ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    สุดอัศจรรย์...16 คำทำนายพระพุทธเจ้า ชี้ชะตามนุษย์โลก, สุดอัศจรรย์...16 คำทำนายพระพุทธเจ้า ชี้ชะตามนุษย์โลก

    ในยุคโลกาภิวัตน์ ที่ความเจริญทางด้านวัตถุ ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง เป็นที่น่าฉงนว่า ทำไมคนในโลกกลับมีความสุขน้อยลง และดูเหมือนว่าปัญหาในการดำรงชีวิต กลับมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปัญหาทางด้านศีลธรรม จริยธรรมอันเป็นความเจริญทางด้านจิตใจ ดูจะเป็นสมการผกผัน กับความเจริญทางด้านวัตถุอย่างน่าเป็นห่วง ทุกวันนี้ หากเราฟังข่าวคราวไม่ว่าในประเทศไทย หรือประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ล้วนแล้วแต่มีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และภัยอันเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันเอง





    หลายๆ สิ่งเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ก็สามารถนำมาใช้คาดการณ์ล่วงหน้าและรับมือได้ทัน แต่ก็มีไม่น้อย ที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียังไปไม่ถึง แต่หากจะบอกว่าสภาพการณ์หลายๆ อย่างที่อุบัติขึ้นในสมัยปัจจุบัน เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้า ได้ทำนายล่วงหน้ามาแล้วกว่า 2500 ปี หลายๆ คนอาจจะยังไม่เชื่อ หรือไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำเรื่อง “พุทธทำนาย” อันปรากฏอยู่ในอรรถกถาพระไตรปิฎก มหาสุบินนิมิตชาดก เอกนิบาตชาดก ขุททกนิกาย ซึ่งเป็นเรื่องเล่าถึงสมัยที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงทำนายพระสุบิน(ความฝัน) ให้พระเจ้าปเสนทิโกศล จำนวน 16 ข้อ ว่ามีความหมายอย่างไร ดังนี้


    วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล ผู้ครองกรุงสาวัตถี ได้เสด็จเข้าสู่นิทรารมย์ในราตรีกาล ครั้นล่วงปัจฉิมยามใกล้รุ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็น พระสุบินนิมิตอันใหญ่หลวง ถึง 16 ประการ อันเป็นพระสุบินที่แปลกประหลาด จึงทรงตกพระทัยตื่นบรรทม และครั้นรุ่งเช้า ก็ได้ให้พวกพราหมณ์ปุโรหิตประจำราชสำนักทำนาย พวกพราหมณ์ปุโรหิต ก็พากันทำนายว่าเป็นพระสุบินที่ร้าย และว่าพระองค์จะต้องประสบภัยอันตราย 3 ประการ ไม่เสียราชทรัพย์ ก็จะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน หรือไม่ก็ต้องสวรรคต อย่างใดอย่างหนึ่ง และแนะให้พระองค์ทำพิธีบูชายัญสัตว์ เพื่อสะเดาะห์เคราะห์ เมื่อพระนางมัลลิกา พระมเหสีทราบเรื่องเข้า จึงทูลให้ไปขอคำแนะนำจากพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธองค์ก็ได้ทรงทำนายว่า เหตุร้ายนั้นจะมีแน่นอน เพียงแต่มิใช่เกิดแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล หรือแว่นแคว้นของพระองค์ แต่เหตุร้ายเหล่านี้จะเกิดแก่สัตว์โลกทั่วๆ ไป และแก่พระศาสนาของพระพุทธองค์ในภายภาคหน้า เมื่อล่วงเลยพุทธกาลไปแล้ว 2500 ปี เมื่อศาสนาเสื่อมลง (กล่าวกันว่า อายุของพุทธศาสนาในกัลป์นี้ ยืนยาวเพียง 5,000 ปี หลังจากนั้น ต้องรอยุคของพระศรีอาริยเมตตไตรย์ พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปเสด็จมาโปรดสัตว์)

    ความฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศล และคำทำนายของพระพุทธเจ้าทั้ง 16 ประการ ประกอบด้วย


    1. ทรงฝันว่า มีโคตัวผู้สีเหมือนดอกอัญชัญ 4 ตัว ต่างคิดจะชนกัน ก็พากันวิ่งมาสู่ท้องพระลานหลวงจาก 4 ทิศ ฝูงชนต่างรอดู โคทั้งสี่ก็ส่งเสียงคำรามลั่น แต่แล้วต่างก็ถอยออกไป ไม่ชนกัน - พระพุทธเจ้าได้ทรงทำนายว่า ในอนาคตในชั่วศาสนาของพระองค์ เมื่อโลกหมุนไปถึงจุดที่เสื่อมลง มนุษย์ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ฝนฟ้าจักแล้ง ทุพภิกขภัยจักเกิดขึ้น คล้ายเมฆตั้งเค้าจะมีฝน มีเสียงคำรามกระหึ่ม แต่แล้วก็ไม่ตก กลับเลยหายไป เหมือนโคตั้งท่าจะชนกัน แต่ไม่ชนกันฉะนั้น


    2. ทรงฝันว่า ต้นไม้เล็กๆ และกอไผ่ที่โตเพียงคืบบ้าง ศอกบ้าง ก็ออกดอกออกผลแล้ว - พระพุทธองค์ทรงทำนายว่า ต่อไปเมื่อโลกเสื่อม มนุษย์แม้จะมีอายุเยาว์ มีวัยยังไม่สมบูรณ์ก็จะมีราคะกล้า และสมสู่กันตั้งแต่อายุยังน้อย และจะมีลูกแต่เด็กๆ เหมือนต้นไม้เล็กๆ แต่ก็มีผลแล้ว


    3. ทรงฝันว่า ทรงเห็นแม่โคใหญ่ๆ พากันดื่มนมของฝูงลูกโคที่เพิ่งเกิด - ทรงทำนายว่า ต่อไปในอนาคตการเคารพนบนอบผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์จะเสื่อมถอย คนเฒ่าคนแก่พ่อแม่เมื่อหมดที่พึ่ง หาเลี้ยงตนไม่ได้ ก็ต้องง้อ ต้องประจบเด็กๆ ดังที่แม่โคที่ต้องกินนมลูกโคฉะนั้น


    4. ทรงฝันว่าผู้คนไม่ใช้วัวตัวใหญ่ ที่สมบูรณ์แข็งแรงเทียมแอกลากเกวียน กลับไปใช้โครุ่นๆ ที่ยังปราศจากกำลังมาลาก เมื่อมันลากเกวียนให้แล่นไม่ได้ มันก็สลัดแอกนั้นเสีย - ทรงทำนายว่า ในภายหน้าเมื่อผู้มีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม แทนที่จะยกย่องและมอบหมายหน้าที่ ให้กับผู้มีสติปัญญา ความรู้ กลับไปมอบยศศักดิ์ให้กับคนหนุ่มที่อ่อนหัด ด้อยประสบการณ์ ทำให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดี กิจการต่างๆ ก็ไม่สำเร็จ ก็เหมือนใช้โครุ่นมาเทียมแอก เกวียนก็แล่นไม่ได้ฉันใด ก็ฉันนั้น


    5. ทรงฝันว่าเห็นม้าตัวหนึ่ง มีปากสองข้าง ฝูงชนก็เอาหญ้าไปป้อนที่ปากทั้งสองข้าง มันก็กินทั้งสองข้าง - ทรงทำนายว่า ในอนาคตเมื่อผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจไม่ดำรงอยู่ในธรรม ตั้งคนพาล หรือคนไม่มีศีลธรรมไว้ในตำแหน่งอันมีผลต่อผู้อื่น คนเหล่านั้นก็จะไม่นึกถึงบาปบุญ คุณโทษ แต่จะตัดสินคดีต่างๆ ตามแต่ใจชอบ โดยเอาสินบนจากทั้งสองฝ่ายเป็นประมาณ ดังม้าที่กินหญ้าทั้งสองปาก


    6. ทรงฝันว่าฝูงชนเอาถาดทองราคาแพง ไปให้หมาจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง พร้อมเชื้อเชิญให้หมาจิ้งจอกตัวนั้น ถ่ายปัสสาวะใส่ถาดทองนั้น - ทรงทำนายว่า ต่อไปคนดีมีสกุลทั้งหลายจะสิ้นอำนาจวาสนา คนตระกูลต่ำ หรือคนพาลจะได้เป็นใหญ่เป็นโต และคนมีตระกูล ก็จะต้องยกลูกสาว ให้แก่ผู้ไร้ตระกูลเหล่านั้น เหมือนเอาถาดทองไปให้หมาปัสสาวะรด


    7.ทรงฝันว่า มีชายคนหนึ่งนั่งฟั่นเชือก แล้วหย่อนไปในที่ใกล้เท้า แม่หมาจิ้งจอกโซตัวหนึ่ง นอนอยู่ใต้ตั่งที่บุรุษนั้นนั่งอยู่ แล้วก็กัดกินเชือกนั้น โดยที่เขาไม่รู้ตัว - ทรงทำนายว่า ในกาลข้างหน้า ผู้หญิงจะเหลาะแหละ โลเล ลุ่มหลงในสุรา เอาแต่แต่งตัว เที่ยวเตร่ ประพฤติทุศีล แล้วก็จะเอาทรัพย์ที่สามีหาได้ด้วยความลำบากไปใช้ หรือให้ชายชู้ เหมือนนางหมาโซที่นอนใต้ตั่ง คอยกัดกินเชือกที่เขาฟั่น และหย่อนลงไว้ใกล้เท้า


    8. ทรงฝันว่ามีตุ่มน้ำเต็มเปี่ยมตุ่มหนึ่งวางอยู่ตรงประตูวัง แวดล้อมด้วยตุ่มว่างๆ เป็นอันมาก แต่คนก็ยังไปตักน้ำใส่ตุ่มที่เต็มอยู่ จนล้นแล้วล้นอีก โดยไม่เหลียวแลจะตักใส่ตุ่มที่ว่างๆ นั้นเลย - ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อศาสนาเสื่อม คนเป็นใหญ่หรือมีอำนาจ จะเบียดเบียนหรือเอาเปรียบผู้ด้อยกว่า คนที่รวยอยู่แล้ว ก็จะมีคนจนหารายได้ ไปส่งเสริมให้รวยยิ่งขึ้น ดังฝูงชนที่ต้องตักน้ำใส่ตุ่มใหญ่ที่เต็มอยู่แล้วจนล้น ส่วนตุ่มที่ว่างอยู่กลับไม่ไปใส่น้ำ


    9. ทรงฝันเห็นสระแห่งหนึ่ง มีบัวนานาชนิดขึ้นอยู่เต็ม และมีท่าขึ้นลงโดยรอบ สัตว์ต่างๆ ก็พากันดื่มน้ำในสระ แต่แทนที่น้ำบริเวณที่สัตว์เหยียบย่ำจะขุ่น กลับใสสะอาด ส่วนน้ำที่อยู่ลึกกลางสระที่สัตว์ไม่ไปดื่มหรือ เหยียบย่ำแทนที่จะใส กลับขุ่นข้น - ทรงทำนายว่า ต่อไป เมื่อคนมีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม ขาดเมตตา คอยใช้อำนาจ รีดนาทาเร้นหรือกินสินบน ชาวบ้านชาวเมือง ก็จะหนีไปอยู่ตามชายแดนหรือที่อื่นๆ ทำให้ที่นั้นๆ ที่คนพากันไปอยู่มีความมั่นคงเป็นปึกแผ่น เหมือนน้ำรอบๆ สระที่ใส ส่วนเมืองหลวงกลับว่างเปล่า เหมือนกลางสระที่ขุ่น


    10. ทรงฝันว่า เห็นข้าวที่คนหุงในหม้อใบเดียวกัน สุกไม่เท่ากัน โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ข้าวแฉะ ข้าวดิบ และข้าวสุกดี - ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อคนทั้งหลายไม่อยู่ในศีลในธรรมกันมากขึ้น ก็จะทำให้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล หรือตกไม่ทั่วถึง ทำให้การเพาะปลูกบางแห่งได้ผล บางแห่งก็ไม่ได้ผล เช่นเดียวกับข้าวที่มีสุกบ้าง ดิบบ้าง และแฉะบ้าง


    11. ทรงฝันว่าคนนำแก่นจันทน์ที่มีราคาแพง ไปแลกกับเปรียงเน่า (อ่านว่า เปฺรียง มี 3 ความหมาย คือ 1. นมส้มผสมน้ำแล้วเจียวให้แตกมัน 2.น้ำมันจากไขข้อวัว และ 3.เถาวัลย์เปรียง แต่ในที่นี้น่าจะหมายถึงเถาวัลย์เปรียง เทียบกับแก่นจันทน์ที่เป็นไม้เหมือนกันมากกว่า 2 ความหมายแรก) - ทรงทำนายว่า กาลภายหน้า พระภิกษุอลัชชีเห็นแก่ได้ทั้งหลาย แทนที่จะนำธรรมะ ที่พระพุทธองค์สอน ไปสอนสั่งให้คนหลุดพ้นจากความทุกข์ และละความโลภ กลับใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหากิน หาปัจจัยบริจาคเข้าตัวเอง เหมือนเอาแก่นจันทน์ (ธรรมะคำสอนที่ดี) ไปแลกเอาเถาวัลย์เน่า (ลาภอามิสที่ได้รับมา ซึ่งไม่จีรังและไม่ช่วยให้พ้นทุกข์จริงๆ ได้)


    12. ทรงฝันเห็นกระโหลกน้ำเต้าจมน้ำได้ - ทรงทำนายว่า ต่อไปคำพูดของคน ที่ไม่ควรจะได้รับความเชื่อถือ กลับจะได้รับความเชื่อถือ โดยเปรียบถ้อยคำของคนที่ไม่น่าเชื่อว่ามีน้ำหนักเบาเหมือนกับผลน้ำเต้า ซึ่งปกติจะลอยน้ำ แต่เมื่อคนเชื่อว่าคำพูดเหล่านั้นมีน้ำหนัก หรือหนักแน่น จึงเปรียบคำพูดนั้นว่ามีน้ำหนัก ราวกับน้ำเต้าที่จมน้ำได้


    13. ทรงฝันว่าศิลาแท่งทึบขนาดเรือน ลอยน้ำได้เหมือนเรือ - ทรงทำนายว่า ถ้อยคำของคนที่ควรได้รับการเชื่อถือ ซึ่งหนักแน่น มีน้ำหนักเปรียบประดุจแท่งศิลา กลับไม่ได้รับความเชื่อถือ หรือกลายเป็นถ้อยคำที่ไม่มีน้ำหนักเหมือน เรือที่ลอยได้ ข้อนี้ตรงกันข้ามกับข้อที่แล้ว คือ คนหันไปเชื่อคำพูดคนที่ไม่ควรเชื่อ เหมือนสิ่งที่ควรลอยกลับจม สิ่งที่ควรจมกลับลอย


    14. ทรงฝันว่า ทรงเห็นฝูงเขียดตัวเล็กๆ วิ่งไล่กวดงูเห่าตัวใหญ่ และกัดเนื้องูเห่าขาดเหมือนกัดก้านบัว แล้วกลืนกินเข้าไป - ทรงทำนายว่า เมื่อมนุษย์ปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลส ราคะ สามีจะตกอยู่ในอำนาจของเมียเด็ก และจะถูกดุด่าว่ากล่าวเช่นเดียวกับคนรับใช้ เหมือนเขียดตัวเล็กๆ แต่กลับกินงูได้


    15. ทรงฝันว่า ฝูงพญาหงส์ทอง ที่มีขนเป็นทอง ถูกแวดล้อมด้วยกา - ทรงทำนายว่า ในอนาคตผู้มีตระกูลต้องไปเที่ยวประจบ และสวามิภักดิ์ต่อผู้ไม่มีตระกูล เหมือนหงส์ทองแวดล้อมด้วยกา


    16. ทรงฝันว่า ฝูงแกะพากันไล่กวดฝูงเสือเหลือง และกัดกิน ทำให้เสืออื่นๆ สะดุ้งกลัว จนต้องหนีไปแอบซ่อนตัวจากฝูงแกะ - ทรงทำนายว่าต่อไปภายหน้า คนชั่ว หรือคนที่ไม่ดีจะเรืองอำนาจ และใช้อำนาจเป็นธรรม ทำให้คนดีถูกทำร้าย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ต้องหลบหนี ซ่อนตัวจากภัยร้ายเหล่านี้ เหมือนเสือซ่อนตัวจากแกะ


    เมื่อพิจารณาความฝัน จะเห็นว่าหลายข้อในความฝัน เป็นสิ่งที่ผิดไปจากธรรมชาติ เช่น แม่โคกินนมลูกโค ม้าสองปาก เขียดกินงู และแกะกินเสือ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนมีนัยอันไปสู่พุทธทำนายทั้งสิ้น หลายคนอาจจะสงสัยว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์ในสมัยพุทธกาล ทำไมฝันได้ไกลไปถึงอนาคต อันไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์ได้ถึงเพียงนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าคงเป็นเพราะเทวดาดลใจ ให้พระองค์ฝันแปลกประหลาด เพื่อพระบรมศาสดาจะได้ฝาก “พุทธทำนาย” เป็นคำพยากรณ์อันอมตะไว้ เป็นเครื่องเตือนสติ ให้มนุษย์โลกได้ตระหนัก และระมัดระวังภัยพิบัตินานัปการ ที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า หลังจากที่พระพุทธองค์ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว เพราะคงเล็งเห็นด้วยญาณวิเศษแล้วว่า นับวันคนเราก็จะห่างไกลจากหลักธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ จนเป็นเหตุให้มนุษย์มุ่งทำลาย เอารัดเอาเปรียบทั้งเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง และสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพื่อกอบโกยไปบำรุงบำเรอกิเลสแห่งตน โดยขาดความรัก ความเมตตาต่อกัน จึงทำให้คนเห็นแก่ตัว และมีผลให้สภาพแวดล้อม ธรรมชาติแปรปรวนไปหมด


    ในปัจจุบัน เหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น ฝนแล้ง อันทำให้เพาะปลูกได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ปัญหาเรื่องศีลธรรมและจริยธรรม เช่น เด็กและเยาวชนแก่แดดขึ้น มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยเพิ่มขึ้น ลูกขาดความกตัญญู และความเคารพยำเกรงต่อพ่อแม่ อลัชชีหรือพระทุศีลมีมากขึ้น ชายแก่ตกอยู่ในอำนาจเมียเด็ก หรือปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม เช่น คนขาดความรู้ประสบการณ์ ได้รับแต่งตั้งให้ปกครองบ้านเมืองเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้มีอำนาจรับสินบน ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป คนรวยยิ่งรวยเพราะมีช่องทาง และโอกาสเอาเปรียบคนจน เหมือนตุ่มใหญ่ที่คนตักน้ำไปใส่จนเต็มแล้วเต็มอีก แล้วปล่อยตุ่มเล็กให้ว่างเปล่า ตัวอย่างเหล่านี้ ล้วนไม่พ้นคำพยากรณ์ที่ทรงทำนาย บอกแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า จะเกิดขึ้นในอนาคตของสมัยโน้น ก็คือ สมัยนี้หรือปัจจุบันนั่นเอง


    อย่างไรก็ดี ก็ยังมีพุทธทำนาย เพิ่มเติมที่มีผู้ถอดความจากศิลาจารึก เชตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย ความว่า พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า “....เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้น จะพบกับความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนเวียนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ คนในสมัยนั้น(ปัจจุบัน) จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัย และคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น...ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง กล่าวคำเท็จ ไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติชอบ กลับไม่มีคนเคารพยำเกรง พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศ มีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง


    เมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ (น่าจะหมายถึงพระศรีอาริยเมตตไตรย์)....จะเสด็จมาเสริมสร้างพระศาสนา ของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปอีก 5,000 พระวรรษา…คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับเป็นกรรมของสัตว์โลกที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศีลห้าประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่หลงมัวเมาในอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคง จึงจะพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล” นี่คือพุทธทำนายที่ทรงตรัสไว้ กว่า 2500 ปีล่วงมาแล้ว ส่วนใครจะเชื่อ จะปฏิบัติหรือไม่อย่างไร ก็คงเป็นไปตามกรรม ของแต่ละคนดังพระพุทธองค์ว่าไว้
     
  2. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    เมื่อวานได้โอนเงินทำบุญกับทุนนิธิฯจำนวน 12660บาท โดยเงินจำนวนนี้ได้รวบรวมจากผู้มีจิตศรัทธาหลายท่าน ขอโมทนากับทุกๆท่านด้วยครับ
     
  3. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    วันนี้ขอนำเสนอการ์ตูนเสริมข้อคิดให้กับทุก ๆ ท่านได้อ่านกันครับ

    [​IMG]

    ขอขอบคุณ
    การ์ตูนธรรมะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • monkey1.jpg
      monkey1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      345.5 KB
      เปิดดู:
      702
  4. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • monkey2.jpg
      monkey2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      288.6 KB
      เปิดดู:
      542
  5. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • monkey3.jpg
      monkey3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      282.8 KB
      เปิดดู:
      524
  6. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • monkey4.jpg
      monkey4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      214.8 KB
      เปิดดู:
      518
  7. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ไม่เป็นไรครับหากช่วยเหลือได้ยินดีเสมอครับ:VO
     
  8. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    วันนี้เวลา 13.48น ผมได้ฝากเงินจำนวน 400บาทเพื่อทำบุญสงฆ์อาพาธ ประจำเดือนพฤษภาคม 53 ขอบคุณครับ
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระจิ๋วแต่แจ๋วของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ใครหาเจอในสนาม นับว่าเป็นวาสนาแท้

    ข้อความจากกระทู้

    พอดีวันนี้ว่างๆ เลยนำพระที่ติดตัวตลอดเวลาอีกองค์
    ลงให้ชมเป็นพระจตุพร ของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง
    จ.เชียงใหม่ สร้างโดยศิษย์ยุคแรกของหลวงปู่แหวน คุณกมลฤทธิ์ ฤทธิสิงห์
    ผู้สร้างรูป หล่อพับเพียบรุ่นแรกของหลวงปู่แหวน....

    พระนี้ที่จริงท่านผู้สร้าง ยังได้นำไปถวายหลวงปู่ชอบ ฐานสโม กับหลวงปู่ขาว อนาลโย
    หลางปู่คำดี ปภาโส อธิษฐานจิตอีกด้วย....

    ใครมีพระจิ๋วแต่แจ๋วของพ่อแม่ครูบา อาจารย์สายหลวงปู่มั่นนำมา
    แบ่งกันชมได้นะครับ....

    [​IMG]


    ด้านหลังครับ...


    [​IMG]



    ขอขอบคุณข้อความของคุณ pawat จากเวบ
    สวนขลังดอทคอม
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ขออนุโมทนาและสาธุบุญในทานมัยครั้งนี้พร้อมอวยพรวันเกิดย้อนหลังให้ด้วยครับ "นางฟ้า" ขอให้มีความสุขมากๆ และอย่าลืมมาเยี่ยมกระทู้นี้อีกน๊ะครับ

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=m78l28tcIE0&feature=related"]YouTube - Cat singing Happy Birthday song[/ame]
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ขอขอบคุณมากครับ และขอให้ผลทานครั้งนี้จับหุ้นตัวไหน ก็ให้ได้กำไรไม่ต่ำกว่าหมื่นบาทโดยเร็วพลันด้วยครับ ฝากเพลงในตำนานที่สุดแสนเพลิดเพลินและให้ความรู้ในการเล่นหุ้นตอบแทนในการบริจาคครับ เพลงนี้หายากนา...

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=Wuq-t8EZ42s"]YouTube - เพลงนี้.. สำหรับนักเล่นหุ้น![/ame]
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    คำสอนจาก องค์พุทธภูมิแห่งวัดสะแก อยุธยา

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    รู้จักหลวงปู่ดู่ใน ๕ นาที

    เพื่อ ให้ผู้ที่ต้องการรู้จักหลวงปู่ดู่ในภาพรวมโดยใช้เวลาอันสั้น ก่อนที่จะเข้าไปศึกษาชีวประวัติและคำสอนโดยละเอียดของท่านจากหนังสือตามรอย ธรรม ย้ำรอยครู หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ในภายหลัง โดยสรุปย่ออยู่ภายใต้ ๒ หัวข้อ คือ ๑. หลวงปู่ดู่คือใคร และ ๒. ปฏิปทาการสอนของท่านเป็นอย่างไร

    ๑. หลวงปู่ดู่คือใคร

    · หลวงปู่ท่านมีชื่อทางโลกว่า “ดู่” มีฉายาทางพระว่า“พรหมปัญโญ“ ท่านเป็นคนจังหวัดอยุธยาโดยกำเนิด เมื่ออุปสมบทแล้ว แทบจะตลอดชีวิตของท่าน ท่านจำพรรษาอยู่แต่ที่วัดสะแก อยุธยา กระทั่งมรณภาพ ท่านมีอายุอยู่ในช่วง พ.ศ. ๒๔๔๗ – ๒๕๓๓ (อายุ ๘๖ ปี) ซึ่งพระเถระที่ร่วมสมัยกับท่านก็ได้แก่ลูกศิษย์ชั้นต้นของหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถร เช่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน หลวงปู่ฝั้น และหลวงปู่สิม เป็นต้น

    · หลวง ปู่มีรูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่ สมส่วน (ไม่อ้วน ไม่ผอม) และจัดว่าเป็นพระเถระที่มีผิวพรรณผ่องใสมาก ท่านมีอารมณ์แจ่มใส มีอารมณ์ขัน รวมทั้งมีปฏิสันถารที่ดีกับผู้ที่ไปนมัสการท่านทุกชนชั้นเสมอหน้ากันหมด

    · หลวง ปู่ท่านเป็นสุดยอดของผู้มีขันติ ท่านนั่งบนไม้กระดานแข็ง ๆ สงเคราะห์และสอนธรรมญาติโยมทุกวันตั้งแต่เช้ามืดกระทั่งดึกดื่นโดยไม่เคยปริ ปากบ่น นอกจากนี้ท่านเป็นภิกษุที่มักน้อยสันโดษในปัจจัย ๔ อย่างยิ่งยวด อีกทั้งยังไม่นิยมงานก่อสร้างใด ๆ ปัจจัยที่คนทำบุญกับท่าน ท่านให้ลูกศิษย์รวบรวมส่งเข้าเป็นกองกลางของวัดทุกวัน

    · หลวง ปู่ไม่ใช่พระเกจิ เพราะท่านไม่เคยเดินสายไปงานพุทธาภิเษกที่นั่นที่นี่ จะมีสงเคราะห์ให้ก็เฉพาะที่กุฏิท่าน เพราะท่านกล่าวว่าดีกว่าสวดมนต์ทิ้งเปล่า ๆ อีกทั้งท่านยังสร้างพระไม่เหมือนใคร คือ เอาไว้กำนั่งสมาธิให้จิตรวมได้เร็วขึ้น

    ๒. ปฏิปทาการสอนของท่านเป็นอย่างไร

    · หลวง ปู่สอนเน้นหนักในการปฏิบัติตามแบบของพระพุทธเจ้าคือหลักแห่งศีล สมาธิ และปัญญา ท่านไม่เคยพูดถึงแนวทางการปฏิบัติแหวกแนวอะไรในทำนองทางลัดตรง หรือธรรมะนอกพระไตรปิฎก เพราะท่านสอนให้กตัญญูและซื่อตรงต่อพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์

    · หลวง ปู่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย และระมัดระวังในเรื่องการอวดอุตริมนุษธรรม ไม่ว่าจะเป็นการรู้การเห็นภายใน หรือการรู้วาระจิต ภูมิจิตภูมิธรรมเหล่านี้ของท่าน ลูกศิษย์ต้องสังเกตเอาเอง เพราะท่านจะใช้อย่างแนบเนียนมาก นอกจากนี้ท่านยังเน้นการสอนด้วยการทำให้ดู มากกว่าคำพูดคำสอน

    · หลวง ปู่สอนให้ปฏิบัติเพื่อให้มีตัวเองเป็นที่พึ่ง ท่านไม่ให้ติดตัวครูอาจารย์หรือตัวท่าน แต่ให้ติดที่หลักการหรือแก่นของพระศาสนาแทน คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ (หมาย ถึงพุทธัง ธัมมัง สังฆังฯ ที่เป็นภาพรวมหรือที่เป็นตัวสภาวะ) ในทางตรงกันข้าม ท่านก็แสดงให้เห็นด้วยเช่นกันว่าแม้ตัวท่านก็ไม่ยึดติดในตัวศิษย์

    · คำสอนที่หลวงปู่พูดสอนบ่อยครั้ง คือ “ของดีอยู่ที่ตัวเรา ของไม่ดีก็อยู่ที่ตัวเรา ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต” และ “เกิด แก่ เจ็บ ตาย เน้อ (ให้พากันพิจารณา)” รวมทั้ง “ภาวนาให้ได้ทุกอิริยาบท ยืน เดิน นั่ง นอน "ไม่มีเวลาเริ่ม เวลาเลิก”




    ขอขอบคุณอย่างสูงสำหรับภาพและคำสอนประกอบจากเวบ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2010
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=2 cellSpacing=0 borderColor=white cellPadding=3 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>
    <!--Last Update : 7 เมษายน 2553 11:07:00 น.-->๐ พ่อสอนลูกสาว


    <!-- Main -->
    ในตอนดึกของคืนวันหนึ่ง... พ่อเรียกลูกสาวเข้าไปพบแล้วบอกลูกว่า
    พ่อมีอะไรจะให้ลูกดูซึ่งสำคัญมาก
    ว่าแล้วพ่อก็หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากลิ้นชักแล้วเอามือกำไว้

    “อยากรู้มั้ยว่ามีอะไรในมือพ่อ”

    ลูกพยักหน้า

    “ถ้าอยากรู้ ต้องเอามือของลูกเขกพื้น 3 ทีก่อน”

    ลูกสาวทำตาม...

    พ่อว่า “ไม่พอ ต้อง 5 ที” แล้วเปลี่ยนเป็น “10 ที”
    แล้วอ้างว่า “ยังเขกพื้นไม่แรงพอ เขกใหม่อีก 10 ที”

    จนลูกอุทธรณ์ แต่พ่อก็ยังไม่ยอมแบมือให้ลูกสาวดู

    “ลูกต้องเขกแรงๆ 10 ทีก่อน จึงจะให้ดู”

    ความต้องการอยากดู ทำให้ลูกสาวทนเจ็บ ยอมเขกพื้น 10 ทีโดยดี

    เมื่อพ่อแบมือออกมา ในกำมือพ่อ มันก็คือ เหรียญ 10 บาทธรรมดานี่เอง

    พ่อมองหน้าลูกสาวด้วยความรัก พร้อมกับอมยิ้ม
    แล้วกำเหรียญ 10 บาทในมือตามเดิม และถามลูกว่า

    ”อยากดูอีกมั้ย ถ้าอยากดูต้องเขกพื้น 10 ที”

    ลูกสาวหน้าเบ้ ร้องว่า “หนูรู้แล้ว ไม่อยากดูแล้วละค่ะ”

    พ่อพูดว่า “เอ้า... เขกพื้น 3 ทีก็ได้ …เอ้า งั้นทีเดียว ก็ได้”

    ลูกสาวหัวเราะ พร้อมบอกว่า

    “ก็ทราบแล้วนี่คะ ไม่อยากดูอีกแล้วค่ะ เบื่อ”


    พ่อต่อรองอีกว่า

    “ให้ดูฟรีๆ ก็ได้นะ” แล้วก็แบมือออก

    แต่ลูกสาวก็ดูเหรียญในมือพ่ออย่างไม่สนใจ


    พ่อยิ้มอารมณ์ดี แล้วบอกลูกว่า...

    “ นี่นะลูก อะไรๆที่เป็นความลับ คนมักจะยอมทำทุกอย่างเพื่อจะให้ได้ดู
    ให้สมปรารถนา อยากรู้ อยากเห็น อยากทดลองทำ
    แต่เมื่อสมปรารถนาแล้ว ได้ดูแล้ว ก็มักจะเบื่อ ให้ดูฟรีๆ ยังไม่อยากจะดูเลย
    สิ่งที่พึงหวงแหนของลูกผู้หญิงก็เหมือนกันนะ นั่นล่ะ เป็นสิ่งที่มีค่ามาก
    ถ้าให้ใครรู้ก่อนเวลาอันควร ก็จะไม่มีค่าอะไร ไม่ต่างอะไรกับเหรียญ 10
    บาทที่พ่อให้ลูกดูฟรีหรอกนะลูก”


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=l2omance-dawn&month=04-2010&date=07&group=9&gblog=34</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. adis.

    adis. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +54
    วันที่ 1 พ.ค. ผมได้โอนเงินทำบุญที่ทุนนิธิ 1,500 นะครับ โทรบอก นายสติแล้วแต่ติดต่อไม่ได้เลยมาแจ้งให้ทราบในกระทู้นี้ครับ ไม่ได้ไปที่ โรงพยาบาลสงฆ์มา 2 เดือนแล้ว ปลายเดือนนี้คงได้มีโอกาสไปร่วมทำบุญด้วยกันอีกนะครับ
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]


    ใครที่ยังไม่มีพื้นฐานการ ปฏิบัติกรรมฐานมาก่อน หลวงปู่ดู่ท่านก็ให้บริกรรมภาวนา ไตรสรณคมณ์
    ( พุทธัง สรณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ, สังฆัง สรณัง คัจฉามิ)

    แต่ หากมีพื้นฐานมาแล้ว ท่านก็มักจะให้ปฏิบัติอย่างเดิมต่อไป
    ตัวอย่างเช่น มีเด็กนักศึกษาคนหนึ่งไปกราบท่านครั้งแรก
    ท่านถามว่า "เคยภาวนาไหม ?"
    เขา ตอบว่า "เคยครับ โดยใช้คำบริกรรมภาวนาว่า สัมมา อะระหัง ครับ"
    หลวงปู่ กล่าวว่า "ใช้ได้ ทำต่อไป หลวงพ่อสดท่านดี"

    เท่าที่สัมผัสกับท่าน ยังไม่เคยเห็นหลวงปู่บังคับ หรือ โน้มน้าวให้ใคร
    ต้องเปลี่ยนกรรมฐาน เดิม มาบริกรรมไตรสรณคมน์
    ใครจะคุ้นเคยกับการดูลม ก็ดูลม
    ใครชอบดู การเคลื่อนไหวของกาย ก็ทำไป
    ขอให้อยู่ในแบบที่พระพุทธเจ้าวางไว้ เป็นใช้ได้ทั้งนั้น

    จุดใหญ่ที่ท่านเน้นก็คือ การทำจริง ทำให้สม่ำเสมอ

    ทำให้ใจเราได้สัมผัสปฏิเวธ คือ ธรรมอันเป็นผลแห่งการปฏิบัติ
    เช่น ความสงบ ความปีติ และความสลดสังเวชจากการพิจารณา จนกระทั่งได้น้ำตาร่วง เป็นต้น

    ไม่ อย่างนั้น ทำไป ๆ มันจะท้อแท้เบื่อหน่าย เพราะไม่มีผลความคืบหน้ามาเป็นกำลังใจให้กับเจ้าของ
    ดังนั้น ท่านจึง เน้นความสม่ำเสมอในการปฏิบัติ ดังที่ว่า "สีไม้ให้เกิดไฟ"

    แต่ อย่างไรก็ดี หลวงปู่ท่านให้เราขวนขวายสร้างเหตุ คือ ให้ขยันปฏิบัตินั่นเอง
    ส่วนผล จะสงบเมื่อใร จะปีติ จะเกิดสลดสังเวชใจเมื่อไร ไม่ต้องคาดหวัง ไม่ต้องกังวล

    ให้มั่น ใจว่า หากได้ลงมือสร้างเหตุที่ถูกต้อง ผลย่อมตามมาเอง

    อย่างน้อยที่ สุด ก็บอกกับตัวเองเพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเอง (ในระยะแรกที่ผลการปฏิบัติยังไม่ปรากฏชัด) ว่า
    "ลูกขอปฏิบัติเพื่อ บูชาคุณพระพุทธเจ้า บูชาคุณพระธรรม บูชาคุณครูบาอาจารย์ มีหลวงปู่ดู่ หลวงปู่ทวด เป็นที่สุดนี้" แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเรื่อยไป



    ***เรียบเรียงจากบทความของ คุณสิทธิ์
    ที่ มา Luangpudu.com / Luangpordu.com
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]


    ตัวอย่างแนวทางการปฏิบัติ สำหรับผู้เริ่มต้น

    ๑. เริ่มต้นด้วยการกล่าวคำบูชาพระ สมาทานศีล (เปลี่ยนศีลข้อกาเมสุมิจฉาจาร เป็น อะพรัหมะจะริยาฯ เพื่อเตรียมจิตก่อนอธิษฐานบวชจิต) จากนั้น ก็กล่าวคำอาราธนากรรมฐาน ว่า “พุทธัง อาราธะนัง กะโรมิ, ธัมมัง อาราธะนัง กะโรมิ,
    สังฆัง อาราธะนัง กะโรมิ” เป็นต้น

    ๒. เบื้องต้น ยังไม่ต้องรีบร้อนบริกรรมภาวนา หรือ นึกนิมิตใดๆ หากแต่ให้ปรับท่านั่งให้เข้าเป็นที่สบาย โดยตั้งกายให้ตรง ผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อทุกส่วน สูดลมหายใจลึกๆ สักสองสามครั้ง พร้อมกับทำจิตใจของเราให้ปลอดโปร่งโล่งว่าง สร้างฉันทะที่จะปฏิบัติกรรมฐาน ระลึกว่าเรากำลังใช้เวลาที่มีคุณค่าแก่ชีวิตคือ การพัฒนาจิตใจ ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่ากว่าสมบัติอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย หรือทรัพย์สมบัติ

    ๓. กล่าวอาราธนาขอให้พระพุทธเจ้า หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงปู่เกษม ได้โปรดมาเป็นผู้นำและอุปการะจิตในการปฏิบัติธรรมครั้งนี้ จากนั้น ก็น้อมจิตกราบพระว่า พุทธังวันทามิ ธัมมังวันทามิ สังฆังวันทามิ

    ๔. สำรวจอารมณ์ที่ค้างคาอยู่ในใจเรา แล้วชำระมันออกไป ทั้งเรื่องน่าสนุกเพลิดเพลิน หรือ เรื่องชวนให้ขุ่นมัวต่าง ๆ ตลอดถึงความง่วงเหงาหาวนอน และความฟุ้งซ่านรำคาญใจต่าง ๆ รวมทั้งปล่อยวางความลังเลสงสัยเสียก่อน

    ๕. เมื่อชำระนิวรณ์อันเป็นอุปสรรคของการเจริญสมาธิออกไปในระดับหนึ่งแล้ว กระทั่งรู้สึก ปลอดโปร่ง โล่ง ว่าง
    ตามสมควร จึงค่อยบริกรรมภาวนาในใจว่า “พุทธัง สรณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ, สังฆัง สรณัง คัจฉามิ”

    ๖. มีหลักอยู่ว่า ต้องบริกรรมภาวนาด้วยใจที่สบายๆ (ยิ้มน้อยๆ ในดวงใจ) ไม่เคร่งเครียด หรือ จี้ จ้อง บังคับใจ
    จนเกินไป

    ๗. ทำความรู้สึกว่า ร่างกายของเราโปร่ง กระทั่งว่าลมที่พัดผ่านร่างกายเราคล้ายๆกับว่า จะทะลุผ่านร่างของเราออกไปได้

    ๘. ให้มีจิตยินดีในทุกๆ คำบริกรรมภาวนา ว่าทุกๆ คำบริกรรมภาวนา จะกลั่นจิตของเราให้ใสสว่างขึ้นๆ

    ๙. เอาจิตที่เป็นสมาธิพอประมาณนี้มาพิจารณาร่างกายว่า มันเป็นก้อนทุกข์ ยามจะแก่ จะเจ็บ จะตาย เราก็ไม่อาจบังคับบัญชา หรือ ห้ามปรามมันได้ ถึงแม้ว่าเราจะดูแลมันดีอย่างไร มันก็จะทรยศเรา มันจะไม่เชื่อฟังเรา ให้พิจารณาให้ละเอียดลงไปซ้ำๆ จนกว่าจิตจะเห็นและยอมรับความจริง เมื่อจิตยอมรับจิตก็จะคลายจากความยึดมั่นถือมั่นว่า กายนี้เป็นเราหรือเป็นของเรา (การปฏิบัติกรรมฐานครั้งต่อไป ก็อาจเปลี่ยนเป็นการพิจารณาอย่างอื่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น หรือ พิจารณาโดยรวมว่าร่างกายเราหรือคนอื่นก็สักแต่ว่าเป็นโครงกระดูก แม้ภายนอกจะดูแตกต่าง มีทั้งที่ผิวพรรณงาม หรือ ทรามอย่างไร แต่เบื้องลึกภายในก็ไม่แตกต่างกันในความเป็นกระดูก ที่ไม่น่าดูน่าชม เสมอกันหมด ให้พิจารณาให้จิตยอมรับความจริง เพื่อให้คลายความหลงยึดในร่างกาย ฯลฯ)

    ๑๐. เมื่อรู้สึกว่าจิตเริ่มขาดกำลัง หรือ ความแจ่มชัด ก็ให้หันกลับมาบริกรรมภาวนาเพื่อสร้างสมาธิขึ้นอีก

    ๑๑. ในบางครั้งที่จิตขาดกำลัง หรือ ขาดศรัทธา ก็ให้นึกนิมิต (นอกเหนือจากคำบริกรรมภาวนา) เช่น นึกนิมิต
    หลวงปู่ดู่ อยู่เบื้องหน้าเรา นึกง่ายๆ สบายๆ ให้คำบริกรรมดังก้องกังวานมาจากองค์นิมิตนั้น ทำไปเรื่อยๆ
    เวลาเผลอสติ ไปคิดนึกเรื่องอื่น ก็พยายามมีสติระลึกรู้เท่าทัน ดึงจิตกลับมาอยู่ในองค์บริกรรมภาวนาดังเดิม

    ๑๒. เมื่อจิตมีกำลัง หรือ รู้สึกถึงปีติและความสว่าง ก็ให้พิจารณาทบทวนในเรื่องกาย หรือ เรื่องความตาย หรือ
    เรื่องความพลัดพราก ฯลฯ หรือเรื่องอื่นใด โดยมีหลักว่า ต้องอยู่ในกรอบของเรื่อง ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์
    และ ความที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนที่เที่ยงแท้แน่นอน (อนัตตา)

    ๑๓. ก่อนจะเลิก (หากจิตยังไม่รวม หรือ ไม่โปร่งเบา หรือ ไม่สว่าง ก็ควรเพียรรวมจิตอีกครั้ง โดยให้เลิกตอนที่จิตดีที่สุด) จากนั้นให้อาราธนาพระเข้าตัวว่า สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพะลัง
    อะระหัน ตานัญ จะเต เชนะรักขัง พันธามิสัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมังอธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ (นึกอาราธนาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาไว้ที่จิตเรา หรือ อาจจะนึกเป็นนิมิตองค์พระมาตั้งไว้ในตัวเรา

    ๑๔. สุดท้าย ให้นึกแผ่เมตตา โดยนึกเป็นแสงสว่างออกจากใจเรา พร้อมๆ กับว่า พุทธัง อนันตัง ธัมมัง จักรวาลัง
    สังฆัง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ โดยน้อมนึกถึงบุญอันมากมายไม่มีประมาณของพระพุทธเจ้า และ พระอริยสงฆ์
    ทั้ง หลาย อีกทั้งบุญกุศลที่เราสั่งสมมาดีแล้ว รวมทั้งบุญจากการภาวนาในครั้งนี้ ไปให้กับเทพผู้ปกปักรักษาเรา
    ให้กับเจ้ากรรมนายเวร ให้กับบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ผีเหย้าผีเรือน พระภูมิเจ้าที่ เทพพรหมทั้งหลาย
    แลสรรพ สัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ ท่านทั้งหลายที่ยังทุกข์ ขอจงพ้นทุกข์ ท่านทั้งหลายที่มีความสุขอยู่แล้ว ขอจงมีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป

    หมาย เหตุ การอาราธนาพระเข้าตัว (บทสัพเพฯ) ก็เพื่อว่าเมื่อเวลาเลิกนั่งสมาธิไปแล้ว จะได้ระมัดระวังรักษา
    องค์พระใน ตัว โดยการสำรวมระวังรักษา กาย วาจา ใจ ตลอดวัน ซึ่งการสำรวมระวัง หรือที่เรียกว่า อินทรียสังวร นี้
    จะช่วยให้การปฏิบัติกรรมฐานครั้งต่อๆ ไป จิตจะเข้าถึงความสงบได้โดยง่าย


    ***คัดลอกบางตอนจากบทความของ คุณสิทธิ์

    ที่ มา Luangpudu.com / Luangpordu.com
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    การปฏิบัติ ถ้าอยากให้เป็นเร็วๆ มันก็ไม่เป็น
    หรือ ไม่อยากให้เป็น มันก็ประมาทเสีย ไม่เป็นอีกเหมือนกัน
    อยากเป็นก็ไม่ว่า ไม่อยากเป็นก็ไม่ว่า
    ทำใจให้เป็นกลางๆ ตั้งใจให้แน่วแน่ในกัมมัฏฐานที่เรายึดมั่นอยู่นั้น
    แล้วภาวนาเรื่อย ไป...

    เหมือนกับเรากินข้าว ไม่ต้องอยากให้มันอิ่ม
    ค่อยๆ กินไป มันก็อิ่มเอง
    ภาวนาก็เช่นกัน ไม่ต้องไปคาดหวังให้มันสงบ
    หน้าที่ ของเราคือ ภาวนาไป
    ก็จะถึงของดีของวิเศษในตัวเรา

    แล้วจะ รู้ชัดขึ้นมาว่าอะไรเป็นอะไร
    ให้หมั่นทำเรื่อยไป


    [​IMG]
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    ใน บรรดาการทำบุญมากมายหลายอย่างหลายทางนั้น ความพร้อมของและผู้ให้และผู้รับก็นับเป็นปัจจัยที่สำคัญ บ่อยครั้งหากผู้รับอยู่ในภพภูมิที่ต่ำมากก็ยากจะรับบุญได้ แม้ว่าผู้ให้จะเป็นพระอริยเจ้าก็ตาม หรือบางครั้งบุคคลผู้รับไปเกิดในภพภูมิมนุษย์นี้เองก็จะไม่ได้รับชัดเจน อย่างกรณีเป็นเทวดาหรือเปรตชนิดที่มีเศษกรรมเบาบาง

    แต่มีบุญอย่างหนึ่งที่หลวงปู่กล่าวรับรองว่าบุญนั้น ถึงพ่อแม่ทันที ก็คือบุญจากการอุปสมบทของผู้ที่เป็นลูก ท่านว่าแม้พ่อแม่ตายไปแล้วจะเกิดในนรก อานิสงส์ผลบุญจากพระลูกชายที่ตั้งใจบวชให้บุพการี ก็จะส่งผลเป็นผ้าจีวรไปดึงพ่อแม่ให้พ้นจากนรกได้

    ดังนั้น ประเพณีการบวชของชายไทย จึงเป็นวัฒนธรรมที่ควรอนุรักษ์อย่างยิ่ง

    ขอขอบคุณบท ความจาก พี่สิทธิ์
    ที่มา http://luangpordu.com
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สุดยอดพระเครื่องของหลวงปู่ดู่

    [​IMG]


    คาดว่าคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ปรารถนาจะรู้
    รวมทั้ง ปรารถนาที่อยากครอบครอง พระเครื่องที่ได้ชื่อว่า เป็นสุดยอดพระเครื่องของหลวงปู่ดู่
    แต่ทว่า หลวงปู่ก็ไม่เคยบอกยืนยันว่า พระรุ่นใดของท่านที่ท่านรับรองว่า...สุดยอด
    เพียง แต่กล่าวในเชิง...ให้รักษาไว้ให้ดี ๆ
    เป็นต้นว่า


    ๑. เหรียญ เสมารูปเหมือนหลวงปู่
    ที่สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ด้านหลังมีข้อความว่า รุ่นปฏิบัติธรรม เป็นเหรียญทองแดงชุบทองแดง
    จึง แลดูสุกแวววาว ท่านว่าตั้งแต่สร้างพระมา เหรียญรุ่นนี้แข็งที่สุด (เป็นคำพูดที่นิยมใช้ที่วัดสะแก
    หมายความว่า... แรงดี ขึ้นดี มีพลังมาก) จะไม่แรงยังไงได้ ก็ในเมื่อผู้สร้าง แทบจะใช้แต่เนื้อชนวนล้วน ๆ
    ที่สำคัญคือ เจตนาในการสร้างก็บริสุทธิ์ ไม่มีการจำหน่าย กะว่าจะแจกฟรีสำหรับผู้ปฏิบัติภาวนา
    ท่านจึงตั้งใจเต็มที่ แถมเหรียญส่วนใหญ่อยู่ในกุฏิท่านตั้งราว ๘ ปี


    ๒. เหรียญพระ พรหม ทองเหลือง-ทองแดง (ที่สร้างด้วยกรรมวิธีโลหะฉีด) รวมทั้ง แหวน ทุกรุ่น
    หลวงปู่จะพูดถามลูกศิษย์บางคนที่ไม่สัดทัดสะสมวัตถุมงคล ให้ไปหาเก็บเอาไว้ เพราะเป็นของสำคัญ

    ๓. พระพรหมผง
    อัน นี้อาจเป็นเพราะพ้องกับชื่อท่าน คนส่วนใหญ่ก็รู้สึกว่า น่าจะเป็นสัญลักษณ์ หรือ รูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์
    หลวงปู่ท่านก็ย่อมประกันคุณภาพอย่าง เต็มที่

    ๔. เหรียญครูบาอาจารย์ หรือ พระเถระผู้มีพระคุณต่อหลวงปู่
    เช่น หลวงพ่อกลั่น หลวงพ่อใหญ่ (พระโบราณคณิศร) หลวงปู่จะตั้งใจอธิษฐานจิตเพื่อบูชาคุณครูบาอาจารย์
    ท่าน เคยกล่าวท้าว่า ถ้าไม่ดีจริง...ก็เอามาคืนท่านได้

    ๕. เหรียญ ยันต์ดวง
    ซึ่งด้านหน้ามีรูปครึ่งองค์หลวงปู่ ซึ่งนับว่าใกล้เคียงท่านมาก แล้วก็ด้านหลังซึ่งบรรจุดวงวันเกิดของหลวงปู่ ที่ลูกศิษย์เชื่อว่า หากดวงเราไม่ดี หากได้บูชาดวงหลวงปู่ ก็จะช่วยให้หนักกลายเป็นเบาได้

    ๖. ตะกรุดต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เรียกว่า ตะกรุดจักรพรรดิ
    ซึ่งพระลูกศิษย์ ท่านบางรูปกล่าวว่า ต้องเป็นเนื้อทองคำเท่านั้น และ ต้องร้อยเรียงอักขระครบถ้วนตามตำราเท่านั้น มิใช่อะไร ๆ ก็จะเป็นจักรพรรดิเสียหมด

    ๗. เหรียญหลวงพ่อทวดรุ่นเปิดโลก
    เหรียญ รุ่นนี้ท่านก็มิได้ว่าดีที่สุด เป็นแต่ว่าท่านกล่าวว่า ท่านเสกให้แบบเปิดสามโลก
    เหรียญมาดังมากก็เพราะ มีเรื่องราวเกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่เกษม ผ่านทางพระภิกษุ (เพื่อนของคุณรณธรรม) ว่า เหรียญรุ่นนี้กันนิวเคลียร์ได้ ประกอบกับมีหลายท่านกล่าวว่า เหรียญนี้เป็นเหรียญหลวงปู่ทวด
    ที่สวยงาม ที่สุดรุ่นหนึ่งทีเดียว

    นอกจากนี้ ยังมีพระเครื่องรุ่นอื่น ๆ อีกจำนวนมาก ที่เชื่อว่าท่านคงกล่าวกับต่างคณะต่างวาระ จนสามารถสรุปได้ว่า
    "ไม่ สามารถสรุปว่า พระเครื่องรุ่นใดที่เป็นสุดยอด"

    เพราะหลวงปู่ท่าน ตั้งใจอธิษฐานจิตให้ทั้งนั้น จะมีความแตกต่างก็แค่รายละเอียดปลีกย่อย
    อัน เกิดจากอารมณ์จิต และ เจตนาของท่านในขณะอธิษฐานจิต
    เพราะสิ่งที่ท่านเคย กล่าวรับรองไว้ก็คือ
    พระทุกรุ่นของท่าน ท่านอธิษฐานไว้ครอบจักรวาล แล้วแต่ผู้ใช้จะอธิษฐานเอา

    มีเรื่องขำ ๆ เกี่ยวกับความลังเลใจของลูกศิษย์ที่คงมีพระเครื่องของท่านมากไป
    จนไม่ รู้จะอัญเชิญองค์ใดมาห้อยติดตัวดี
    ในเมื่อมองไปทางองค์นั้นก็ว่าสุดยอด องค์นี้ก็เมตตาดี องค์โน้นก็แคล้วคลาดสูง
    สุดท้ายก็เลยใช้วิธีเอาทุก องค์มาใส่รวมในถุงย่อม ๆ แล้วห้อยคอทั้งถุง เป็นอันจบเรื่อง
    เพียงแต่ เวลาก้มกราบพระ หรือ เดินไปไหน ก็จะมีเสียงขลุกขลัก ๆ ไปตลอด ก็น่ารักไปอีกแบบ

    ในเมื่อพระของท่าน แทบจะไม่แตกต่างด้านพุทธคุณ
    ดัง นั้น ความแตกต่างที่ปรากฏจึงเป็นแต่เรื่องของค่านิยมเท่านั้น
    ซึ่งอาจมา จากความชอบส่วนตัวของคนจำนวนหนึ่ง หรือ ไม่ก็เป็นผลมาจากกระบวนการเก็งกำไร

    แต่ ที่สรุปได้แน่ ๆ ว่า ทำไมหลวงปู่จึงไม่ยอมกล่าวรับรองว่า พระของท่านรุ่นใดที่เป็นเลิศที่สุด
    ก็เพราะจะไปขัดกับสิ่งที่ท่านกล่าว รับรองไว้เสมอ ๆ ว่า
    พระที่เลิศสุด ประเสริฐสุดก็คือ "พระเก่าพระแท้ในตัวเอง" นั่นเอง




    ***จากบทความของ คุณสิทธิ์
    ที่มา Luangpudu.com / Luangpordu.com
     
  20. redboony

    redboony เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +173
    ได้ส่งร่วม ทำบุญ £40 ค่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...