภิสังขาร คือ ความปรุงแต่งที่ไม่หวั่นไหว (ด้วยรูปฌานที่ ๔ ถึงอรูปฌานทั้ง ๔)
    ได้เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลกในสังสารจักร อันเป็นไปตามกรรม โดยวัฏฏะ ๓ คือ กิเลสวัฏ กรรมวัฏ และวิปากวัฏ
    และให้สามารถเจริญปัญญารู้แจ้งในสภาวะของสังขารธรรม คือ ธรรมชาติที่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง (สังขตธรรม) กล่าวคือ ธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ ทั้งสิ้นว่ามีสามัญญลักษณะที่เป็น อนิจฺจํ ทุกขํ และ อนตฺตา อย่างไร
    ให้เจริญวิปัสสนาญาณรวบยอดผ่านถึงโคตรภูญาณของธรรมกายได้อย่างรวดเร็ว และเป็นบาทฐานให้เจริญโลกุตรวิปัสสนาได้เป็นอย่างดี
    - พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล)

    [​IMG]
     
  8. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +69,978
     
  9. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +69,978
    .
     
  10. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +69,978
  11. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,154
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,005
    ค่าพลัง:
    +69,978
    การปฏิบัติสติปัฏฐาน4 ไม่ได้เป็นเพียงสำนักที่ใช้การกำหนด พอง-ยุบ เท่านั้น

    สติปัฏฐาน4 คือ พระคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ที่เป็นทางสายเอก เป็นแกนกลางโดยไม่กำหนดรูปแบบปฏิบัติภายนอก

    แต่ภายใน เฉพาะตัวบุคคลท่านสอนให้อาศัยฐานการกำหนดที่ กาย เวทนา จิต ธรรม

    รายละเอียดพระปริยัติปรากฏในพระไตรปิฎก
    ส่วนเทคนิควิธีการส่วนตัว ของครูบาอาจารย์แต่ละท่านย่อมมีแตกต่างกันไป

    ดูผลการปฏิบัติง่ายๆ ก็เพียงว่า กิเสล โลภ โกรธ หลง ลดลงหรือไม่ เมื่อปฏิบัติ
    หรือมีรูปแบบกิเลสอัตตาใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...