ขอค้าน หลวงพ่อเกษม อาจิณสีโล

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ขันธ์, 27 กุมภาพันธ์ 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. momogo

    momogo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +1,158
    เจ็บปวดทางใจไงคะ มันหมองมัว มันเกิดความไม่พอใจ
    มันเกิดเป็นโทสะลึก ๆ มันเกิดเป็นมานะ มันเกิดเป็นความถูก-ผิด
    มันสร้างเงื่อนไข ธรรมะคือความเย็น เย็นกาย เย็นจิต
    และเมตตา เมื่อไม่สามารถจะช่วยเหลือได้ สุดท้ายคืออุเบกขา

    อันนี้คือสิ่งที่ momogo บอก และขออภัยมา ณ ที่นี้ค่ะ

    แค่อยากบอกว่า ถ้ามีใครสักคนในที่นี้เห็นผิด (อาจจะหมายถึง momogo)
    เมื่อช่วยเหลือเมตตาเขาไม่ได้ เขาเห็นของเขาอย่างนั้น ก็วางเขาลงค่ะคุณขันธ์ นี่คือสิ่งที่ momogo สื่อ ไม่ได้บอกว่าใครผิด-ถูกในกระทู้นี้ค่ะ

    momogo ผิดเอง ok นะคะ
     
  2. khajonsak9999

    khajonsak9999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,536
    เศษไม้ เศษโต๊ะ ที่ไม่ ธรรมดา.........
    .........................................
    โอ พระเจ้า จอร์ช มันยอดมาก........
    ........................................
    ลาล่า กับ ลูลู่ บอกมา...............
     
  3. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    ประเด็น ของ คุณ จร มีอะไรบ้าง ที่มาตรงนี้ ผมถามหน่อย คุณกำลังพูดอะไรอยู่
    คุณมาถึง คุณก็เทียวมา อนุโมทนา คนนั้นคนนี้เรื่อยเปื่อย และคุณ ก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดกัน
    คุณ เข้ามาแจมแบบไม่รู้เรื่อง คุณ มาถึงมาพูดแย้ง แบบไม่รู้เรื่อง ผมเห็นว่า คุณเด็กเกินไป ที่ผมจะอธิบาย
    ผมก็ บอกว่า ผมขี้เกียจ นั่นแหละ ประเด็นนะครับ

    ส่วน คุณ ขุนพล ผมชี้อะไรบางอย่างให้เห็น ว่า สิ่งที่คุณเอ่ยมา ไม่ใช่สภาวะธรรมเลย มันเป็นสัญญา
    คุณ ก็แย้ง เพราะอะไรรู้ไหม เพราะอัตตา ที่คุณคิดว่า คุณสำเร็จธรรมแล้ว
    และผมก็บอกว่า มันไม่ใช่หรอก คุณ มาฟังผมแบบน้อมเข้ามาก่อน
    ผมชี้ให้ฟัง คุณ ก็แย้งว่าของคุณ เป็นเช่นนั้นเช่นนี้
    เรื่อง มันก็เลย กลายเป็นว่า ผมกำลังจะยัดเยียด

    ทั้งหมดนี้ มันไม่เกิดประโยชน์ และ มันแตกมาจากเรื่อง หลวงพ่อเกษม ที่คุณ พยายามจะบอกว่า ธรรม ที่ผมพูดนั้นผิด และ แก้ต่างให้ ตนเองและ หลวงพ่อเกษม

    ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ บอกว่า ให้ฟังก่อน หรือ ดูก่อน เสมอ คือ ให้ผู้ฟัง ตั้งสติพิจารณาของท่านก่อนเสมอ
    และ ใช้ การโต้แย้งโดยตั้งคำถามทีละข้อ
    ข้อนี้ ทั้ง ท่าน ขุนพล และ คุณ จร ไม่มีคำตอบเป็นทีละข้อ ตั้งคำถาม ผิดประเด็นเสมอ

    เหมาะสมแล้วที่ ท่านควรไป ถือ ข้อวัตรตาม หลวงพ่อเกษม
    จริตท่าน ขาดปัญญามากเกินไป ก็ต้องใช้ การ จินตนาการและแก้ปัญหา อย่างขาดหลักเหตุและผล ตามหลวงพ่อเกษม
    แต่ถ้า จะมาทางแนว พระอาจารย์มั่น คุณ ก็หยุด แล้วตั้งคำถามมาทีละคำถามใหม่
    ไล่ไป อย่างละเอียด แล้วผมจะตอบให้ ว่า สภาวะธรรม ของท่านนั้น คืออะไร
     
  4. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    คุณโมโมโก มีจิตใจดีมากเลยนะครับ ผมขอเอาใจช่วยปราบอกุศลในใจคุณนะครับ สู้ สู้ สู้ตาย...^_^

    กระทู้นี้อัดแน่นไปด้วยสาระมากมายเลยนะ ดูเหมือนจะแบ่งออกเป็นสองฝ่าย แต่แท้จริงแล้ว ก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรกัน เพียงแต่เป็นการชี้แนะธรรมกันในทัศนะของตน ที่ได้รู้ได้เห็นกันมา ผมว่า หายากนะ สำหรับคนที่ปฏิบัติธรรมกันได้ถึงขนาดนี้

    จากที่ติดตามอ่านมา รู้สึกน่าติดตามมาก ได้ความรู้เพียบเลย ทำให้เห็นภูมิธรรมและแนวทางของแต่ละท่าน เป็นประสบการณ์ให้กับผม ทำให้รู้ว่าใครติดตรงไหน มีจริตอย่างไร ปฏิบัติกันอย่างไร ฟังๆ ดู ก็มีเหตุผลทั้งสองฝ่ายนะ แต่คงไม่ต้องบอกว่า ในใจผมเชียร์ฝ่ายไหน แต่ก็เปิดรับทุกประสบการณ์

    อย่างไรก็ตาม ยังไงก็ควรเมตตาต่อกันให้มากๆ เป็นดี เพราะเรามีศัตรูร่วมกันเพียงหนึ่งเดียว คือ จอมมารที่ชื่อ อวิชชา

    สำหรับคนที่ยังติดอยู่ ท่านก็ไปไกลมาก มากกว่าผมเยอะ คิดว่า หากปรับได้ถูกทาง คงสามารถพบกับพระนิพพานได้เร็ว ไม่ต้องเสียเวลามากอีก

    กระทู้นี้ไม่กล้าออกความเห็นอะไรมาก เพราะมีแต่เทพคุยกัน คงต้องแสดงบทผู้ฟังที่ดี แล้วเลือกเก็บรับข้อมูลมาพิจารณา คงได้ประโยชน์เป็นอย่างมาก

    คุณฐาณัฏฐ์ครับ ที่คุณพูดมา ตรงใจผมจริงๆ พอมันจะรู้ มันก็รู้เอง หายสงสัย ไม่ต้องถามใคร บอกไม่ได้เหมือนกันว่า ทำไมเราจึงมั่นใจกับแนวทางนี้ รู้เพียงแต่ว่า นี่แหล่ะใช่ นี่ไม่ใช่ ปัญญามันแยกให้เอง แทบไม่ต้องคิดตามเลย...
     
  5. ขุนพล พลมณี

    ขุนพล พลมณี บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ++

    ถูกต้องครับ อันเดียวกัน อธิบายอารมณ์โดยใช้ศัพย์คนละอย่าง หมายถึงยังงี้ใช่ใหมครับ
    กระดาษขาวเมื่อกลายเป็นผู้ถูกดู นั้นคือจุดหมายคือภาวะว่างที่เคยเห็นมา
    กองกิเลส กาย เวทนา จิต ธรรม กลายเป็นผู้ถูกดู เพราะเรามาอยู่ที่ลมหายใจ
    ลมหายใจหรือการสังขารนี้ ที่เป็นผู้ดูเป็นกรรมการนี้ ก็ถูกดูโดยอารมณ์หรือธรรมเอกที่คุณเอกวีร์ว่า

    เราจึงทรงอยู่ที่อารมณ์นี้ แต่เมื่อออกจากฌานแล้ว มันอยู่ไม่ได้จึงต้อง มาเป็นกรรมการ ที่ลมหายใจ แต่อารมณ์นี้ไม่ใช่ไม่มี มันมีอยู่แล้วในตัวกรรมการ

    สิ่งที่ผมทำ ผมไม่สงสัยว่ามันจะทำได้หรือ การเป็นกรรมการดูอย่างเดียวนั้น ไม่ง่าย กาย เวทนา จิต ธรรม ที่เรียก สติปัฏฐานสี่ มีผู้รู้ มีกรรมการคนเดียว คือ
    กายคตา กายสังขาร ลมหายใจเข้า-ออก แล้วแต่จะเรียกขาน ไม่ง่าย

    แต่อารมณ์ผม อารมณ์กรรมการ เฉยๆ ยังไม่ปราณีตถึงคำว่าเบื่อแท้ๆ..
     
  6. ขุนพล พลมณี

    ขุนพล พลมณี บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    นี้เป็นแนวปฎิบัติของผม จากบน ตรงกำจัดอวิชาลงมา

    แนวผมจากบนลงมา เรียก สมถะ+วิปัสสนา
     
  7. momogo

    momogo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +1,158
     
  8. ขุนพล พลมณี

    ขุนพล พลมณี บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    พอออกจากฌานจะมาตรงนี้

    พอออกจากฌาน จะมาเป็นกรรมการ ตรงนี้ ตรงลมหายใจ
    ที่ต้องอธิบายยืดยาวนั้น เพื่อชี้ให้คุณขันธ์เห็นว่า เป็นแนวสัมมาทิฐิ ถูกต้อง
    ตามหลักการ อย่าเบี่ยงเบนประเด็น ไปเป็นว่า อยู่กับพระอริยะแล้วไปหลงผิดแบบผิดแนว
     
  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เราสดับมา และแปลได้อย่างนี้

    ส่วนที่เป็นกายลม กายในกายก็เรียก นั้นเป็นแค่วิหารธรรม เป็นเหมือนประตูเข้า

    แต่เมื่อเข้าไปแล้ว ธรรมเอก ผุดขึ้น มันจะเป็นการไปรวมตัวอยู่ด้วยสภาวะธรรม
    หนึ่งซึ่งจะต้องเกิดจาก สัมมาสมาธิ(อาจถึงขั้นอัปปนาสมาธิ)โดยจิต ผู้ชกเป็นผู้
    เต้นฟุดเวริกเข้าไปเอง แต่จิตจะเข้าไปได้ต้องอบรมให้จิตรู้จักการวิปัสสนาเสีย
    ก่อน เพราะในอัปปนาสมาธินั้น เรา(ผู้ฝึก)จะไม่อาจรับรู้อะไรๆได้เลย แต่จิต
    เขาจะยังทำการวิปัสสนาต่อได้ ถ้าได้รับการอบรมไว้แล้ว

    เหตุนี้ กระดาษขาว จึงเสมือนถูกดูโดยเรา ซึ่งโดยเราก็เห็นว่ามันเป็นกระดาษ
    ขาว เพราะอัปปนาสมาธิมันทำให้เราเห็นได้แค่นั้น แต่กระดาษขาวเขาเขียน
    กริยาบางอย่างต่อด้วยตัวเขาเอง โดยเหยียบหรือชกขันท์ 5 อยานตนะ 6ได้
    อย่างไร้ร่องรอยให้หลงเหลือเป็น สัญญา อันจะเป็นสังขาร อันจะเป็นภพชาติ

    เหตนี้เองที่กระดาษขาว ไม่ก่อภพชาติได้อีก แม้มีกริยาอาการที่เนื่องกับขันท์
    ที่ยังมีอยู่โดยบริบูรณ์

    วิปัสสนาญาณ จึง สำคัญ -- อันนี้คือประเด็นแฝงของผมครับ

    ขออภัยที่รวบรัด งานมันเข้า แต่คิดว่า น่าจะให้ภาพได้บ้าง แต่
    ถ้าเห็นแย้งก็ชี้ได้นะครับ เพราะทั้งหมดเป็นการตีความล้วนๆ จึง
    จั่วไว้ว่า เราสดับมา และแปลได้แบบนี้

    ซึ่ง วิปัสสนาญาณ นั้น โดยส่วนตัวเห็นว่า หลวงพ่อชา แสดงได้ละเอียดดีแล้ว
    แต่ขอให้แยกว่า นั่นคือกระบวนการอบรมจิต ไม่ใช่เอาจิตไปใช้อย่างหลวงปู่มั่น
    หมายถึง หลวงปู่ชาเน้นที่อินทรีย์ ปัญญากึ่งสมาธิ หลวงปู่มั่น เน้นที่อินทรีย์ สมาธิกึ่งปัญญา
    หลวงปูดูลย์เน้นที่ ปัญญา หลวงพ่อปราโมทย์เน้น ปัญญา ล้วนๆก่อน แต่ให้ทำสมถะเล่นๆ

    แต่ทั้งหมด ธรรมเอก จะเกิดขึ้นเอง อยู่นอกเหนือการจงใจทั้งปวง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2008
  10. ขุนพล พลมณี

    ขุนพล พลมณี บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0


    ตรงนี้คือจุดเปลี่ยนของกระทู้หลวงพ่อเกษม ผมจึงต้องมานั่งอธิบายว่า คำว่า
    นั่งเอาแต่ฌานนั้น ผมนั่งเอายังไง

    จบข่าวครับ
     
  11. dhammadasa

    dhammadasa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    679
    ค่าพลัง:
    +69
    ผ่านทางมาอ่าน คุณขันธ์ คุณขุนพล คุณเอกวีร์ คุณฐาณัทร์ กำลังเล่าประสบการณ์ให้ฟัง ได้ประโยชน์ดี ผมว่าทั้ง 4 คนล้วนมีประสบการณ์จริง แต่อาจอยู่กันคนละช่วงของการเดินทาง น่าจะเอามาเล่ากันต่อ อย่าเพิ่งงอนกันไปเสียก่อน จะมีประโยชน์ต่อผู้ร่วมเดินทางรายอื่นได้ใช้เป็น milestone

    ส่วนคนอื่นๆ นั่งฟังเฉยๆ จะดีกว่า อย่าชักใบให้เรือเสีย มีคำถาม ถามได้ แต่อย่าชวนทะเลาะ เดี๋ยวจะอดฟังของดี

    ทางที่ดีผมว่าขึ้นเป็นหัวข้อใหม่ไปเลยดีกว่า แล้วเริ่มกันใหม่ คนฟังจะได้ประโยชน์มากกว่านี้
     
  12. ขุนพล พลมณี

    ขุนพล พลมณี บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ++

    ถูกทั้งหมดครับ ตรงอุปจารสมาธิ มีขั้นตอนการวิปัสนาเหมือนกันหมด ในส่วน
    ผมนั้นมาจากนั่งสมาธิเข้มข้นก่อน จึงไม่อาจบรรยายในห้องฌานได้

    แต่คุณเอกวีร์ ลองมาอยู่ที่ลมหายใจ ไม่ให้มีภาพ มีเสียงในหัวใจดูก่อน การไม่มีขันธ์ 5 จะตามมา ในที่นี้ต้องเน้นว่า ไม่มีจริงๆ ลองดูซัก 1 นาที..
    จะเห็นว่า มันไม่ปรุงแต่งอะไรเลย นี่คือกรรมการ
    ทุกท่านต้องลองดูก่อนค่อยแย้ง อย่าพึ่งเอาปัญญาธรรมมาปรุงแต่งเลย.

    กายในกาย ผมไม่มองว่าเป็นอย่างอื่น เป็นประตูเข้าวิหารธรรมจริง แต่ไม่ใช่
    หมายถึง เข้าไปสัมปยุทกับจิต กับธรรม เขาจะบอกเป็นนัยๆว่า นี่เป็นทางเข้า
    ถึงนิพพาน.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 กุมภาพันธ์ 2008
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    แอบไปงีบมาแป๊บหนึ่ง

    ที่ท่าน ขุนพล พูดมา นั้นถูกแล้ว เป็น เอกคตาจิต เป็นสมาธิ แต่ปราศจากการไถ่ถอนอะไรเลย
    เพราะว่า ตะกอนที่ดองอยู่ เวลามีสมาธิ มันก็ไม่เกิดอะไร มันคนละอย่างกับการเห็น พระนิพพาน ครับ

    การเห็น พระนิพพาน ชั่วแวบ แม้แต่คำว่าว่างมันก็ไม่ได้คิดอะไร จิตนี้ อยู่อย่างนี้ แต่ไม่ได้เปรียบเทียบอะไรทั้งสิ้น
    นั่น มันถึงรู้ว่าอะไรคือ สมมติ อะไรคือ วิมุตติ มันต่างกับ การทำสมาธิ แล้วจิตนิ่งลงไปนะครับ


    สภาวะธรรม ของท่าน ขุนพล จึงเรียกว่า ฌาณ แต่ไม่ใช่ ญาณ
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,181
    มีหลายคน ที่เป็นสหายธรรมกับผม หลงไปกับตรงนี้ เพราะว่า มันต่างกันนิดเดียว ตรง ญาณทัสนะ คือ เห็น วิมุตติ กับ สมมติ ผมพยายามชี้แจง แต่สุดท้าย เคือง เพราะเขาคิดว่า เขาถูกต้อง ก็ขาดการดู รูปนามที่ละเอียด

    คนที่ เห็น ตรงนี้เมื่อไร จะหลุดจากสมมติ ทันที มีอารมณ์ปรมัต ใช้ปัญญาตัดกิเลสได้ ทันที ทำอะไรไม่คิดไปเอง แต่จะเห็น ธรรม ตามลำดับในหัวใจตรงนี้ ณ ปัจจุบันนี้ ละเอียดละออไปเรื่อยๆ นั่นแหละ จึงถูก
    ทีนี้ตัวมาร มันก็ล่อลวงด้วยความคิดว่า นี่เราเห็นถุกแล้ว แต่อะไรจะเป็นตัวประกัน ว่าเราถูก
    ตัวนั้นคือ ดูว่า กิเลส เราฟุ้งหรือไม่ เรายังขึ้นๆ ลงๆ หรือไม่ มหาสติปัฎฐาน จึงสำคัญและจำเป็นที่สุด ไม่ให้เราหลง
     
  15. ขุนพล พลมณี

    ขุนพล พลมณี บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ถูกต้องครับ แม้ตอนเห็นเราคิดไม่ได้ แต่ตอนออกจากฌาน เราทำอารมณ์เพื่อ
    เป็นภาวะนิพพานแบบนั้น ไม่ได้หรือ
    ผมว่าเหมือนเราเคยเห็นเคยกินเกลือ พอไม่ได้กินก็จำรสเกลือนั้นได้ ไม่ได้หมายความว่า เราต้องเอาเกลือมาอมใว้ในปากอยู่ตลอดเวลาจึงจะเรียกว่า
    จำรสเกลือได้.
     
  16. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    สาธุครับเฮีย ปอตำมะลัง อิอิ
     
  17. dhammadasa

    dhammadasa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    679
    ค่าพลัง:
    +69
    จุ๊ จุ๊ คุณ Komodo เงียบหน่อยครับ
    กำลังฟังความรู้จากผู้รู้ อย่ากวนให้เสียเรื่องเสียก่อน

    เชิญคุณขันธ์ คุณขุนพล คุณเอกวีร์ คุณฐาณัทร์ ต่อครับ กำลังตั้งใจฟัง
     
  18. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    คุณขุนพล

    เผอิญผมได้อ่าน หนังสือประวัติหลวงปู่มั่น พิมพ์โดยธรรมสภา รจนาโดย
    หลวงพ่อวิริยังค์ จึงเชื่อว่า คำพูดที่อ้างว่าเป็นคำสอนของหลวงปู่มั่นนั้นไม่
    น่าจะมีความผิดเพี้ยน

    ที่นี้ก็มาถึงบทที่ว่า หลวงปู่ท่านนั่นเจริญกรรมฐานจนแผ่นดินสะเทือน พอผ่าน
    ไปได้ก็พบยักษ์เอากระบองมาทุบ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่นิมิต เพราะหลวงปู่ท่าน
    สอนเพียงว่า ให้ใช้อนุโลมมิกญาณ ซึ่งตรงนี้ผมยังไม่อาจเทียบว่าเป็น
    อนุโลมมิกญาณ ใน โสฬสญาณ(ญาณในการวิปัสสนา) แต่ก็มีความเป็นไปได้
    ที่จะเป็นญาณในโสฬสญาณ เพราะบทก่อนหน้าก็บรรยายถึงการเห็นนิมิตลูก
    หมา ทำให้ท่านทราบชาติก่อนของตน แต่ในหนังสือรจนาว่าต้องตีความอยู่
    พักหนึ่ง ซึ่งรสมะนาวตรงนี้ผมก็ยังไม่ถึงขั้น แต่ติดสงสัยว่าถ้าได้ อุทยัพ
    พยานุปัสสนาญาณ ซึ่งเป็นญาณในการระลึกชาติ ก็แปลว่า หลวงปู่มั่นท่าน
    ได้เจริญวิปัสสนาญาณ ไม่ได้สมถะ แต่ตามที่เกิดนิมิตต่างๆ เพราะความเคย
    ชินของจิตที่หลุดเข้าไปในฌาณ

    จนมาถึงบทหนึ่ง ท่านกล่าวว่า ใช้อนุโลมมิกญาณ แล้วก็เห็นว่า ตัวเองกำลังโดน
    ทุบโดยยักษ์ แล้วให้เห็นทวนกระแสออกมาเป็นผู้ดู พอออกมาเป็นผู้ดู
    ทุกอย่างก็ถูกจับได้ว่าเป็นเพียงของถูกดู ถูกรู้ ทำให้นิมิตเหล่านั้นหายวับไปกับ
    ตา พอส่งออกไปดูอีกครั้งก็พบว่ายักษ์มากราบลาแล้วก็หายไป

    ตรงนี้ไม่ได้คิดจะวิจารณ์วิถีจิตของหลวงปู่ แต่ท่านขุนพล มาทางสายนี้ ช่วยชี้ให้เราเห็น
    หน่อยว่า ตรงไหนกันแน่ที่เป็นขั้นตอนการ ยกวิปัสสนาญาณ เพราะเท่าที่ได้
    ฟังจากคุณบรรยายข้างต้น ผมยังน้อมเห็นเหมือนคุณขันท์ แต่ก็อาจเป็นเพราะ
    มันต่างกันมากจริงๆ จนจับต้นชนปลายไม่ถูก ก็ขออภัยไว้ด้วยที่อาจดูล้นๆเกินๆ

    * * * *

    อาการที่สภาวะธรรมถูกยก แยก ให้เป็นของถูกดู แล้วเกิดการดับ อันนี้เป็นอาการของ วิปัสสนาญาณ
    เมื่อมีสัมปชัญญะ จะระลึกในการพบเห็นสภาวะธรรมใดๆอยู่ จนเริ่มรู้ว่าเผลอมอง ปฏิโลม เมื่อนั้นสัม
    ปชัญญะจะช่วยในการถอนออกมาอย่างไม่ขัดแย้ง ไม่สงสัยสภาวะธรรมที่กำลังเกิด ทำให้ความต่อเนื่อง
    ของสภาวะธรรมนั้นคงอยู่(อนุโลมฯ) แต่ถดถอยลงเป็นของถูกดู โดย ธรรมเอก นั่นเอง

    ทั้งหมดเป็นการตีความสภาวะธรรมโดยอ้างอิงหลักจากหลวงพ่อปราโมทย์

    โดย สัมมาสติ คือ การภาวนา , สัมมาสมาธิ คือ จิตที่ได้รับการอบรมวิปัสสนาญาณแล้ว (จนตั้งมั่นได้เอง),
    สัมปชัญญะ หรือ สัมมาปัญญา ก็คือ สัมมาสมาธิ+จิตที่อิ่มในวิปัสสนาญาณ ( ธรรมเอก )

    ซึ่งไม่รับรอง ต้องไปถามพระเองถ้าสงสัย :)

    * * * *

    แต่ในบางครั้งหลวงพ่อปราโมทย์ก็กล่าวว่า สัมมาสมาธิ ก็คือ ธรรมเอก ซึ่งผมก็เห็นว่าน่าจะเป็น
    การอนุโลมใช้ เพราะธรรมเอกนี้ จริงๆเกิดขึ้นกับ บุคคลใดก็ได้ ปุถุชนก็ได้ อริยะก็ได้ แต่กับอรหันต์
    เกิดแล้วเกิดเลย (แต่ในพระสูตรใช้คำว่า ต้องเจริญเนืองๆ) ส่วนตัวอย่างก็คือ คุณฐานัฏฐ์ ที่ตั้งมั่น
    ได้โดยมีความสว่าง เบิกบาน แต่กลับน้อมลงเอาไปใช้ดูนู้นดูนี้ แล้วก็ดูเพลิน ไม่ยอมถอนออกมาดู
    อีกรอบว่า ทั้งหมดกำลังมีผู้เข้าไปดู และความรู้ที่ถูกรู้ ( ซ.ต.พ. โดยคุณฐานัฏฐ์ )

    ธรรมเอกของคนทำงาน คือ นั่งพิจารณาแยกแยะปัจจัย มีสิ่งใดก็พิจารณาหมด หยิบยกทุกเคสมา
    ดูหมด จนจิตมันอิ่ม ก็โพล่งสว่างใส ทำงานได้โดยไม่ลังเล แต่ถ้าติดสงสัย ลังเล ถือมั่นเขาเรา
    ก็จบเห่ หันไปหา Tylenon
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2008
  19. ขุนพล พลมณี

    ขุนพล พลมณี บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ++

    เวลาที่เราเข้าฌาน นั้นถ้าไม่เข้าอรูปฌาน จะมีนิมิตเกิดขึ้น นิมิตนี้จะแนบแน่นมาก ถ้าเรากำหนด เข้าแบบกายทิพย์ จะมีตัวเราอยู่ในนิมิต เหมือนเราดูทีวี
    แล้วเราเป็นดาราอยู่ในนั้น การเข้าแบบที่สอง คือเข้าแบบ ไม่กำหนดสัญญา
    คือไม่สร้าง กาย ไม่กำหนดอะไร เพียงดูอาณาเฉยๆ จะเกิดนิมิตขึ้นอีกแบบ
    คือ จะมีเหตุการณ์ขึ้นเราผู้ดูจะเหมือนตากล้อง แสดงเอง ดูทุกคนเหมือนว่า
    ดูจากตาเนื้อ
    ตรงนี่ที่หลวงปู่อาจเข้าแบบนี้จึงไปอยู่ในเหตุการณ์ ในนิมิต โดนยักษ์ทุบ
    ก็มีความเจ็บปวดเหมือนโดนจริงๆ แต่ตรงนี้ถ้าเรากำหนดทัน กำหนดดูนอกวง
    เหตุการณ์ ก็จะเห็นตัวเราเป็น ในรูปการถอยออกมาดูทีวีแบบแรก ผมก็ไม่รู้ว่าเขาเรียกญานอะไร ก็จะถอดถอนสัญญาจะถอดถอนนิมิตว่า เป็นเพียงนิมิต
    ส่วนการที่เมื่อเราถอนนิมิตแล้ว เข้าไปใหม่ยักษ์นั้นทำยังไงนั้น ก็ไม่เกี่ยวข้อง
    ด้วยจิตได้ เพราะรู้ทันนิมิตแล้ว
    อารมณ์ที่เราถอดถอนนิมิต ถอดถอนสัญญานี้จะติดตัวเป็นความชำนาญ ตามมาเมื่อเราออกจากสมาธิ จะทำให้เราปราณีตขึ้น นี้เกิดในฌาน

    พอถอนจากนิมิตแล้วท่านให้มาพิจารณาเสมอๆ นั่นคืออุปจาระสมาธิ ถ้าการเข้าครั้งใดเป็นไปเพื่อความถอดถอนสัญญาตัวตน นั้นถูกเป็นสัมมาสมาธิ
    ถ้าหลวงปู่สู้กับยักษ์แล้วชนะ ด้วยกำลังฌาน พอออกมาจากนิมิต ความฮึกเหิม
    ลำพองนั้นจะติดตัวมาจากนิมิต ถ้าออกมาเลยทันทีไม่พิจารณาต่อ ก็จะว่า
    ข้าเก่ง ข้ามีฤทธิ์มาก จะติดในนิมิต

    การพิจารณานี้เป็นเอง ตัดเอง ไม่ต้องคิด แล้วท่านก็ได้อารมณ์ตัดแล้วนี้มาทรงใว้ เรียกตบะบารมี ถ้าระลึกชาติได้ยึ่งลึก แล้วเสพอารมณ์ที่ทำใว้ เช่นความเมตตา ความกล้าหาญ แล้วมาพิจารณา ก็จะเกิดปัญญาดับเอง เหลือเพียงอารมณ์ที่เป็นตบะ เพราะนิมิตนั้นเหมือนจริงมากๆ นี้เกิดในอุปจาระ

    การที่หลวงปู่ มีบุคลิค มีตบะ มีการครองตัวแบบที่เห็น เพราะมีอารมณ์ปราณีต
    มีตบะ เป็นเครื่องรู้อารมณ์ พอระลึกชาติได้มาก บารมีก็เต็ม ก็ไปเร็ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 กุมภาพันธ์ 2008
  20. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    กราบขอบพระคุณครับ

    มันต่างมุมมอง และการบรรยายขนาดนี้เลย สงสัยต้องรอคุณขันท์ ชี้ให้ผม
    อีกแรง เผื่อคุณขันท์มีอะไรแย้ง ถ้าไม่มี ผมจะจำสภาวะธรรมนี้ไปเปรียบ
    เทียบดู ถ้าวันไหนหลุดเข้าไปได้ แต่สงสัยว่าตัวเองจะอดซะแล้ว ตอนเข้า
    สู่ภาวะเสมือนลมหายใจหายไป เท่าที่ทรงสมาธิได้ ก็มีแต่สว่างไปทั่ว แต่ไม่
    ได้ขาวโพลน
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...