ขอบพระคุณทุกท่านครับ สาธุ...

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย จิตตานุปัสสนา, 2 ธันวาคม 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    บางท่านสงสัย อ.อู่ทอง สุพรรณบุรี อยู่ไหน??
    ไกลจากบ้านกร่างมั้ย..
    ดูแผนที่ได้ครับ..

    [​IMG]

    พระองค์นี้เ้จ้าของพระบอกว่า
    เมื่อหนุ่มนั้น ไม่เฉพาะแต่เมตตาสุดๆๆๆ แล้ว
    ยังแคล้วคลาดสุดๆ อีกด้วย
    ท่านบอกว่า ได้มาจากกำนันปืนทอง
    ช่วงนั้นมีปราบผู้ร้าย กำนันมาดเท่ของเรา
    วิ่งใส่แล้วยิงโต้ตอบ
    แต่ไม่โดนซักนัด อย่างนี้ไม่เรียกว่าครบเครื่อง
    ก็ไม่รู้จะเรียกอะไร..

    หาบ้านกร่างไม่ได้ องค์นี้ก็แจ่มมมมม ครับ...
    ปล. อยากได้บ้านกร่างแท้ๆ ผมหาให้ได้
    แต่องค์ละ 10,000 บาทครับ
    เป็นขุนแผนพลายเดี่ยวครับ ไม่ใช่พลายคู่ตัดเดี่ยว....

     
  2. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    [​IMG]

    [​IMG]

    เทียบเนื้อกับ บ้านกร่างสิครับ..
    สิบอกไห่...
     
  3. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    ประวัติอำเภออู่ทอง เอามาให้พี่น้องรู้จักกันครับ..


    เมืองโบราณอู่ทอง ตั้งอยู่ในเขตอำเภออู่ทองจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นเมืองที่มีคูน้ำและคันดินล้อมรอบ ผังเมืองเป็นรูปวงรีทอดตัวตามแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ มีขนาดความกว้างประมาณ 1 กิโลเมตร และยาวประมาณ 2 กิโลเมตร มีระดับความสูงของพื้นที่ตัวเมือง จากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 6 เมตร

    จากการศึกษาทางโบราณคดี พบว่า เมืองโบราณอู่ทองมีมนุษย์อยู่อาศัยตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อประมาณ 3,500 ปี มาแล้ว บริเวณที่พบชุมชนกระจายเกือบทุกตำบลในอำเภออู่ทอง เช่น ตำบลอู่ทอง จรเข้สามพัน เจดีย์ ดอนคา ดอนมะเกลือ เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบสุลานสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่มีพื้นที่กว้างขวางที่สุด ที่บ้านวังขอน บ้านทุ่งน้อย ตำบลจรเข้สามพันพบโครงกระดูกมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ จำนวนมากในพื้นที่ 100 ไร่ และได้พบหลักฐานประเภทขวานหิน ลูกปัด ภาชนะดินเผา และเหล็กไนสำหรับปั่นด้าย ขวานสำริด ฉมอก หอก และเครื่องมือเครื่องใช้โลหะชนิดอื่น ๆ อีกมากมาย ชุมชนในสมัยนี้เป็นชุมชนในสังคมเกษตรกรรม เนื่องจากสภาพที่ตั้งชุมชนเป็นเขตที่ราบขั้นบันได และที่ราบรุ่มแม่น้ำ ทำให้สามารถทำการเพาะปลูกได้ผลดีจนชุมชนตั้งหลักแหล่ง ได้อย่างถาวร ประกอบกับสามารถติดต่อกับชายฝั่งทะเลสะดวก และมีศักยภาพในฐานะชุมชนศูนย์กลางที่มีความสามารถในการดึงเอาผลประโยชน์ออกมา ได้จากระบบการติดต่อค้าขาย แลก เปลี่ยนระหว่างชุมชนทั้งระยะใกล้และไกล จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ชุมชนในบริเวณเมืองโบราณอู่ทองมีการพัฒนาการของสภาพสังคมและเศรษฐิกิจสูงจนขยายตัวเข้าสู่สังคมเมืองได้

    เมืองโบราณอู่ทอง ได้พัฒนาเป็นเมืองศูนย์กลางทางวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งของกลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา จากหลักฐานประเภทโบราณวัตถุ ได้แก่ ลูกปัด เหรียญเงิน ตราประทับแผ่นดินเผา รูปพระสงฆ์ 3 องค์อุ้มบาตร พระนาคปกที่แสดงการขัดสมาธิแบบ “ ปรยัคาสน “ ซึ่งเป็นศิลปแบบอมราวดี บงบอกถึงความเป็นศูนย์กลางความเจริญของอาณาจักรฟูนัน ในราวศตวรรษที่ 5-9 ซึ่งเชื่อว่าเมืองโบราณอู่ทองเป็น “ อาณาจักรสุวรรณภูมิ “ ที่พระเจ้าอโศกมหาราชส่งพระโศณะเถระและพระอุตรเถระมาเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    จากการดำเนินงานโบราณคดี พบว่า อิทธิพลทางวัฒนธรรมของอินเดีย ได้ผสมผสานกับวัฒนธรรม ท้องถิ่นเกิดรูปแบบทางศิลปกรรมอักษรภาษาและศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นศาสนาหลัก เป็นวัฒนธรรมแบบใหม่ที่รู้จักกันว่า “ วัฒนธรรมทวาราวดี “ ศูนย์กลางความเจริญของสมัยทวาราวดีอยู่ที่เมืองโบราณอู่ทอง ในบริเวณลุ่มน้ำจรเข้สามพัน ตั้งอยู่บิเวณเนินดินด้านตะวันออกของเทือกเขาพระและเขาทำเทียมด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออกและทิศใต้ เป็นที่ลุ่มตัวเมือง ได้รับน้ำหล่อเลี้ยงที่ไหลมาจากเทือกเขา คือ ลำห้วยลวก ลำห้วยหางนาค และลำน้ำจรเข้สามพัน ซึ่งไหลมาทางทิศใต้ โดยเมืองโบราณมีฐานะเป็นเมืองหลวง และมีเมืองลูกหลวง คือ ละโว้และนครชัยศรี สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ลูกปัด และเครื่องประดับที่ขุดพบที่เมืองโบราณอู่ทอง สะท้อนถึงความมั่งคั่งของเมืองท่าชายฝั่งอื่น ๆ เมืองโบราณอู่ทอง ยังคงติดต่อกับพ่อค้าต่างจากอินเดีย ตะวันออกกลางและโรมัน ดังหลักฐานจีนที่กล่าวถึงเมืองหลินอี่ฟูนัน ตุนชุน
    จินหลิน ตันตัน และพันพัน ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกับที่นักเดินทางเรือและพ่อค้าใช้ติดต่อกับจีน

    การขยายตัวทางการค้าของอินเดียซึ่งไม่สามารถซื้อหาทองคำได้จากแหล่งค้าเดิม ได้แก่ ไซบีเรีย โรมันทำให้อินเดียเพิ่มปริมาณการกับ “ สุวรรณภูมิ “ ใช้เรือขนาดใหญ่ที่เรียกว่า เรือโกรันเดีย ขนถ่ายสินค้า ความเติบโตทางเศรษฐกิจช่วยทำให้เกิดความเข้มแข็งของอำนาจรัฐมีหลักฐานหลายประการแสดงให้เห็นว่าอาณาจักรทวาราวดีมีกษัตริย์ เช่น เหรียญเงินที่มีจารึก “ ศรีทวาราวดีศุวรปุณยะ “ ซึ่งแปลว่า การบุญแห่งพระเจ้าศรีทวาราวดี รวมทั้งโบราณวัตถุที่เป็นเครื่องประกอบพิธีราชาภิเษกและจารึก เป็นต้น การพบจารึกแผ่นทองแดงที่เมืองโบราณ สามารถยืนยันได้ว่าเมืองโบราณอู่ทองรับวิธีการเขียนอักษรของอินเดียมาปรับปรุงเป็นของตนเอง ทำให้แปลกเปลี่ยนไปจากอักษรปัลลวะนักภาษาศาสตร์ต้องกำหนดให้เรียกว่า “ อักษรหลังปัลลวะ “

    ในราวพุทธศตวรรษที่ 15-16 มีการเปลี่ยนแปลงของแนวชายฝั่งทะเล ซึ่งส่งผลกระทบถึงการคมนาคม และระบบ สาธารณูปโภคของเมืองโบราณในสมัยทวาราวดีเป็นศูนย์กลางรัฐหรือเมืองหลวงของอู่ทองได้รับผลกระทบ พบว่ามีการเคลื่อนย้ายศูนย์กลางอำนาจรัฐไปที่บริเวณเมืองสุพรรณบุรี ปัจจุบันปรากฏร่องรอยของเมืองโบราณที่มี คูน้ำคันดินคร่อมแม่น้ำสุพรรณบุรี ( แม่น้ำท่าจีน ) จากหลักฐานที่ได้ในงานโบราณคดี พบว่าพุทธศตวรรษที่ 17-18 เมืองโบราณบริเวณจึงหวัดสุพรรณบุรี ได้เป็นเมืองหลวงที่สำคัญของบรรดาเมืองโบราณในซีกตะวันตกของลุ่มน้ำเจ้าพระยา และติดต่อค้าขายกับจีนอย่างใกล้ชิด มีความสัมพันธ์กันในระดับราชวงศ์ รู้จักในชื่อ เสียนหรือสยาม แต่เอกสารฝ่ายไทยเรียกว่า “ สุพรรณภูมิ “

    รัฐสุพรรณภูมิ เป็นรัฐที่รุ่งเรืองจากการค้า นอกเหนือจากการเป็นศูนย์กลางค้าขายนานาชนิดแล้ว รัฐสุพรรณภูมิยังผลิตเครื่องปั้นดินเผาส่งออกเป็นแห่งแรกของประเทศในพุทธศตวรรษที่ 18 โดยแหล่งที่พบอยู่ไกลถึงสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเกาหลลีเหนือ และจากความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับราชสำนักจีน ราชวงศ์สุพรรณภูมิ ได้ตราแต่งตั้งเป็น อ๋อง จากพระเจ้าจักรพรรดิของจีน ซึ่งต่อมาได้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติในราชสำนักกรุงศรีอยุธยา
    รัฐสุพรรณภูมิ และราชวงศ์อู่ทองแห่งละโว้ ได้ร่วมกันสถาปนากรุงศรีอยุธยาในปี 1893 ได้ย้ายฐานจากบริเวณแม่น้ำสุพรรณบุรี สู่เกาะเมืองกรุงศรีอยุธยา ใช้ความรู้ความสามารถในคววาวมเป็นรัฐพานิชย์ที่มีประสิทธิภาพอันยาวนาน นับแต่ปลายยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์สู่ยุคฟูนัน ทวาราวดี และสุพรรณภูมิ ทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นรัฐนานาชาติ ศูนย์กลางการซื้อขายที่ใหญ่ที่สุดถึง 417 ปี จากข้อมูลและหลักฐานที่แสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง ทำให้เราทราบถึงรากเหง้าแห่งงความเป็นคนไทยชาติไทย จากถิ่นกำเนิดที่เมืองโบราณอู่ทองและพัฒนาสู่สุวรรณภูมิ (สุพรรณบุรี)
    กรุงศรีอยุธยา และปัจจุบันรัตนโกสินทร์ ได้บงบอกถึงความสูงส่งทางวัฒนธรรมชีวิต ความรู้ความสามารถของบรรพบุรุษเป็นอย่างยิ่ง

    สมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบบบริหารราชการแผ่นดิน แบ่งหัวเมืองต่างๆ เป็นจังหวัด อำเภอ และตำบล อำเภออู่ทอง จึงเกิดขึ้นเมื่อพ.ศ. 2448 ให้ชื่อว่า “อำเภอจรเข้สามพัน” แบ่งการปกครองออกเป็น 10 ตำบล ต่อมาทางราชการได้พิจารณาเห็นว่าอำเภอจรเข้สามพัน อยู่ในเขตเมืองโบราณที่เรียกว่า “เมืองท้าวอู่ทอง” เพื่อให้สอดคล้องกับประวัติศาสตร์จึงย้ายที่ว่าการอำเภอจากหมู่บ้านจรเข้สามพันมาตั้ง ณ บริเวณเมืองโบราณ เมืองท้าว
    อู่ทอง และให้เปลี่ยนชื่ออำเภอจาก “อำเภอจรเข้สามพัน” เป็น “อำเภอ
    อู่ทอง” เมื่อปี พ.ศ. 2483 สืบมาจนถึงปัจจุบัน


    คืออู่น้ำอู่ข้าวลำเนาถิ่น ครั้งแผ่นดินรุ่งเรืองเป็นเมืองใหญ่
    เจ้าครองเมืองเนืองนามร่ำลือไกล เป็นหลักไทยเชิดชูท้าวอู่ทอง
    กำแพงรอบขอบเมืองยังมีเค้า คูเมืองเก่าน้ำขังยังรอยร่อง
    ถนนดินดินมูลยังพูนกอง อดีตปองปางหลังยังยินยล
    “ จรเข้สามพัน” ธารกระแส คราวแล้งแลตื้นเขินเกิดขุ่นข้น
    โรค “ ห่า “ ระบาดสู่กินผู้คน ต้องสับสนระส่ำย้ายทำเล
    ท้าวอู่ทองนำไทยไปหนองโสน สร้างเมืองใหม่ใหญ่โตน่าสนเท่ห์
    ก่อ “ ราชวงศ์อู่ทอง “ ครองพื้นเพ นามเสน่ห์ “ อยุธยา “ ราชธานี
    ทิ้ง “ อู่ทอง “ ถิ่นไทยไว้ประวัติ ฝากพิพัฒน์แผ้วผ่องไทยน้องพี่
    อดีตกาลผ่านผันตราบวันนี้ ยังศักดิ์ศรีชี้เห็นความเป็นมา
    อู่ทองใหม่ไทยพุทธรุดเร่งรัด ยุค “ ลูกปัดทวาราวดี “ มากมีค่า
    โรคห่าแพ้แพทย์รัฐพัฒนา หากจะมีก็ผีห่าในป่าคน
     
  4. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    [​IMG]

    สมชื่อสมนาม...
    พระสมเด็จองค์ปฐมบรมกัลป์ แห่งอาณาจักร "ศรีทวาราวดีศุวรปุณยะ"
    ปฐมมูลดินแดนสุวรรณภูมิ..


    พูดง่ายๆ ก็คือนี่คือ "ขุนแผนของอู่ทอง"
    ที่เทียบชั้นสมชื่อสมนามสมน้ำสมเนื้อกับ
    "ขุนแผน วัดใหญ่ไชยมงคล" เลยนั่นเทียว...
    (ขอขีดเส้นใต้ 3 เส้น อิอิ)
    สาธุ..


    [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2011
  5. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    กลับบ้านก่อนครับ
    สนใจรายการไหน จองได้ครับ..
    เอาหลายองค์จะลดให้เป็นพิเศษ
    สาธุ....
     
  6. Nattawut8899

    Nattawut8899 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +7,050
    โอนเเล้วครับ รายละเอียด ที่อยู่ อยู่ใน PM ครับ
     
  7. Nattawut8899

    Nattawut8899 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +7,050
    โอนเเล้วครับ รายละเอียด
    ที่อยู่ส่ง ใน PM ครับ
     
  8. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    รับทราบครับ พรุ่งนี้จัดส่งให้ครับ..
    สาธุ รอ pm อยู่ครับ..
     
  9. Step&Time

    Step&Time เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    792
    ค่าพลัง:
    +4,220
    วันนี้ เวลา 9.15 น. โอนเงินให้แล้วครับ 1,050.- บาท
     
  10. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    รับทราบครับ สาธุ...
    ที่อยู่เดี๋ยวผมค้นก่อน น่าจะมีอยู่แล้ว..:cool:
     
  11. j999

    j999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    4,970
    ค่าพลัง:
    +5,385
    ได้โอนเงิน๑๕๕๐ บาท เมื่อ ๒๐ มค. เวลาประมาณ๑๓.๐๐ น. เป็นค่าพระ ๑.พระท่ามะปราง(เงี้ยวทิ้งปืน)ที่อยู่ดูในpmครับ
     
  12. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    รับทราบครับ..
    จัดส่งให้วันนี้...
     
  13. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    ใครอยากได้ พระเปิดโลก กรุเตาทุเรียงเลยนะครับ
    แต่เป็นพิมพ์จิ๋ว เหมาะสำหรับสุภาพสตรีอย่างยิ่งครับ
    พระยุคสุโขทัยใส่แล้วรวย และใจดี สาธุ

    เดี๋ยวลงรูปครับ..
    จองก่อนได้ก่อน มีองค์เดียว



    นักพุทธศิลป์สมัยหลังสงครามได้กล่าวถึงพระพุทธรูป และพระพิมพ์พระเครื่อง ที่พบในแคว้นสุโขทัยว่า ศิลปะแบบอู่ทองได้แพร่หลายเข้ามาสู่แคว้นสุโขทัยตามความกล่าวในพงศาวดารว่า โดยเฉพาะพระพิมพ์นั้นคงจะสร้างขึ้นในสมัยหลังจากขุนหลวงพะงั่วยึดเมืองกำแพงเพชรได้ประมาณ พ.ศ.๑๙๒๑ เพราะพระพิมพ์ซึ่งพบในกรุต่างๆ เช่น ได้จากวัดพระแก้ว วัดนี้ในอดีตเคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต

    พระยืนปางเปิดโลกที่พบ ปรากฏพระพักตร์เป็นรูปสี่เหลี่ยมเกือบกลม องค์พระค่อนข้างสูงชะลูด พุทธลักษณะดังกล่าวนี้คล้ายคลึงพระปางเปิดโลก หรือพระร่วงปางเปิดโลก กรุเตาทุเรียง รวมทั้งพระนั่งด้วย ไม่ว่าจะเป็นพระนั่งปางมารวิชัย หรือปางสมาธิ ซึ่งพบว่ามีน้อยมาก มีทั้งเนื้อดิน เนื้อชินเงินและเนื้อว่าน สำหรับพระเนื้อว่านปางเปิดโลกนั้น เท่าที่เคยพบเห็นในสนามพระ มักจะมีเนื้อว่านที่ออกสีเหลืองออกคล้ำๆ เนื้อไม่แน่น กับเนื้อว่านประเภทออกสีแดงคล้ำ ชนิดนี้สีสันจะเข้าตามาก เพราะจะติดพิมพ์ลึก การหดตัวค่อนข้างน้อยมาก นอกจากนี้ยังมีประเภท พระปางเปิดโลก เนื้อว่าน หน้าเงิน และพระว่านหน้าทอง บางองค์ก็เห็นรูปองค์พระเพียงไรๆ แต่บางองค์ก็แทบมองไม่เห็นองค์พระเลย

    พระปางเปิดโลกก็เหมือนพระเนื้อว่านหน้าเงิน หน้าทองพิมพ์อื่นๆ ที่ว่านหน้าเงินนั้นจะพบน้อยกว่าพระว่านหน้าทอง บางคนอาจจะไม่เข้าใจคำว่า ว่านหน้าเงิน อธิบายได้ง่ายๆ ว่า หมายถึง การนำแผ่นเงินหรือแผ่นทองมาดุน (สมัยนี้เรียกปั๊ม) ให้เป็นรูปพระพุทธเจ้าแผ่นเงิน มักจะหลุดออกมาจากเนื้อว่าน มิหนำซ้ำยังถูกสนิมกัดกร่อนเร็วกว่าหน้าทอง ซึ่งเป็นธาตุบริสุทธิ์มีความคงทนมากกว่า คนรุ่นก่อนท่านได้บอกวิธีการพิจารณาความเก่า โดยให้สังเกตรูใต้ฐานองค์พระว่ามีคราบทองและคราบสีครามอันเกิดจากปฏิกิริยาของโลหะกับออกซิเจนบ้างไหม เพราะโลหะทั้งสองชนิดนี้ เมื่อเก็บไว้นานๆ ยิ่งเป็นที่ชื้นสูง แผ่นเงินและทองที่นำมาดุนเป็นรูปองค์พระจะไม่คมลึก โดยเฉพาะที่นำมากดพิมพ์จะเปราะแตกง่าย ถ้ากดพิมพ์ลึกเกินไป พระก็จะยิ่งแตกเสียหายและให้สังเกตรอบพับของทอง จะมีลักษณะย่นไม่คมชัด



    นื้อพระเมืองพิษณุโลก เพราะช่างปั้นหรือช่างพิมพ์พระเมืองสุโขทัยจะมีประสบการณ์ในการเตรียมดินทำภาชนะ และเครื่องปั้นดินเผาอื่นๆ อย่างเชี่ยวชาญเลยทีเดียว การเตรียมดินอย่างสุโขทัยนั้น เป็นการเตรียมเพื่อจะปั้นหรือพิมพ์ภาชนะเครื่องปั้นดินเผาที่มีขนาดใหญ่ที่ต้องการความคงทน มิได้มีประสบการณ์ในการเตรียมดินแบบพระธรรมทูตจากลังกาได้ทำไว้ หรือได้สอนให้ชาวเมืองชากังราวนำมาใช้กับสิ่งเล็กๆ ที่ต้องการดินละเอียด จะมีเม็ดกรวดทรายมากไม่ได้ เพราะถ้าดินหยาบก็จะไม่ได้รายละเอียด อันเป็นองค์ประกอบขององค์พระ เช่น พระเนตรและพระโอษฐ์ เป็นต้น

    ผู้ที่มีความชำนาญในการดูเนื้อดินเผาที่สร้างพระสามารถจะแยกออกได้ในเกือบจะทันทีว่าเป็นพระเมืองไหน เพราะดินเหนียวที่นำมาสร้างพระของเมืองใดก็ตาม จะมีลักษณะตามธรรมชาติของเมืองนั้นๆ ไม่เหมือนกันเลยแม้แต่เมืองเดียว เรื่องเนื้อดินผสมพระนี้ จึงจำเป็นที่นักพุทธศิลป์นิยมจะต้องศึกษาพิจารณาจากของจริงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนพระเนื้อชินนั้น ต้องเข้าใจด้วยว่า คำว่า "ชิน" นั้น หมายถึงตะกั่วกับดีบุก จึงเรียกว่า ชินเงิน

    พระที่มีเนื้อสีแดงนั้น เป็นเพราะว่าพบกับความชื้นในกรุ หรือในดินค่อนข้างสูงและนาน แต่พระเนื้อชินที่ถูกเก็บไว้ในหม้อไห ผิวมักจะขาว นอกจากนั้นก็จะมีฝ้าขาว โบราณเรียกว่า ฝ้าปรอท หรือผิวปรอทสวยงามมาก เนื้อชินที่มีอายุความเก่าแก่สูงมักจะกลับดำเมื่อผ่านการใช้ ส่องดูก็จะพบรอยรานร้าวลักษณะคล้ายใยแมงมุม พระเนื้อดินเผา ไม่ว่าจะเป็นของเมืองสองแคว เมืองกำแพงหรือของกรุงสุโขทัย ไม่ค่อยนิยมลงรักหรือปิดทอง แต่ก็ยังพอมีให้เห็นบ้างเหมือนกันทุกเมือง ของสุโขทัยก็ได้แก่ พระลีลา วัดถ้ำหีบ เคยมีบันทึกเชื่อถือได้ว่ามีการลงรักปิดทองมาแต่เดิม เป็นรักน้ำเกลี้ยง ต้องระวังหน่อย เพราะส่วนมากพระพิมพ์พระเครื่องที่ลงรักปิดทอง ส่วนหนึ่งมักจะเป็นพระทำเทียมเลียนแบบ

    พระพิมพ์พระเครื่องปางเปิดโลก (พระบูชาก็มี) พบมีหลายขนาด การตั้งชื่อพระแต่ละพิมพ์มักจะขึ้นอยู่กับพิมพ์ทรงและพุทธลักษณะ เช่น พิมพ์ทรงและสีสันคล้ายกลีบดอกจำปา ก็นิยมเรียกกันว่า "เปิดโลกกลีบดอกจำปา" เหมือนเม็ดทองหลาง ก็เรียกว่า เปิดโลกเม็ดทองหลาง ถ้าไล่ไปเหมือนดอกบัว ก็เรียกว่า เปิดโลกกลีบบัว และเปิดโลกเข็มเพชร หรือใบเข็ม เป็นต้น ดังกล่าวแล้วว่ามีหลายขนาด ขนาดเล็กที่สุดประมาณ ๒ ซม. หรือเท่ากับปลายนิ้วก้อย ใหญ่ที่สุดประมาณ ๘ ซม. ซึ่งขนาดหลังนี้ยังพบว่ามักจะมีพิมพ์กลาง พิมพ์เล็ก และพิมพ์ใหญ่ ส่วนแบบพระบูชานั้น เคยเห็นแต่ในศิลปะแบบอู่ทอง แต่ไม่ทราบที่มาว่าเป็นของเมืองไหน

    พระปางเปิดโลก ซึ่งเคยเป็นพระยอดนิยมในอดีตนั้นมีเหมือนกันก็คือ พระกำแพงเปิดโลก พิมพ์เม็ดทองหลางนั่นแหละ แต่ละพิมพ์มีขนาดไม่แตกต่างกันสักกี่มากน้อย ทั้งหมดมี ๓ พิมพ์ เป็นของกรุทุ่งเศรษฐี เนื้อดินละเอียดนุ่มทั้ง ๓ พิมพ์ นิยมเรียกว่า พิมพ์ยืนตอ พิมพ์ตีนถ่าง และพิมพ์ทิ้งดิ่ง สนนราคาซื้อขายกันเดี๋ยวนี้ก็ประมาณหลักหมื่นแก่ๆ องค์สวยๆ งามๆ ก็หลักแสน สมัยก่อนนิยมมากเป็นเพราะว่ามีค่านิยมในการใช้ห้อยคอ เพราะสามารถใช้ร่วมกับพระพิมพ์พระเครื่ององค์อื่นและพิมพ์อื่นๆ ด้วย

    ในปัจจุบันก็เหมือนกัน ยังนิยมเสาะหากันอยู่ แม้จะหายากเสียแล้ว ว่าไปจริงๆ แล้วก็ยังพอมีเหลือให้เล่นบ้างเหมือนกัน แต่ในสมัยใหม่นี้ เพราะว่าองค์ที่มีขนาดใหญ่ประมาณสูง ๘ ซม. ก็ยังนิยมเล่นกันอยู่ จะมากกว่าแต่ก่อนแต่ไรเสียด้วยซ้ำ เพราะว่าถ้าเป็นองค์ขนาดใหญ่มักจะทำเป็นพระที่มีซุ้มประตูเรือนแก้ว หรือไม่ก็ปรกโพธิ์ มักจะออกแบบได้สวยงามมาก แต่ไม่ว่าจะเป็นพระองค์เล็กหรือองค์ใหญ่ ถ้าเป็นของกรุทุ่งเศรษฐีแล้วล่ะก็ จะพิจารณาเป็นพิเศษ ทั้งนี้ก็เพราะเชื่อว่า พระกรุทุ่งเศรษฐี มีคุณวิเศษในด้านโชคลาภ เชื่อกันเหลือเกิน ถึงขนาดของกรุอื่นแทบไม่เป็นที่ต้องการ อย่างว่านั่นแหละ พระปางเปิดโลกนั้นถูกโลกลืมมากกว่าปางอื่น ในอดีตแทบจะให้กันเปล่าๆ หรือให้เป็นของแถม แต่เดี๋ยวนี้แม้จะเป็นองค์ขนาดใหญ่ก็ยังเป็นที่ต้องการ สนนราคาจึงไม่เหมาะกับคนจน เพราะขึ้นหลักหมื่นแก่ๆ เหมือนกัน จะหย่อนกว่าองค์ขนาดเล็กก็ถึงกับห่างกันจนสุดกู่

    เปิดเบาๆ 1,800 บาทครับ....

    กรุณาโอนเข้าบัญชีออมทรัพย์ ธ.ทหารไทย สาขาย่อย ม.ราชภัฏอุดรธานี
    ชื่อบัญชี ณรงค์ ขันดีศรีไพบูลย์
    เลขที่บัญชี 516-202-8020
    โทรศัพท์ 083-284-9228
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC05284.jpg
      DSC05284.jpg
      ขนาดไฟล์:
      571.7 KB
      เปิดดู:
      358
    • DSC05285.jpg
      DSC05285.jpg
      ขนาดไฟล์:
      644.4 KB
      เปิดดู:
      207
    • DSC05288.jpg
      DSC05288.jpg
      ขนาดไฟล์:
      373.1 KB
      เปิดดู:
      508
    • DSC05290.jpg
      DSC05290.jpg
      ขนาดไฟล์:
      323.2 KB
      เปิดดู:
      238
    • DSC05291.jpg
      DSC05291.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      212
    • DSC05292.jpg
      DSC05292.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.2 MB
      เปิดดู:
      1,324
    • DSC05294.jpg
      DSC05294.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1 MB
      เปิดดู:
      174
    • DSC05297.jpg
      DSC05297.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.2 MB
      เปิดดู:
      184
    • DSC05298.jpg
      DSC05298.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      309
    • DSC05299.jpg
      DSC05299.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1 MB
      เปิดดู:
      184
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2011
  14. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    [​IMG]

    ใครหนอจะได้ไป..
    สาธุ..


    ลดเหลือ 1,800 แล้วครับ..
    อิอิ
     
  15. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม รุ่นพิเศษ 92 ปี 2537

    [​IMG]

    ชีวประวัติและปฏิปทา
    พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
    ๔๐. พระเทวานัมปิยเถระ

    ชีวประวัติและปฏิปทาของ พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้ดำเนินมาแต่เมื่อเริ่มกำเนิด วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๔ ...จนกระทั่งวันสุดท้าย คือวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๓๘ ได้ดำเนินมาเป็นมิ่งขวัญของประเทศ เป็นที่พึ่งทางจิตใจให้แก่ปวงศิษย์ ทั้งบรรพชิต และฆราวาส และประชาชนทั่วไปอีกนานเท่านาน
    ยามเมื่อดำรงชนม์ชีพอยู่ องค์ท่านเจ้าของประวัติเอง...มิได้สนใจกับ “อดีต” ที่ผ่านมาแล้วของท่าน...ท่านมิได้สนใจกับ “อนาคต” ที่จะเป็นไป ซึ่งหากเป็นปุถุชนคนธรรมดาย่อมไขว่คว้าปรารถนาหาเกียรติยศ ชื่อเสียง ทรัพย์ศฤงคาร แม้กระทั่งปรารถนาแดนพ้นทุกข์ ท่านก็มิได้สนใจแล้ว...ท่านมิได้สนใจแม้แต่ “ปัจจุบัน” ซึ่งก็อีกน่ะแหละ หากเป็นบุคคลธรรมดา ย่อมเร่งประกอบการงาน เร่งหาเลี้ยงชีพ หาชื่อเสียง ยศศักดิ์ เป็นนักบวช ก็เร่งทำความเพียร เร่งทำกิจอันควรกระทำ...ทำปัจจุบัน ให้สร้างอนาคต
    ท่านมิได้ต้องสนใจ ทั้งอดีต ทั้งอนาคต และทั้งปัจจุบัน
    ท่าน “วาง” แล้ว ดังที่ท่านกำลังสอนอยู่ ให้เรา “วาง” บ้าง
    กิจอันควรกระทำของท่านคงจะได้เสร็จสิ้นแล้ว
    ท่านดำรงธาตุขันธ์อยู่ ท่านก็มีเมตตาธรรมเป็นเครื่องอยู่...โปรดศรัทธาญาติโยมตามกาละอันควร ตามเทศะอันควร จากเหนือจดใต้ จากตะวันออกสู่ตะวันตก ...ทั่วประเทศเขตแคว้น ทั้งต่างแดนใกล้และไกล ที่เมตตาของท่านประพรมโสรจสรงจิตใจคน
    “เรา” ต่างหากที่เมื่อกราบองค์ท่านแล้ว ด้วยความเคารพรัก เลื่อมใส ศรัทธา อย่างสุดซึ้งแล้ว ก็ยังมิได้พอใจเพียงนั้น ยังอาจเอื้อมขอความเมตตามากขึ้นไปอีก ขออนุญาตให้ได้นำ “อดีต” ของท่าน ที่ท่านทิ้งร่องรอยไว้ในความทรงจำของศิษย์ทุกคน นำมารวบรวมเรียบเรียงเป็นชีวประวัติ อ้างด้วยว่า เพื่อเป็นประโยชน์แก่อนุชนคนไทยรุ่นหลัง เพื่อเป็นตัวอย่างให้ผู้สนใจได้ศึกษา เพื่อให้ผู้เคารพรักได้เทิดทูน เพื่อเป็นกำลังใจ เป็นแนวทางให้ผู้ใคร่ในธรรมเร่งปฏิบัติทำความเพียร
    สารพัดจะอ้าง...
    ท่านก็เมตตา...
    แต่แรกผู้เขียนก็ตื่นเต้น ดีใจ ตามประสากบในกะลาครอบ...เราเคยกราบท่าน เคยเรียนถามท่าน ท่านเมตตาเล่าให้ฟังเพิ่มเติม...คงเขียนได้...คิดดูไม่ยากเลย
    แต่เมื่อเริ่มรวบรวมข้อความ เริ่มลงมือเขียน จึงได้รู้ว่า จริง ๆ แล้ว ไม่ง่ายเลย
    เป็นการยากที่จะนำ “อดีต” อันยาวนาน ผ่านมาตลอดเวลากว่า ๙๐ ปีนี้ มาบันทึกไว้ให้ได้ทุกบททุกตอน แม้จะให้เลือกเฉพาะที่ควรบันทึก ควรสนใจก็เถอะ...!
    “อดีต” ที่ดำเนินมาของท่าน....
    ...แต่วัยเด็ก ที่โลดเต้นไปตามประสาเด็ก แต่ก็มีความกตัญญูรู้คิด ทำหน้าที่ลูกที่ดี พี่ที่ดีของครอบครัว รู้คิด...เริ่มคำนึงหาทางออกจากทุกข์ จนออกบวช เป็นผ้าขาวน้อย เป็นสามเณร
    ...ผ่านวัยหนุ่ม ที่บวชเป็นภิกษุ แล้วก็ออกธุดงค์ บำเพ็ญความเพียรอย่างมอบกายถวายชีวิตให้ธรรม พยายามห้ำหั่นฟันกิเลสด้วยอุบายวิธีนานา...ทั้งที่ได้รับแนวทางคำสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ และที่เกิดปัญญาคิดค้นขึ้นมาได้เอง ผ่านสัตว์ร้ายในป่าลึก พบช้าง ผจญเสือ ทรมานงูพิษ พญานาค พบสิ่งลึกลับอันเกินสายตามนุษย์ธรรมดาจะพึงพบ พึงเห็น พึงรู้จัก....
    ...ผ่านวัยกลาง ที่เปรียบประดุจพญาราชสีห์กำลังทรงพลังอันแข็งแกร่ง เมื่อถึงเวลา...ก็บันลือสีหนาทก้อง...สยบป่าให้สิโรราบลง ท่านได้นำความองอาจ เด็ดเดี่ยว ความรู้ ความสงบ และดวงปัญญาที่สะสมดำเนินมาเป็นลำดับ ๆ ออกใช้เป็นดาบเพชร สยบตัดกิเลสอาสวะ ให้ขาดกระเด็นสิโรราบลงโดยราบคาบ
    ...สู่วัยปลาย ที่ท่านดำรงอยู่ด้วยทิฏฐธรรม วิหารธรรม เป็นที่ยกย่องสรรเสริญของหมู่เทวดา และมวลมนุษย์ เป็นที่เคารพรัก สักการะของปวงชนชาวไทย
    จริงแท้ เป็นการยากอย่างยิ่ง ที่จะสามารถบันทึก “อดีต” อันยาวนาน ที่งดงามน่าเลื่อมใส น่าเรียนรู้ น่าถือเป็นครู ให้ได้เทิดทูนบูชา ถือเป็นแบบอย่าง ให้เป็นกำลังใจ ได้มุ่งบำเพ็ญตาม...เหล่านี้มาบันทึกให้เป็นภาพประวัติที่งดงาม น่าเลื่อมใส น่าเรียนรู้ น่าถือเป็นครู ให้ได้เทิดทูนบูชา ถือเป็นแบบอย่าง ให้เป็นกำลังใจ ได้มุ่งปฏิบัติบำเพ็ญตาม...เช่นดั่งความจริงที่ผ่านมา
    ยังมี “อดีต” ที่ไม่ได้ทราบ...ที่ ทราบแล้ว แต่ไม่ได้เขียน...ที่ เขียนแล้ว แต่คนเขียนไม่มีความสามารถจะถ่ายทอดความจริงได้
    ประดุจใบไม้อันเขียวขจีจับตาในป่า ยากอย่างยิ่งที่จะนำมาจัดลงประดับในแจกันเล็ก ๆ เพียงแจกันเดียว ใบไม้มาจนลานตาประการหนึ่ง เก็บที่สวยมาไม่ได้หมดประการหนึ่ง ผู้จัดไม่ได้มีสุนทรียจิตพออีกประการหนึ่ง ฉันใด แจกันเล็กใบนั้น...ก็ฉันนั้น หนังสือเล็ก ๆ เล่มนี้ จะเก็บ คัด อย่างไรก็ไม่อาจเป็นตัวแทน “อดีต” อันงดงามของท่านได้
    จึงขอประทานอภัย ท่านผู้รู้ทุกท่านไว้ ณ ที่นี้
    โดยเฉพาะองค์ท่านเจ้าของประวัติเอง
    aíaíaíaíaíaíaíaíaía

    บันทึกมาเพียงแค่นี้ (บันทึกครั้งแรก ใน พ.ศ. ๒๕๒๙) ก็มีน้อง ๆ มาซัก
    “พี่คะ ในโลกนี้ ยังมีพระอย่างนี้หรือคะ”
    “มีจริงหรือคะ”
    ต้องอธิบายไว้ด้วย ว่าการจัดทำหนังสือเล่มนี้นั้น ในช่วงหลังของหนังสือกว่าครึ่ง เป็นการเขียน “ผ่อนส่ง” คือเขียนไป ส่งต้นฉบับให้โรงพิมพ์ไป เพื่อให้พิมพ์เป็นเล่มเสร็จทันเวลา ฉะนั้น เขียนไปก็จะถูกเร่งต้นฉบับ เกรงช้า แต่ระยะหลัง การเร่งมิใช่เร่งเพราะกลัวช้า เพราะผู้พิมพ์ตัวคอมพิวฯ ซึ่งมีหลายคนอยากอ่าน อยากรู้เรื่อง มีคนซึ่งปกติไม่มีหน้าที่ตรวจปรู๊ฟพิสูจน์อักษร ขอช่วยตรวจปรู๊ฟ แย่งกันพิมพ์ แย่งกันช่วยปรู๊ฟ
    เธอเหล่านั้น บอกว่า อ่านแล้ว ขนลุก น้ำตาคลอ....
    บางคนน้ำตาคลอ สงสารตอนท่านเป็นเด็ก ๗ ขวบ อยากหาเงินช่วยพ่อแม่หาบขี้ครั่งไปขายจนสองบ่าแตกเป็นแผล ...บางคนสงสารตอนท่านมีชีวิตอยู่ในป่า อกอยาก ยากแค้น ทนอด ทนหิว ทนหนาว ตากแดด ตากฝน มีชีวิตเหมือนสัตว์ตัวหนึ่ง บางคนจับใจตอนท่านเมตตาสั่งสอนเสือ สั่งสอนงูพิษ บางคนอัศจรรย์ ความรู้ความเห็นที่ลึกลับของท่าน บางคนตื่นเต้นตอนเทวดามาใส่บาตร เทวดามาคอยรักษา คอยอนุเคราะห์ บางคนสะดุ้งกลัวเรื่องภพชาติที่ต้องมาเกิดเวียนว่ายในวัฏวนของชีวิต
    “ขนาดท่านยังเคยต้องเกิดเป็นสัตว์ แล้วเราล่ะ...!”
    “ผมคงไม่กล้าทำบาปฆ่าสัตว์อีก ! ”


    เปิดเบาๆ ครับ 450.-บาทเท่านั้น

    กรุณาโอนเข้าบัญชีออมทรัพย์ ธ.ทหารไทย สาขาย่อย ม.ราชภัฏอุดรธานี
    ชื่อบัญชี ณรงค์ ขันดีศรีไพบูลย์
    เลขที่บัญชี 516-202-8020
    โทรศัพท์ 083-284-9228

    (กรุณาช่วยค่าส่ง 50 บาทครับ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC05302.jpg
      DSC05302.jpg
      ขนาดไฟล์:
      895.1 KB
      เปิดดู:
      230
    • DSC05303.jpg
      DSC05303.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      152
  16. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    ไปส่งของก่อนนะครับ..
    เดี๋ยวมาอัพเดทอีกทีครับ..
    รวยๆๆๆ สาธุ...
     
  17. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    ส่งให้ 3 ท่านครับ..
    1. คุณณัฐวุฒิ EH 7269 5827 0 TH
    2. คุณจาตุรนต์ EH 7269 5828 3 TH
    3. คุณชวาลภพ EH 7269 5829 7 TH

    สาธุครับ..
     
  18. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    เช้าวันใหม่ กับ พระกรุเก่าๆๆ....(เอ ตรงข้ามกันป่าว)
    ของดีราคาเยาวชนครับ..

    จากหน้าหนังสือพระฉบับหนึ่ง...

    [​IMG]

    จะเห็นว่า พิมพ์เปลวเพลิงเล็กเล่นหากันอยู่ที่ 25,000.-

    อ่านประวัติกันก่อนครับ...


    [​IMG]

    พระปิลันทน์ วัดระฆัง ผู้สร้างคือ "พระพุทธบาทปิลันทน์" ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น "สมเด็จพระพุฒาจารย์" มีพระนามเดิมว่า "หม่อมเจ้าทัด เสนีย์วงศ์" เป็นพระโอรสใน กรมหลวงเสนีย์บริรักษ์ ( พระองค์เจ้าแดง ) ใน กรมพระราชวังบวรสถานภิมุข ( วังหลัง ) ประสูติเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๖๔ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ หม่อมเจ้าพระสมเด็จพระพุฒาจารย์ ทัด เสนีวงศ์ เป็นเจ้าวังหลัง และทรงอุปสมบทเป็นนาคหลวงที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๕ เจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ประทับอยู่ที่วัดระฆังฯ และศึกษาพระบาลีปริยัติธรรมกับ เจ้าประคุณสมเด็จฯ โดยตรงมาตั้งแต่ต้นจนได้เปรียญ ๗ ประโยค และเป็นศิษย์ที่ทรงสมณศักดิ์สูงที่สุดของเจ้าประคุณสมเด็จฯ อีกด้วย ต่อมาได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทรงสมณศักดิ์ที่ หม่อมเจ้าพระพุทธุปบาทปิลันทน์ในรัชกาลที่ ๔ อันเป็นสมณศักดิ์ที่ทรงพระราชทานถวายเฉพาะ แด่พระเถระที่เป็นพระราชวงศ์เท่านั้น และทรงสมณศักดิ์สุดท้ายเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ หม่อมเจ้าพระสมเด็จพระพุฒาจารย์ แล้วโปรดให้ไปครองวัดเชตุพนฯ ต่อมาปี พ.ศ.๒๔๑๓ ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังฯ แทน สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต พรหมรังสี ) ซึ่งชราภาพแล้ว สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัด) มรณภาพวันอาทิตย์ที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๔๓ รวมสิริอายุ ๗๙ปี ๕๘ พรรษา

    หม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ ท่านทรงเป็นศิษย์เอกของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี ซึ่งท่านได้มีส่วนร่วมในการสร้างพระสมเด็จวัดระฆัง ของเจ้าประคุณสมเด็จฯ และท่านก็ได้สร้างพระสมเด็จฯ เป็นต้นมา และได้ทรงสร้างพระเครื่องฯ ของท่านขึ้นมาบ้าง แต่เนื่องจากสมัยก่อนศิษย์มีความเคารพต่ออาจารย์เป็นอย่างยิ่ง ไม่มีใครคิดทาบรอยเท้าอาจารย์ ทำให้พระสมเด็จปิลันทน์ มีแบบพิมพ์พระที่ไม่เหมือนของอาจารย์ท่านเลยแม้แต่พิมพ์เดียว การสร้างพระเครื่องสมเด็จพระปิลันทน์ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในช่วงปี พ.ศ.๒๔๐๗ ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่ "พระพุทธบาทปิลันทน์" แต่บางข้อมูลก็บอกว่า ท่านสร้างพระเครื่องในปีพ.ศ. ๒๔๑๑ ภายหลังจากที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้สร้างพระสมเด็จ มาแล้ว 2 ปี แต่มิได้ทรงสร้างโดยลำพังพระองค์เดียว หากอาราธนาให้เจ้าประคุณสมเด็จฯ ร่วมสร้างด้วย และขอผงวิเศษห้าประการของเจ้าประคุณสมเด็จฯ มาเป็นอิทธิวัตถุผสมเป็นหลักของมวลสาร ในช่วงเวลาดังกล่าว สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ยังมีชีวิตอยู่ จึงสันนิษฐานว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯ โต จะแผ่เมตตาประกอบพิธีปลุกเสกให้ด้วย ดังนั้น พระเครื่องฯ ชนิดนี้คนรุ่นเก่าๆ ที่ทราบประวัติการสร้างจึงนิยมเรียกว่า "พระสองสมเด็จฯ" แต่นักนิยมพระเครื่องทั่วๆ ไปนิยมเรียกว่า "พระสมเด็จปิลันทน์" เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ สิ้นแล้วท่านจึงได้บรรจุพระเครื่องฯ เหล่านี้ไว้ในพระเจดีย์องค์หนึ่ง ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของพระอุโบสถ โดยอุทิศส่วนกุศลถวายเจ้าประคุณสมเด็จฯ ผู้เป็นพระอาจารย์ ( บางท่านก็บอกว่าสร้างเมื่อประมาณปีพ.ศ. ๒๔๓๕ )

    พระสมเด็จปิลันทน์ มีหลายพิมพ์ ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือการแกะแม่พิมพ์ของช่างหลวงทั้งสิ้น เพราะแต่ละพิมพ์ล้วนมีความงดงามวิจิตรอลังการ ยากที่ช่างฝีมือชาวบ้านธรรมดาจะทำได้ พระสมเด็จปิลันทน์ เป็นพระเนื้อผงใบลานเผา เนื้อออกสีเทาๆ เป็นส่วนใหญ่ ที่ออกเป็นสีดำก็มีบ้าง และมีเนื้อออกสีขาวอมเหลืองก็มีแต่เป็นส่วนน้อย พระสมเด็จปิลันทน์นั้น มีทั้งแบบฝังกรุ และไม่ฝังกรุ ในส่วนของพระฝังกรุ จะมี คราบกรุ จับบนผิวองค์พระหนาบางไม่เท่ากัน ที่เป็นหย่อมๆ ก็มี คราบกรุจะเป็นสีขาวนวล สีขาวหม่น และสีน้ำตาล อ่อนบ้างแก่บ้าง บางคนเรียกคราบกรุนี้ว่า “ไข” คล้ายกับ ไขวัว พระองค์ใดมี ไข ที่ว่านี้จะทำให้ดูง่ายยิ่งขึ้น คราบไขนี้จะแข็งมากซึ่งทำให้ง่ายต่อการพิจารณา ในพระปลอมไขขาวจะหลุดล่อนง่าย พระบางส่วนถูกแจกออกไปก่อนที่จะได้บรรจุกรุ ทำให้พระส่วนนี้จะไม่ปรากฏคราบกรุและคราบไข จะมีบ้างก็น้อยมากเป็นเพียงคราบบางๆ แต่พระส่วนใหญ่เป็นพระที่ถูกบรรจุไว้ในกรุ การเปิดกรุ พระเจดีย์กรุพระสมเด็จปิลันทน์ ถูกลักเจาะครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๔๗๑ โดยคนร้ายได้พระไปเป็นส่วนน้อย และทางวัดได้ซ่อมอุดช่องเสีย ต่อมาปีก่อนที่จะเกิดกรณีพิพาทอินโดจีนเล็กน้อย กรุนี้ก็ถูกลักเจาะอีก เมื่อกรุแตกมีคนนำพระมาให้พระธรรมถาวร ช่วงพิจารณา ท่านก็จำได้ว่าเป็นพระของหม่อมเจ้าพระพุฒาจารย์ทัด สมัยยังดำรงสมณศักดิ์เป็นหม่อมเจ้าพระพุทธุปบาทปิลันทน์ ได้ทรงสร้างไว้ ทางวัดจึงได้นำพระสมเด็จปิลันทน์ พระเครื่องบางส่วนบรรจุในถุงผ้าดิบส่งมอบให้กระทรวงกลาโหมเพื่อแจกทหารออกศึกตามที่ทางราชการขอมา

    ในสมัยก่อน พระปิลันทน์ ราคาไม่แพงนัก แต่มาชั่วโมงนี้พระปิลันทน์ได้ปรับราคาสูงขึ้นไปมาก และไม่มีของหมุนเวียนในสนามมากนัก เท่าที่เห็นก็มีแต่สภาพผ่านการใช้ แถมราคาก็หลักพันปลาย และ หมื่นกว่า ถ้าสวยๆ ก็หลายหมื่น(พิมพ์ปรกโพธิ์) และเป็นแสน (พิมพ์ซุ้มประตู) ถ้านับอายุการสร้างถึงวันนี้ก็เกิน 100ปีไปแล้ว นับเป็นวัตถุโบราณได้เลย ไม่ว่าพระสมเด็จปิลันทน์ จะผ่านการปลุกเศกจากสมเด็จพุฒาจารย์(โต) หรือไม่ก็ตาม กระผมก็ยังคิดว่า เป็นพระเครื่องรุ่นเก่าที่น่าบูชาเป็นอย่างมาก ด้วยเป็นหน่อเนื้อเชื้อสายของวัดระฆัง ที่สมบูรณ์พร้อมไปด้วยเจตนการสร้าง , มวลสาร และ สมณศักดิ์ของผู้สร้าง อีกทั้งทางด้านพุทธคุณที่ครบเครื่อง ทั้งเมตตา แคล้วคลาด อุดมลาภ และคงกระพันที่เชื่อได้ ซึ่งพบได้น้อยมากในพระเนื้อผง

    เห็นไหมครับว่าพระสมเด็จปิลันทน์นั้นดีและมีความเป็นมาอย่างไร ถ้าเราหาพระสมเด็จฯ ของวัดระฆังฯ หรือบางขุนพรหมที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านสร้างไว้ไม่ได้ เราก็ยังมีโอกาสที่จะได้บูชาพระที่มีส่วนผสมมวลสารของเจ้าประคุณสมเด็จฯ และท่านมีส่วนช่วยสร้างด้วย นั่นก็คือพระสมเด็จปิลันทน์ ซึ่งมีด้วยกันหลายพิมพ์ สำหรับผู้ที่เบี้ยน้อยหอยน้อยก็หาพิมพ์ที่ยังไม่แพงมาก เช่น พิมพ์ปรกโพธิ์กรอบกระจกหรือพิมพ์ครอบแก้วเล็ก เป็นต้น

    หนังสือเปิดตัวไว้ 25,000.-
    ของผมราคากันเอง 8,500.- ครับ...
    ท่านใดชอบก็เชิญนิมนต์ครับ
    องค์นี้ด้านหลัง มีผงพระสมเด็จเต็มๆๆๆๆๆ ครับ

    (รายการนี้จัดส่งฟรี)

    กรุณาโอนเข้าบัญชีออมทรัพย์ ธ.ทหารไทย สาขาย่อย ม.ราชภัฏอุดรธานี
    ชื่อบัญชี ณรงค์ ขันดีศรีไพบูลย์
    เลขที่บัญชี 516-202-8020
    โทรศัพท์ 083-284-9228
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC05308.jpg
      DSC05308.jpg
      ขนาดไฟล์:
      226.6 KB
      เปิดดู:
      412
    • DSC05315.jpg
      DSC05315.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      209
    • DSC05314.jpg
      DSC05314.jpg
      ขนาดไฟล์:
      962.5 KB
      เปิดดู:
      180
    • DSC05316.jpg
      DSC05316.jpg
      ขนาดไฟล์:
      357.4 KB
      เปิดดู:
      276
    • DSC05318.jpg
      DSC05318.jpg
      ขนาดไฟล์:
      381.1 KB
      เปิดดู:
      209
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2011
  19. จิตตานุปัสสนา

    จิตตานุปัสสนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    5,840
    ค่าพลัง:
    +16,082
    สำนักสงฆ์ห้วยลาด ก่อตั้งขึ้นโดย หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้จาริกธุดงค์มาภูคลั่ง ซึ่งอยู่ติดกับบ้านห้วยลาด ทางด้านทิศตะวันตก ชาวบ้านห้วยลาดจึงมีความศรัทธาเลื่อมใส จึงได้อาราธนานิมนต์องค์หลวงปู่ชอบมาตั้งสำนักสงฆ์ห้วยลาด เมื่อปี พ.ศ. 2483 เป็นต้นมา เมื่อตั้งขึ้นเป็นสำนักสงฆ์แล้ว หลวงปู่ชอบได้พักอยู่ที่สำนักสงฆ์แห่งน ี้เพื่ออบรมสั่งสอนชาวบ้านห้วยลาดและหมู่บ้านใกล้เคียงระยะหนึ่ง ท่านจึงได้เดินทางจาริกธุดงค์ต่อไป

    นับจากปี พ.ศ. 2483 เป็นต้นมา สำนักสงฆ์ห้วยลาดได้มีครูบาอาจารย์พระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ได้มาพักเพื่อปฏิบัติธรรม จำพรรษา เป็นประจำทุกปีมิได้ขาด เช่น หลวงปู่ลี กุสลธโล หลวงปู่ปุญญฤทธิ์ ปัณฑิโต ท่านพระอาจารย์จันเรียน คุณวโร ท่านพระอาจารย์นิพนธ์ อภิปสันโน เป็นต้น และท่านประอาจารย์จันเรียน ได้มาก่อสร้างศาลาการเปรียญ ในปี พ.ศ. 2518 ท่านได้พำนักจำพรรษาที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ 3 พรรษา

    ต่อมา พระอาจารย์อุทัย (ติ๊ก) ฌานุตฺตโม ได้มาจำพรรษา ณ สถานที่แห่งนี้ ซึ่งแม้จะมีพระภิกษุสามเณรมาพักจำพรรษามิได้ขาด แต่ก็เป็นการอยู่เพียงชั่วเวลาหนึ่ง เสนาสนะที่อาศัยก็ได้ทำเพียงชั่วคราว มีกระต๊อบมุงหญ้าคา พื้นปูด้วยฟากไม้ไผ่เท่านั้น ไม่มีผู้ที่จะพัฒนาให้เป็นวัดที่มั่นคงถาวรต่อไปได้ พระอาจารย์อุทัยได้จาริกธุดงค์ผ่านมาเห็นสถานที่สำนักสงฆ์ห้วยลาด เป็นที่สัปปายะ ซึ่งเคยมีครูบาอาจารย์มาบำเพ็ญภาวนาอยู่ เป็นสถานที่เป็นมงคล แต่ตกอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรม จึงดำริว่าควรจะมีผู้อยู่ประจำสำนักสงฆ์เก่าแก่แห่งนี้ เพื่อยกระดับให้เป็นวัดที่มั่นคงยั่งยืนถาวรสืบต่อไป

    [​IMG]

    พระอาจารย์ติ๊ก โซเคน (พระอาจารย์อุทัย) วัดป่าห้วยลาด อ.ภูเรือ จ.เลย..
    ศิษย์ในองค์หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    รุ่นแรก และจะเป็นรุ่นเดียวหรือไม่
    มี 5 องค์ๆ ละ 200.- เท่านั้นครับ..



    กรุณาโอนเข้าบัญชีออมทรัพย์ ธ.ทหารไทย สาขาย่อย ม.ราชภัฏอุดรธานี
    ชื่อบัญชี ณรงค์ ขันดีศรีไพบูลย์
    เลขที่บัญชี 516-202-8020
    โทรศัพท์ 083-284-9228
    (ช่วยค่าจัดส่ง 50 บาทครับ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC05320.jpg
      DSC05320.jpg
      ขนาดไฟล์:
      424.2 KB
      เปิดดู:
      173
    • DSC05321.jpg
      DSC05321.jpg
      ขนาดไฟล์:
      514.9 KB
      เปิดดู:
      139
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2011
  20. Step&Time

    Step&Time เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    792
    ค่าพลัง:
    +4,220
    ได้รับพระแล้วครับและขอบคุณสำหรับพระสมนาคุณ(สวยมาก) ไม่ทราบว่าเป็นของครูบาอาจารย์ท่านใดครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...