กรมหลวงชุมพรฯ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ๛อาภากร๛, 2 กันยายน 2010.

  1. weruwan

    weruwan เวฬุวัน ว.มุจลินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +537
    ขอขอบคุณท่านเสียยิ่งนัก
    อันเรานี้กระจ่างจิตเสีย
    มิน่าเล่าจึงเพลียเสียยิ่งนัก
    ด้วยจิตที่สงสัย
    ปกติเมื่ออยู่ในธรรมรมณ์
    จิตจักใสและเบิกบาน
    แม้นออกสู่จิตแห่งกายหยาบ
    ข้าวปลาอาหารมิรู้สึกหิว
    แต่ครานี้เราอาจเมตตาผิดกาล
    ราตรีนี้จักเพียรเสียใหม่

    บรมครูทุกท่านเราเคารพกราบการนอัญเชิญต่อจาะพระพุทธองค์
    แม้นเสด็จกรมหลวงฯ ท่านทุกคราที่พบเราก็กราบไหว้
    ผลิว่าวันหนึ่งคงได้รับบารมีพระองค์ท่านที่เบิกบาน
    เราท่านคงมีวาสนาได้ค้ำจุนเมตตาธรรม
    ด้วยเหตุเราเพิ่งก้าวเดิน
    วาสนาจึงมีมาพบท่าน
    หากมีสิ่งใดผิดวานชี้ติแนะนำวานกล่าวให้ถูกทางเถิดท่าน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      445.1 KB
      เปิดดู:
      508
    • 13.jpg
      13.jpg
      ขนาดไฟล์:
      476.5 KB
      เปิดดู:
      199
    • 31.jpg
      31.jpg
      ขนาดไฟล์:
      211 KB
      เปิดดู:
      157
    • 94.jpg
      94.jpg
      ขนาดไฟล์:
      654.2 KB
      เปิดดู:
      355
    • 11.jpg
      11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      720.3 KB
      เปิดดู:
      306
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤศจิกายน 2010
  2. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ���§���� : ��ǧ��;ظ �ҹ���
    ได้จากห้องสนทนาเสียง 10 นาทีก่อน แม้จะเคยฟังเรื่องราวนี้เป็นครั้งแรกแต่ก็รู้สึกเหมือนว่าเคยได้ยินมาก่อน ไฟล์ 28 เรื่อง สะอาดแต่ไม่บริสุทธิ์ 2 หลวงพ่อพุธท่านวิสัชนามาเห็นว่าน่าจะได้คําตอบที่ตรงคําถามมากที่สุด ลองฟังดูครับ
    http://www.fungdham.com/download/sound/put/CD109-28.wma

    [​IMG]

    [​IMG]

    2 ภาพนี้ทําได้อย่างไร
    [music]http://palungjit.org/attachments/a.1229062/[/music]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2010
  3. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ฟังธรรมหลวงพ่อพุทธแล้วลองพิจรณา คําว่า ศิลพตุปรามาส สังโยชน์ ระดับต้นปกปิดโสดาบันดู เริ่มเห็นอุปสรรคของคนยุคหลังจะติดกันที่ศาสนามากกว่าติดธรรมละ ตรงจริตบุญหูโดยแท้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2010
  4. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    ได้ความรู้เยอะเลยค่ะ.............
     
  5. weruwan

    weruwan เวฬุวัน ว.มุจลินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +537
    จักต้องขอขอบคุณที่ท่านกรุณาแนะนำเรานัก

    อันคำถามว่า
    2 ภาพนี้ทําได้อย่างไร
    หมายถึงสิ่งใดรท่าน
    แล อันที่ท่านกล่าวว่าท่านเห็นสมเด็จท่านนั้นหมายถึงสมเด็จโตหรือสมเด็จมหาราชนเรศวรเจ้า
    เพราะเรานี้ก็มีท่านทั้งสองเป็นบรมครูเช่นกันจึงขอใคร่ทราบนามเต็มสักหน่อยเถิด

    เราใคร่ขอถามท่านสักเล็กน้อย
    เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเราเกิดอาการหาวและอ๊วกลมที่หน้าอนุเสาวรีย์พระเจ้าตากที่หน้าโรงพยาบาล คือเราทำงานที่นั่น กล่าวคือทุกครั้งที่เราเดินผ่านเราก็ไหว้ท่านแต่คราวนี้ก้ไหว้ปกติ จนต้องซื้อพวงมาลัยแล้วเข้าไปจุดธูปและอัญเชิญท่านโดยผ่านภาษาเทพมาสู่เรา เรากระทำตามจิตเช่นนั้น
    เราจึงใคร่อยากทราบวาระในพระองค์ท่านที่มีต่อเรา
    และเราก้รู้สึกว่าพระองค์ต่อไปจักเป็นพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5

    อันเรานี้หาใช่ร่างทรงไม่ดอกท่าน
    จิตนี้เป็นของเรา
    เพียงแต่เราปล่อยจิตไปตามวาระ แต่สามารถรับรู้ได้บังคับได้ ที่ผ่านมาเห็นว่าเป็นสิ่งที่อันควรก็ปล่อยไปตามวาระของแต่ละพระองค์ แต่ก็ไม่ค่อยรู้ดอกว่าเป็นพระองค์ท่านใดบ้างแบบชัดเจน
    เราหาใช่รางทรงไม่นะท่าน
    เราเคยลองกระทำการโดยเดินไปอวยพรต่อบุตรเรา
    โทรไปกล่าวต่อผู้อื่น
    อัญเชิญบารมีแห่งท่านไปสู่ผู้อื่น มีบางท่านรับมากไปเป็นไข้เลยก็มี
    เราลองบังคับจิตเราโดยน้อมบารมีท่านให้ธำรงค์อยู่ในขณะนั้น
    ก็จึงน่าจักเป็นญาณแฝงถูกต้องไหมท่าน
    ร่างทรงเมื่อท่านมาจักไม่รู้บังคับตนเองไม่ได้
    ไม่ท่านไปก็ไม่รู้ว่าสิ่งใดเกิดขึ้น ถุกต้องไหมท่าน

    เราใคร่จักทราบวาระเราที่มีต่อพระองค์ท่านมิทราบว่าท่านพอจักแนะนำเราได้ไหม

    บรมครูเรามีอยู่หลายพระองค์ ทั้ง พระอริยะ บูรพกษัตริย์ไทย (วีรชนตามจริตที่ท่านเรียก) มหาเทพอีกหลยองค์ ฤาษีต่างๆ พญานาคราช
    พระองค์ท่านจักมาในความรู้สึกที่เราพอรู้ว่าจักเป็นท่านใด แต่ไม่ค่อยชัดเพราะจิตเรายังหยาบนัก
    และอีกประการหนึ่ง
    เราเคยกล่าวต่อบรมครูผิดองค์ ธรรมรมณ์แห่งฌาณเราที่เคยมีได้หายไปครั้งหนึ่ง เราก้เลยไม่กล้ากล่าวมากความให้พระองค์ใดเป็นเอกหรือประธานต่อเรา จึงได้แต่กล่าวให้ท่านเป็นไปตามวาระของแต่ละพระองค์
    ตอนสวดมนต์ท่านมากันมาก เปลี่ยนไปตามอัตลักษณ์ เสียงบ้าง อาการบ้าง แต่จิตยังเป็นของเรา ยังบังคับได้
    บางคราก็บังคับให้เป็นของตนเอง
    บางคราก็ปล่อยไปตามวาระ
    เราก็ขอคำแนะนำเช่นกัน

    ตอนนี้เรามีอาการที่หนักหน่อยคือ เมื่อเข้าสู่พลบค่ำ กายเราจักอ่อนล้าจนต้องเข้านอน ไม่รู้ผลพวงมาจากการกรวดน้ำในธรรมรมณ์หรือไม่ ตอนนี้เลิกกรวดตามท่านแนะนำแล้ว แต่ความอ่อนล้าย้งคงอยู่
    ราตรีนี้เราจักสู้ใหม่ ล่ะท่าน เมื่อวานไม่ไหวนอนยาวไปเลย

    ขออภัยนะท่านที่นำปัญหามาสู่ท่านให้พิจารณา
    อันเรา ณ เพลานี้เป็นดั่งที่กล่าวมาแล
    จึงใคร่ขอแนะนำจากท่าน
    วานเมตตาต่อเราผู้ไม่รู้เถิดท่าน

    อันราตรีนี้เรามีวาระต่อบูรพกษัตริย์ไทยในบางกิจ
    หลังกล่าวสัตย์แล้วจักมากล่าวต่อท่าน
    เพราะเราต้องอัญเชิญบารมีพระองค์ท่านในกิจหนึ่งตามจิตที่เกิดขึ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2010
  6. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ผู้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความปกติที่สุดก็คือผู้ใกล้ธรรมที่สุด
    รัด โลภ โกรธ หลง เป็นของโลก แต่ก็เป็นจักรวาลคู่ขนาน เส้นไม่มาบรรจบที่ความรู้จริงตามสภาวะธรรม
    การยึดมั่นว่าศาสนาสอนแบบนี้ๆๆๆ ก็ทําตามแบบนั้นๆ การเชื่อมั่นว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะมีกําลังมากพอจะพาไปสู่จุดสุงสุดของคําสอน โดยขาดปัญญาพิจรณา สภาวะตามความเป้นจริงอย่างมีเหตุผล ก็ไม่ต่างกับสีลปพุปรามาส จากการที่จะยึดศานาให้เป็นที่พึ่งกับถ่วงความจริงของปัญญาที่ตัวควรจะแสวงให้เห็น กลายเป็นว่าถ่วงตัวให้ตําลงหรือไม่สูงขึ้นเพราะไปยึดของที่โลกสมมุติ

    เมื่อปล่อยวางความเชื่อต่างๆได้แล้วไม่แยกแยะสิ่งสมมุติให้สับสน ให้เกิดความลังเลสงสัย กําลังในการปฏิบัติก็จะมุ่งตรงเป็นสิ่งเดียว คือ ทําดี เว้นชั่ว ปัญญามันรู้ได้ถ้าแยกแยะได้แบบนี้ก็เรียกว่า เข้าถึงกฏของธรรมชาติ จากเมื่อรวมแนวทางในการปฏิบัติไว้ในแบบที่ตนถนัดได้แล้ว ก็เริ่มจําแนกธรรม ใช้สติปัญญาหั่นออกเป็นชิ้น
    เช่น
    รูป รส กลิ่น เสียง เป็นสิ่งภายนอก ถ้ากําหนดรู้ได้แล้วก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของคนอื่นเขา
    หันมาสนใจ ตา ลิ้น จมูก หู ซึ่งเป็นของเราก็ควบคุมไม่ให้เที่ยวไปสอดส่าย

    อาการอ้วกลมหรืออะไรต่างๆถ้าจะมองหลักการแพทย์ก็มีคุณก็ทํางานแถวนั้นผมก็งานด้านสาธารณะสุขซี 7 วิทยาศาสตร์มันก็มีบอก การแพทย์มันบอกอาการได้

    แต่เรื่องอย่างนี้ก็คงไปปฏิเสธเรื่องของสิ่งที่มองไม่เห็นก็จะกลายเป็นประมาทอีก ก็เอาเป็นว่าควบคุมทวารของเราจัดระเบียบให้มันดี ถ้าสติมันรู้ว่ามันจะคอยเตือนสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งที่ธรรมชาติของมนุษย์ ให้เราออกห่าง ยิ่งเรารับสิ่งที่มันไม่ปกติของมนุษย์ที่ควรจะมีจะเป้นจริงตามธรรมชาติ ความเป็นมนุษย์มันก็จะค่อยๆพร่องไป เมื่อความเป็นมนุษย์พร่องไป ความเข้าใจธรรมชาติแท้จริงของมนุษย์ธรรมนั้นก็จะไกลจากเรามากขึ้นด้วย

    เรื่องของครูอาจารย์เทวดารักษานี้เค้าสถิตย์ในใจใจมันอยู่ที่กาย กายไปไหนท่านก็ตามไปทางนั้น ถ้าเป็นที่ครูบาอาจารย์ทําให้เป็นคงจะไม่ถูกนัก เราอ้วกเราเรอ เราเหนื่อยล้า ก็เพราะร่างกายเราไม่สมบูรณ์ จิตใจก็ไม่สมบูรณ์ ถ้ามันสมบูรณ์ มันก็ไม่มีอะไรให้เป็น

    กลัวว่าจะเอ่ยพระนามครูอาจารย์ผิดพระองค์ ไม่ต้องกลัวครับ เราศรัทธาองค์ไหนก็เอ่ยองค์นั้น ใช่ไม่ใช่มันสถิตยืในใจเรา ก็ย่อมมีจริงอยู่แล้ว เราศรัทธาของเราแบบนี้ๆๆๆ อินทร์พรหมหน้าไหนจะมาเปลี่ยนใจเราได้ ก็ความจริงในใจมันเป้นแบบนั้น ความจริงอื่นก็อีกเรื่อง
    ศรัทธาเราเกาะเกี่ยวแบบนี้เราสบายใจ ท่านไม่มาทัโทษให้เราต้องทุกข์ใจ

    ถ้าเป็นเทวดารักษาร่างกายแล้วมาแบบนี้ผมก็ด่า ไม่เคยมีกลัว ถ้าทําบาปทําชั่วจะลงโทษจะไม่ว่า จะมาลงโทษแบบงี้ตัดขาดควําขันกันไปเลย ชีวิตนี้ถ้าทําดีทําไม่ผิดก็คงจะเห็นดีกัน
    ไม่กลัวเทวโองการ ไม่กลัวเทวอาญา กลัวกรรมเวรมากกว่า กรรมเวรมันของจริง

    เทวดารักษาสังขารที่ผมหมายถึงสมเด็จคือ สมเด็จพระนเรศวร ของคุณแน่นอนชัดเจน เป็นการส่งมาทางผมให้รู้แบบเจาะจง ฌานมาทางพระ ไม่ลังเลและยืนยันคัตอบเดิม

    สายกษัตริย์นี้เรื่องร่างทรงผมไม่ทราบนะครับ เคยถามเตี่ยท่านว่าอย่างไรก็อย่างนั้นเป้นมุมมองส่วนตัว แผ่นฟ้าเป้นของเทวดา แผ่นดินเป็นของประชาชน ผู้ทําประโยชน์ให้แก่ประชาชน ก็คือเจ้าของหัวใจแผ่นดิน ผมเดินทางค้างแรมไปไหน หยิบบัตรประชาชนไว้หัวที่นอนสวดมนต์นอนไม่ค่อยหรือแทบไม่เคยถูกวิญญาณกวน ฉัน ก็ไทยผีก็ไทย ถ้าเห็นว่าฉันทําบาปทักรรมให้แผ่นดินนักจะฆ่ากันก็ฆ่า แต่ถ้าฉันเดินทางมาค้างแรมเพื่อทํางานเพื่อความเจริญเพื่อคนไทยเหมือนกันแล้วยังมากวนกันอีก ถ้าไม่ใช่ผีไทยก็มาดูว่าใครมันจริงกว่ากัน แต่ถ้าผีไทยนี่ เชื่อมั่นว่าผีอื่นก็คุ้มครองไม่ต้องถึงมือของเทพารักษ์รักษาบ้านเมือง นี่ความดีมันคุ้มครองแบบนี้ มันมั่นใจในความดีของตัวเอง แม้จะดีเล็กๆน้อยๆแต่มันให้ผลทางใจ ไม่ต้องไปนะโม อ้างพระพุทธ ไปเอชะมะนามอ้างพระเยซู ใจมันไม่ถึง ความเชื่อมั่นมันไม่มีพลังมาคุ้มครอง บูชาสายนี้ไว้ชีวิตไม่ตกอับ แต่ต้องเป็นคนดี อย่างน้อยกฏหมายมันคุ้มครองแบบเห็นผล

    การปฏิบัติอย่าไปลังเล อะไรๆก็ไม่สําคัญเท่ามองตัวเอง

    ใจผมอยากให้เข้าใกล้ครูอาจารย์ที่เป็นรูปธรรมนะครับ ตัวผมเอง ก็ไม่มีความรู้ทางใดทั้งสิ้น ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ หรือ ปฏิเวธ ก็ตอบแบบกลางๆ แบบนี้หล่ะครับ อะไรที่ไม่มีสาระก็ปล่อยๆไว้ไอ้ที่มีสาระก็ลองหาคําสอนอื่นที่เคยได้ยินมาประกอบแล้วพิจรณาให้ผ่านบ่วงของตัวเองนะผมพยายามหลีกเลี่ยงบาลีละเจอบาลีที่ไหนก็เอาตามความเข้าใจละกัน
     
  7. weruwan

    weruwan เวฬุวัน ว.มุจลินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +537
    ขอบคุณมากที่ท่านให้ปัญญาแก่เรานัก
    เราจักน้อมนำสิ่งที่ใกล้ตนที่สุด
    วาจาท่านบางวลี
    คือสิ่งที่เราผ่านมาแล้ว
    เราจักกลับไปนำสิ่งนั้นกลับมา
    เรานี้ชั่งเขลเสียยิ่งนัก
    ขอบคุณท่านเสียยิ่งนักแล
     
  8. weruwan

    weruwan เวฬุวัน ว.มุจลินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +537
    เรามีวาสนาได้เคยเห็นภาพที่ท่านมาลงนี้
    มีบางภาพอยู่ที่พระราชวังมฤคทายวัณ
    มิทราบว่าท่านเคยไปเห็นได้ด้วตนเองไหม
    ผลิว่า
    วันหนึ่งท่านผ่านไป
    จักได้เข้าไปสักการะสัมผัส ณ ที่แห่งนี้นแลท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2010
  9. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580

    [​IMG]
     
  10. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580


    [​IMG]
     
  11. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    18,949
    ค่าพลัง:
    +43,556
    ๛อาภากร๛<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4040788", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]


    แล้วอย่าลืมเอารูปนี้ไปแปะคืนให้ที่กระทู้เสด็จเตี่ย ห้องวิทย์ ด้วยหล่ะนะ

    .....

    ...
    โพสต์ให้แล้วนะ.......
    แค่นี้ก็ทวงกันด้วย....ชิ ชิ
     
  12. weruwan

    weruwan เวฬุวัน ว.มุจลินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    106
    ค่าพลัง:
    +537
    ขอน้อมจิตบังคมเหนือเศียรเกล้า
    รำลึกพระมหากรุณาธิคุณผองถิ่นสยาม
    ให้ข้าผู้รองบาทธำรงจำเริญจิต
    หวนคิดรำลึกแผ่นดินเกิดตอบแทนคุณ
    ทำนุบำรุงชาติศาสน์กษัตริย์
    จักป้องปกหน่อพระองค์ท่านจากทรราชย์ทุรยศ
    ขออำนาจต่อถึงสายญาณอดีตที่เพียรมา
    นำพามวลพสกนิกรพระองค์ท่าน
    ก้าวข้ามธาราธรรมด้วยจิตที่เบิกบาน
    แม้นข้าผู้รองบาทพระองค์นเรศเหนือหัวเจ้า
    ก็รำลึกพระมหากรุณาธิคุณล้นกระหม่อม
    ผู้มาจากอโยธยาศรีรามเทพนคร
    มาเพียรธำรงธรรมก้าวข้ามมหาธาราธรรม
    ด้วยกุศลที่ข้าพระองค์ได้เพียรก่อเกิดทั้งมวลสิ้น
    ขอน้อมถวายพระองค์ท่านเป็นราชบรรณาการ
    ได้มีวานนาอ่านพบประวัติพระองค์ท่าน
    ขอน้อมนำมาสรรเสริญพระเกียรติแห่งพระองค์ท่าน
    ผลิว่าจักเป็นศิริมหามงคล
    จำเริญจิตเพียรก้าวข้ามธรรมธาราของข้าพระองค์

    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

    ข้าพระพุทธเจ้านามดวงจิตนี้ เวฬุวัน ว.มุจลินทร์


    ...บันทึกของ เสด็จในกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์...
    "... เจอบันทึกนี้ ให้เอาคำต่อไปนี้ของกูไปประกาศให้คนรับรู้ว่า
    กู กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ผู้เป็นโอรสของพระปิยะมหาราช
    ขอประกาศให้พวกมึงรับรู้ไว้ว่า แผ่นดินสยามนี้ บรรพบุรุษได้เอาเนื้อเอาชีวิตเข้าแลกไว้
    ไอ้อีผู้ใดมัน คิดบังอาจทำลายแผ่นดิน ทำลายชาติ ทำลายศาสนา พระมหากษัตริย์
    ฤากระทำการทุจริต ก่อให้เกิดความเดือนร้อนต่อส่วนรวม จงหยุดคิดการกระทำนั้นเสียโดยเร็ว
    ก่อนที่กูจะสั่งทหารผลาญสิ้นทั้งโคตรให้หมดเสนียดของแผ่นดินสยาม อันเป็นที่รักของกู
    ตราบใดที่คำว่าอาภากร ยังยืนหยัดอยู่ในโลก กูจะรักษาแผ่นดินสยามของกู
    ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้กำเนิดเรามา แผ่นดินใดให้ที่ซุกหัวนอน
    ให้ความร่มเย็นเป็นสุข มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น..."

    [​IMG]


    พระประสูติกาล
    พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ (ต้นราชสกุล อาภากร)
    ทรงเป็น พระเจ้าลูกยาเธอ ในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล ที่ ๕ นับลำดับ
    ราชสกุลวงศ์เป็นพระองค์ที่ ๒๘ มีพระนามเดิมว่า "พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์" ประสูติใน
    พระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๒๓
    รงกับวันอาทิตย์ แรม ๓ ค่ำ เดือนอ้าย ปีมะโรง
    จุลศักราช ๑๒๔๒ เวลา ๑๔.๕๗ และทรงเป็น พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์ที่ ๑ ในเจ้าจอมมารดาโหมด
    ธิดาเจ้าพระยาสุยาสุรวงศ์ ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) พระองค์ทรงมีพระกนิษฐา และพระอนุชา
    ร่วมพระมารดา ๒ พระองค์ คือ พระองค์เจ้าหญิงอรองค์อรรคยุพา (สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์)
    และพระองค์เจ้าสุริยงประยุรพันธ์

    [​IMG]

    การศึกษา
    เมื่อเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ยังทรงพระเยาว์ ทรงได้รับการศึกษาชั้นแรก ในพระบรมมหาราชวัง
    มีพระยาอิศรพันธ์โสภร (พูน อิศรางกูร) เป็นพระอาจารย์ และทรงศึกษา ภาษาอังกฤษกับ r.Morant
    ซึ่งเป็นชาวอังกฤษ และได้ทรงเข้าเป็นนักเรียน ในโรงเรียนหลวง
    ณ พระตำหนักสวนกุหลาบยู่จนถึงทรงโสกันต์
    ในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ เมื่อเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ทรงมีพระชนมายุได้ ๑๓ พรรษา พระบาทสมเด็
    พระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้เสด็จในกรมฯ เสด็จไปทรงศึกษาต่อ
    ประเทศอังกฤษ พร้อมกับ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
    ซึ่งในขณะนั้น ทรงดำรงพระอิสริยศักดิ์เป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ
    โดยมีเจ้าพระยา พระเสด็จสุเรนทราธิบดี เมื่อครั้งมีบรรดาศักดิ์
    ป็นสมเด็จพระมนตรีพจนกิจ เป็นพระอภิบาล
    ได้เสด็จออกจากกรุงเทพฯ โดย ร.ล.มกุฎราชกุมาร (ลำที่ ๑ )
    เมื่อ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ไปยังสิงคโปร์ ต่อจากนั้น ได้ทรงโดยสารเรือเมล์ ชื่อ "ออเดรเบิด"

    ไปถึงเมืองตูรินในอิตาลี เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม แล้วเสด็จโดยทางรถไฟ ไปยัง กรุงปารีส
    และลอนดอนตามลำดับ ในขั้นแรก เสด็จในกรมฯ ได้เสด็จประทับ ร่วมกับ
    พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าฯ ที่ "ไบรตัน" และ "แอสคอต"
    เพื่อทรงศึกษาภาษา และวิชาเบื้องต้น เสด็จในกรมฯ ได้เคยตามเสด็จ
    พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าฯ ไปเฝ้าสมเด็จพระราชินีนาถ วิคตอเรีย
    ที่พระราชวังวินด์เซอร์ ตลอดจนตามเสด็จ ไปทัศนศึกษาทั้งในอังกฤษ

    และประเทศในยุโรป จนกระทั่งถึงวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๘ เสด็จในกรมฯ
    จึงเสด็จไป เข้าโรงเรียนส่วนบุคคล สำหรับกวดวิชา เพื่อเตรียมเข้าศึกษา
    ในโรงเรียนนายเรืออังกฤษ ต่อไป โรงเรียนที่ทรงไปกวดวิชานี้มีชื่อว่า The Seines
    ตั้งอยู่แขวงกรีนิช ทางตะวันออกเฉียงใต้ ของกรุงลอนดอน มีนาย Littlejohns เป็นครูใหญ่
    ผลการศึกษานี้ พระอภิบาล ได้ทรงกราบบังคมทูลรายงานว่า
    "... ความรู้ภาษาอังกฤษดีขึ้นตามธรรมดา แต่วิชากระบวนทหารเรือชั้นต้น
    ก็วิ่งขึ้นเร็วตามสมควร แต่การเล่นแข็งแรง
    เช่น ฟุตบอล เป็นต้น นับว่าเป็นชั้นยอดของโรงเรียน เกือบว่าไม่มีใครอาจเข้าเทียบเทียม..."

    [​IMG]

    ทรงศึกษาในโรงเรียนนายเรืออังกฤษ
    เมื่อเสด็จในกรมฯ ทรงกวดวิชาแล้ว จึงเข้าศึกษาต่อใน โรงเรียนนายเรืออังกฤษ
    ในราวปี พ.ศ.๒๔๙๓ การศึกษา ในโรงเรียนนายเรือ ของอังกฤษนั้น จะต้องฝกหัดศึกษา
    หลับนอน อยู่ในเรือ ประมาณ ๓-๔ เทอม เมื่อสอบความรู้ได้แล้วจะมีฐานะเป็น
    นักเรียนทำการนายเรือ (Midshipman) และไปฝึกในเรือรบ ประจำกองเรือต่างๆ อีกประมาณ ๑-๒ ปี
    และก็จะทำการสอบ เพื่อเป็นนายเรือตรี ต่อจากนั้น ศึกษาต่อ ในมหาวิทยาลัยทหารเรือ
    โรงเรียนปืนใหญ่ และโรงเรียนตอร์ปิโด จนได้เลื่อนยศเป็นเรือเอก เท่ากับนายทหารรุ่นเดียวกัน
    เมื่อเสด็จในกรมฯ ทรงเป็นนักเรียนทำการนายเรือ ในราชนาวีอังกฤษ ทรงเล่าว่า
    "เมื่อเป็นนักเรียนทำการนายเรือ ในราชนาวีอังกฤษ ได้มีโอกาสขึ้นทำการปราบจลาจล ที่เกาะครีท
    ที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นเวลาราว ๓ เดือน ต้องนอนกลางดิน กินกลางทราย หนาวก็หนา
    ในสนามรบ ต้องนอนกับศพที่ตายใหม่ๆ และบางคราว ซ้ำยังอดอาหาร ต้องจับหอยทาก
    มาเสวยกับหัวหอม ศพที่ถูกยิงที่ท้องนับว่าเหม็นร้ายกาจมาก ถึงจะเป็นศพตายใหม่ๆ ก็ตาม..."
    รวมเวลาที่เสด็จในกรมฯ ทรงศึกษาอยู่ในราชนาวีอังกฤษ ๖ ปีเศษ

    [​IMG]

    เสด็จในกรมฯ จึงนับเป็น พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์แรก ของพระบาทสมเด็จ
    พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้เสด็จไปทรงศึกษา เกี่ยวกับ
    วิชาการทหารเรือ ยังต่างประเทศ ทั้งนี้เพราะ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าฯ ทรงมีพระราชดำริว่า
    "...กิจการทหารเรือไทย เท่าที่ได้เป็นอยู่ในขณะนั้น ต้องอาศัยชาวต่างประเท
    เป็นผู้บังคับบัญชาการเรือ และป้อม อยู่เป็นอันมาก จึงไม่สู้ จะมีความมั่นคงเท่าใดนั
    ดังจะเห็นได้จาก เหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ (พ.ศ.๒๔๖๓) เป็นตัวอย่างอันดี
    ฉะนั้น จึงนับว่า เป็นพระราชดำริ ที่เหมาะสม ในการส่ง พระราชโอรส
    ไปทรงศึกษา วิชาการทหารเรือในครั้งนี้..."

    [​IMG]

    ทรงรับราชการทหารเรือ
    หลังจากที่เสด็จในกรมฯ เสด็จกลับมาถึงกรุงเทพฯแล้ว ในวันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๔๓
    จึงได้รับ พระราชทานยศ เป็น นายเรือโท (เทียบเท่า นาวาตรีในปัจจุบัน) ทั้งนี้ ทรงพระกรุณา
    ปรดเกล้าฯ จะให้เป็น ผู้บังคับการเรือปืน ที่กำลังจัดซื้อ
    คือ ร.ล.พาลีรั้งทวีป หรือ ร.ล.สุครีพครองเมือง ลำใดลำหนึ่ง ในขั้นแรก ทรงรับราชการ
    ในตำแหน่ง "แฟลคเลบเตอร์แนล" (นายธง) ของผู้บัญชาการกรมทหารเรือ คื พลเรือโ
    พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปคม เสด็จในกรมฯ ได้ทรงสำรวจการ
    ป้องกัน ลำน้ำเจ้าพระยา และได้ทูลเกล้าฯ ถวายรายงานต่อ ผู้บัญชาการกรมทหารเรือ โดยละเอียด
    ทรงริเริ่มกำหนด แบบสัญญาณธงสองมือ และโคมไฟ ตลอดจนเริ่มฝึกพล
    "พลอาณัติสัญญา" (ทัศนสัญญาณ) ขึ้นเป็นครั้งแรก
    ในปีนี้ พลเรือโท พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปคม ผู้บัญชาการกรมทหารเรื
    ทรงพอพระทัย ในการปฏิบัติงานของ เสด็จในกรมฯ มาก ทรงยกย่องว่า ทรงมีความรู้จริง
    ละมีความกระตือรือร้น ที่จะทำงาน
    ในวันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๔๔ เสด็จในกรมฯ ได้รับพระราชทานยศ เป็นนายเรือเอก
    (เทียบเท่า นาวาเอกในปัจจุบัน) และได้ตามเสด็จ พระบาทสมเด็จ
    ระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสชวา ในเรือพระที่นั่งมหาจักรี
    ในระหว่างวันที่ ๕ พฤษภาคม ถึงวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๔
    รั้นต่อมา ในวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๔ จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ
    ให้เป็น รองผู้บัญชาการ กรมทหารเรือ ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๔๗ ทรงพระกรุณา
    โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนยศ เสด็จในกรมฯ จากนาวาเอก เป็นพลเรือตรี และคงทรงดำรงตำแหน่ง
    รองผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ครั้นในวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ในปีเดียวกันนี้
    ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยศ เป็น กรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์

    [​IMG]

    พิธีสมรสพระราชทาน
    สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดช
    ทรงเป็น พระราชโอรส ลำดับที่ ๔๕ในรัชกาลที่ ๔ และทรงเป็น
    ระอนุชา ที่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงพระเมตตา และสนิทสนมยิ่งนัก
    (ทรงเป็น "เสด็จตา" ของพระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล)
    สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีฯ ทรงมีพระธิดาองค์โต
    หม่อมเจ้าหญิงทิพยสัมพันธ์ ครั้นพอเสด็จในกรมฯ สำเร็จการศึกษาจากอังกฤษ
    กลับมารับราชการแล้วนั้น สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ก็ได้ทรงสู่ขอพระธิดาองค์โต
    ของพระอนุชามาพระราชทานเสกสมรสให้
    สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีงานมงคลพิธี
    ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระราชทานน้ำพระมหาสังข์ มีเลี้ยงน้ำชา
    ประชุมพระบรมวงศานุวงศ์ และมีงานราตรีสโมสร ซึ่งถือว่า เป็นครั้งแรกที่พิธีเสกสมรส
    จัดงานราตรีสมโภชคู่บ่าวสาว เชิญทั้งไทย ทั้งฝรั่ง มีการเต้นรำอย่างธรรมเนียมสากลด้วย เป็นพิเศษ
    และ พระราชทานวังใหม่ ให้ที่ริมคลองผดุงกรุงเกษม แต่ทว่าเป็นที่สลดสะเทือนใจนัก
    เพราะหลังจากเสกสมรสไม่กี่ปีต่อมา ความรักของหม่อมเจ้าหญิงทิพยสัมพันธ์
    กับเสด็จในกรมฯ ก็มิได้ราบรื่นงดงาม ตามพระประสงค์ของ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง
    หม่อมเจ้าหญิงทิพย์สัมพันธ์ ทรงมีเหตุให้น้อยพระทัย พระสวามี ทรงดื่มยาพิษ สิ้นชีพิตักษัย
    สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงสลดพระทัยนัก เนื่องเพราะทรงเป็นผู้สู่ขอ ด้วยพระองค์เอง
    และทรงเป็นพระปิตุลาโดยตรง ของหม่อมเจ้าหญิงอีกด้วย เหตุนี้ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง
    จึงทรงมีพระเมตตา ต่อพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ของหม่อมเจ้าหญิงเป็นพิเศษ ทรงโปรดเกล้าฯ
    ตั้งขึ้นเป็นพระองค์เจ้า คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา
    และเป็น "หลานรัก" ที่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงพระเมตตาเอ็นดูเป็นพิเศษ

    [​IMG]

    พระโอรสพระธิดา
    พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
    มีพระโอรสเกิดแก่หม่อมเจ้าทิพย์สัมพันธ์ พระชายา
    พระธิดาจอมพลเรือ สมเด็จพระราชปิตุลาบรมวงศาภิมุข เจ้าฟ้า กรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดช
    ทั้งสิ้น ๒ พระองค์ คือ พลโท พลเรือโท พลอากาศโท พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา
    และพลอากาศโท หม่อมเจ้ารังษิยากร อาภากร
    พระโอรสและพระธิดา อันเกิดแก่หม่อม ดังรายพระนาม ต่อไปนี้
    ๑. หม่อมเจ้าหญิง จารุพัตรา อาภากร
    ๒. หม่อมเจ้าหญิง ศิริมาบังอร (อาภากร) เหรียญสุวรรณ
    ๓. หม่อมเจ้า สมรบำเทอง อาภากร
    ๔. หม่อมเจ้าหญิง เริงจิตรแจรง อาภากร
    ๕. พันเอก หม่อมเจ้าดำแคงฤทธิ์ อาภากร
    ๖. พลเรือเอกหม่อมเจ้าครรชิต อาภากร
    ๗. หม่อมเจ้ารุจยากร อาภากร

    [​IMG]

    งานอดิเรก
    การกีฬาที่ทรงโปรดเป็นงานอดิเรก ก็คือการเล่นกีฬาแล่นเรือใบ ยามใดที่พอจะมีเวลาว่าง
    จากราชการแล้ว พระองค์ทรงโปรด ที่จะใช้เวลากับการแล่นเรือใบ
    ดยทรงถือท้ายเรือด้วยพระองค์เอง และยังทรงฝึกหัดให้ชายา และพระโอรสพระธิดา
    ได้หัดแล่นเรือใบในทะเล เพื่อให้มีความกล้าหาญ นอกจากความเพลิดเพลิน แล้วจะได้คุ้นเคย
    และถือทะเลเป็นเสมือนบ้าน ได้อีกความรู้สึกหนึ่งด้วย
    นอกจากกีฬาแล่นเรือใบแล้ว กีฬาอีกประเภทที่ทรงโปรดก็คือ "มวย" และ "กระบี่กระบอง
    " เสด็จเตี่ยทรงฝึกหัดทั้งมวย และกระบี่กระบองอย่างเชี่ยวชาญ จนยากที่จะหาใครเทียบเคียงได้
    และพระองค์ยังได้ ทรงสนับสนุนทหารเรือที่ช่ำชอง มีความสามารถในการชกมวยไทยอีกด้วย
    ทรงส่งนายยัง หาญทะเล เข้าชกชิงถ้วยชนะเลิศ ในการชกมวยไทย ซึ่งสมัยนั้น
    นักมวยยังใช้เชือกคาดมือชก พระองค์ทรงชุบเลี้ยงนายทหารเรือ ที่มีความสามารถในการชกมวย
    และกระบี่กระบอง ไว้มากมายหลายคน เนื่องเพราะทรงเห็นความสำคัญ
    ของศิลปะการต่อสู้แบบไทยแท ้และเป็นวิชาสำคัญในการป้องกันตัวอีกด้วย
    แต่ก็มิใช่แค่การกีฬาเท่านั้น ที่เป็นงานอดิเรกหรือฮ้อบบี้ที่ทรงโปรดปราน การศิลป
    หรือเชิงวิจิตรศิลป์ ก็ยังเป็นอีกงานอดิเรกหนึ่งซึ่งเสด็จเตี่ย ทรงมีพระปรีชาสามารถ เป็นพิเศษ
    พระองค์ทรงเขียนภาพพุทธประวัติ ไว้ที่ผนังโบสถ์วัดปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์
    จังหวัดชัยนาท ซึ่งก็ยังคง ปรากฏอยู่มาตราบจนทุกวันนี้ ภาพพุทธประวัตินั้
    เป็นตอนพระพุทธเจ้า กับเบญจวัคคีย์ ภาพฝีพระหัตถ์อันงามวิจิตรที่ฝนังโบสถ์นั้น
    ก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดี ถึงพระปรีชาสามารถ ในเชิงศิลปะของเสด็จเตี่ย
    และยังแสดงถึงพระทัย ที่ละเอียดอื่นลึกซึ้งอีกด้วย

    [​IMG]

    เสด็จในกรมกับงานนิพนธ์
    เสด็จในกรมหลวงฯ ทรงมีนิสัยในทางดนตรี โดยเฉพาะในเรื่องการแต่งเพล
    ทรงพระปรีชาสามารถเป็นเยี่ยม ทรงนิพนธ์บทเพลงไว้หลายเพลง บทเพลงเหล่านั้น
    มีสาระสำคัญ ในการปลุกปลอบใจให้เข้มแข็ง ในยามทุกข์ส่งเสริมกำลังใจให้รักชาติ
    รักเกียรติ รักวินัยในยามสงบ และให้เกิดมุมานะกล้าตาย ไม่เสียดายชีวิตในยามศึก บทเพลงเหล่านั้น
    บรรดาทหารเรือทั้งหลาย ได้รับไว้เป็นพระอนุสรณ์ แห่งพระองค์ท่าน เกี่ยวกับบทเพลงพระนิพนธ์ นั้
    นาวาตรีหลวงรักษาราชทรัพย์ (รักษ์ เอกะวิภาค) เขียนจดหมายไว้ดังนี้
    "... เรื่องเพลงทหารเรือที่เจ้าพ่อทรงแต่ง เมื่อทหารสวดมนต์ไหว้พระแล้ว ให้ทหารร้องเพล
    เพื่อปลุกใจเวลาที่ผมประจำอยู่กับเจ้าพ่อ เมื่อยกกองทหารไปตั้งที่บางพระ ทหารกรุงเทพฯ
    กับทหารหัวเมืองร้องเพลงผิด ๆ ถูก ๆ ไม่เป็นระเบียบ
    เจ้าพ่อจึงสั่งให้เรือเอกหลวงอาจณรงค์ เลขานุการของเจ้าพ่อเขียนตามคำบอก
    เสร็จแล้วใช้พิมพ์ดีดพิมพ์ แล้วลงพระนาม "อาภากร"
    ให้เอาไปปิดไว้ที่กองบัญชาการ ให้หัวหน้ากองทหารต่าง ๆ มาคัดเอาไปสอนทหาร
    ผมได้คัดมา ๑ ฉบับด้วยเหมือนกัน และได้จดลงในสมุดใหญ่เก็บรักษาไว้ที่บ้านมาจนถึงบัดนี้
    ๑. ฮะเบสสมอพลัน ออกสันดอนไป ...
    ๒. เกิดมาทั้งที มันก็มีอยู่แต่ทุกข์ภัย ...
    ๓. เกิดมาทั้งที มันก็ดีอยู่แต่เมื่อเป็น ... "

    [​IMG]

    ทรงถูกปลดออกจากราชการ
    ครั้นถึงวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๔ พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว
    ได้โปรดให้พระองค์ ออกจากราชการอยู่ ชั่วระยะหนึ่ง รวมเวลาที่เสด็จในกรมฯ
    ทรงรับราชการครั้งแรก ๑๑ ปี สาเหตุที่ออก ก็เพราะว่ามีพวกทหารเรือไปเที่ย
    พบกับทหารมหาดเล็ก เกิดเรื่องวิวาท กันขึ้น เรื่องทราบไปถึง พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ เข้า
    ทรงไม่พอพระทัย รับสั่งให้เจ้าคุณรามราฆพ ไปทูลเสด็จในกรมฯ ให้ส่งทหารเรือที่วิวาทกับ
    ทหารมหาดเล็กไปให้ ท่านไม่ยอมส่งให้ ได้ให้ทูลพระเจ้าอยู่หัวว่า เป็นเรื่องของคนวิวาทกัน
    ซึ่งจะว่าข้างใดเป็นผู้ผิดไม่ได้ และท่านก็รักทหารเรือ ของท่านเหมือนกับลูก
    ท่านไม่เคยส่งลูกไปให้ใครเขาเฆี่ยนตี ถ้าจะตีก็จะตีเสียเอง พระเจ้าอยู่หัวทรงกริ้ว รับสั่งว่า
    ถ้าท่านไม่ส่งไปให้ก็ต้องให้ออก เพราะว่าทำงานร่วมกันไม่ได้ เสด็จในกรมฯ
    จึงต้องออกจากราชการในคราวนั้น นอกจากนั้นในตอนฝึกเสือป่า ก็มีเรื่องไม่เป็นที่พอพระทั
    คือซ้อมรบมีกันหลายฝ่าย พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงซ้อมรบด้วยหลายครั้ง
    ปรากฏว่าฝ่ายลูกน้อง เสด็จในกรมฯ ไปจับเอาพระเจ้าอยู่หัว และองครักษ์มาโดยไม่ทราบว่าเป็น
    พระเจ้าอยู่หัว แล้วมาทูลเสด็จในกรมฯ ว่าตนได้จับฝ่ายตรงข้ามได้สองคนเข้าใจว่าจะเป็นคนสำคัญ
    เสด็จในกรมฯ ได้แอบดูก็รู้ว่าเป็น พระเจ้าอยู่หัว จึงรับสั่งให้ปล่อยไป โดยให้ลูกน้องของพระองค์
    แกล้งลืมกุญแจไว้ เพราะถ้าปล่อยโดยตรง รัชกาลที่ ๖ ก็จะไม่โปรดอีก จะกริ้วเอาเปล่าๆ
    จะหาว่าเสด็จในกรมฯ ทรงแกล้งแพ้ ในระยะนั้นมีข่าวลือว่า เสด็จในกรมฯ ทรงคิดจะขบถ
    หากสำเร็จจะยกให้ กรมพระนครสวรรค์ฯ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน และเสด็จในกรมฯ จะเป็นวังหน้า
    เนื่องจากเสด็จในกรมฯ และกรมพระนครสวรรค์ เป็นพี่น้องที่รักกันมาก เพราะถูกอัธยาศัยกัน
    อีกทั้งฝ่ายมารดาก็ต่างเป็น คนในตระกูลบุนนาคด้วยกัน คนเป็นจำนวนมาก
    จึงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง กรมพระนครสวรรค์ฯ เอง ก็ทรงเสียพระทัยมาก คิ
    จะกราบถวายบังคมลาออกจากราชการอยู่หลายครั้ง แต่มีคนทูลอ้อนวอน
    ไม่ให้ออก ก็เลยอ่อนพระทัยระงับการลาออก

    [​IMG]

    หมอพรของชาวบ้าน
    "... เสด็จในกรมฯ ได้ทรงออกจากประจำการ ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๔
    และได้ทรงศึกษาวิชาแพทย์ แผนโบราณ จากตำราไทย ทรงเขียนตำราสมุดข่อยด้วยฝีพระหัตถ์
    ของพระองค์เอง ซึ่งกล่าวกันว่า ปัจจุบันสมุดข่อย ตำรายานี้ได้เคยเก็บรักษาอยู่
    ณ ศาลกรมหลวงชุมพร นางเลิ้ง เป็นสมุดข่อยปิดทองที่สวยงามมาก มีภาพพระพุทธเจ้านั่งขัดสมาธิ
    เขียนด้วยหมึกสี ด้านซ้าย และด้านขวา เป็นภาพฤาษี ๒ องค์ นั่งพนมมือ ถัดมาเป็นรูป
    พระอาทิตย์ทรงราชรถ และมีอักษรเขียน เป็นภาษาบาลีว่า "กยิราเจ กยิราเถนํ"
    ขอบสมุดเขียน เป็นลายไทยสีสวยงาม หน้าต้นของสมุดตำรายานี้มีข้อความว่า
    "พระคัมภีร์อติสาระวรรค โบราณกรรม และปัจจุบันกรรม จบบริบูรณ์
    ของกรมหมื่นชุมพร เขตอุดมศักดิ์ ทรงค้นคว้า ตรวจหาตาม คัมภีร์เก่า
    เกือบจะสูญสิ้นอยู่แล้ว จนสำเร็จในปี พ.ศ.๒๔๕๘ "..."
    เมื่อทรงลาออกจาก ราชนาวีแล้ว ทรงอยู่ว่างๆ รำคาญพระทัย
    จึงลงมือศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ จนชำนิชำนาญ และรับรักษาโรค
    ให้ประชาชนพลเมืองทั่วไป โดยไม่คิดมูลค่า จนเป็นที่เลื่องลือว่า
    มีหมออภินิหารรักษาความป่วยไข้ได้เจ็บ ได้อย่างหายเป็นปลิดทิ้ง
    ทรงเห็นว่าการช่วยชีวิตคน เป็นบุญกุศลแก่พระองค์ จึงทรงตั้งหน้าเล่าเรียน
    กับพระยาพิษณุฯ หัวหน้าหมอหลวง แห่งพระราชสำนัก ซึ่งหัวหน้าฝ่ายยาไทย
    ของประเทศไทยผู้นี้ ก็ได้พยายามถ่ายเทความรู้ให้ พระองค์ได้พยายามค้นคว้า
    และปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา เช่น เอาสัตว์ปีกจำพวก นก เป็ด ไก่ ที่ตายแล้ว
    ใส่ขวดโหลดองไว้ ที่เป็นๆ ก็จับเลี้ยงไว้ในกรงอีกมากมาย
    ไว้ที่วัง ทรงหมกมุ่นอยู่กับการแยกธาตุ และทดลองทั้งวัน ถึงแม้ว่า
    จะทรงชำนิชำนาญ ในกิจการแพทย์ฝ่ายแผนโบราณ แล้วก็ตาม
    แต่จะไม่ทรงยินยอมรักษาใคร เป็นอันขาด จนกว่าจะได้รับการทดลองแม่นยำ
    แล้วว่า เป็นยาที่รักษาโรคชนิดพื้นๆ ให้หายขาดได้ อย่างแน่นอน
    ให้ทรงทดลองให้สัตว์เล็กๆ กินก่อน เมื่อสัตว์เล็กกินหาย ก็ทดลองสัตว์โต
    เมื่อสัตว์โตหาย จึงทดลองกับคน และประกาศอย่างเปิดเผยว่า
    จะทรงสามารถ รักษาโรคนั้นโรคนี้ ให้หายขาดได้

    [​IMG]

    เมื่อผู้คนพากันรู้ว่า เจ้าพ่อรักษาโรคได้ฉมังนัก จึงทำให้ร่ำลือ
    ละแตกตื่นกันทั้งบ้าน ทั้งเมือง ไม่ทรงให้ใครเรียกพระองค์ว่า
    เสด็จในกรมฯ หรือยกย่อง เป็นเจ้านาย แต่ทรงเรียกพระองค์เองว่า "หมอพร"
    มื่อมีประชาชน มาหาพระองค์ให้รักษา ก็ทรงต้อนรับ ด้วยไมตรีจิต
    และรักษาให้เป็นการฟรี ไม่คิดค่ารักษา แต่ประการใด
    นอกจากจะเชิญไปรักษาตามบ้าน ซึ่งเจ้าของไข้จะต้องหารถรา
    ให้พระองค์เสด็จไป และนำเสด็จกลับ โดยมากเป็นรถม้าเท่านั้น
    เมื่อกิตติศัพท์ร่ำลือกันว่า หมอพรรักษาโรคได้ฉมังนัก
    ละไม่คิดมูลค่าเป็นเงินทองด้วย ประชาชนก็พาเลื่อมใสทั้งกรุงเทพฯ
    และระบือลือลั่นไปทั้งกรุง เป็นเหตุให้ ความนิยมพระองค์ ได้กว้างขวาง และ
    กิตติศัพท์นี้ ก็ไปถึงพระกรรณ ในหลวง ร.๖ ซึ่งทำให้ทรงพิศวงไม่ใช่น้อย
    เหมือนกับว่า อนุชาของพระองค์เป็นผู้ที่ แปลกประหลาดอย่างยิ่งทีเดียว ทั้งๆ ที่
    ยังหนุ่มแน่น ทหารก็รักใคร่และเรียกเป็น "เจ้าพ่อ" เดี๋ยวนี้ประชาชนทั้งเมือง
    เลื่องลือกันว่าเป็นผู้วิเศษกันอีก ที่สำคัญคือไม่คิดเงินคิดทองผู้ไปรักษา
    จึงทำให้สภาวะของวังพระองค์ท่าน กลายเป็นโรงพยาบาลเล็ก ๆ
    ที่ต้อนรับผู้คนอย่างแน่นขนัดขึ้นมา ทุกวันจะมีคนไปที่วังแน่นขนัด
    ละทรงต้อนรับด้วยดีทุกคน เมื่อไปถึงก็พากันกราบกราน ที่พระบาท
    ขอให้ "หมอพร" ช่วยชุบชีวิต คนเจ็บคนป่วย ก็ทรงเต็มพระทัยรักษาให้
    จนหายโดยทั่วกัน...

    [​IMG]

    ย้อนไปในปี 2462 พระองค์ทรงเป็นผู้บังคับการเรือ โดยนำเรือหลวงพระร่วง
    จากประเทศอังกฤษ เข้ามายังกรุงเทพมหานคร นับเป็นครั้งแรกที่
    ายทหารเรือไทย เดินเรือได้ไกลข้ามทวีป ที่สำคัญพระองค์ทรงเป็น
    หัวเรี่ยวหัวเเรงที่สำคัญที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง
    ทรงเห็นความสำคัญ และโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระราชวังเดิม
    ให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ เมื่อ วันที่ 20 พ.ย. 2449
    ทำให้กิจการทหารเรือมี รากฐานมั่นคงนับตั้งแต่บัดนั้น
    กองทัพเรือจึงยึดถือ วันดังกล่าวของทุกปีเป็น "วันกองทัพเรือ"
    จากการที่พระองค์ ทรงเป็นนักยุทธศาสตร์ ที่เล็งเห็นการไกล
    พระองค์ได้ทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานที่ดินบริเวณอำเภอสัตหีบ
    พื่อสร้างเป็นฐานทัพเรือ เนื่องจากทรงพิจารณาแล้วเห็นว่า อ่าวสัตหี
    เป็นอ่าวขนาดใหญ่ น้ำลึกเหมาะแก่การฝึกซ้อมยิงตอร์ปิโดได้และเกาะน้อยใหญ่
    ที่รายล้อมรอบสามารถบังคับคลื่นลมได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเรือภายนอก
    มื่อแล่นผ่านพื้นที่ดังกล่าว จะไม่สามารถมองเห็นฐานทัพได้เลย
    นอกจากพระองค์ ทรงเป็นนักยุทธศาสตร์แล้ว ด้านการแพทย์พระองค์
    ทรงศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง และเสด็จไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
    ให้กับประชาชนด้วยพระองค์เอง ไม่ว่าเป็นคนไทยหรือคนจีน
    จนกระทั่งชาวจีนย่านสำเพ็ง มีความทราบซึ้ง ในพระกรุณาธิคุณ
    และได้เรียกพระองค์ท่านว่า "เตี่ย" ซึ่งหมายถึงพ่อ
    ทำให้ในเวลาต่อมาทหารเรือได้เรียกพระองค์ว่า "เสด็จเตี่ย"
    สำหรับในหมู่คนไข้ชาวไทย ที่พระองค์รักษานั้น
    มักจะเรียกขานนามพระองค์ว่า "หมอพร"
    พล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงประชวร
    ละสิ้นพระชนม์ ในขณะที่ประทับอยู่ที่หาดทรายรี ปากน้ำเมืองชุมพ
    เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2466 เวลา 11.40 น.
    ยังความโศกเศร้ามาสู่บรรดาทหารเรือและประชาชนโดยทั่วกัน

    [​IMG]

    แม้ว่าดวงพระวิญญาณ ของพระองค์จะทรงสถิตย์อยู่ ณ แดนสุขาวดี
    บนสรวงสวรรค์แล้ว พระบารมีของพระองค์ ยังคงแผ่ไพศาลไปทั่วทุกสารทิศ
    อยปกป้องคุ้มครอง พสกนิกร ผู้จงรักภักดี ที่เคารพเทิดทูนพระองค์
    โดยเฉพาะทหารเรือทุกคน ซึ่งเปรียบประดุจ ลูกหลานของพระองค์
    ละดลบันดาล ให้ประสบความสำเร็จ ในสิ่งอันพึงปรารถนาอยู่เป็นนิจ
    อนุสรณ์ที่ปรากฏอยู่อย่างมากมาย ทั่วประเทศ มีทั้งพระอนุสาวรีย์ พระรู
    ศาลกรมหลวงชุมพร พระฉายาลักษณ์ พระสาทิศลักษณ์ เหรียญที่ระลึก
    ลอดจนพระนามที่ปรากฏ เป็นชื่อของสถานที่ต่างๆ เป็นประจักษ์พยานได้
    เป็นอย่างดี พระองค์ทรงเป็น ปูชนียบุคคลของทหารเรือ ชั่วนิรันดร
    ดั่งเพลงปลุกใจอันไพเราะ และมีความหมายลึกซึ้ง ที่ทรงนิพนธ์
    ห้ทหารเรือทุกคน ได้ขับร้องสืบต่อกันมาจนทุกวันนี้...
    แม้นว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์มาเป็นเวลานานแล้วก็ตาม
    แต่พระราชกรณียกิจและคุณงามความดีของพระองค์ที่ทรงมีต่อประเทศชาตินั้น
    ยังคงจารึกไว้ในความทรงจำ ของปวงชนชาวไทยอยู่อย่างมิลืมเลือน
    ความเลื่อมใสศรัทธาของชาวไทยที่มีต่อพระองค์นั้น
    เห็นได้จากอนุสาวรีย์และศาลของพระองค์ที่มีมากมายทั่วประเทศกว่า 120 แห่ง

    [​IMG]

    คาถาบูชากรมหลวงชุมพร
    ( บทยาว ) นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (สวด ๓ จบ)
    ชุมพรจุติ อิทธิกะระณัง สุโข นะโมพุทธายะ มะอะอุ อิสะวาสุ สุสะวาอิ
    อิทธิฤทธิ อิทธิฤทธัง อรหังพุทโธ พุทธมหาลาโภ มหาเทโว พุทโธโลกะนาถัง
    พุทธอรหังอะ นะมะพะทะ จะพะกะสะ หุลุ หุลู สวาหายะ ภวันตุ เต (เม)
    .....
    ( บทสั้น ) นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (สวด ๓ จบ)
    ชุมพรจุติ อิทธิกะระณัง สุโข นะโมพุทธายะ


    [​IMG]

    เครื่องสักการะ
    กุหลาบแดง, พวงมาลัยดอกมะลิหรือดอกเขี้ยวกระแต, จุดประทัดถวาย, ่
    ยิงปืนถวายด้วยกระสุนจริงหรือถวายสมอเรือ, พังงาเรือ,ปืนใหญ่จำลอง, เรือรบจำลอง
    เครื่องสังเวย
    น้ำตาลเมา ( โปรดเป็นพิเศษ ), เบียร์, บรั่นดี, ซิการ์หรือบุหรี่แบบซิกาแร็ต, น้ำชาจีน, ขนมจีนน้ำพริก
    ( โปรดเป็นพิเศษ ), ขนมและผลไม้ไทยทั่วไป กับข้าวแบบไทยทั่วไป (รสจัด), เป็ด, ไก่, ปลา, กุ้ง

    [​IMG]

    สิ่งที่ไม่โปรด
    การเอาพวงมาลัยไปสวมพระเศียร
    อาหารที่ปรุงด้วยเนื้อวัว เนื้อหมู
    ( โดยเฉพาะพะแนงเนื้อ ห้ามเด็ดขาด มีผู้เคยถวายแล้วเกิดอาเพศกับผู้นั้น)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2010
  13. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    ช่วงนี้ห้องสนทนาเสียง เราจะมีการพูดคุยเรื่อง วิญญาณ และธรรมกันมาก ใครว่างลองใช้งานดูครับ มีพระมาแจมด้วย ว่างๆช่วง 3 ทุ่ม - เที่ยงคืนตีหนึ่งลองดูนะ มีพระคอยวิสัชชนาทางธรรม
     
  14. DMZ_ZONE

    DMZ_ZONE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +649
    " ซึ่งจะว่าข้างใดเป็นผู้ผิดไม่ได้ และท่านก็รักทหารเรือ ของท่านเหมือนกับลูก
    ท่านไม่เคยส่งลูกไปให้ใครเขาเฆี่ยนตี ถ้าจะตีก็จะตีเสียเอง "


    ผมน้ำตาไหลครับ ทนไม่ไหว

     
  15. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    [​IMG]
     
  16. เมทิกา

    เมทิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    952
    ค่าพลัง:
    +2,393
    เข้ามากราบค่ะ

    หนูเกิดปีมะ....แม
     
  17. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    [​IMG]

    ช่วยเหลือผู้อื่นให้มากครับ จะมีกําลังใจในตัวเองมามากๆ ครับ ว่ากันว่าลูกเตี่ยที่เกิดปีนี้จะถูกฝึกฝนมาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์โดยเฉพาะ ด้วยความสามารถพิเศษที่มีอยู่ในตัว เพาเวอร์ ซิกเซ้นส์ ถ้าเป็นคนนอกศาสนาก็เรียกว่ามาทางสายเทพ
    หรือเรียกว่าสายโพธิสัตย์ก็น่าจะใกล้เคียง

    ไม่ได้ดูดวงให้นะครับผมไม่ใช่หมอดู เพียงอยากบอกว่ามนุษย์นอกจากมีหน้าที่ทางโลกเพื่อตนเองแล้ว ก็ยังมีหน้าที่เพื่อผู้อื่นอยู่ด้วย บางคนสําเร็จด้วยแรงอธิษฐานเพื่อพระพุทธศาสนา บางคนอธิษฐานมาเพื่อปกป้องชาติ ราชบัลลังก์ บางคนแค่บําเพ็ญพรตในส่วนของตัวเอง ดูเหมือนคุณจะเลือกอยู่ในใจไว้แล้วหล่ะครับ
     
  18. ๛อาภากร๛

    ๛อาภากร๛ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +3,580
    [​IMG]

    130 ปี เตี่ยยืนอยู่ คู่แผ่นดิน
    ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๓
    ครบรอบวันคล้ายวันพระประสูติกาล
    พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์
    กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
     
  19. samsak

    samsak สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +14
    หนึ่งพันห้าร้อยไมล์ทะเลไทยนี้นาวีนี้เฝ้า
    หมื่นพันห้าร้อยไมล์ทะเลไทยนี้นาวีนี้เฝ้า ทหารเรือไม่คิดจะทำให้พ่อบ้างเรอะ
     
  20. samsak

    samsak สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +14
    ลืมไป พ่อต้องทำเอง แล้วให้ลูกเฝ้า แต่ไม่มีเล็นมาเกาะพ่อ พ่อทำไม่ได้หรอกตั้งสามร้อยปี
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=ctQ5WbzpJp8]YouTube - เดินหน้า[/ame]
     

แชร์หน้านี้

Loading...