ก้อนหิน

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 10 กรกฎาคม 2013.

  1. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ไม่ว่าโง่ หรือ ฉลาด เราต่างก็มีเวลา 24 ชั่วโมงต่อวัน และปีละ 365 วันเช่นเดียวกัน...

    ผู้ชายคนหนึ่ง เรียนจบเพียง ม.3 จากนั้นก็ต้องออกมาทำงาน...
    เรียนภาคค่ำไปด้วย ซึ่งมันทำให้เขาต้องใช้เวลาถึง 4 ปีในการเรียนให้จบ...
    เมื่อจบแล้ว เขาเรียนมหาวิทยาลัย ทางไปรษณีย์ต่อมา...ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 6 ปีกว่าที่เขาจะจบ ได้รับ ปริญญาตรี...

    เขาเลือกที่จะไม่เรียนก็ได้...แต่ถึงแม้ว่าไม่เรียน เวลา 10 ปีของเขา ก็ต้องผ่านพ้นไปอยู่ดี...เพราะอย่างไรเสีย เวลาต้องเดินหน้าไปเรื่อยๆ...
    10 ปีที่ผ่านพ้นไป เขาได้รับปริญญาตรีเป็นเครื่องตอบแทน ความพยายามอย่างต่อเนื่องของเขา...ซึ่งคนอื่นๆอาจใช้เวลาเพียง 7 ปีก็ตาม...

    สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ...
    เวลามันเดินหน้าของมันไปตลอด ไม่เคยหยุด...
    ดังนั้น หากมีสิ่งใด ที่เราตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำมันดีไหม...เพราะว่ามันอาจต้องใช้เวลาในการพยายาม อย่างต่อเนื่องยาวนาน นับสิบปี...
    เชื่อผมเถอะครับ...ลงมือทำมันเสียแต่วันนี้...เพราะยังไงเสีย นับสิบปีที่เราคิดว่ามันนาน มันย่อมมาถึงเราอยู่ดี...
    มันจะต่างกันเพียงที่ เมื่อเวลานั้นมาถึง...
    เราได้รับความสำเร็จ ในสิ่งที่เราพยายาม...
    หรือเราจะไม่ได้รับอะไรเลย เพราะเราไม่เคยที่จะพยายาม...
     
  2. *ธรรมดา*

    *ธรรมดา* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +924

    สวดยอดไปเลยครับป๋ามิงค์ๆ:cool::cool::cool:
     
  3. tumdidi

    tumdidi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +419
    อยากจะบอกว่า เป็นคนดีต้องฉลาดด้วย...
    ฉลาดแล้วต้องหัดเฉลียว...
    ฉลาดจริงแล้วต้องรู้เท่าทันความโง่...
    การใช้ความโง่อย่างถูกกาลเทศะก็เป็นความฉลาดได้เหมือนกัน


    แบบนี้ต้องเฉลียวฉลาด ถ้าให้ดีต้องมีไหวพริบด้วยน่าจะดีนะ

    อันที่จริงแล้ว ผมไม่ใช่คนฉลาด ไม่ใช่คนเก่ง ไม่ใช่คนดี....
    ผมมีอย่างเดียวคือ มีกำลังใจสู้...


    ติดตามอ่านเรื่องของท่านมาตลอด เลยสรุปว่าท่านเป็นผู้ที่ถ่อมตน ไม่อวดดี อวดรู้ แต่มีคุณธรรมคิดสร้างสรรค์ มองทุกสิ่งในแง่บวก

    ตอนนี้เลยพยายามมองทุกอย่างในเชิงบวกบ้าง ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆที่ท่านเล่ามา จะติดตามอ่านไปเรื่อยๆ
     
  4. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ถ้าเรามีเวลาว่างสัก 5-10 นาที แล้วเราจะต้องเดินผ่านเส้นทางสองเส้นทาง...
    ถ้าเลี้ยวไปทางหนึ่ง จะผ่านเพื่อนที่บ่นๆๆๆ...
    คือว่าเห็นอะไรก็ดูมันจะน่ารำคาญ ยุ่งวุ่นวายไปหมด...
    ถ้าเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง จะผ่านเพื่อนที่อารมณ์ดี...
    เปิดประเด็นมาทีก็มีฮา..บางทีก็ไม่มีสาระอะไรหรอก...
    บางทีก็มีเรื่องบ้าๆบอๆมาอำกันเล่น...

    เราจะเลือกเดินผ่านทางไหน?ในขณะที่เรามีเวลาอยู่เพียงน้อยนิด...

    ....................

    เมื่อเราเองยังไม่ต้องการเจอกับเพื่อน ที่จะพูด หรือหมกมุ่น ครุ่นคิด แต่เรื่องวุ่นๆทุกข์ๆ
    เราเองก็ไม่ควรทำตัวเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน...
    เพราะจะไม่มีใครอยากเข้าใกล้เรา...
    ด้วยเวลาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด...
    ผมหมายถึงชีวิตคนเรานั้นสั้นจริงๆ น้อยนิดจริงๆ...
    เราจะเอาเวลาไปจมปลักอยู่แต่ความทุกข์...

    หรือเราจะคิดถึงแต่สิ่งดีๆ...คิดไม่ออกก็ลองไปหาอารมณ์ขันดู..หาไม่เจอก็อ่านเอาจากขายหัวเราะไปก่อนก็ได้นะ...
    ไม่ขำจริงๆลองจี้เอวตัวเองก่อนละกัน...

    แต่ถ้าใครไปจี้เอวครูติงแล้ว ครูติงไม่ขำ หันมาทำตาเขียวใส่ล่ะก็...
    ขอให้เข้าใจว่านั่นมันคอ ไม่ใช่เอว... T.T
     
  5. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ฆ่าตัวตาย...
    เป็นเรื่องหนึ่งที่ผมไม่เคยคิดอยู่ในหัวเลยแม้แต่ครั้งเดียว...
    ต้องตาย...
    เป็นเรื่องที่ผมคิดมาตั้งแต่เด็กๆ...ผมกลัวที่จะต้องตาย...ผมกลัวความทุกข์ยากลำบาก...ผมกลัวว่าผมเป็นคนไม่เอาไหน...ผมกลัวว่าใครต่อใครจะดูถูกเหยียดหยามผม...ผมกลัวไปหมด...แน่นอนว่า ถ้าตายไปแล้วผมจะต้องเจอผี ผมกลัวผีด้วย...ผมไม่อยากตาย...

    ไม่ว่าอย่างไร มันก็ไม่มีทางที่คนเราจะไม่ตาย... ทุกคนต้องตายหมด คนเก่งก็ตาย คนรวยก็ตาย จนก็ตาย โง่ก็ตาย ฉลาดก็ตาย...พ่อแม่เราก็ต้องตาย ในที่สุด เราเองก็ต้องตาย ไม่ว่าจะกลัวหรือไม่กลัวก็ตาม ผมคิดเช่นนั้น...

    ในเมื่อผมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องตายแล้วจริงๆ...ไหนๆคนเราเกิดมามันก็ต้องตาย ผมอยากลองใช้ความพยายามที่สุดในชีวิต ผมจะสู้สุดชีวิต สู้จนตัวตาย...
    ผมโง่ ผมก็มี 2 ตา ผมจะอ่านหนังสือมากๆ ครูบาอาจารย์บอกว่า จะช่วยให้หายโง่ได้...
    ผมมี 2 หู ผมจะฟังมากๆ จากคนเฒ่าคนแก่ที่เขามีประสบการณ์ในการสร้างความฉิบหายให้กับตัวเอง...ผมจะฟังไว้เยอะๆ จะได้ไม่ทำอย่างนั้น...
    สงสัยตรงไหนผมจะถาม...ผมไม่กลัวใครจะว่าผมโง่ เพราะผมโง่อยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงไม่เดือดร้อน...

    ผมสังเกตว่าอะไรก็ตามที่ผมไม่ชอบ ไม่อยากทำ อยากจะบ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยง ผมรู้สึกว่า สิ่งเหล่านั้นมักเป็นสิ่งที่มีคุณค่า...ไหนๆผมก็ต้องตายอยู่แล้ว ผมจะทำในสิ่งที่มันตรงกันข้ามกับความรู้สึกผม...ทำให้มันตายไปข้างหนึ่ง ทั้งๆที่ผมรู้ดีว่า ข้างที่ตาย สุดท้ายแล้วมันก็คือข้างผมนั่นแหละ...
    ผมขี้เกียจอ่านหนังสือทำแบบฝึกหัด ผมก็จะทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามมัน ... ให้มันกระอักเลือดตายไปเลย...ใครเขาว่าอ่านหนังสือมากๆจะเป็นบ้า...ผมก็จะให้มันบ้า...ให้มันตาย...
    ใครเขาไม่อยากยก อยากแบก ไม่อยากทำงาน มันร้อน มันเหนื่อย ไม่ทำ ผมเข้าไปทำหมดเลย...ล่วงเวลาจะได้เงินไม่ได้เงิน ผมไม่สนใจ ผมทำมันให้ตายกันไปข้างนึง ก็ไหนๆเกิดมามันต้องตายอยู่แล้ว...

    พอเวลาผมนอนหลับไป แล้วตื่นมาอีกที ผมจึงรู้สึกเหมือนกับว่า เมื่อคืนผมได้ตายลงไปแล้ว และเช้านี้ ผมเกิดใหม่...
    ทุกครั้งที่ตื่นนอน ผมไม่เคยเจอเช้าวันใหม่ ผมไม่เคยได้สัมผัสวันพรุ่งนี้ ผมตื่นมาแต่ละวัน ผมก็เจอแต่วันนี้...เช้านี้...ผมไม่เคยเจอว่าเช้าวันหยุด หรือเช้าวันทำงาน ผมจึงทำทุกวัน เหมือนทุกวัน...ผมเห็นพระอาทิตย์ก็ขึ้นทุกเช้าเหมือนกัน ไม่ได้ขึ้นสายเพียงเพราะว่ามันเป็นวันหยุด ผมจึงต้องลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ใจผมไม่อยากทำ...ทำมันให้ตายไปข้างนึง...ไหนๆมันก็ต้องตายอยู่แล้วนี่นะ...ทำงานจนตาย เรียนจนตาย สู้จนตาย...
     
  6. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ตอนเด็กๆ ผมเข็นรถขายน้ำลำใยอยู่ที่ท่ารถสองแถว เพื่อหาค่าเทอม ค่าเสื้อผ้า ค่าหนังสือ...เจ้ขายน้ำตาลสด มาขายแข่งอยู่ใกล้ๆ...เจ้แกพยายามทำหลายๆอย่างเพื่อให้ลูกค้าซื้อน้ำตาลสด แล้วไม่มาซื้อน้ำลำใย น้ำอัดลมที่ร้านผม...

    พี่สาวผมก็โกรธสิ...แต่ผมกลับรู้สึกว่าเจ้แกน่าเห็นใจ...แกไม่รู้เลยว่าจริงๆแล้วแกก็ต้องตาย...เวลานั้นผมยังเรียนป.6 ขึ้น ม.1 ผมรู้สึกว่า ไหนๆเจ้แกก็ต้องตายสักวันหนึ่ง จะโกรธแกไปก็เปล่าประโยชน์ จะดี จะบ้า จะรวย จะจน จะโชคดี โชคร้าย พูดดี พูดร้าย เจ้าเล่ห์ เหลี่ยมจัด...สุดท้ายก็ตายเหมือนกันหมด...ไม่รู้ว่าจะโกรธไปทำไม มันน่าเห็นใจซะมากกว่า...ที่คนเหล่านี้ ไม่เคยรู้ตัวเลยว่า เขาต้องตาย...

    พอเวลาจัดล็อคขายของ ทางเทศกิจมาตีเส้น ปรากฎว่า ตรงที่ผมจอดขายอยู่นั้น เทศกิจมาตีเส้นให้ได้สิทธิขายของเป็นประจำ...ส่วนเจ้น้ำตาลสด ที่ยึดเอาหน้าบ้านคนอื่นเขามาขาย เป็นอันว่าไม่ได้สิทธิ...ทั้งที่ก่อนหน้านั้น เจ้แกเห็นว่าทำเลแกดีกว่า ไม่ร้อน ไม่ต้องกางร่มตากแดด...แต่เวลานี้แกกลับต้องอิจฉาว่าเราเป็นฝ่ายได้สิทธิในการขายของจากเทศกิจ ไม่ต้องเข็นรถวิ่งหนี เวลาเทศกิจมาไล่จับ...แน่นอน เจ้แกยังคงต้องหนีต่อไป...

    แม้เจ้แกจะพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมในการหว่านล้อมให้ผมยกแผงตรงนี้ให้แกไปเป็นกรรมสิทธิ์ ผมเองก็ไม่ได้ไปสนใจ เพราะผมไม่คิดว่าอยากจะได้อะไร มีอะไร และในท้ายที่สุด เจ้แกก็ต้องตายไป แกจะอยากได้ใคร่ดีจนเกินหน้าเกินตาไปอย่างไรเสีย มันก็ต้องตายอยู่ดี...ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้ไปโกรธอะไร แม้พี่สาวผมจะไม่พอใจ อย่างยิ่งก็ตาม...
    เมื่อผมต้องไปเรียนหนังสือ ที่ตรงนั้นจึงยกให้ว่าที่พี่สะใภ้ สาวอีสาน ไปขายส้มตำ ลาบ น้ำตก...
    ครอบครัวคนจีนไม่ชอบลูกสะใภ้เป็นคนอีสาน แต่สำหรับผมแล้ว คนจีนก็ตาย คนอีสานก็ตาย ขายส้มตำก็ตาย พวกที่ไม่ขายส้มตำก็ตาย ผมว่ามันต้องตายกันหมด ไม่ว่าจะรังเกียจก็ตาย ไม่รังเกียจก็ตาย ผมจึงไม่ได้ไปสนใจเลยว่า เขาเหล่านี้จะเป็นอีสาน เป็นจีน เป็นเจ๊ก...
    เมื่อว่าที่พี่สะใภ้เห็นว่าผมพอจะคุยได้ เพราะไม่ได้แสดงอาการรังเกียจแต่อย่างใด ก็จะชอบทำ ส้มตำ ซุปหน่อไม้มาให้ผมกิน... ทำให้ผมกินอาหารอีสานเป็นตั้งกะเด็กๆ...

    ตายเหมือนกัน เห็นความตายเหมือนกัน แต่เห็นคนละมุมมองกัน มันก็ให้ผลที่แตกต่างกัน...
    ทุกคนเกิดมาต้องตาย...ตายเหมือนกัน...ต่างกันตรงที่
    "เราจะทำตัวอย่างไร ก่อนที่เราจะตาย"
     
  7. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    [​IMG]

    หลวงปู่ดุลย์ เคยกล่าวไว้ว่า "คนเราทุกข์เพราะคิด"
    สำหรับคนปฏิบัติธรรมแล้ว เมื่อเห็นทุกข์ บางพวกก็อาศัยกำลังสมาธิข่มเอาไว้ บางพวกอาศัยกำลังวิปัสนาพิจารณาให้เห็นแจ้ง เพื่อออกจากกองทุกข์...

    สำหรับสามัญชนคนธรรมดา ที่ยังหาเช้ากินค่ำ การจะข่มทุกข์เอาไว้ด้วยกำลังสมาธินั้นทำไม่ได้ ก็หันไปหาสุรา ยาเสพติด
    สำหรับบางคนแล้ว ย่อมมีวิธีทางโลก ที่พอจะบรรเทาไปได้บ้าง หรือแก้ปัญหาทางโลกไปได้บ้าง...ดังจะเปรียบความทุกข์ทางโลกเหมือนเราเป็นนักมวยที่ขึ้นชกอยู่บนเวที...เหล่าคนเชียร์และพี่เลี้ยงก็ร้องตะโกนให้ชกซ้าย ชกขวา ทำไมไม่ถีบมันเลย ฯลฯ แต่นักมวยเวลานั้นกำลัง ขลุกอยู่กับคู่ต่อสู้ เหมือนเราคลุกวงในกับความคิดอันทำให้เราเป็นทุกข์ ย่อมมองไม่เห็น ดูไม่ออก แตกต่างจากพี่เลี้ยงและท่านผู้ชม...แต่อีกมุมหนึ่ง ทั้งพี่เลี้ยงและผู้ชมไม่ได้ขึ้นมาชกด้วยตัวเอง ก็พูดได้สินะ เวลาต้องลงมาคลุกวงใน มีได้มีเสียด้วยตัวเอง มันจะทำได้อย่างที่แนะนำเขาไหม...นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

    เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว การหมกมุ่นครุ่นคิด แต่ปัญหาจนเป็นทุกข์ น้ำตาไหล ไปจนที่สุดถึงกับฆ่าตัวตายนั้น มันก็เหมือนนักมวยบนเวที...
    ถ้าเราเปลี่ยนจากตัวเองเป็นนักมวยบนเวที มาเป็น พี่เลี้ยง หรือท่านผู้ชมแล้วนั้น ย่อมจะไม่ทุกข์ เจ็บปวด ดิ้นรนหาทางออก เพื่อที่จะเอาชนะให้ได้...

    ดังนั้น ประการแรกที่ต้องทำคือ เดินออกมาจากปัญหานั้นเสียก่อน...แล้วมองย้อนกลับไป ในฐานะ พี่เลี้ยง หรือ ท่านผู้ชม...สมมติว่า คนที่เจอปัญหา ไม่ใช่เรา แต่เป็นเพื่อนรักเรา หรือคนในครอบครัว เราจะให้ข้อคิด คำแนะนำ ในการหาทางออกได้อย่างไร...
    หรือเขาใครสักคนที่เรารู้จักในเวปนี้ ได้รับความทุกข์เช่นดังที่ว่านี้ เราจะแนะนำเขาว่าอย่างไรดี?
    ปรึกษาเพื่อน...
    ปรึกษาพ่อแม่...
    ปรึกษาครูบาอาจารย์...

    ที่ไม่ควรทำเลยคือการกระโจนเข้าไปหมกมุ่น ชุลมุนอยู่ในความทุกข์ ความคิดวกวนนั้นๆ...
    บางครั้ง เรื่องราวมันมีไม่มาก ไม่เกิน 5 เรื่อง แต่เมื่อมันมาอยู่ในหัวเราแล้ว กลับกลายเป็นนับร้อยๆเรื่อง ชุลมุนไปกันหมด...ดังนั้น ทางที่ดี เราควรเขียนปัญหานั้นๆ เป็นข้อๆออกมา แล้วลงมือพิจารณามันเป็นข้อๆไป...อย่าปล่อยไว้ในหัวให้มันตีกัน...

    ปัญหาชาวโลกนั้น มีจริงๆ ไม่มากนัก...มักเกิดจากเรื่อง เงิน งาน ความรัก ส่วนใหญ่มีเพียงเท่านี้เอง...
    เรื่อง เงิน ความร่ำรวย หรือหนี้สิน ก็ต้องอาศัยความขยัน...ขยันคิด ขยันแสวงหา ขยันทำ เหน็ดเหนื่อย เพื่อให้ได้มา...
    เรื่อง งาน ก็ไม่หนี ขยันคิด ขยันแสวงหา ขยันทำ จนเหน็ดเหนื่อยก็ได้งาน ได้ความก้าวหน้าของงาน
    เรื่อง ความรัก ก็เหมือนกันอีก ขยันคิด ขยันไปหา ขยันเจรจา จนเหน็ดเหนื่อย ก็จะได้มาสักวัน...

    การได้มาแล้วนั้นพอจะได้ระงับ บรรเทาทุกข์ ไปได้ชั่วขณะหนึ่ง ...
    ต่อจากนั้นคือ การรักษาสิ่งที่หามาได้ ให้คงอยู่กับเราไปนานๆ...อันนี้ยากกว่า การแสวงหาเสียอีก...

    ในท้ายที่สุดคนเราก็ต้องการให้มีมากขึ้น ได้มากขึ้น เจริญก้าวหน้ามากขึ้น อันนี้ยากที่สุด..

    จึงเห็นว่า ปัญหา และความทุกข์ที่ต้องครุ่นคิดจนน้ำตาไหลนองหน้านั้น จะไม่มีวันหมดไปจากโลกได้เลย ไม่ว่าจะยากดีมีจน มีทุกข์เหมือนกัน ทุกข์จากความคิดนี่เอง...
    ก็เมื่อทุกข์จากความคิด ก็อาศัยความคิดนี่แหละ ช่วยให้ออกจากทุกข์...
    คิดให้ดี...คิดให้ถูก...คิดให้ตรง...คิดออกแล้ว...ทุกข์นั้นก็ระงับลงเสียได้...

    นี่ก็เป็นแนวทางประสาโลกๆ...แต่ก็โลกๆนี้เองที่มีธรรมอยู่ด้วย...ไม่จำเป็นต้องไปแยก ปล่อยไว้ให้เป็นโลกธรรมกันต่อไป...

    หยุดอ่านได้แล้ว...แล้วเขียนปัญหาของตัวเองออกมาในกระดาษซะ...เดี๋ยวนี้เลย...หยุดร้องไห้คร่ำครวญบ่นว่าด้วยนะ...เพราะนั่นไม่ได้เป็นการช่วยให้ปัญหามันบรรเทาลงหรือระงับลงได้เลย...
     
  8. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    คนไทยฝากชีวิตและอนาคตไว้กับโชคลางเป็นส่วนมาก...
    คำอวยพรคือ ขอให้โชคดี ทั้งๆที่โชคดีไม่ได้มีอยู่จริง แต่ทำดีนั้น มีอยู่จริง...

    หลายคนโทษแต่เจ้ากรรมนายเวร ว่าเป็นผู้กระทำให้เกิดความเสียหาย ความทุกข์ พลัดพราก ทั้งๆที่บ่อยๆครั้ง ไม่ได้เกิดจากเจ้ากรรมนายเวร แต่เกิดจากกัมมะ คือการกระทำของตัวเราเอง...การแก้ปัญหาในเรื่องนี้นั้น จึงต้องแก้ที่ตัวเราเองก่อน ก่อนจะไปคิดแก้กับเจ้ากรรมนายเวร...

    เมื่อผมได้เจริญภาวนามานั้น จนได้เห็นกฏของกรรม แม้ว่าจะมีโอกาสรู้เห็นกรรมในอดีตที่เคยทำไว้กับบุคคลรอบข้าง และผลของกรรมที่ปรากฎต่อปัจจุบัน สืบต่อไปในอนาคต เมื่อได้เล่าให้บุคคลผู้เกี่ยวข้องด้วยได้รับฟัง และขอให้เขาเหล่านั้นอโหสิกรรมให้ แต่คนทั้งหลายเหล่านั้น ก็ไม่ยอมเอ่ยปากอโหสิกรรมให้ผมเลย แม้แต่คนเดียว...ทั้งๆที่บุคคลเหล่านั้นเป็นคนดี หลายคนชื่นชมยินดีและได้รับความช่วยเหลือจากผมก็ยังไม่อโหสิกรรมให้...
    เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราควรจะต้องอโหสิกรรมให้กับตนเองเสียก่อน เพื่อปลดเปลื้องภาระความกังวลใจต่างๆออกจากใจ ส่วนสิ่งใดจะเกิด สิ่งนั้นย่อมเกิด ย่อมเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แม้ว่าจะกังวลหรือไม่กังวลก็ตาม...เพียงแต่จะมากังวลครุ่นคิดจนไปพาลโกรธที่คนเหล่านั้นไม่อโหสิกรรมให้เราอีกนั้น นั่นไม่ใช่ทางออกเลย...

    ผมอยากจะกล่าวถึง บางสิ่งบางอย่าง ที่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ทำอะไรเราไม่ได้ หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้ากรรมนายเวรเลย สิ่งเหล่านั้นเช่น...

    - การอ่านหนังสือ หาความรู้ใส่ตัว ที่สามารถเอามาประกอบอาชีพได้ ช่วยเหลือสังคมได้ เกื้อกูลต่อคนรอบข้างได้ เช่น การฝึกโยคะ , การปลูกมะนาว , การฝึกหัดทำอาหารคาว อาหารหวาน
    - การสวดมนต์ภาวนา
    - การทำความสะอาดบ้าน จัดบ้าน
    - การทำสวนครัวภายในบ้าน
    - การหัดตอนกิ่ง ปักชำ ต้นไม้ เอาไว้แจกในเทศกาลปีใหม่ สงกรานต์ หรือถวายวัดก็ได้

    จะเห็นว่า สิ่งต่างๆที่กล่าวมาเบื้องต้นพอเป็นตัวอย่างนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้ากรรมนายเวร ไม่เกี่ยวกับเรื่องโชค ชะตา เครื่องราง ความเชื่อ หมอดู แต่ว่ามีประโยชน์ ทั้งต่อตนเองและคนรอบข้าง...

    แทนการนั่งคุดคู้ อุดอู้ อึดอัดนั้น ลุกขึ้นมา แล้วหาอะไรทำที่เป็นประโยชน์...
    วันหนึ่งเราทุกคนมี 24 ชม.เท่ากัน...และเจ้ากรรมนายเวร หรือพระอินทร์ พระพรหม ก็ไม่สามารถลดจำนวนชั่วโมงต่อวันของเราลงได้...มีแต่ตัวเราเองเท่านั้น ที่จะใช้เวลาไปทำอะไรบ้าง...เราเองที่จะทำจำนวนชั่วโมงต่อวันให้มันน้อยลงเองหรือไม่...
    มันขึ้นอยู่กับตัวเราเอง "อัตตาหิ อัตโนนาโถ"
    เรื่องอย่างนี้ อย่าไปโทษเจ้ากรรมนายเวรเลย...
     
  9. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    สวดคาถาเงินล้าน สิ แล้วจะได้รวย....
    สวดคาถาจักรพรรดิ สิ แล้วสิ่งดีๆจะมีเข้ามาในชีวิต...
    ฝึกกรรมฐาน เสร็จแล้วแผ่เมตตา ออกไปให้ไม่มีที่สุดที่ประมาณนะ แล้วจะพ้นวิกฤติได้ จะได้พบกับสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต พรหมเทวดาท่านจะคอยช่วยเหลือ...
    ฯลฯ

    หากสวดมนต์แล้วร่ำรวยได้จริง โลกนี้จะสิ้นไปจากคนจน
    หากสวดมนต์แล้วประสบความสำเร็จ เจริญรุ่งเรืองได้จริง โลกนี้จะสิ้นไปจากคนทุกข์ยาก ลำบาก
    แม้การเจริญกรรมฐานและแผ่เมตตาออกไปนั้นก็เช่นกัน...
    เราทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจดีว่า ไม่ใช่เช่นนั้นเลย...
    พิสูจน์ได้ไหม...
    พิสูจน์ได้สิครับ นิมนต์หลวงพี่ สึกออกมา แล้วนั่งสวดทั้งวันนะครับ ดูว่าจะรวยขึ้นได้หรือไม่...แน่นอนว่าแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการที่มีญาติโยมมาทำบุญ ถวายอาหาร สังฆทาน ฯลฯ เพราะเมื่อเป็นฆารวาสแล้ว ย่อมไม่มีผู้ใดจะประเคนอาหารให้ ต้องทำอาหาร หุงหากินเอง ต้องหาเงินเอง ไม่มีใครเอามาให้ ธรรมดาคนทั่วไปได้รับเงินต้องขอบคุณคนที่ให้เงิน แต่หลวงพี่ได้รับเงินแล้ว คนให้เงินเขายกมือไหว้ด้วย ดีใจที่หลวงพี่รับเงินอิฉัน...เรื่องแบบนี้สำหรับฆราวาสแล้วย่อมไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน...

    ดังนั้นที่หลวงปู่หลวงพ่อสอนมาให้สวดมนต์ เจริญกรรมฐาน แผ่เมตตานั้นผิดหรือ?
    ท่านสอนไม่ผิดหรอกนะ เพียงแต่เรายังเข้าใจไม่ถูก เมื่อเข้าใจไม่ถูกแล้วก็นำไปใช้ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เท่านั้นเอง

    การสวดมนต์ เพื่อให้จิตใจสงบ แม้จะเป็นชั่วขณะหนึ่งก็ยังดี เพื่อให้ได้พัก ได้ระงับ อารมณ์ฟุ้งซ่าน และขุ่นมัวต่างๆ เมื่อใจสงบลงจากเรื่องวุ่นวายปั่นป่วนได้แล้ว ก็มีสติ ปัญญา มานั่งคิดนึกใคร่ครวญถึงปัญหา ทีละเรื่อง ทีละเรื่อง แล้วลงมือทำมันไป ทีละอย่าง ทีละอย่าง จนลุล่วงไปทีละเปราะ ทีละเปราะ เมื่อปัญหาลุล่วงไปได้ดีแล้ว ความทุกข์ความกังวลก็คลายตัวลง ผลตอบแทนที่จะได้รับ เมื่อผ่านแต่ละด่านของปัญหาไปแล้ว ย่อมมีอยู่สำหรับแต่ละคน เช่นกัน...
    นี่จึงเป็นกุศโลบาย ในการสวดมนต์ ...

    การเจริญกรรมฐาน และแผ่เมตตาก็เช่นเดียวกัน เพื่อการสงบระงับ จากอารมณ์ที่ปั่นป่วนวุ่นวาย...
    จากนั้นจึงแผ่เมตตา การจะแผ่เมตตาออกไปได้ ตัวเราเองต้องเป็นผู้มีเมตตาเสียก่อนจึงจะแผ่เมตตาออกไปได้ หากตัวเราไม่มีเมตตาแล้ว จะเอาอะไรที่ไหนไปแผ่เล่า
    เมื่อตัวเราสามารถแผ่เมตตาออกไปได้ ก็เพราะตัวเรานั้นมีเมตตาอยู่ เมื่อเมตตาตัวเองอยู่เช่นนี้แล้ว ตัวเราจึงเป็นบุคคลแรกที่ได้รับผลจากเมตตานั้น คือความสงบเย็น ระงับเสียได้จากความอาฆาต การพูดร้ายย่อมไม่เกิด การทำร้ายย่อมไม่เกิด คนทั้งหลายย่อมอยากอยู่ใกล้ด้วย เพราะได้ใกล้ชิดแล้ว รู้สึกได้ถึงความสงบเย็น เป็นกระแสดึงดูด คนประเภทเดียวกัน ให้มาอยู่รวมกัน เมื่อคนดีมีเมตตามาอยู่รวมกัน ย่อมช่วยส่งเสริมให้สิ่งดีๆเกิดขึ้นได้มาก เกิดขึ้นได้ง่าย...
    แตกต่างจากคนร้ายที่มาอยู่ชุมนุมกัน ย่อมรังสรรค์แต่เรื่องร้ายๆให้เกิดขึ้นมาก
    นี้จึงเป็นกุศโลบายในการเจริญกรรมฐาน และแผ่เมตตา
    ส่วนเรื่องความเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวย ย่อมจะมีตามมาในภายหลัง ไม่ช้าก็เร็ว มันเป็นผลพลอยได้เสียมากกว่า
    ดังนั้นแล้ว
    การสวดมนต์ใดๆ สมควรทำอยู่ ไม่ควรทอดทิ้ง หรือทอดอาลัย
    การเจริญกรรมฐาน และแผ่เมตตา สมควรทำยิ่ง ไม่ควรทอดทิ้ง ท้อแท้ใจ
    ผลดีย่อมเกิดแก่ผู้ทำดี ในวันใด วันหนึ่ง คือวันใดที่ทำดี วันหนึ่งย่อมดี เป็นอย่างนี้เอง
     
  10. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ก้อนหินธรรมดาๆ จะมีค่าได้อย่างไร?​


    ณ โอกาสนี้ ก็จะถือโอกาส เล่าเรื่องราวประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านๆมา ทั้งทางโลก และทางธรรม เพื่อบันทึกไว้ เนื่องในโอกาสวันเริ่มต้น พ้นจากวันครบรอบวันคล้ายวันเกิดมาเมื่อวานนี้ มันเป็นเพียงเรื่องเล่า ของชีวิตคนธรรมดาๆคนหนึ่ง ซึ่งเปรียบเสมือนก้อนหินธรรมดาๆที่ปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะสร้างคุณค่าให้ตัวเอง....

    ชะตาชีวิตผมเกิดมาพร้อมกับคำสาป ในความเชื่อของคนยุโรป เป็นคำสาปให้ชีวิตเกิดมาในมุมที่มืดมิด แต่เบื้องหลังคำสาปนี้ก็ยังมีข้อดีอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะมันทำให้เราดิ้นรนต่อสู้ เพื่อให้พ้นจากมุมมืด และแม้เพียงแสงสว่างอันน้อยนิด ก็จะมีค่ายิ่งนัก สำหรับเรา คนที่มีปัญญานั้น เมื่อชีวิตพบความสว่างก็เกิดปัญญา แม้เมื่อชีวิตตกอับอยู่ในมุมมืดที่สุดแล้ว ก็เกิดปัญญาอันมาจากความมืดมิดนี้ได้เช่นเดียวกัน

    ชีวประวัติของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายในอดีต ผมอ่านมามากแล้ว ผมทำให้เหมือนเขาเหล่านั้นไม่ได้หรอกครับ เพราะผมไม่ใช่ท่านเหล่านั้น ณ เวลานั้น ก็ต่างกับเวลานี้ บุคคลแวดล้อม สถานะการณ์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันประจวบเหมาะสำหรับท่านทั้งหลายเหล่านั้นที่จะทำให้ท่านได้เป็นวีรบุรุษ หรือ รัฐบุรุษ ที่โลกจดจำ

    ผมเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ผมจะทำอย่างที่ผมสามารถพยายามทำได้ เป็นอย่างที่ผมเป็น ด้วยสถานะการณ์ และสิ่งแวดล้อมที่ผมมี ตัวตนที่ผมถือกำเนิดมา...พร้อมกับแง่คิดมุมมองจากอีกด้านหนึ่งของชีวิต...

    ผมเกิดมาในครอบครัวคนจีนที่มีลูกมาก ขยันแต่ว่าจน เตี่ยกับแม่ไม่รู้หนังสือ รับเหมาตกแต่งต่อเติม และรับทำเฟอร์นิเจอร์ เป็นลูกคนสุดท้องน้องคนสุดท้าย ที่โอกาสต่างๆหมดไปกับพี่ๆแล้ว จนมาถึงคนสุดท้าย มันจึงไม่เหลืออะไร นอกจากใจที่สู้...

    สติปัญญาปานกลาง...ไม่ใช่คนเรียนเก่ง
    หน้าตาธรรมดาๆ ออกจะกวนๆ...ไม่ได้น่ารัก น่านิยมชมชอบ ผู้ใหญ่เห็นหน้ามักไม่ค่อยชอบขี้หน้าเสียด้วยซ้ำ
    เสียงเล็กสูง...กระดกลิ้นก็ไม่เป็น...จึงอย่าหวังว่าจะชอบร้องเพลงเลยนะ
    วาดรูปได้ดีเฉพาะ งูกะหนอน นอกนั้นวาดออกมาได้แย่มากทีเดียว...
    ชีวิตที่ต้องจมอยู่กับความซวย...ซวยเสียจนสะกดได้ถูกต้องแล้วว่า มันหมายความว่าอย่างไร ความซวย ความยากลำบาก เป็นเหมือนเพื่อนสนิทที่ไม่เคยจากหายไปไหนเลยในชีวิต

    คนเราถ้ามันลองได้ทุกข์ยิ่งกว่าทุกข์ ขมขื่นเสียยิ่งกว่าคำว่าขมขื่นแล้วนั้น มันจะไม่ทุกข์ ไม่ขมขื่น เพราะชีวิตมันได้ผ่านและได้รู้เห็นความทุกข์และความขมขื่นไปเสียแล้ว สิ่งที่คนผู้นั้นจะทำต่อไปคือ ลุกขึ้นมา ย่ำเดินไปบนความทุกข์ความขมขื่น อย่างไม่ใส่ใจต่อมันอีก เพราะมันก็แค่ทุกข์ มันก็แค่ความขมขื่น มันแค่นั้นเอง...

    ชีวิตในวัยเด็กที่ขาดแคลน ทั้งทรัพย์ภายนอก ทั้งปัญญา โอกาสทางการศึกษา ทั้งบุญวาสนาบารมี มันคงไม่ต่างจากคนจำนวนมาก ซึ่งมันก็ดีเหมือนกันนะ มันทำให้ผมเข้าใจชีวิตของคนธรรมดา เข้าใจสิ่งที่คนส่วนมากคิดและปรารถนา ทำให้วันเวลาที่สะสมประสบการณ์มานั้น จะสามารถช่วยชี้นำ คนธรรมดาๆทั้งหลายได้


    "การจับปลาให้สู้การสอนวิธีการจับปลาให้ไม่ได้
    การสอนวิธีการจับปลาให้สู้การสอนวิธีเลี้ยงปลาให้ไม่ได้"


    เรื่องราวเล่าขานประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านๆมาของผมนั้น จะทำให้คนธรรมดาจำนวนมากเห็นโอกาสและคุณค่าในตัวเอง จะลุกขึ้นยืน และก้าวเดินไป ในหนทางที่คนธรรมดาทั้งหลายมีอยู่แล้ว ภายใต้ปริบทแห่งความโชคร้าย หายนะ ความทุกข์ยากขื่นขม จะเป็นก้อนหินธรรมดาอันกล้าหาญและเป็นความหวัง ในเงื้อมือของชายผู้หวาดหวั่นท่ามกลางฝูงหมาที่ดุร้าย อันเป็นช่วงเวลาที่ก้อนหินธรรมดาๆ จะมีค่า มีความหมาย มากกว่าดอกไม้ทั้งกำมือ
     
  11. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    เรื่องราวมันเริ่มต้นจากการดูถูก ในวัย 10 ขวบ ที่ต้องลอกการบ้านเลขจากเพื่อนที่นั่งข้างๆ ซึ่งเรียนเก่ง หน้าตาดี มีฐานะ เป็นที่รักของครู

    "แค่นี้ไม่มีปัญญาทำเองเหรอ"

    จริงสิ "แค่นี้ไม่มีปัญญาทำเองหรือ" เขาก็คน เราก็คน ไม่รู้ไม่เข้าใจก็ถามครูสิ ขยันอ่านหนังสือ ทำแบบฝึกหัดให้มากๆ ขวนขวายมันเข้าไป ถ้าสู้และทน มันต้องมีโอกาสทำได้สิ

    แต่นั้นมาก็ไม่เคยต้องลอกการบ้านเพื่อนคนนี้อีก มีปัญหาโจทย์ที่ไม่เข้าใจ จะเข้าไปถามครู จะซักจนกว่าจะเข้าใจ จนได้ฉายาว่า"มนุษย์เจ้าปัญหา" ผมไม่แคร์หรอกครับ ผมโดนดูถูกมาจนชินแล้ว คุณรู้ไหมว่า


    "เพราะปัญหานี่แหละ ที่ทำให้เกิดปัญญา"

    ปัญหาที่ได้รับการแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้ทุกครั้ง มันได้สร้างปัญญาให้กับคนผู้นั้น และได้หล่อหลอมทั้งความมุมานะอดทนความเพียรพยายาม และมีแต่คนที่ไม่รู้จักคิดกับคนที่ไม่รู้จักทำอะไรด้วยตัวเองเท่านั้นแหละ ที่จะไม่มีปัญหา ผมจึงคิดว่า ฉายานี้ เป็นคำชม แต่คงไม่พูดให้ครูได้ยินนะครับ ส่วนเพื่อนๆที่ล้อก็ล้อกันไป ไม่เป็นไรหรอก ผมชินเสียแล้ว

    ป.5 ผมได้พบพุทธสุภาษิตที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
    "วิริเยนะ ทุกขมัจเจติ"
    "บุคคลล่วง(พ้น)ทุกข์ได้ เพราะความเพียร"

    เป็นพุทธพจน์ที่กระแทกใจผมยิ่งกว่าบทไหนๆ

    บทต่อมาคือ
    "อัตตาหิ อัตตะโน นาโถ"
    "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"

    ผมเข้าใจแล้วว่า ไม่มีใครในโลกนี้จะช่วยผมได้ นอกจากตัวผมเอง

    นับแต่วันนั้น ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป ไม่สิ ทัศนะความคิดเห็นในชีวิตของผมต่างหากล่ะ ที่เปลี่ยนไป...
     
  12. จริงจังนะ

    จริงจังนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +11,536
    [​IMG]
     
  13. diya

    diya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +13,031
    (kiss)(kiss)
    ดีใจจังที่ท่าน raming2555 ยังไม่ทิ้งกระทู้นี้
     
  14. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ขอบใจจ้า...แก่ไปอีกหนึ่งปี...ไม่ใช่สิ...มีประสบการณ์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปีนิ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2014
  15. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ตอนป.4 ผมสงสัยว่าทำไมพวกเราถึงต้องเรียนให้เก่ง....
    แล้วผมก็ตอบตัวเองว่า ก็เพื่อจะได้สอบเข้าโรงเรียนดีๆ
    แล้วทำไมต้องสอบเข้าโรงเรียนที่ดีๆ
    ก็เพื่อจะได้จบออกมาทำงานที่ดีๆ
    แล้วทำไมต้องทำงานที่ดีๆ
    ก็เพื่อจะได้มีเงินเยอะๆ
    แล้วทำไมต้องมีเงินเยอะๆ
    ก็เพื่อจะได้หาความสุขไง
    แล้วมีความสุขแล้วยังไงต่อ....

    ถ้าเป้าหมายที่สุดของเราทุกคนคือความสุข...
    แล้วอะไรคือความสุข
    ถ้าความร่ำรวยคือความสุข ทำไมยังเห็นคนรวยมากมายเป็นทุกข์
    เพราะความร่ำรวย สามารถนำมาซึ่งความสะดวกสบาย ไม่ใช่ความสุข

    แล้วความสุขที่แท้จริงคืออะไร????
    มันเป็นคำถามของเด็กป.4
    อยากจะรู้ไปทำไม
    ก็เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายของคำว่าความสุขไงล่ะ
    ถ้าเป้าหมายสูงสุดของทุกคนคือความสุข แล้วไม่รู้ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นคืออะไร เราจะหาความสุขนั้นเจอได้อย่างไร?
     
  16. *ธรรมดา*

    *ธรรมดา* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +924
    นั่นซิครับ...
     
  17. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ตั้งแต่เด็กมานั้น ผมไม่ชอบ คำพูด สองวลีนี้คือ
    "ถ้าตอนนั้นนะ....วันนี้ก็คง...."
    และ
    "โชคดีนะเนี่ย....ที่...."

    วลีแรกคือ ถ้าตอนนั้นนะ...
    ก็มันเป็นอดีตไปแล้ว พูดไปมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา อันนี้รำคาญหนึ่งล่ะ...
    ในเมื่อวันนี้ ปัจจุบันนี้ ทำไมไม่ทำให้มันสุดกำลังล่ะ พอถึงวันพรุ่งนี้จะได้ไม่มานั่งพูดว่า "ถ้าเมื่อวานนี้นะ...." ผมก็ยังเห็นคนที่พูดวลีนี้ นั่งกินเหล้า แล้วก็บ่นอยู่อย่างนี้นั่นแหละ...
    ผมว่าทำไมไม่ลุกขึ้นมาลงมือทำมันล่ะ...
    ทำให้มันสุดแรงเกิดสิ...สุดแค่ไหนใช่ไม๊...เอาว่าถ้าวันนี้มันผ่านพ้นไปแล้ว เรานึกย้อนเวลากลับมาอีกทีว่า เราสามารถที่จะทำได้มากกว่านี้อีกไหม ถ้าเรายังตอบว่า มันน่าจะทำได้มากกว่านี้อีก อันนั้นแสดงว่าเรายังพยายามไม่พอ...

    แต่ถ้าย้อนเวลากลับมาแล้ว เราก็ไม่สามารถทำให้มากกว่านั้นได้อีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นแล้ว แม้ความสำเร็จจะไม่เกิดขึ้นเลย ก็ไม่ต้องมานั่งบ่นว่า ถ้าตอนนั้นนะ...เพราะว่าตอนนั้นนั่นเราทำสุดกำลังของเราแล้ว มันไม่มีอะไรต้องมาเสียดายอีกแล้ว เราพิสูจน์ตัวเราแล้ว...

    สำหรับคำว่าโชคดีนั้น ผมไม่ชอบวลีนี้โดยนัยยะที่ใช้กันอยู่ เพราะมันเหมือนการที่เราได้อะไรมาแบบฟลุ๊กๆ โดยไม่ต้องพยายามอะไรมากมายนัก เรื่อยๆ แล้วก็ได้มาเอง...
    แบบนี้ผมไม่ยอมรับ ที่จริงไม่ใช่ว่าไม่ยอมรับ เพียงแต่ชีวิตผมโชคร้ายมาตลอด จนผมสะกดคำว่าโชคดีไม่เป็น แต่ละอย่างที่ผ่านเข้ามาต้องแลกมาด้วยความมุมานะ พยายาม อดทน อดกลั้น จนกว่าจะสำเร็จ ครั้นเมื่อสำเร็จก็ไม่ได้สำเร็จอะไรเลิศหรูมากมายหรอกนะ แค่ว่าพอผ่าน แต่พอผมผ่านมาได้ รอดมาได้ นี่คนเขาหาว่าผมโชคดี ทั้งๆที่จริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องโชคเลยสักนิดเดียว มันเรื่องของอิทธิบาท4 ชัดๆ แต่คนเขาไปยกประโยชน์ที่เราพากเพียร พยายาม มานะ อดทน ไปให้กับโชคเสียนี่...มันใช่ซะที่ไหนกันล่ะ...

    วิริเยนะ ทุกขมัจเจติ...
    บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร
    ไม่ใช่เพราะโชคดีซะหน่อย...
     
  18. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    วัยรุ่น ม.2 เป็นช่วงที่ต้องมีแฟนกันซะแล้วสินะ...
    ผมก็คนนึงแหละ เหมือนคนอื่นที่จะต้องมีแฟนกับเขาบ้าง...
    วัยกำลังแตกเนื้อหนุ่มเนื้อสาว ความน่ารัก น่าใคร่ เย้ายวน มากมาย...
    ซึ่งแน่นอนว่า มันทำให้เสียสมาธิในการเรียน...
    รู้ได้ไง? ก็ฝึกสมาธิมา มันก็รู้สิว่าเสียสมาธิเป็นยังไง วันๆมีหน้าแฟนสาวลอยมา อย่างงี้มันใช้ได้ที่ไหน...
    หัวจิตหัวใจมันลอยหายไปกับผู้สาวเสียแล้ว หนังสือหนังหาอยู่ตรงหน้า ตาก็ดู แต่อ่านไม่รู้เรื่อง อย่างงี้มันหายนะชัดๆ...

    ตอนนั้นผมต้องกลับมาคิดทบทวนแล้วว่า ถ้าเราระงับอารมณ์ไม่อยู่ มีเพศสัมพันธ์เข้าไปแล้ว เกิดผู้หญิงท้องขึ้นมา อันนี้หมดอนาคตทั้งคู่ ชีวิตหลังจากนั้นจะเป็นยังไงต่อ ไปเป็นกรรมกรก่อสร้างหรือ? ไปเข็นรถขายน้ำแข็งไสอยู่ข้างถนนเหรอ?

    หรือว่าเราจะเลือกการเรียน ถ้าเราเรียนให้จบ สอบเรียนต่อได้ที่ดีๆ จบมามีหน้าที่การงานดีๆ ถึงเวลานั้นผู้หญิงดีก็จะสนใจคบหาเราเองนั่นแหละ เวลานั้นจะเลือกผู้หญิงที่น่ารัก อ่อนหวาน อายุน้อยกว่าเราหลายปีหน่อยก็ยังได้ แต่ถ้าเลือกแฟนอายุเท่ากันแล้ว พอแก่ตัวไปนี่ผู้หญิงจะแก่เร็วกว่าผู้ชาย ถึงเวลานั้นจะไม่ชีช้ำหรอกหรือ...

    ถ้าเลือกเรื่องเรียน ก็ต้องตัดเรื่องรัก ถ้าเลือกเรื่องรัก การเรียนก็ต้องเสียอย่างแน่นอน เพราะคนที่เขาเก่งกว่าเราในอดีต เมื่อประสบเข้ากับเรื่องรักในวัยเรียน เขายังเอาตัวไม่รอดกันออกเยอะแยะ..ดังนั้นน้ำหน้าอย่างเราคิดว่าจะทั้งเรียนทั้งเลิฟ มันจะรอดไปได้อย่างไร..
    ตกลงว่าจะเลือกอนาคต...หรือจะเลือกผู้หญิง...

    เวลานั้นผมตัดสินใจเลือกอนาคต...ถ้าเลือกอนาคตก็ต้องเลิกกับคนที่เราเหมาว่าเขาเป็นแฟน คือให้เป็นเพียง Friend เท่านั้นพอ...แม้จะโดนรุมด่าประนามหาว่าหักอกผู้หญิง เขารุมด่ากันทั้งชั้นปี ผมก็ไม่ว่าอะไร ไม่ตอบโต้อะไร เพราะมันเป็นอนาคตผม อีกสิบปีค่อยมาพิสูจน์กันก็ได้ว่าใครคิดถูก ใครตัดสินใจผิด...

    กาลเวลาผ่านไป ทุกคนก็คงรู้อยู่แล้วว่า ผมคิดถูก จริงๆแล้วผมก็รู้ตั้งแต่นั้นแล้วว่าผมคิดถูกต้อง แต่มันอาจไม่ถูกใจกับกิเลศ ตัณหาของผมเท่านั้นเอง...

    เพื่อนผมคนหนึ่ง ที่บ้านลำบากยากจนมาก เกิดตกหลุมรักเข้ากับสาวคนหนึ่ง ซึ่งคอยแอบเอาเงินใส่กระเป๋านักเรียนไว้ให้บ่อยๆ ด้วยความนึกสงสารที่เห็นว่าทางบ้านยากจน แต่ฝ่ายชายกลับรู้สึกนึกรักผู้หญิงคนนี้...จนกระทั่งเพื่อนผู้หญิงคนนี้ขอให้ผมช่วยพูดให้เพื่อนชายคนนี้เข้าใจหน่อย...

    ผมนี่ก็ชอบเผือกมาแต่เล็กแต่น้อยเชียวแหละนะ...เรื่องปรัชญาชีวิต ความคิดน้ำเน่าอะไรทำนองนี้ล่ะก็ ถนัดนักเชียว...
    วันร้ายคืนร้ายก็มาถึง เวลาเลิกเรียน เพื่อนชายคนนี้มาปรึกษาผมเรื่องที่โดนศรรักปักอกอย่างแรง ว่าจะทำอย่างไร...

    ผมก็ซัดกันไปตรงๆแหละครับว่า..."เวลานี้ ด้วยฐานะเราตอนนี้ มีปัญญาดูแลผู้หญิงให้เขากินดีอยู่ดีมีความสุขไหม"
    เรื่องจริงที่ปรากฎตรงหน้านี้คือ ตัวเองจะกินเข้าไปแต่ละวันยังแทบไม่มี แบมือขอเงินพ่อแม่มาโรงเรียนก็แทบจะไม่ได้มาอยู่แล้ว จะมีปัญญาที่ไหนไปรับผิดชอบชีวิตเขา...
    ตั้งใจเรียน เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่าไหม...แล้วเมื่อเรียนจบปริญญาแล้ว ยังคงนึกรักปักใจอยู่ เมื่อมีงาน มีการทำเป็นหลักแหล่งมั่นคงเมื่อไร ค่อยมาขอเป็นแฟน ถึงเวลานั้นผู้หญิงเขาก็จะดูดีมีความสุขกว่าตอนนี้ไหมล่ะ...

    จบลงที่คำแนะนำให้อดหวานไว้กินเปรี้ยวจะดีกว่า...
    งานนี้เพื่อนงงไปพอสมควร...ด้วยภาษิตบ้าๆบอๆนี่เอง...
    ผมอธิบายต่อไปว่า ผู้หญิงหวานๆ อยู่ด้วยไม่นาน เดี๋ยวก็เลี่ยน...หวานเกิ๊น...ชิมิ...

    สู้ผู้หญิงเปรี้ยวๆไม่ได้หรอก มีเรื่องให้ตื่นเต้นเร้าใจใหม่ๆทุกวันแหละ...ว่าป่ะ...
    เพื่อนฝูงทั้งหลายต่างเห็นด้วยกับปรัชญาของผมครับ...ต่างพากันตบไหล่ผมคนละทีสองทีทำนองว่ายอมรับเว้ยเฮ้ย...

    แต่ที่จริงแล้วเป็นการแนะนำแบบตบหลังแล้วค่อยลูบหัว...คือท่อนแรกด่าแรงไปเลย ให้รู้สึกสำนึกตัวเสียบ้าง...จบท้ายให้ผ่อนคลายหน่อยมีเฮๆฮาๆ...เครียดมากไม่ได้ครับ วัยรุ่นมันวู่วาม อารมณ์ร้อน เดี๋ยวมันเกิดน้อยเนื้อต่ำใจกัดเล็บตายขึ้นมาจะเป็นบาปเป็นกรรมของที่ปรึกษาประจำศาลาคนเศร้า...

    หลังจากวันนั้นมา ปัญหาชีวิตรักในวัยเรียน ก็เป็นอันจบลง...ทุกคนตั้งใจเรียน เอาอนาคตเป็นเดิมพัน พยายามอดหวาน ไว้กินเปรี้ยว...
     
  19. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    พอถึงม.4 เทอม2 เราทุกคนต่างยังคงสนุกสนานไปตามประสาวัยรุ่น มีที่เที่ยว มีเล่นบอล มีแอบหนีเรียนบ้าง เพราะครูสอนอะไรก็ไม่รู้ น่าเบื่อ...บ่นอยู่ได้...ซ้ำซาก...ตกลงว่าเค้าจ้างมาสอนหรือจ้างมาบ่นกันแน่นะ...

    ชีวิตวัยรุ่นเป็นช่วงชีวิตที่มีสีสันสนุกสนานเฮฮา...แต่เวลานั้นผมกลับคิดไปอีกแบบหนึ่งว่า...
    ถ้าวันนี้เราสนุกสนานเฮฮา จนจบม.ปลาย แล้วเอ็นทรานส์ไม่ติด ต้องไปเรียนต่อ รามคำแหง...สมมุติว่าจบรามแล้วต้องไปทำงานต่ออีก 40 ปีจึงจะเกษียณ
    มันจะเป็น 40 ปีที่เราต้องขวนขวายพยายามทำงานด้วยความยากลำบาก และตกอยู่กับความคิดที่ไม่รู้จะภาคภูมิใจในวุฒิการศึกษาของตัวเองเลย ตลอด 40 ปี มันทรมานไหม?

    หรือเราจะยอมทนยากลำบาก 2 ปีนี้ ละทิ้งความสนุกสนาน ขวนขวายร่ำเรียนทำแบบฝึกหัด ไม่เที่ยวเล่นใดๆ เพื่อให้เอ็นฯติดเข้าคณะที่ดี มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง เพื่อจบออกมามีงานทำที่ดี และชีวิต 40 ปีนับจากนั้นจะอยู่อย่างภาคภูมิใจ...

    2 ปี แลกกับ 40 ปี สมการนี้คิดอย่างไรก็คุ้ม...จะเที่ยวจะเล่นสนุกสนานอย่างไรก็ขอให้หลังจากเอ็นฯติดไปก่อนก็ยังไม่สายนี่นา...

    ผมไม่มีเงินไปเรียนพิเศษเหมือนคนอื่นๆเขา หนังสือแบบฝึกหัดคู่มือทั้งหลายก็ไม่ค่อยมีเงินซื้อ อาศัยยืมเพื่อนมาอ่านเสียส่วนใหญ่ ยืมแล้วมันก็รีบทวง เราก็ต้องรีบอ่านรีบทำแบบฝึกหัดเพื่อจะรีบเอาไปคืนเพื่อน...
    ส่วนเพื่อนฝูงที่เคยเล่นอยู่ด้วยกัน บัดนี้พากันรังเกียจเราเสียแล้ว เพราะไม่ไปเล่นด้วย เฮไหนไม่เฮด้วย...ทั้งเหน็บแนม กระแนะกระแหน ต่างๆนาๆ ....

    ผมเป็นคนเรียนหนังสือไม่เก่ง จัดอยู่ในระดับปานกลาง เรียนโรงเรียนวัดแถวบ้าน ไม่มีเงินไปเรียนพิเศษ ฯลฯ โอกาสของผมมันริบหรี่อยู่แล้ว...ถ้าผมไม่ขยันให้มาก ยิ่งกว่ามาก
    ถ้าผมเอาแต่เที่ยวเล่นเฮฮากับเพื่อนฝูง...
    ผมรู้ตัวดีว่า ไม่รอดแน่นอน...ขนาดพยายามเต็มเหยียดแล้ว ยังไม่รู้ว่าจะเอ็นฯติดไหมเลยด้วยซ้ำ...แต่ผมว่า ผมเลือกที่จะพยายาม อย่างยากลำบาก ตลอดเวลา 2 ปี....

    และวันสุดท้ายของการสอบเอ็นทรานส์ ผมก็ทิ้งทุกอย่าง ทิ้งความยากลำบาก ความเครียด มุมานะพยายาม ผมล้มตัวลงนอน หลังจากที่หลังไม่แตะที่นอนมาตลอดระยะเวลา 2 ปี
    ทั้งนี้เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปเครียด ผมพยายามเต็มกำลังแล้ว นับจากเดินออกจากห้องสอบในวิชาสุดท้าย ทุกอย่างก็จบลงแล้ว ผมจะย้อนกลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้อีก จึงไม่มีประโยชน์ที่จะไปกังวลใจอะไรใดๆทั้งสิ้น...

    ผมทำเหตุอย่างสุดกำลังของผมแล้ว ข้อสอบนับหมื่นข้อ ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ทำจนฟุบหลับไปคาโต๊ะ หลังไม่เคยแตะที่นอน ปวดหลัง ปวดเอว ปวดจนทะลุอก ออกมา...ผมก็ทนทุกอย่าง...หากย้อนเวลากลับไปให้ผมพยายามมากกว่านั้น ผมก็ทำไม่ได้แล้ว...

    วันประกาศผล เพื่อนๆโทรมาบอกว่า ติดวิศวะ จุฬาฯ ... ทุกคนยินดีด้วย หลายคนบอกว่าโชคดี...แต่ผมกลับรู้สึกเฉยๆ...ผมมีเพียงความรู้สึกว่า ผมได้พิสูจน์พุทธพจน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แล้วว่า "วิริเยนะ ทุกขมัจเจติ"
    คนธรรมดาๆคนนึง สติปัญญาปานกลาง ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น ไม่เป็นที่รักของครูบาอาจารย์ ไม่แม้แต่จะอยู่ในสายตา...มันได้พิสูจน์แล้วว่า ความมุมานะพยายามอย่างยิ่ง...ย่อมให้ผลได้จริง...มันจะเป็นวันที่นกกระจอก บินไปกับฝูงนกอินทรีย์...

    ผมจึงเชื่อเสมอมาว่า ความพยายาม ที่ต่อเนื่องยาวนานเพียงพอนั้น สามารถนำมาซึ่งความสำเร็จได้...และอาจสามารถทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จ...

    ขอให้ทุกคน อย่าทอดทิ้ง ความพยายาม และ ความอดทน...เพราะความสำเร็จ รอเราทุกคนอยู่ข้างหน้า...ไปให้ถึง...ไปให้สุดกำลัง...
     
  20. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    พี่ระมิงค์กรุณาให้ข้อคิดสำหรับเด็กๆได้ประทับใจมากค่ะ
    ติงขออนุญาตคัดลอกบางส่วนไปให้ลูกศิษย์ของติงอ่านนะคะพี่
    กราบอนุโมทนาค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...