ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,292
    การสวดมนต์


    การสวดมนต์ถือเป็นการทำบุญด้วยหรือเปล่า ก็ได้อธิบายให้พวกเขาฟังว่า จริงๆ แล้วในบุญกิริยาวัตถุ 10 อย่าง ที่พระศาสดาทรงบัญญัติวิธีทำบุญเอาไว้ 10 ประการ 1 ใน 10 ประการก็คือการภาวนา เราอาจจะเข้าใจว่าการภาวนาก็คือการทำสมาธิ นั่งหลับตา ถือว่าเป็นการทำบุญ จริงๆแล้วการสวดมนต์ก็คือการภาวนา จัดได้ว่าเป็นการภาวนาชนิดหนึ่ง แต่ต้องมีข้อแม้ว่า เราเจริญ เราสวด เราสาธยายมันด้วยหัวใจและชีวิตวิญญาณของเราเอง

    ถ้าเราสวดมันด้วยหัวใจ ด้วยชีวิตวิญญาณ จนกระทั่งทำให้จิตของเราไม่ไปข้องแวะกับอกุศลทั้งปวง ทำให้จิตของเรารวบรวมอยู่ในคำสวดมนต์ เสียงสวดมนต์ และองค์ภาวนา ในการเจริญหรือสาธยายนั้นๆ ก็คือว่า เป็นวิธีทำบุญ 1 ใน 10 อย่างของพระพุทธเจ้าได้เหมือนกัน แต่ถ้าหากเราสวด เราสาธยาย แล้วเราเจริญพระพุทธมนต์บทหนึ่งบทใด โดยไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ ไม่ให้ใจ ไม่ตั้งใจ ถึงจะสวดจนกระทั่งหมดเล่ม จบทุกบท เราก็จะไม่ได้อะไร

    เจตนาที่พระศาสดาทรงบัญญัติบทสวด บทสาธยาย หรือว่า เกจิอาจารย์ พระเถรานุเถระแต่อดีตได้รจนาสร้างสรรบทสวดมนต์ทั้งหลายขึ้นมา ก็เพียงเพื่อจะยกใจของเราให้รวมกัน โดยไม่ปล่อยให้จิตวิญญาณมันเลื่อนลอยหลุดออกไป ฝักใฝ่อยู่ในทางแห่งความต่ำ เสื่อมโทรม เรียกว่าเป็นอกุศลจิต เพื่อจะยกระดับจิตของตนให้เป็นบุคคลที่สูง จากฝุ่นละออง ผงธุลี และความสับสน กลัดกลุ้มวุ่นวาย ความไม่เอาเรื่อง ไม่เอาราว และไม่เอาอะไรทั้งสิ้น จะเอาอย่างเดียวก็คือสิ่งที่ตัวเองต้องการ และก็ทะยานอยาก เพราะฉะนั้น การสวดมนต์ก็คือ การทำบุญ นอกจากจะเป็นการทำบุญ 1 ใน 10 อย่างแล้ว เขามีคำถามๆ ต่อไปว่า เมื่อหลวงปู่พูดว่า การสวดมนต์ก็คือการทำบุญ มีวงเล็บและข้อแม้ว่าต้องสวดด้วยหัวใจแล้ว

    อานิสงค์ของการสวดมนต์ด้วยหัวใจ จะมีเท่ากับการบริจาคทานใส่บาตรถวายสังฆทานหรือไม่ ก็บอกเขาไปว่า ถ้าเราสวดมันด้วยหัวใจ ด้วยชีวิตวิญญาณ ด้วยการภาวนาจริงๆแล้วเราดื่มด่ำถึงกลิ่นไอ และรสชาติแห่งการภาวนานั้นๆ รับผลจากการภาวนาเช่นนั้น ชนิดนั้นจริงๆ ละก็ แน่นอน อานิสงค์ย่อมเหนือและมากกว่า การถวายทานทั้งปวงแต่ถ้าเราสวดมันแค่ริมฝีปาก และฟองน้ำลายที่กระดกบนปลายลิ้นเฉยๆ และเพื่อให้มันจบลงไปวันๆ หนึ่ง เวลาหนึ่ง บทๆ หนึ่ง ถือว่ามิได้มีอานิสงค์อะไร สู้ให้สตางค์ขอทาน ยังได้อานิสงค์มากกว่า
    บริจาคทานให้แก่คนยากคนจน อดอยากอนาถาให้ข้าวให้น้ำเขากิน ยังได้ผลบุญมากกว่า ยังได้อานิสงค์ ผลตอบแทนได้เหนือกว่า

    เพราะฉะนั้นพวกเรา ที่มีการสวดเช้าสวดเย็น จริงๆ ได้เปรียบกว่าชาวบ้าน เพราะเรามีโอกาสทำบุญ ทำบุญได้ทั้งเช้าและเย็น หลวงปู่ไม่รู้ว่าพวกเรา ทั้งหลายทำบุญกันด้วยหัวใจ หรือเปล่า หรือทำให้มันจบๆ ลงไปวันๆ หนึ่ง เวลาๆ หนึ่ง ชั่วโมงหนึ่ง แล้วก็กลายเป็นว่าการสวดมนต์ เป็นเรื่องน่ารำคาญ น่าเบื่อหน่าย ไม่น่าจะใส่ใจ ไม่ให้ความสำคัญ

    ถ้าท่านปรารถนาจะทำบุญ แล้วก็ทำตามบุญที่พระศาสดาทรงสั่งสอน การสวดมนต์เจริญภาวนา ก็คือว่าเป็นวิธีทำบุญได้ชนิดหนึ่งเหมือนกัน และจงทำบุญวิธีนี้ด้วยหัวใจ และมันจะเป็นบุญได้ก็ต่อ เมื่อท่านดื่มด่ำถึงรสชาติ กลิ่นไอและสันติสุข ความสงบ และจิตที่ไม่สับสน วุ่นวาย ไม่กรอกกลิ้ง ไม่ดิ้นรน ไหลลื่นถลาไปกับอกุศลจิต ไม่ปล่อยจิตให้ใฝ่ต่ำ ถือว่านั่นเราได้รับผลจากการสวดสาธยาย ภาวนา และทำบุญ

    ถ้าเราคิดจะทำบุญ ฝากไว้ในพระพุทธศาสนาตามบทพระพุทธดำรัสของพระศาสดาเราก็ต้องเจริญภาวนาและสวดมันด้วยหัวใจ และชีวิตวิญญาณ สวดด้วยความตั้งอกตั้งใจ และเราก็จะรู้ว่า เราได้อะไรๆ มากมายเยอะแยะมหาศาล เจตนาของพระศาสดาที่ให้เราสาธยายบทพระพุทธมนต์ไม่ใช่เพียงเพื่อแค่อ้อนวอน ขอพรพระเจ้าและขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดลบันดาลให้เราเป็นเช่นนั้น เช่นนี้

    เจตนาของพระศาสดาที่ให้เรา สาธยายพระพุทธมนต์บทใดๆ จริงๆ แล้วมันก็เป็นพระธรรมคำสอน ในขณะเดียวกันก็ทำให้เราเป็นคนที่ไม่ปล่อยให้จิตฝักใฝ่ลื่นไหลไปตามอกุศลจิต คือคิดชั่วจิตเราก็จะได้สงบนิ่ง เป็นการพักผ่อนที่ดี เมื่อวานนี้ยังตอบปัญหากับเขาอีกข้อหนึ่งว่า การพักผ่อนที่ดีเลิศที่ได้ประโยชน์ที่สุดในโลก ไม่ใช่การนอนหลับ ไม่ใช่การท่องเที่ยว ไม่ใช่การไปปล่อยอารมณ์ตาม

    ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือดูหนังฟังเพลง การพักผ่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์ และสัตว์ที่มีจิตวิญญาณทั้งปวงก็คือ การทำให้จิตของตนมีสันติสุข ร่มเย็นและดื่มด่ำจากความสงบสันติสุขนั้นๆ ถ้าเราสวดมัน ภาวนามัน และก็เข้าถึงความสงบแห่งมัน ก็ถือว่าทำให้เราได้รับการพักผ่อน มีอยู่วันหนึ่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลวงปู่นอนอยู่ประมาณซักตี 2 และก็บอกกับตัวเองว่า เราจะนอน อยู่ทำไม มันอิ่มไม่อยากนอน ลุกขึ้นมาเสียเฉยๆ และก็นั่งอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งได้ 6 โมงเช้า มีความรู้สึกว่า การนอนของเรามันนอนมาตั้งแต่เล็กจนโต จนป่านนี้แล้ว มันควรจะอิ่มจะพอ อาจจะเป็น เพราะช่วงก่อนนอนได้ทำสมาธิ ได้ทำความสงบ ได้ทำความพักผ่อนทั้งกายและใจ จิตวิญญาณ

    พอนอนได้ไม่กี่ชั่วโมง มันก็เลยอิ่มพอดีๆ และก็รู้สึกเพียงพอ พอถึงตี 2 ก็ลุกขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า และมีพลังงานอย่างเต็มเปี่ยม เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเราได้รู้ถึงรสชาติ และดื่มด่ำ ถึงกลิ่นไอของการภาวนา แล้วเราจะรู้ว่า มันมีค่ามีราคา ให้จิตวิญญาณของเรา ได้มีประสบการณ์ที่ก้าวไกล และเปิดกว้างไปสู่โลกใหม่ ซึ่งเป็นโลกที่เราสามารถกำหนด และเนรมิตมันได้ตามความปรารถนา คำว่าโลกใหม่ในที่นี้คือเป็นโลกส่วนตัวของเรา ซึ่งไม่มีใครก้าวก่าย ล่วงเกินและทำให้เราเสียสิทธิ์ ในโลกที่เราเป็นเจ้าของ

    http://www.dhamma-isara.org/dhamchap_9_1.html (http://www.agalico.com/board/links.php?url=http://www.dhamma-isara.org/dhamchap_9_1.html)​
     
  2. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,292
    อานิสงส์ของการสวดมนต์


    เทศนาโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี

    ดังปรากฏในงานของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี จางวางมหาดเล็กในรัชกาลที่ 4 ที่ได้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จโตมาเทศน์ที่บ้าน

    ครั้นพลบค่ำ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตพร้อมลูกศิษย์ได้เดินทางจากวัดระฆังมายังบ้านของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี ซึ่งในขณะนั้นมีอุบาสก อุบาสิกา นั่งพับเพียบเรียบร้อยกันเป็นจำนวนมาก ด้วยต้องการสดับรับฟังการเทศน์ของท่านเจ้าประคุณ ณ ที่เรือนของท่านเจ้าพระยา


    เจ้าประคุณสมเด็จโต ได้ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวบูชาพระรัตนตรัย เมื่อจบแล้ว ท่านจึงเทศน์
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,103
    เมื่อวานช่วงเที่ยงกลับจากทำงานที่ระยอง แวะซื้อกับข้าวเข้าบ้าน อ.ประถม นั่งคุยกับ อ. 2 คน ได้ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมมาก ช่วงหนึ่งคุยเรื่องการเปิดจิต สำหรับพวกเล่นฤทธิ์ ท่านแนะนำวิธีมาให้ พวกอยู่ใกล้ เดี๋ยวกิจกรรมวันที่ 28/9 นี้บอกให้ไปทดลองทำดู พวกอยู่ไกล pm.เข้ามา จะบอกวิธีให้ แต่ทั้งนี้ อ.ประถมบอกว่า จะได้ของเก่าคืนมา ต้องแน่ใจว่ามีของเก่าด้วยน๊ะ และที่สำคัญคือต้องมีความขยันหมั่นฝึก หมั่นทำ ถึงจะได้ ได้คุยกันเรื่องพระสมเด็จอัสนี เรื่องท่านองค์ใหญ่ และสุดท้ายก็มาเรื่องงานบุญว่าตอนนี้ทุนนิธิฯ เราทำครบ 4 ภูมิภาค และ ในกรุงเทพฯ แล้ว สมดังที่ตั้งใจไว้ ท่านโมทนาหัวเราะร่า อย่างที่บอกไว้จริงๆ ช่วยพระสงฆ์อาพาธได้บุญเยอะ ได้บุญเร็ว เห็นกันในชาตินี้ล่ะ ส่วนบุญอื่น ก็คงช้าหน่อย บางทีอาจจะเสวยหลังจากละจากการเป็นมนุษย์ไปแล้ว เกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม หรืออย่างช้า ถ้าชาติหน้าเกิดเป็นมนุษย์ถึงจะได้รับบุญนั้น ท่านบอก ก็ให้เลือกเอา เพราะทำอย่างไหนก็เป็นบุญทั้งนั้น แต่บุญช่วยพระได้ทั้งชาตินี้ ได้ทั้งละจากการเป็นมนุษย์ และแถมเกิดใหม่ ก็ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนด้วย....ครูอาจารย์ว่าอย่างนี้ก็สุดแท้แต่ละความเห็นครับลองพิจารณาดู แต่สำหรับผม ขอทานข้าวตรงหน้าก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน ที่รอดมาได้ทุกวันนี้ นับว่าทานข้าวตรงหน้าอิ่มแล้ว จึงบอกให้คนอื่นทดลองทานข้าวตรงหน้าดูบ้าง จะได้รับรู้ถึงความอิ่มครับ
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,103
    วันนี้ขอโพทส์กระทู้เดียวครับ เอากันยาวๆ และให้ได้ประโยชน์ไปเลยครับ


    อาการจิต 10 : บทที่ 11 การยกระดับจิตในองค์ฌาน


    <HR SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message --><TABLE class=ncode_imageresizer_warning id=ncode_imageresizer_warning_1 width=480><TBODY><TR><TD class=td1 width=20></TD><TD class=td2 unselectable="on">รูปนี้ถูกลดขนาดลง กดที่เเถบนี้เพื่อดูขนาดเดิม ขนาดเดิมของรูป: 651x475 ขนาดของไฟล์: 35KB</TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG]


    บทที่ 11
    การยกระดับจิตในองค์ฌาน
    อบรมวิถีจิต เช้ามืดวันที่ 12 ธันวาคม 2547


    เวลาจะเข้าฌาน-ออกฌาน

    สำคัญที่สุด คนจะไปเสียตรงที่ปีติ สุขกับ เอกัคคตา แต่ไม่สนใจวิตกกับวิจาร

    เหมือนกับคนที่อาศัยเรือข้ามฟาก
    เมื่อถึงฟากแล้วก็ถีบเรือ คว่ำเรือทิ้ง แล้วมันก็ไปฟากอื่นไม่ได้อีก
    เพราะฉะนั้นต้องไม่สนใจต่อ ปีติ สุขกับ เอกัคคตา
    แต่ต้องจำยึดมั่นอยู่ในองค์คุณแห่งวิตกกับวิจาร
    ไม่เช่นนั้น จิตจะไม่ขยับขึ้นสู่ทุติยฌาน
    แล้วก็จะไม่พัฒนาเข้าสู่ฌานที่ 3 หรือที่ 4




    เอาหนังสือมา ปากกามา แผ่นที่ 7 ให้เวลา 10 นาที ลองดูซิลูก เช็คดู อาการจิต 10
    อย่าง มีอะไรบ้าง
    1. จิต คือ คิด
    2. มโน คือ น้อม
    3. หทัย คือ เก็บอารมณ์
    4. มนัส คือ พอใจ
    5. ปัณฑระ คือ แช่มชื่น
    6. มนายตนะ คือ สืบต่อ
    7. มนินทรีย์ คือ เป็นใหญ่
    8. วิญญาณ คือ รู้อารมณ์
    9. วิญญาณขันธ์ คือ รู้อารมณ์เป็นอย่าง ๆ เรื่อง ๆ กอง ๆ



    ให้สังเกตทั้งภายนอกและภายใน ใช้เวลา 10 นาที รู้ให้ชัดทั้งภายนอกและภายใน


    ภายนอก ก็มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ภายใน ก็มีใจ


    เฝ้าสังเกตแล้วจด ทั้งภายนอกและภายในนะ หูฟังก็จด จมูกได้กลิ่นก็จด ลิ้นรับ
    รสจด กายสัมผัสจด ตาเห็นรูปจด แล้วลองเน้นไปที่ภายในดูลูก ลองเน้นความรู้สึกไปที่
    ภายในรับรู้ไปที่ภายใน แต่ถ้าภายนอกมันปรากฏเรารู้ก็จด


    คนที่ไม่ได้เมื่อคืนนี้ องค์ฌาน วันนี้เช้าลองดูซิอย่าไปเครียด อย่าไปเกร็งมัน ค่อย
    ๆ ทำไป เฝ้าสังเกตมุ่งเน้นไปทางภายใน เน้นภายในไปดูอะไร ก็ดูว่ามันว่างไหม มัน
    ผ่อนคลายไหม มันมีแขกแปลกหน้าเข้ามาไหม มันมีราคะไหม มันมีโทสะ มันมีความ
    ง่วงไหม มันฟุ้งซ่าน มันสงสัยไหม มันสับสนวุ่นวายกลัดกลุ้มร้อนรุ่มไหม สังเกตดูส่ง
    ความรู้สึกไปภายใน


    ถ้าภายนอกเราได้ยินรับรู้ ก็จดติ๊กในช่อง วิญญาณ
    ถ้าภายในรู้ว่ามีอะไรก็ถือว่าเป็น ผู้รู้ในวิญญาณ ก็จดไปในช่อง วิญญาณ
    แต่ถ้าเห็นภายใน แล้วเก็บมาคิด ก็จดไปในช่องของ จิต
    น้อมไปก็จด มโน แต่ถ้าไม่เก็บไม่มีหทัยก็ไม่ต้องจด
    แต่คิดต่อเนื่องก็จดในช่องมนายตนะ
    คิดเป็นเรื่อง ๆ เป็นอย่าง ๆ ก็จดในช่องวิญญาณขันธ์
    ไปยึดถือว่าเป็นใหญ่ก็จดในช่องของมนินทรีย์




    รู้สึกตัว เพราะฉะนั้นอย่าขี้เกียจ อย่าเห็นว่าเรื่องเล็กน้อยแล้วไม่จด ที่เราทำไม่ค่อยได้
    หรือได้ไม่ค่อยดีก็เพราะว่าเราขี้เกียจ ไม่ขยันที่จะสังเกตและเฝ้าจด เราก็เลยนับไม่ได้ว่าวัวมัน
    เข้าหรือมันออกกี่ตัว ไม่ยอมทำคะแนนคือไม่ยอมจดคะแนนไว้


    มีง่วงก็จด อาการของความง่วงเป็นอย่างไรบ้าง อยู่ดี ๆ มันมาเกิดความง่วงก็ปรากฏ
    เป็นอย่าง ๆ ละ หนึ่งละวิญญาณขันธ์ล่ะ ตามมาด้วยรู้ รู้อารมณ์ก็เป็นวิญญาณ ความง่วงเป็น
    ใหญ่ไหม เป็นใหญ่ก็มนินทรีย์ แล้วสืบต่อไหม เราหยุดมันได้ก็ไม่ต้องจดในช่อง มนายาตนะ
    เก็บอารมณ์นั้นไว้ไหมถ้าไม่เก็บปล่อยทิ้งก็ไม่ต้องจดในช่องหทัย น้อมไปในอารมณ์นั้นไหม
    ไม่ได้น้อมไปแต่หาทางปฏิเสธก็ไม่ได้จดในช่องของมโน คิดอยู่ไหม คิดอยู่เพราะกำลังคิดที่
    จะหาวิธีกำจัด อย่างนั้นก็จดในช่องของจิต


    รู้ให้ชัดว่าแต่ละเรื่องอะไรเป็นหัวหน้า
    แต่ละเรื่องต้องรู้ว่าอะไรเป็นเจ้าภาพ เป็นหัวหน้า
    บางอย่างก็จิตเป็นหัวหน้า บางอย่างก็หทัยเป็นหัวหน้า
    บางครั้งก็มนัสเป็นหัวหน้า เช่น หัวเราะ เราก็จดอาการ
    เริ่มต้นที่รู้ก่อนคือ หัวเราะ (4) แล้วรู้อารมณ์(1) ตามไปด้วย




    ที่ลูกหลานที่ทำอยู่ 3 วัน 3 คืนนี่ หลวงปู่เชื่อว่ายังไม่เข้าใจอาการของจิต
    ทั้งหมดหรอกว่าอะไร บางครั้งบางทีเลข 8นำเลข 3 นำเลข 2 บางที เลข 1 มันนำ
    มันไม่ใช่ลำดับจิตจนต้องมีระดับขั้น ไม่ใช่ แต่มันเป็นไปตามสภาพอารมณ์ที่ปรุง
    แต่งจิต เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ชัดว่าเวลานี้อารมณ์อันใดมันนำหน้าก็จด อาการอัน
    ใดมันนำหน้าก็จด


    เพราะฉะนั้นหลวงปู่เชื่อว่า ที่เราบอกว่าเรารู้แล้วในอาการ 10 อย่างนี้ ยังไม่
    รู้ชัด เพราะบางทีมันก็มีมโนนำหน้า บางทีมันก็มีมนายตนะนำหน้า บางทีมันก็มีม
    นินทรีย์นำหน้า บางขณะมันก็มีมนัสนำหน้าอย่างนี้


    อย่าเฉย อย่าเผลอ เฝ้ามองอาการจิตว่า มันเฉย มันนิ่ง มันสงบ มันเย็น ก็ต้อง
    จดลูก ต้องเติมปัญญาใส่ไป ไม่งั้นเดี๋ยวมันจะหลุดเข้าไปในโกสัชชะ ความง่วงเหงา
    หาวนอน หลุดเข้าไปในภวังคจิต ความเฉยซึมกระทืออยู่อย่างนั้นไม่ขยับขยายไป กี่
    ชาติ กี่ปีก็เป็นอย่างนี้ไม่ได้


    พอรู้ว่ามันกำลังเริ่มสงบ มันรวมตัว จิตรวมตัวก็ต้องจด ฉ.ฉิ่ง ในช่องของ
    วิญญาณ จนกระทั่งจิตมันมีกำลังกล้า องค์ฌานมันปรากฏมันมีกำลังกล้า มันจะ
    ทำลายความง่วงไปได้ ปิดประตูของโกสัชชะได้แล้วมันก็ไม่แวะเข้าไปในหลุมดำ
    หรือว่าหลุมอากาศที่เรียกว่า ภวังคจิต


    เฝ้ามองมันส่วนใหญ่เพ่งไปทางภายใน มองข้างใน หูได้ยินก็จด ได้ยินแล้ว
    ไม่ได้คิด ถ้าได้ยินแล้วคิดก็จด โอกาสสุดท้ายแล้วนะของผู้ที่ยังไม่ได้เมื่อคืน วันนี้
    ต้องเอาให้ได้ ผู้ที่ได้แล้วก็ลองทบทวนดูว่าอารมณ์เมื่อคืนเป็นอย่างไร นั่งโงกง่วงก็
    จด อย่าไปหยุดอยู่กับที่ อย่าไปเกียจคร้าน อย่าไปซึมกระทือ อย่าเผลอ หาวก็จด
    สัปหงกโงกง่วงจดหมด แต่รู้ให้ได้ว่ามันอยู่ช่องไหน



    ดูภายใน สงบ สว่าง รู้สึกตัวได้ละเอียดชัดขึ้น


    เพ่งความรู้สึกเข้าไปดูภายในดูซิลูก ฟังข้างนอกมานานแล้ว ดูข้างนอกมานานแล้ว ถ้า
    เพ่งแล้วกำลังจะเผลอต้องหยุดทันทีเลยแล้วกลับมาจดเลย ต้องรู้เท่าทัน ถ้าเพ่งแล้วจิตก้าวหน้า
    ขึ้น มันขยับขึ้น มันเจริญขึ้น มันสงบแล้วก็สว่าง มันผ่องใส มันรุ่งเรือง มันรู้ชัด ยิ่งเพ่งยิ่งรู้ ยิ่ง
    เพ่งยิ่งรู้ ความรู้มันกว้างขวางมากขึ้น คือรู้สึกตัวได้เยอะขึ้น ละเอียดขึ้น เข้าใจอะไรได้มากขึ้น
    ไม่โดนรบกวนไปด้วยนิวรณ์ธรรมทั้งหลาย อารมณ์ทั้งหลายไม่ปรากฏขึ้น แสดงว่าสาธุจิตของ
    เรากำลังจะปรากฏ ครูผู้ใจอารีกำลังจะตื่นขึ้นมา สุขุมจิต กำลังอุบัติขึ้น จิตที่ควรต่อการงาน
    กำลังมีอยู่แก่เรา



    แต่ถ้าเพ่งแล้ว ทีแรกสว่างเสร็จแล้วคลุมเครือ หรือไม่ทีแรกสงบแล้วหลุดเข้าไปใน
    โกสัชชะคือความง่วง ไม่ได้เลย ต้องหยุดเลยแล้วกลับมานั่งจด คืออาการของจิตนี่มันพิสดาร
    พันลึกมาก บางทีเราก็ควบคุมมันได้ บางทีเราก็คุมไม่ได้ บางทีเราก็รู้ชัด บางทีก็ไม่รู้ เพราะว่า
    เราต้องยอมรับว่า อกุศลมูลหรือกิเลสตัณหาอุปาทาน มันครอบงำเรามานานมาก แล้วมันมีเลศ
    นัย มีกลอุบาย มีวิธีการหลอกล่อให้เราเชื่อเราเชื่อง เราลืมเราหลง เราตกเป็นทาส



    เพราะฉะนั้นใหม่ ๆ ครูจึงจำเป็นที่จะต้องขนาบ ขยำขยี้ เตือนเพื่อ ไม่ให้เราหลงไปใน
    อาการของจิต พอเราเริ่มรู้แนวทางเข้าสู่มรรคจิตแล้ว ครูก็ไม่จำเป็นแล้วเพราะว่าเราเป็นผู้มี
    อินทรีย์แก่กล้า มีกำลังวังชาแล้ว เราก็จะรับรู้สภาพ แล้วก็กำจัดประหัตประหารต่อสิ่งที่เป็น
    ปฏิปักษ์ต่อมรรคจิตได้ด้วยตัวเอง


    อย่าเคลิ้มอย่าเผลอ อย่าเกียจคร้าน ต้องขยัน ส่งความรู้สึกเข้าไปภายในลึก ๆ ลองดู
    ถ้ารู้สึกว่าเคลิ้ม เผลอ ต้องเริ่มกลับมาจด มองอาการภายนอกก่อน ดูอาการภายนอกก่อน ฟัง
    อาการภายนอกก่อน แสดงว่าเรายังทำอย่างละเอียดไม่ได้ คือเพ่งมโนวิญญาณไม่ได้ ก็หันมาเพ่ง
    จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ คือรับรู้ทางกาย ทางหู
    ทางจมูก ทางลิ้น ทางตา เพราะการรับรู้ทางใจของเรามันละเอียดแล้วมันทำให้เราเผลอ เรายัง
    ตามมันไม่ทัน อย่างนั้นดูของหยาบไปก่อน



    เอาชนะความง่วง (ถีนะมิทธะ) ด้วยการแกล้งตาย


    รู้แล้วจด รู้แล้วจด รู้แล้วจด ถ้าอย่างไรๆ ยังง่วงอยู่อีก รู้แล้วก็ยังง่วงแสดงว่าจิตนี้ตก
    อยู่ในหลุมและในภวังค์ อย่างนั้นต้องหยุดหายใจลูก วิธีของหลวงปู่หยุดหายใจ กลั้นลมหายใจ
    ทิ้งไว้จนกระทั่งมันเกิดความร้อน พลุ่งพล่านเข้าไปในสมองในโสตประสาท ลมออกหูแล้วค่อย
    ๆ ผ่อนลมออก ช้า ๆ ยาว ๆ


    สูดลมหายใจเข้าไปเต็มที่กลั้นลมทิ้งไว้ไม่ให้มันออก ขังมันไว้อย่างนั้นให้มันพลุ่ง
    พล่านหาทางออก นั่นคือวิธีที่หลวงปู่เคยใช้สำหรับชนะความหลงไหล ความครอบงำของถีนะ
    มิทธะที่มันมีกำลังกล้า ยกพลเข้ามารบมาโจมตีเรา ล้อมเราหมดทุกด้าน ไม่มีแสงสว่างให้เห็น
    ถ้าอย่างนั้นก็ต้องทำแกล้งตาย ใช้คำว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2008
  5. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,292
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,103
    หาความสุขที่แท้จริงเถิด

    <HR SIZE=1><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=#cccccc border=2><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    ผมเคยอ่านนิทานเรื่องหนึ่งนานมาแล้ว เรื่องมีอยู่ว่า อาจารย์ท่านหนึ่งลากเส้นตรงขึ้นมาเส้นหนึ่ง แล้วบอกให้นักเรียนลองทำให้เส้นตรงเส้นนี้สั้นลงโดยไม่ต้องลบ นักเรียนต่างหาวิธีทำให้เส้นตรงนั้นสั้นลงไม่ได้เพราะทุกคนติดอยู่กับภาพลักษณ์ของการลบเส้นเดิมทิ้งไปเพื่อให้เส้นเดิมสั้นลงไป

    อาจารย์ท่านนั้นจึงขอให้นักเรียนรายหนึ่งเขียนเส้นตรงเส้นใหม่ที่ยาวกว่าเส้นเดิม ภายหลังจากที่นักเรียนลากเส้นตรงเส้นใหม่ที่ยาวกว่าเดิมแล้ว อาจารย์ท่านนั้นอธิบายให้นักเรียนฟังว่า

    "การที่มีคนลากเส้นตรงขึ้นมาเส้นหนึ่ง ไม่ว่าเส้นตรงที่ลากมาจะยาวแค่ไหน เราสามารถทำให้เส้นตรงนั้นสั้นลงไปได้โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปลบเส้นของคนอื่นให้สั้นลง แต่เราสามารถทำให้เส้นของคนอื่นสั้นลงโดยที่เราลากเส้นของเราให้ยาวขึ้น ยิ่งเราลากเส้นยาวออกไปมากเท่าไหร่เส้นเดิมที่ลากไว้ก็จะสั้นลงไปทุกที

    เปรียบเหมือนการที่ใครซักคน ทำในสิ่งหนึ่งที่ดีอยู่ประสบความสำเร็จอยู่ เราไม่ควรให้ความอิจฉาริษามาก่อให้จิตของเรารุ่มร้อนและหาทางกลั่นแกล้งคนๆนั้นด้วยการหาทางทำลาย เหมือนกับการพยายามลบเส้นของคนอื่นให้สั้นลง ตรงกันข้ามควรจะยินดีกับความสำเร็จของคนอื่น เหมือนกับที่เรามองความยาวของเส้นตรงที่คนอื่นลากไว้ แต่เราหาทางพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆเหมือนกับการพยายามลากเส้นตรงเส้นใหม่ให้ยาวขึ้นเรื่อยๆโดยไม่ไปลบเส้นของคนอื่น

    เส้นตรงที่เราลากก็จะยาวขึ้นเรื่อยๆ โดยเส้นเดิมที่เราลากไว้ก็จะสั้นลงไปเรื่อยๆโดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปลบออกให้สั้นลง"

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​



    http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,103
    ข้อคิดจากถังน้ำสองใบ

    <HR SIZE=1><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=#cccccc border=2><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง.

    แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล จากลำธารกลับสู่บ้าน....จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว

    เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็มที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำกลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง....ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจในผลงานเป็นอย่างยิ่ง ...ขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึก อับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง มันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุดประสงค์ ที่มันถูกสร้างขึ้นมา

    หลังจากเวลา 2 ปี
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,103
    วันนี้เข้ากระทู้ ค่อนข้างช้าไปมาก ๆ เลยหาบทความทางด้านพัฒนาตนเองมาไม่ได้มาก เมื่อวานหลังจากโพสท์กระทู้ของหลวงปู่พุทธะอิสระแล้ว กลางคืนทดลองทำดูราวๆ ครึ่งชั่วโมง จิตนิ่งดีมาก แต่เปิดแอร์เลยไม่ค่อยร้อนเท่าไร ทดลองทำอย่างที่บอก เพ่งไออุ่นจากท่านั่งสมาธิ จากท่านั่งแยกมือแบบโยคะ และลองเพ่งจากอวัยวะส่วนอื่น ผลเท่ากัน อยู่ที่การจำอารมณ์ ผลที่ได้คือหลับรวดเดียวถึงเช้า ตื่นมาสบายสมองโล่งมาก ใครที่นอนไม่ค่อยหลับ ลองดูก็ได้ อีกอย่างที่สำคัญก็คือ พอจิตนิ่งแล้ว ต้องถอยมาหาไออุ่นให้ได้ อย่าทิ้ง

    เอาล่ะ ทีนี้มาว่ากันถึงเรื่องงานบุญประจำเดือนกันยายนกันก่อน งานบุญที่ รพ.สงฆ์ยังเป็นกำหนดการเดิมคือวันที่ 28/9 ส่วนปัจจัยที่จะบริจาคนั้น ได้กำหนดประมาณการสำหรับช่วยหอสงฆ์อาพาธแต่ละแห่งไว้ดังนี้

    1. บริจาคที่ รพ.สงฆ์
    ค่าซื้อโลหิต 7,500.- บาท
    ค่าซื้อเวชภัณฑ์ 7,500.- บาท
    ค่าสังฆทานอาหาร 5,000.- บาท
    รวม 20,000.- บาท

    2. บริจาคให้ รพ.50 พรรษาฯ จ.อุบล 5,000.- บาท
    3. บริจาคให้ รพ.มหาราช (สวนดอก) จ.เชียงใหม่ 5,000.- บาท
    4. บริจาคให้ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น 5,000.- บาท
    5. บริจาคให้ รพ.สงขลา จ.สงขลา 5,000.- บาท
    6. บริจาคซื้อเครื่องดูดเสมหะ ให้ พระสงฆ์ที่อาพาธ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่นตามที่ รพ.ได้พิจารณาและขึ้นทะเบียนไว้แล้ว 1 เครื่อง 5,000.- บาท

    รวมเป็นเงินทั้งสิ้นตั้ง 1 ถึง 6 = 45,000.- บาท

    โดยจำนวนเงินบริจาคขั้นต้น เป็นจำนวนเงินที่คิดจากยอดบริจาคในบัญชีของทุนนิธิฯ ในปัจจุบัน ที่มียอดกว่า สองแสนบาท ไปก่อน และอาจมีการเพิ่มหรือลดการบริจาคได้ในภายหลังๆ จากที่คณะกรรมการได้ประเมินยอดการบริจาคของทุกท่านเรียบร้อยอีกครั้งอีกสัก เดือน หรือ สองเดือนครับ

    ส่วนกิจกรรมเสริมอื่นๆ คราวนี้ ก็จะมีการสอนดูพระพิมพ์ต่างๆ เช่นเดิม และคราวนี้ก็จะมีกริช หรือพระขรรค์ของหลวงปู่ใหญ่ให้บริจาคกันด้วยอีกสัก 4 เล่ม
    โดยวันที่ไปบ้าน อ.ประถมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อ. บอกว่า แท้ ดูง่าย พลังดี แถมยังบอกด้วยว่า อักขระที่เขียนลงที่ตัวกริช หรือ พระบรรค์นั้น น่าจะเป็นอักขระพรหม หรือกูโบ๊ส ด้วยครับ เรื่องการสอนดูพระพิมพ์ทางด้านรูปนั้น คงให้นายสติมาบอกเอง ว่าเป็นหลักสูตรใด ส่วนด้านการดูนามนั้น คงต้องพึ่งน้องตาดี ช่วยดูให้ แต่คงไม่มากครับ

    วันนี้จบเรื่องประชาสัมพันธ์แค่นี้ก่อน ส่วนวันพรุ่งนี้มีการประชุมกรรมการฯ มีความคืบหน้าอย่างไร จะบอกอีกที อ้อ. เกือบลืม ท่านที่ไปงานบุญคราวนี้ มีพระแจกให้ครับ เป็นเนื้อผงยาวาสนาจินดามณี ที่หลวงปู่ใหญ่ท่านเสกให้ไว้
    หรือไม่ก็พระพิมพ์สมเด็จที่ทันท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ เสกไว้ให้เลือก เพราะพระที่เหลือจะนำไปแจกให้พระกรรมฐานท่านสร้างกุฏิที่เชียงใหม่ครับ ท่านขอเอาไว้ โดยพระทั้ง 2 ชุดนี้ ได้ให้พี่ใหญ่ขอบารมีท่านองค์ผู้อธิษฐานบารมีไว้ มาเสกเพิ่มเติม สักเดือนหนึ่งได้แล้วครับ พี่ใหญ่บอก ลงมาทำให้เป็นสายเลยก็นับว่าใครที่ไปก็โชคดีไป ส่วนพระซุ้มไทรย้อย และซุ้มไข่ปลาที่ขอมา เดี๋ยวจะมีพระชุดนี้ หรือพระชุดอื่นเพิ่มแถมไปด้วยครับ (เป็นพระที่ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกุกุธสันโธ และองค์อื่นในภัทรกัปป์อธิษฐานบารมีไว้ให้)

    พันวฤทธิ์
    20/9/51
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,103
    น่าชื่นชม

    <HR SIZE=1><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="80%" align=center bgColor=#cccccc border=2><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>


    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    <CENTER>กล้าไม้งามพบความเอาใจใส่
    ได้เติบใหญ่ไร้แมลงแฝงใบสวย
    รับแดดแสงผสมลมรื่นรวย
    ชื่นฉ่ำด้วยสายน้ำความดูแล

    จึงงดงามต้นใบในสวนชื่น
    ผลดกดื่นดูดีไม่มีแผล
    ครั้นวิกฤติโถมถาพาปรวนแปร
    เกิดความแย่เพราะแล้งพลันแห้งกาย

    ใบร่วงโรยโปรยพลิ้วปลิวเกลื่อนพื้น
    ลำต้นยืนรอวันล้มสลาย
    สายแดดกล้าเจิดจ้าลำแสงพราย
    ดุจอาวุธแรงร้ายเข้าฟาดฟัน

    บางต้นล้าอำลาไปจากสวน
    โดยได้ด่วนทิ้งซากพรากจากฝัน
    เพราะไร้แกนแก่นที่สมบุกสมบัน
    เป็นพืชพันธุ์ไร้ซึ่งความอดทน

    ครั้นวิกฤติผ่านพ้นจนคืนชุ่ม
    เกิดปมปุ่มแตกตามาพบฝน
    จากต้นที่มีคุณภาพอาบรากตน
    จึงเป็นพันธุ์ที่คนนิยมจริง

    ยามสมบูรณ์นั้นไม่อาจพิสูจน์พันธุ์
    ยามวิฤกติแปรผันน่าเกรงกริ่ง
    จึงพิสูจน์คุณภาพได้แท้จริง
    ว่าพันธุ์ใดควรทิ้งควรชื่นชม

    ดุจดังคนถึงคราวร้าวรานจิต
    แต่อดทนจนพิชิตความขื่นขม
    ฟื้นใจสู่ความสว่างล้างหมองตรม
    น่าชื่นชมคุณภาพที่อาบใจ

    <CENTER>[​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] </CENTER><CENTER>

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>

    [FONT=ms Sans Serif,]<DD>การเจริญเติบโตของต้นไม้ที่ถูกผู้เลี้ยงเอาใจใส่ ย่อมแตกดอกออกผลให้แก่ผู้เลี้ยงได้ชื่นชมได้ แต่ทว่าจะต้องเป็นต้นกล้าที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมด้วย ซึ่งไม่ต่างอะไรไปจากชีวิตของคนเรา บางครั้งต้องล้มลุกคุกคลานบ้างด้วยเพราะแรงลมแห่งวิบากกรรโชกใส่

    บางคนก็มีความสามารถต้านแรงกรรมของตนได้ด้วยสติปัญญา แต่ก็มีผู้คนไม่น้อยที่เหนื่อยล้าอ่อนใจในวิบาก ถึงกับเปลี่ยนทิศชีวิตไปได้จากความดีที่เดินทางมาอย่างน่าเสียดาย

    แต่ถ้าผู้ใดสามารถที่จะอดทนยืนหยัดท้าทายวิบากอย่างกล้าหาญ และหวลทบทวนถึงเหตุนั้นๆได้ พร้อมยอมรับฟังเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างรอบคอบ จนสงบนิ่งจากกระแสวิบากได้นั้น โดยละคลายทิฏฐิได้นั้น นับว่าเป็นชีวิตที่[B]น่าชื่นชม[/B]ยิ่ง.

    <CENTER>[IMG]http://www.dhammathai.org/flowers/flower12.gif[/IMG] [IMG]http://www.dhammathai.org/flowers/flower12.gif[/IMG] [IMG]http://www.dhammathai.org/flowers/flower12.gif[/IMG]</CENTER>
    </DD>

    [/FONT]</CENTER><CENTER> </CENTER>
    </CENTER>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    ขอขอบคุณผู้ที่ใช้นามว่า "พี่ดอกแก้ว"

    http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,103
    เก็บเอาไว้เป็นความรู้เลยน๊ะ ละเอียดมาก ยาวดี แต่มีสาระ ย่อหลักอภิธรรมได้เยอะ


    พระอภิธรรมปิฎก


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>

    1. พระอภิธรรมปิฎก หมายถึงอะไร
    [​IMG]
    พระอภิธรรมปิฎก หมายถึง หลักธรรมสำคัญอันยิ่งใหญ่ เป็นธรรมะเหนือโลก เป็นหลักธรรมหัวข้อธรรมะ หลักวิชาธรรมะล้วน ๆ เป็นอมตะธรรมไม่มีข้อกล่าวอ้างบุคคล พาดพิงเหตุการณ์เรื่องราวต่าง ๆ เป็นธรรมะที่จริงแท้ ที่ทำให้จิตฉลาดสว่างไสว เป็นจิตของพระอริยสาวก เข้าถึงจุดมุ่งหมายของชีวิต คือ พระนิพพานได้ง่ายรวดเร็ว
    ชาวพุทธส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจผิดคิดว่า พระอภิธรรมปิฎก หมายถึง พระธรรมอันสำคัญยิ่งนั้นมีอยู่ในหมวดพระอธิธรรมปิฎกเท่านั้นและยากที่จะเข้าใจได้
    ความจริงพระอภิธรรม คือ หลักธรรมอันสำคัญยิ่งนั้น มีอยู่ในตัวเรานี้เอง คือ กายกับจิต หรือขันธ์ 5 กับจิต และอภิธรรม คือ หลักธรรมล้วน ๆ ก็มีอยู่ทั้งในพระวินัยก็คือ ศีล ทั้งในพระสูตรและในธรรมชาติ ถ้าจิตเราฉลาดสะอาดเป็นกุศลจะเข้าใจมองโลกในทางเป็นจริง คือ มีแต่ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา เปลี่ยนแปลงสึกหรอ มีเรื่องให้แก้ไขปัญหาตลอดเวลา แล้วผุพังสูญสลายไปในที่สุดนั้น ก็ คือ อภิธรรม
    ผู้ที่ศึกษาอภิธรรมปิฎกหรือจบพระไตรปิฎก คือ พระอรหันต์ขีณาสพ หรือ พระอเสขะ ถึงแม้ท่านจะไม่เคยอ่านพระไตรปิฎกหรือไม่เคยอ่านพระอภิธรรมปิฎก แต่ท่านปฏิบัติสมถภาวนา แยกจิตออกจากกายได้ไม่มีกิเลสร้อยรัด คือ สังโยชน์ 10 อย่างไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป ถือว่าท่านจบหลักสูตรพระไตรปิฎกหรืออภิธรรมปิฎก
    ในสมัยพุทธกาล มีพระที่ท่านบรรลุอรหัตตผลรวดเร็วที่สุด คือ ท่านพาหิยะเถระ ท่านเป็นพราหมณ์ผู้สูงอายุได้ข่าวว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรากฎขึ้นแล้วในโลกท่านเกรงว่าท่านมีอายุมากแล้วอาจจะตายเสียก่อนได้ฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้า ท่านจึงเดินทางจากเมืองไกลไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าทั้งคืนไม่ยอมพัก รุ่งเช้าจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ขอฟังขอรับพระธรรมคำสอนวิชาพ้นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ ท่านพาหิยะเดินทางไกลยังเหนื่อยอยู่และมีปิติมากเกินไปที่ได้เห็นพระพุทธเจ้า จึงตรัสให้ท่านรออยู่ก่อน พระพุทธองค์จะบิณฑบาตรให้เสร็จก่อน จากนั้นองค์พระบรมศาสดา จึงตรัสหัวข้อธรรมะอภิธรรมข้อเดียวคือ
    "ดูก่อน พาหิยะ เธอจงอย่าสนใจในรูปร่างกาย"
    เพียงเท่านี้ ท่านพาหิยะ เข้าใจธรรมะแจ่มแจ้ง จิตของท่านพาหิยะก็หลุดพ้นเป็นอิสระจากรูปร่างกาย กิเลส ตัณหา อุปาทาน มีวิชชา ทันใดนั้นจิตท่านบรรลุเป็นจิตพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณทันทีท่านจึงเป็นพระสาวกที่เลิศทางบรรลุอรหัตตผลเร็วที่สุด เพราะจิตท่านตั้งใจเต็มเปี่ยม มีศรัทธาเต็ม มีวิริยะเต็มอดทนเดินทางมีขันติบารมี มีอธิษฐานคือ ตั้งจิตมั่นในพระพุทธองค์เต็ม มีสัจจะคือความจริงใจที่จะฟังธรรม มีปัญญาเห็นว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมทางพ้นทุกข์จริง มีอุเบกขาวางเฉยในขันธ์ 5 ร่างกายท่านแม้จะเหน็ดเหนื่อยยากก็วางเฉย ไม่ร้อนใจ บารมี 10 ท่านเต็มก็เข้าใจในพระธรรมได้ง่ายรวดเร็วเป็นพระอรหันต์ขีณาสพได้ง่ายเร็วที่สุด
    พระอภิธรรมทั้ง 9 ปริเฉทนี้ถ้าอ่านเป็นตำราเป็นทฤษฎีจะไม่มีใครเข้าใจ ทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งอ่านยิ่งงง เพราะศัพท์บาลีแปลก็ไม่ออก ถึงแปลออกก็ไม่รู้เรื่อง ผู้ที่สอนอภิธรรมส่วนมากก็สอนตามตำรา ยังไม่เข้าใจจริง ดิฉันคือผู้เขียนก็คิดว่าตัวเองโง่มากในชาตินี้ ไม่มีวันเข้าใจอภิธรรมจึงเลิกสนใจก้มหน้าก้มตั้งจิตตั้งใจเพียรพยายามปฏิบัติทางจิตท่าเดียว จนกระทั่งก่อนเขียนหนังสือธรรมประทานพรเล่ม 4 เผอิญตาเหลือบไปเห็นหนังสือ พระอภิธัมมัตถสังคหะ 9 ปริเฉท ที่วางบนหัวเตียงนอนมานานหลายปี ไม่ได้สนใจเพราะอ่านแล้ว ไม่เข้าใจไม่มีปัญญา
    กลับมาอ่านคราวนี้เกิดความมหัศจรรย์ทางจิตอย่างประหลาดเหลือเชื่อ มีความเข้าใจได้ง่าย ๆ ทันที ทั้งปิติดีใจที่ได้เข้าใจพระอภิธรรมซึ่งไม่เคยคิดว่าชาตินี้จะอ่านรู้เรื่อง ทำให้มีจิตคิดจะเขียนอภิธรรมย่อ ๆ ง่าย ๆ ให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจถึงคุณวิเศษของพระอภิธรรม ซึ่งเป็นพระธรรม จากพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอน แล้วมีพระอริยสงฆ์จำบันทึกให้ชนรุ่นหลังได้อ่านศึกษาประพฤติปฏิบัติต่อไป
    ขอกราบอภัยท่านผู้อ่าน ถ้าการเขียนพระอภิธรรมครั้งนี้ขาดตกบกพร่อง ผิดพลาดประการใด การเขียนครั้งนี้ดิฉันได้กราบแทบพระบาทองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้โปรดเมตตาให้ลูกได้เขียนพระอภิธรรมได้ถูกต้องตรงตามพระธรรมคำสอนและตามพระพุทธประสงค์ขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่จะให้เหล่าพุทธบริษัทได้เข้าใจในพระอภิธรรมได้ง่าย ๆ ถูกต้องตามและรวดเร็ว
    ขอสรุปพระอภิธรรมตามแบบพระคุณเจ้าหลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านได้สรุปสั้น ๆดังนี้
    ในพระอภิธรรมทั้ง 9 ปริเฉท จุดสำคัญจริง ๆมี 3 อย่างคือ
    1. กุสลาธัมมา ธรรมะที่ดีที่เป็นบุญกุศลมีผลเป็นสุข ตายแล้วไปเสวยสุขเป็น มนุษย์สมบัติ สวรรค์ พรหม
    2. อกุสลาธัมมา ธรรมะที่เป็นโทษเป็นทุกข์เป็นบาป ทำแล้วมีผลเกิดความทุกข์กายทุกข์ใจ ตายแล้วไปอบายภูมิ
    3. อัพยากตาธัมมา ธรรมะเป็นอัพยากฤต คือ เป็นธรรมะที่สูงเหนือบุญเหนือบาป เป็นอมตะธรรม เป็นอนุตตรธรรมที่เหนือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือพระนิพพาน
    จุดมุ่งหมายของพระอภิธรรมก็เพื่อยกระดับจิตทุกท่านที่อ่านเป็นจิตอัพยากฤตเหนือบาปบุญ เหนือโลกเทวดา พรหม มีความสุขยั่งยืนนานไม่เสื่อมสูญสลายเหมือน นรก สวรรค์ พรหม ตายแล้วจิตสะอาดไปอยู่ในแดนบรมสุขตลอดกาลกับองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพาน
    [​IMG]
    พระอริยบุคคล
    1. พระโสดาบันปฏิมรรค ตัดกิเลส 3 ตัวแรกในสังโยชน์ 3 ข้อแรกได้ คือ
    (1) ตัดสักกายทิฏฐิได้เบา ๆ คือ ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น ชอบในการทำบุญทำทาน ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง แต่ไม่ลืมนึกถึงความตาย ไม่ประมาทในชีวิต
    (2) ตัดกิเลสวิจิกิจฉา ความสงสัยในพระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีจิตมั่นคงในพระนิพพาน ไม่ต้องการเกิดอีก
    (3) ตัดกิเลสสีลัพพัตตปรามาส ไม่ลูบคลำศีล คือมีความจริงใจไม่ทำลายศีล ไม่นิยมหลงใหลไปกับพิธีรีตองตามชาวโลก เพราะท่านมีปัญญา
    2. เป็นพระโสดาบันปฏิผล ได้เพราะมีคุณธรรมทั้ง 3 นี้มั่นคงถ้าจะเกิดเป็นคนอย่างมาก 7 ชาติ อย่างน้อย 1 ชาติไปนิพพาน
    3. พระสกิทาคามีมรรค
    4. พระสกิทาคามีผล ท่านมีคุณธรรม 3 ประการเหมือนพระโสดาบัน แต่มีจิตละเอียดขึ้น ความโลภ ความโกรธ ความหลง น้อยลง
    พระสกิทาคามี มีกรรมบท 10 ครบถ้วน คือ ไม่ละเมิดกรรมบท 10 อย่าง รวมกับมีศีล 5 บริสุทธิ์ครบถ้วน กรรมบถ 10 เป็นทางป้องกันการเกิดในอบายภูมิ คือ
    (1) ทางกาย คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ดื่มของมึนเมา
    (2) ทางวาจา คือ ไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล
    (3) ทางใจ คือ ไม่คิดอยากได้ทรัพย์สินสมบัติใด ๆของผู้อื่น ไม่จองล้างจองผลาญ ไม่เห็นผิดจากคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เห็นถูกตามความเป็นจริงว่า พระนิพพานมีจริง ไม่สูญ มีความสุขยอดเยี่ยมตลอดกาล 5. พระอนาคามีมรรค
    6.พระอนาคามีผล ท่านมีปัญญาชาญฉลาดสามารถตัดกิเลส 5 ข้อแรกในสังโยชน์ 10 ได้ คือ มีคุณสมบัติ 3 ข้อเหมือนพระโสดาบัน พระสกิทาคามี เพิ่มอีก 2 ข้อ คือ
    (1) สามารถละกามราคะ กิเลสกามในความรักหลงในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทางกาย สุขทางกายได้
    (2) สามารถละความไม่พอใจ ปฏิฆะ ความโกรธ ได้ มีจิตเมตตาปราณี ชาวบ้านที่มีจิตเข้าถึงอนาคามีผล ยังอยู่ทำงาน ทำหน้าที่พ่อบ้าน แม่เรือนครบ แต่จิตไม่หมกมุ่นในกามราคะ มีสมาธิจิตทรงในฌาน 4 มีปัญญาเห็นโทษทุกข์ของร่างกาย ถ้าตาย ตอนจิตเป็นพระอนาคามีผลก็เข้าถึงพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ไม่มาเกิดเป็นคน บำเพ็ญจิตในชั้นพรหมเข้าพระนิพพาน จิตเป็นสุขยอดเยี่ยมไม่ต้องกลับมาเกิดในโลกทั้ง 3 อีกต่อไป
    7. พระอรหัตตมรรค
    8.พระอรหันตผล ท่านมีจิตฉลาดสะอาดสามารถกำจัดอวิชชา ตัณหา กิเลสสังโยชน์ 10 ได้ทั้งหมด อุปาทานในขันธ์ 5 ไม่มี เพิ่มจากคุณลักษณะของพระอนาคามี พระอรหันต์สามรถกำจัดกิเลสละเอียดอีก 5 ตัวในสังโยชน์ 10 ข้อ สุดท้ายได้ดังนี้
    (1) รูปฌาน ท่านเข้าฌาน 1 ถึงฌาน 4 ได้ แต่มีจิตฉลาดไม่ติดในฌาน ไม่คิดว่าฌาน1 ถึงฌาน 4 เป็นของเลิศประเสริฐเป็นแต่เพียงให้จิตสงบตั้งมั่นมีกำลังแก่กล้า
    (2) อรูปฌาน จิตละเอียดฌานละเอียดตัดนามในขันธ์ 5 ได้ คือ กำจัด เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณประสาทตาหูจมูกสิ้น กาย อารมณ์ใจออกจากจิตทั้งหมด เห็นว่าอรูปฌานยังไม่ใช่ของเลิศเป็นเพียงบันไดไต่ขึ้นเข้าใจมีปัญญาเพื่อพระนิพพาน ถ้ายังติดในอรูปฌานก็ต้องไปเกิดในอรูปพรหม ยังไม่พ้นทุกข์จริง
    (3) มานะ พระอรหันต์ตัดกิเลสที่เห็นว่าตัวเราดีกว่าเขา ด้อยกว่าเขา เสมอเขา ท่านมีความฉลาดรอบรู้ว่าตราบใดที่ยังมีขันธ์ 5 ร่างกาย รูป-นามอยู่นี้ไม่มีใครดีกว่าใคร ยังจมอยู่ในทะเลทุกข์ หรือวัฏฏสงสารกันทั้งนั้น ท่านเห็นว่าขันธ์ 5 เป็นของปลอม ของสมมุติ ของชั่วคราว ไม่ถือเขาถือเราเห็นคนสัตว์เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตายเท่านั้น
    (4) อุทัจจะกุกุกจะ พระอรหันต์ท่านไม่มีอารมณ์คิดวุ่นวายฟุ้งซ่านไร้สาระ มีความคิดอย่างเดียว ต้องการให้คนพ้นทุกข์ ทำอย่างไรคนจะเข้าใจในธรรมะ ในทุกข์ของโลก ทำอย่างไรคนจะเข้าใจพระนิพพานถูกต้อง พระนิพพานเป็นของจริง ไม่ใช่ของสมมุติชั่วคราวเหมือนโลกมนุษย์ สวรรค์ พรหม
    (5) อวิชชา พระอรหันต์ไม่มีความเข้าใจผิดในนรกโลก มนุษย์โลก เทวโลก เห็นว่า 3 โลกนี้ไม่มีทางไหนเป็นสุขจริง เป็นสุขชั่วคราว ท่านรู้เข้าใจพระนิพพานมีจริง ไม่สูญสลาย พระนิพพานไม่ใช่อนัตตา พระนิพพานเป็นแดนทิพย์วิเศษยอดเยี่ยม จิตของผู้พ้นจากกิเลสสังโยชน์ 10 อย่างเท่านั้น ถึงจะเข้าถึงพระนิพพาน ท่านสัมผัสพระนิพพานได้ทางจิตถึงแม้จะไม่เห็น แต่จิตมีปัญญาทราบแน่ชัดว่าพระนิพพานมีแดนทิพย์จริง เพราะจิตท่านเข้าถึงวิมุติสุข
    ทำอย่างไรถึงจะเข้าใจพระอภิธรรมได้ง่าย
    พระอภิธรรมเป็นของง่ายจริง ๆ เพราะในร่างกายเราก็มีพระอภิธรรมปิฎก คือมี
    (1) จิต
    (2) มีรูป 1 คือ ร่างกาย
    (3) และมีเจตสิก คือ นามในขันธ์ 5 นั่นเองได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้ง 4 อย่างนี้รวมกันเข้าอยู่ในเจตสิก 52 ชนิด
    (4) พระนิพพาน ก็อยู่ในจิตใจเรา ถ้าจิตใจที่ปราศจากกิเลสสังโยชน์ทั้ง 10 ข้อของคน เทวดา พรหม เราไม่หลงทึกทักเอาขันธ์ 5 ที่เป็นโรงงานที่จิตมาอาศัยชั่วคราว กิน ๆนอน ๆ ถ่ายเทอากาศ น้ำ อาหาร เข้า ๆ ออก ๆ ไม่ได้หยุดทุกวี่ทุกวันอยู่นี้ จิตเป็นอิสระไม่เป็นทาสของร่างกาย ตาหู จมูกลิ้น กาย ใจ จิตเราไม่สนใจร่างกายแล้ว จิตเราก็มีความสุขสงบไม่มีกิเลสเข้ารบกวนจิตเราท่านก็เป็นจิตพระนิพพานทันที เป็นพระนิพพานดิบ ๆ ไม่ต้องตาย เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ที่ว่าง่ายมากก็คือเราไม่ต้องไปแบกไปหาม ไม่ต้องไปหาเงินมาซื้อเป็นของมีอยู่แล้วเราไม่เข้าใจว่าของจริงคือจิต ของปลอมสูญสลายคือร่างกาย การหาอาหารมาใส่ท้อง ยังยากยิ่งกว่าหาพระนิพพานมาเก็บเอาไว้ในจิตในใจเราเสียอีก
    พระอภิธรรมปิฎกในพระอภิธัมมัตถสังคหะ 9 ปริเฉทอย่างย่อมีว่าอย่างไร
    พระอภิธรรมอย่างย่อทั้ง 9 บท มี 9 อย่างคือ
    1) ว่าด้วยเรื่องจิต
    2) ว่าด้วยเรื่องเจตสิก
    3) ว่าด้วยจิตมีฌาน1-ฌาน4
    4) ว่าด้วยการแบ่งจิตสูงต่ำไปเกิดภพสูงต่ำตามระดับความสะอาดของจิตนั้น ๆ
    5) ทางเดินของจิตไปเกิดตามภพภูมิต่าง ๆ
    6) เป็นหมวดที่อธิบายถึงรูปร่างกายคน สัตว์ เทพพรหม
    7) หมวดที่ว่าด้วยโพธิปักขิยะสังคหะ คือ หนทางแห่งโลกกุตตระธรรมที่พัฒนาจิตยกระดับจิตให้พ้นจากวงกลมแห่งการเวียนว่ายตายเกิดเป็นอริยธรรมให้จิตเข้าถึงอริยสาวกเข้ากระแสพระนิพพานดับความทุกข์ทั้งหมด
    8) ว่าด้วยปฏิจสมุทปบาทสาเหตุแห่งการเกิดแก่เจ็บตาย
    9) ว่าด้วยกรรมฐาน 40 วิปัสสนา 10 อย่าง

    1) ว่าด้วยเรื่องจิต จิตดี-จิตชั่ว จิตเป็นสมาธิจิต อรูปฌาน จิตพระอริยะ
    2) ว่าด้วยเรื่องเจตสิก คือ อารมณ์ต่าง ๆที่เข้ามาเยี่ยมจิตเกิด ๆดับ ๆ 52 ชนิด มีทั้งอารมณ์ดี อารมณ์ชั่ว อารมณ์เฉย ขึ้นอยู่กับร่างกายและสิ่งแวดล้อม ถ้าเป็นพระอรหันต์ท่านจะมีอารมณ์เดียวคือ อารมณ์ นิ่งเฉยเป็นปกติ
    3) ว่าด้วยจิตที่มีฌาน 1-ฌาน 4 จิตที่ไปเกิด จิตที่เข้าฌานเป็นภวังค์จิตชั่วขณะ จุติจิต คือ เคลื่อนไปสู่ที่เกิดใหม่
    4) ว่าด้วยการแบ่งจิต วิถีทางเดินของจิตไปเกิดตามภพภูมิต่าง ๆ ตามอารมณ์ดีชั่วของจิตก่อนตาย โลกียจิต และโลกุตตรจิต
    จิตมีฌาน1-ฌาน4 เรียกว่า รูปาวจรจิต ส่วนอรูปาวจรจิต คือ จิตที่มีอรูปฌาน คือ ฌาน5-ฌาน8
    5) ทางเดินของจิตที่ไปเกิดตามภพภูมิต่าง ๆ ตามความดีความชั่วและตามที่จิตมีฌานสมาบัติเป็นจิตสะอาดฉลาดฌานตั้งแต่ฌาน1-ฌาน8
    ภูมิที่จิตจะไปเกิดได้ตั้งแต่ต่ำสุดถึงสูงสุดมีดังนี้คือ
    (1) อบายภูมิ มี 4 อย่าง มีแต่ความทุกข์ยากลำบากใจกายอย่างเดียว ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน
    (2) กามสุคติภูมิ มี 7 ระดับตั้งแต่
    - คน คือมนุษย์โลก อายุไม่ถึง 100 ปี และสวรรค์อีก 6 ชั้น ซึ่งมีชื่อดังนี้
    - ชั้นจาตุมหาราชิกา มีอายุ 500 ปีทิพย์ เท่ากับ 9 ล้านปีมนุษย์
    - สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีอายุ 1000 ปีทิพย์
    - สวรรค์ชั้นยามา มีอายุ 2000 ปีทิพย์
    - สวรรค์ชั้นดุสิต มีอายุ 4000 ปีทิพย์
    - สวรรค์ชั้นนิมมานรดี มีอายุ 8000 ปีทิพย์
    - สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวดี มีอายุ 16000 ปีทิพย์
    (3)รูปาวจรพรหม มี 16 ชั้น สำหรับท่านที่ได้ฌานตั้งแต่ฌาน 1 ถึง ฌาน 4 ก่อนท่านตายเข้าฌาน จิตได้ไปเกิดตามขั้นของฌานที่จิตเคลื่อนออกจากกาย รูปพรหมทั้ง 16 ชั้น มีชื่อดังนี้
    1. พรหมปริสัชชา 2. พรหมปาโรหิตา
    3. มหาพรหมา 4. ปริตตาภา
    5. อัปปมาณาภา 6. อาภัสสรา
    7. ปริตตสุภา 8. อัปปมาณสุภา
    9. สุภกิณหกา 10. เวหัปผลา
    11.อสัญญีสัตว์ 12. อวิหา
    13.อตัปปา 14. สุทัสสา
    15.สุทัสสี 16. อกนิฏฐกา
    (4)อรูปพรหม 4 นี้เป็นพรหมไม่มีรูป มีแต่จิตเสวยสุขอย่างเดียว เพราะท่านปรารถนาไม่มีรูปทิพย์ คิดเข้าใจผิดว่า การมีรูปทำให้เป็นสาเหตุของความเปลี่ยนแปลงดับสลาย ท่านจึงคิดเอาว่า มีจิตอย่างเดียว มีความหลงผิดเข้าใจผิดเรียกว่าอวิชชาคือเข้าใจเอาเองว่า อรูปพรหมทั้ง 4 นั้นมีความสุขสูงสุดแล้ว
    อรูปพรหม 1 (พรหมชั้นที่ 8) จิตเป็นฌานเพ่งอยู่ในความว่างเปล่าของอากาศ เรียกว่าอากาสานัญจายตนะก่อนตายร่างกายตายจิตจึงเคลื่อนเข้าสู่อรูปพรหมเพราะจิตเข้าใจผิดคิดว่าฌานนี้สูงสุดหมดกิเลสได้แล้ว
    อรูปพรหม 2 (พรหมชั้นที่ 9) มีจิตเพ่งอยู่ในวิญญาณัญจายตนะ ก่อนตายจิตจึงเคลื่อนมาอยู่ในอรูปพรหมชั้นที่ 2
    อรูปพรหม3(พรหมชั้นที่10) จิตเพ่งอยู่ในอกิญจัญญายตนะ เมื่อตายจิตจึงเคลื่อนเข้าสู่ พรหมชั้นอากิญจัญญายตนะ คือ คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างรูปนามไม่มีอะไรเหลือว่างเปล่าหมด
    อรูปพรหม4(พรหมชั้นที่ 11) คือท่านที่มีจิตเพ่งอยู่ในฌานที่ 8 เรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ มีความสุขคือไม่มีรูปกาย นามกาย ไม่มีความจำ เพราะคิดว่าเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์
    อรูปพรหมนี้จะอยู่ในระหว่างพรหมชั้นที่ 8 ถึงชั้นที่ 11 ยังถือว่าเป็นโลกียฌาน ยังไม่ใช่โลกุตรฌาน ยังไม่ใช่จิต พระอริยะ 8 ขั้น ซึ่งพระอริยทั้ง 8 ขั้นท่านจะมีความเข้าใจถูกต้องว่า อรูปพรหมนั้นไม่ใช่ชั้นที่มีความสุขสูงสุด ความสุขที่ดีเยี่ยมจริงมีที่เดียวคือ แดนทิพย์อมตะนิพพาน
    6)อภิธรรมหมวดนี้ อธิบายถึงรูปร่างกาย คนสัตว์ เทพ พรหม ที่มีจิตไปเกิดเป็นรูปตามภพภูมิสูงต่ำต่างๆกัน ท่านกล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดมีรูปแตกต่างตามระดับชั้นสูงต่ำ ตามบุญตามบาป สรุปแล้ว รูปร่างกายคนสัตว์ เทพ พรหม ก็เกิดจาก อวิชชา ตัณหา กิเลส อุปาทาน บาป บุญ รูปคนสัตว์ มี ดิน น้ำ ลม ไฟ คือ ธาตุ 4 มีนามสิ่งที่ตามองไม่เห็นอีก 4 อย่าง คือ เวทนา สัญญาความจำ สังขารความคิดปรุงแต่ง วิญญาณความรู้สึกระบบประสาททั้งร่างกาย มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั้น ทั้งหมดเรียกว่า ขันธ์ 5 คือ รูป1และนาม 4 มีเฉพาะในคนและสัตว์เท่านั้นมีจิตอยู่ในรูปคน สัตว์ เรียกว่านามอยู่ในรูป ส่วนผี เทวดาพรหมสัตว์นรกมีรูปอยู่ในนามหรือรูปอยู่ในจิต
    สัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัมภเวสีวิญญาณร่อนเร่พเนจร มีนามกายหยาบ นามกายนรกอยู่ในจิตที่สกปรก ทำบาปหาความสุขจากความทุกข์ผู้อื่น ตาคนมองไม่เห็น ไม่มีธาตุ 4 แต่มีจิตครองอยู่ในนามกายเสวยความทุกข์ตลอดเวลาจนกว่าจะหมดบาปกรรมที่เคยทำไว้
    เทวดาทั้ง 6 ชั้น ก็มีนามกายเป็นทิพย์สวยสดงดงามไม่เท่าเทียมกัน มีรัศมีกายตามขั้นของบุญบารมีที่ทำไว้ตอนเป็นมนุษย์ รูปเทพพรหมที่มีความเป็นทิพย์งดงามเรียกว่ารูปทิพย์อยู่ในนามอยู่ในจิต ตาคนเรามองไม่เห็นแม้จะใช้กล้องจุลทัศน์ขยายล้านเท่าก็มองไม่เห็นเพราะรูปทิพย์ท่านละเอียดยิ่งกว่าอากาศ รูปทิพย์ท่านเป็นนามธรรมเรียกว่า อาทิสมานกาย ดังนั้นจิตของเราท่านต่างก็มีรูปลักษณะต่างกันตามขั้นความดี ความสะอาด ตามบุญวาสนาบารมีที่ตั้งใจทำความดีไว้ มีสุขเวทนาอย่างเดียว
    ผีและสัตว์นรก ที่มีนามกายหยาบท่านก็เรียกว่าอาทิสมานกายเป็นกายที่อยู่ในจิตอีกที เสวยความทุกข์อย่างเดียว เรียกว่า ทุกขเวทนา
    อรูปพรหมไม่มีอาทิสมานกายมีความสุขไม่มีรูปทิพย์กายทิพย์คิดว่าสุข มีแต่จิตเป็นนามธรรมเสวยสุขโดยไม่ต้องมีรูปลักษณะของจิตเป็นความว่างเฉยๆ เมื่อไม่มีรูปทิพย์จึงไม่มีอายตนะทิพย์ที่จะติดต่อสื่อสารกันได้ ไม่สามารถรับฟังพระธรรมคำสอนจากพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ พอหมดบุญจากอรูปพรหมก็ต้องเกิดเป็นคนอีก ยังไม่พ้นทุกข์
    อภิธรรมหมวดที่ 7 คือโพธิปักขิยะสังคหะ
    พระอภิธรรมอย่างย่อทั้ง 9 บท มี 9 อย่างคือ
    คือต้นเหตุ 4 อย่างที่นำจิตให้ไปเกิดภพที่เป็นความทุกข์ คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน และคนมีวิบากกรรมสาหัส เหตุทั้ง 4 คือ (1) อวิชชา (2) กิเลสสังโยชน์ 10 อย่าง (3) ตัณหาความอยาก (4) อุปาทาน
    ทำให้ทำบาปกรรมผิดศีล 5 ข้อ เป็นเหตุให้ไปเกิดในแดนนรก มีความทุกข์ทรมานแสนสาหัส
    โพธิปักขิยะสังคหะ คือ ธรรมะที่เป็นกุศล ปฎิบัติตามแล้วยกระดับจิตให้สะอาดสดใสเบิกบานเป็นอริยบุคคลมีพระนิพพานเป็นจุดหมายเป็นปรมัตถธรรมหรือโลกุตตรธรรม
    โพธิปักขิยะ 37 อย่างเป็นธรรมะที่ยกระดับจิตเป็นพระอริยเจ้าเข้าถึงพระนิพพาน คือ ความสุขยอดเยี่ยมตลอดกาลแบ่งเป็น 7 ข้อ คือ

    (1)มหาสติปัฏฐาน 4 คือ
    (1.1) กายานุปัสสนา จิตดูร่างกายสกปรกมีภาระหนักต้องดูแลรักษาแล้ว กายก็เจ็บทรมานตายเป็นอสุภะซากศพ มีจิตรู้อยู่กับลมหายใจเข้าออกเพื่อทำจิตให้มั่นคงเป็นสมาธิเพื่อเอาชนะกิเลส เอาจิตไม่สนใจร่างกายมีความฉลาดรอบรู้ว่ากายไม่ดีไม่น่าหลงใหล ร่างกายเป็นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวง
    (1.2) เวทนานุปัสสนา จิตพิจารณาดูความรู้สึกของกายของอารมณ์สุขหรือทุกข์ดูแล้วก็ละทิ้งเวทนาเพราะไม่แน่ไม่นอนไม่ใช่ของจริง
    (1.3) จิตตานุปัสสนา เอาจิตเรานี่ดูอารมณ์ใจในขันธ์ 5 ตนเองว่า อารมณ์ใจคิดดี คิดชั่ว คิดฉลาดหรือไม่ใจฉลาดคือ คิดตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างในโลกสูญสลายไม่ยืนยงตายหมด ถ้าจิตคิดชั่ว ก็ตัดออกไปเลิกคิด ทำจิตให้หลุดพ้นจากขันธ์ทั้ง 5 อารมณ์ใจในขันธ์ 5 นั้นไม่ใช่อันเดียวกับจิต ไม่ควรยึดถือเอาเป็นของเรา ใจอันนี้เป็นส่วนหนึ่งของอายตนะ 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ควรปล่อยวางไม่ให้มาวุ่นวายกับจิต
    (1.4) ธัมมานุปัสสนา จิตพิจารณาธรรม เพื่อ
    - ป้องกันมิให้นิวรณ์มารบกวนจิต
    - พิจารณาขันธ์ 5 ไม่ใช่ของจิต
    - อายตนะ 6 มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ใช่ของจิตเป็นเพียงวิญญาณอายตนะ 6
    (2) โพชฌงค์ 7 ทำจิตให้มีโพชฌงค์ 7 อยู่ประจำใจเพื่อช่วยยกระดับจิตเป็นจิตพุทธะ คือ มีสติระลึกไว้ ธัมมวิจยะเลือกไตร่ตรองธรรมะที่ชอบที่ถูก วิริยะ เพียรพยายามระงับกิเลสที่เกิดขึ้นในใจ ปิติอิ่มเอมใจในการทำความดี ปัสสาธิ จิตสงบจากกิเลสตัณหาอุปาทานจิต ไม่วุ่นวายกับขันธ์ 5
    สมาธิ จิตตั้งมั่นในอารมณ์ที่เป็นกุศลฉลาด มีสมาธิในกรรมฐาน 40 หรือมหาสติปัฏฐานสูตร
    อุเบกขา มีจิตวางเฉยในความทุกข์สุขทางโลกเห็นเป็นของธรรมดาหมดความยึดติดในสามโลก
    (3) อริยมรรค 8 อย่าง คือ ทางเดินของจิตเป็นทางเดินเข้าพระนิพพานที่ทำให้เป็นจิตอริยเจ้า พระอริยสาวกมี 8 ขั้น คือ
    1. พระโสดาบันปัตติมรรค
    2. พระโสดาบันปัตติผล
    3. พระสกิทาคามีมรรค
    4. พระสกิทาคามีผล
    5. พระอนาคามีมรรค
    6. พระอนาคามีผล
    7. พระอรหัตตมรรค
    8. พระอรหัตตผล
    [​IMG]
    ปัญญา = สัมมาทิฎฐิ สัมมาสังกะปะ มีความคิดเห็นถูกต้องในพระนิพพานกับจิต
    ศีล = สัมมาวาจา สัมมากัมมันตา สัมมาอาชีโว พูดดีทำดี เลี้ยงชีพดี
    สมาธิ = สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ตั้งจิตพยายามตั้งใจมั่นในความดีในกรรมฐาน 40 ในมหาสติปัฏฐานสูตรอย่างใดอย่างหนึ่งดีทั้งนั้น
    (4) พละ 5 มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ทั้ง 5 นี้เป็นพลังที่จะทำให้จิตสะอาดเข้าถึงอริยธรรมได้ง่ายและรวดเร็ว เพื่อความหลุดพ้นคือ พระนิพพาน
    (5) อินทรีย์ 5 อินทรีย์ คือ ความเป็นใหญ่ที่จะทำให้จิตบรรลุเป็นจิตพระอริยเจ้า มี 5 อย่างดังนี้ ศรัทธาอินทรีย์ วิริยอินทรีย์ สติอินทรีย์ สมาธิอินทรีย์ ปัญญาอินทรีย์
    (6) อิทธิบาท 4 คือ ทางปฏิบัติที่จะทำให้สำเร็จเป็นพระอริยเจ้าเข้าพระนิพพานได้ง่าย ๆ รวดเร็ว ปรารถนาอะไรก็ประสบความสำเร็จรวดเร็วได้ง่าย ทั้งทางโลกทางธรรม ทั้งอิทธิฤทธิ์ก็ได้ทุกอย่าง มี 4 อย่างคือ
    ฉันทะ มีความพอใจที่จะประพฤติธรรม
    วิริยะ มีความเพียรไม่ท้อถอยที่จะเอาชนะสังโยชน์ 10
    จิตตะ มีจิตมุ่งมั่นไม่วางวายที่จะสลัดละทิ้งขันธ์ 5 ออกจากจิตเพื่อจิตจะได้พ้นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด
    วิมังสา ใช้ปัญญาไตร่ตรองว่าทำถูกหรือไม่ตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า
    อิทธิบาท นี้ถ้าทำได้ครบจะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ จะสำเร็จอภิญญา 6 ก็ได้ จะอธิษฐานอยู่นาน ๆ กี่ปีก็ได้
    (7) สัมมัปปธาน คือมีความขยันหมั่นเพียรที่จะเอาชนะกิเลสมี 4 ประการ คือ (1) เพียรละบาปอกุศลความชั่วในจิต (2) ความเพียรไม่ให้ความชั่วเกิดขึ้น (3) ความเพียรให้มีกุศลธรรมตั้งไว้ในจิต (4) ความเพียรเอากุศลธรรมในจิตที่มีแล้วให้มีมาก ๆ นาน ๆ ตลอดเวลา
    อภิธรรมปริเฉทที่ 8
    กล่าวถึงปฎิจสมุปบาท คือ เหตุปัจจัยทำให้จิตเข้ามาเวียนว่ายตายเกิด และผลจากเหตุแต่ละอย่าง
    สรุปเอาง่าย ๆ ให้เข้าใจง่ายว่า เหตุที่ทำให้เวียนว่ายตายเกิดหรือวัฏฏสงสารคือ
    1) อวิชชา ความรู้ผิดเข้าใจผิดคิดว่าการเกิดเป็นคน เป็นเทวดา เป็นพรหมดี
    2) ตัณหา ความอยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ เจริญสุขอยากเกิดเป็นคน เทวดา พรหม
    3) อุปาทาน คิดทึกทักเอาว่า รูปร่างกาย คนรัก ทรัพย์สมบัติเป็นของเราจริง อุปาทานคิดว่าสวรรค์ พรหมเป็นสุขยิ่ง
    4) กิเลส มีความโลภ ความโกรธ ความหลง คิดว่าตัวเองดี คิดว่าการเกิดใน3โลกดี จึงเป็นเหตุให้เกิดในโลก 3 คือ นรกโลก มนุษย์โลก เทวโลก
    5) อกุศลกรรม คือ ทำบาปด้วยการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ แย่งคนรักผู้อื่น พูดโกหก ดื่มสุรายาฝิ่น เล่นพนัน จิตเศร้าหมอง ทำให้เกิดภพภูมิที่เป็นทุกข์ทรมานคือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
    ทั้ง 5 ข้อนี้ทำให้จิตเราท่านต้องมาเวียนว่ายตายเกิด มีร่างกายคนสัตว์ยิ่งเป็นทุกข์อีกเพราะเกิดมาก็ต้องทำมาหากิน แก่ เจ็บ แล้วตาย ไม่มีสาระประโยชน์อันใด
    ดังนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงสอนให้ดับต้นเหตุแห่งทุกข์ตัวแรก คือ อวิชชา ความรู้ไม่ครบรู้ไม่จริง ให้รู้จริง ๆด้วยการให้ ทาน มีศีล 5 ครบ มีพรหมวิหาร 4 มีสติระลึกรู้ว่ากำลังคิดดี คิดชั่ว มีสมาธิ จิตตั้งมั่นอยู่ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระนิพพาน เป็นอารมณ์ มีปัญญาเห็นทุกข์โทษของการเกิด เป็นคน สัตว์ เกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มีความรู้ว่า การเสวยสุขในเทวโลก พรหมโลก ก็เป็นสุขชั่วคราว แดนที่เป็นสุขถาวรคือพระนิพพานทำความดีเพื่อพระนิพพานเป็นปัญญาอันเลิศ อวิชชาก็หายไปโดยง่าย ๆ
    [​IMG]
    อภิธรรมปริเฉท 9
    บทที่ 9 นี้พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่อง กรรมฐาน 40 และวิปัสสนา 10 ซึ่งเป็นของเลิศประเสริฐสุด ที่ท่านใดก็ตามไม่ว่าชาติ ศาสนาใดปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระพุทธชินวรในกรรมฐานอันใดอันหนึ่งในกรรมฐาน 40 นี้ พร้อมกับวิปัสสนาญาณ 10 นี้ มีความอุตสาหะวิริยะไม่เกียจคร้าน ตั้งใจไว้จริงก็จะมีบารมีแก่กล้า จะได้บรรลุธัมมาพิศมัย คือ เป็นพระอริยเจ้าขั้นอรหัตตผลถ้าบารมียังอ่อนก็จะเป็นอุปนิสัยสำเร็จมรรคผลพระนิพพานในชาติต่อไป ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในโลกที่เต็มไปด้วยภัยอันตรายวุ่นวายทำมาหากิน มีสวรรค์ พรหม เป็นที่ไปและไปบำเพ็ญบารมีต่อ บนสวรรค์ พรหมเลื่อนระดับจิตเข้าเสวยวิมุติสุขยอดเยี่ยมตลอดกาลแดนบรมทิพย์พระนิพพาน
    กรรม คือ การกระทำสมาธิภาวนา ฐาน คือ รากฐานหรือพื้นฐานแห่งบุญบารมีเพื่อยกระดับจิตให้สะอาด
    กรรมฐาน แปลว่าพื้นฐานของการทำจิตใจให้มั่นคงมีสมาธิ ทำให้จิตที่ฟุ้งซ่าน รวมเป็นจิตที่นิ่งเฉย เพื่อรวบรวมพลังจิตที่ฟุ้งซ่านรวมเป็นจิตที่นิ่งเฉย หรือรวบรวมพลังจิตไว้ต่อสู้ฆ่ากิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชาให้หมดไปจากจิต เพื่อจิตจะได้เป็นอิสระเสรีจาก ความทุกข์กาย ทุกข์ใจ จิตเป็นอิสระเสรีจากการเวียนว่ายตายเกิดพ้นจากกฎแห่งกรรม จิตสะอาดฉลาดได้เสวยสุขยอดเยี่ยมแดนทิพย์อมตะนิพพานที่องค์สมเด็จพระชินศรีศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ชี้ทางกรรมฐาน 40 อย่างวิปัสสนาญาณ10 ให้เราเจริญรอยตามพระพุทธองค์ท่าน
    7. ในสมถกรรมฐาน 40 อย่างมีอะไรบ้าง
    สมถกรรมฐาน 40 อย่าง คือการฝึกจิตให้ตั้งมั่น จิตไม่วอกแวกสอดส่ายนิ่งกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดใน 40 อย่างนี้ เลือกตามใจชอบอย่างใดอย่างหนึ่งหรือชอบใจทุกอย่างก็ทำได้ทุกอย่างเพื่อยกระดับจิตปุถุชนเป็นจิตของอริยบุคคลในพระพุทธศาสนามีพระนิพพานเป็นจุดหมายปลายทางของชีวิตตามอัธยาศัยของพุทธบริษัท มีดังนี้คือ
    กสิณ 10 อย่าง ได้แก่ 1. ปฐวีกสิณ(ดิน) 2. อาโปกสิณ(น้ำ) 3. เตโชกสิณ(ไฟ) 4. วาโยกสิณ(ลม) 5. นิลกสิณ(สีเขียว) 6. ปีตกกสิณ(สีเหลือง) 7. โลหิตกสิณ(สีแดง) 8. โอทากสิณ(สีขาว) 9. อากาสกสิณ(ลม) 10. อาโลกสิณ(แสงสว่าง)
    อนุสสติ 10 อย่าง ได้แก่ จิตที่ตามระลึกนึกถึงคุณความดี 10 อย่างทำให้จิตสะอาดเป็นจิตพระอริยได้ง่าย ๆ เป็นกรรมฐานที่เข้าถึงความเป็นอริยบุคคลได้ง่ายรวดเร็วว่องไวเป็นจิตของผู้มีศรัทธาในพระพุทธองค์
    11. พุทธานุสสติกรรมฐาน คิดถึงพระคุณความดีของพระผู้มีพระภาคเจ้า
    12. ธัมมานุสสติกรรมฐาน นึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนคือ ศีล สมาธิ พระนิพพานเป็นปัญญาพระธรรมมีมากแบ่งออกเป็นโลกียธรรมและโลกุตตรธรรม
    13. สังฆานุสสติกรรมฐาน นึกถึงพระคุณความดีนำพระธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้ามาสอนพวกเราและพระอริยสงฆ์ทั้งหลายทั่วทั้งโลกมนุษย์ เทวโลก พรหมโลก ท่านมีพระคุณความดี เรานึกถึงท่านด้วยความเคารพ
    14. สีลานุสสติกรรมฐาน ตั้งใจตั้งจิตไว้ว่าเราไม่ทำความชั่วโดยละเมิดศีล 5 ศีล 8 ศีล 227 ข้อ ศีลเป็นรากฐานของผู้มีจิตฉลาดไม่ยอมทำบาปทั้งกายใจ
    15. จาคานุสสติกรรมฐาน นึกถึงการทำบุญให้ทานที่ทำแล้วและตั้งใจทำเพื่อสละละกิเลสออกจากจิตใจเป็นการตัดความโลภโดยง่าย
    16. เทวตานุสสติกรรมฐาน นึกถึงหิริ โอตัปปะความละอายต่อบาปมีผลให้เป็นเทวดาเป็นความดีงานของเทวดาไม่ยอมทำบาปทั้งที่ลับและที่แจ้ง
    17. มรณานุสสติกรรมฐาน นึกถึงความทรุดโทรมความเสื่อมสลายความตายของทุกอย่างในโลกเกิดมาเท่าไหร่ตายหมดเท่านั้น ไม่ว่าตนสัตว์วัตถุสิ่งของ
    18. อุปสมานุสสติกรรมฐาน การระลึกนึกถึงคุณความดีของพระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง พระนิพพานไม่ใช่อนัตตาไม่ใช่อัตตา พระนิพพานเป็นโลกุตตรธรรมอยู่เหนือโลกเหนือบาปเหนือบุญ เหนือการเวียนว่ายตายเกิด เป็นธรรมชาติอมตะสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีธาตุ 4 ขันธ์ 5 มีจิตของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์มากมายหลานพันล้าน พระนิพพานกว้างใหญ่ไพศาลไม่มีขอบเขตพรหมแดน ผู้ที่เข้าแดนทิพย์นิพพานมีอิสระเสรี จะมาโลกนี้จะไปนรกสวรรค์พรหมไม่มีใครมาห้ามได้ แต่ไม่ต้องไปเกิดอีกท่านมาด้วยจิต หรืออยู่ที่นิพพานจะดูโลกนี้ก็เห็นได้โดยง่าย โดยไม่ต้องมาเห็นได้ทั่วอนัตตจักรวาลเพราะมีตาทิพย์หูทิพย์ การระลึกถึงพระนิพพานจึงทำให้จิตสะอาด เป็นกรรมฐานของท่านผู้ฉลาดเป็นพุทธจริต ทำความดีทุกอย่างเพื่อพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดมีพระนิพพานเป็นที่ไปของจิต ขันธ์ 5 ก็แตกสลายเป็นอนัตตา จิตเป็นอมตะไปเสวยสุขอย่างยิ่งตลอดกาลไปอยู่กับองค์พระพิชิตมารศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    19. อานาปานุสสติกรรมฐาน นึกถึงลมหายใจเข้าออก กรรมฐานนี้เป็นสติสัมปะชัญญะละเอียดทำให้จิตเป็นฌาน ฌาน1-ฌาน 4 มีปัญญาสามารถตัดขันธ์ 5 ได้ง่าย ๆ ทำให้อนุสติทั้งหมดทรงตัว ทำให้กสิณคือ สิ่งที่เพ่งเป็นจิตมีพลังเป็นฌานถึงฌาน 4 ที่ พระโบราณาจารย์ที่ท่านปฏิบัติได้ผลมาแล้ว คือพระอรหัตตผล
    องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ท่านเป็นพระพุทธเจ้าแล้วท่านไม่ได้ทิ้งอานาปานุสสติ แม้ท่านจะละขันธ์ 5 เข้าพระนิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เข้าฌาน1-2-3-4-5-6-7-8 เพื่อระงับทุกขเวทนาทางกาย จิตสบาย จิตพระองค์ท่านเสด็จเข้าสู่ปรินิพพานในฌาน 4 การทรงฌานทำให้เกิดปัญญาเฉียบแหลมทั้งทางโลกทางธรรม ตื่นเป็นสุขหลับสบาย วิปัสสนาญาณก็แจ่มใสเพราะปัญญาฉลาดมาก การที่จะมีอภิญญาสมาบัติก็เริ่มต้นด้วยการรู้ลมหายใจเข้าออกจนจิตชินละเอียดเป็นฌาน 1-2-3-4-5-6-7-8 ก็ฌาน 5-6-7-8 ก็คือ ฌาน 4 แต่จิตเพ่งอยู่ในสิ่งที่ไม่มีรูป คือ อากาศและวิญญาณ สัญญา เป็นต้น
    20. กายคตานุสสติกรรมฐาน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนไว้ในพระไตรปิฎกว่า ให้พิจารณาร่างกายเป็นของมีทุกข์มีโทษแปรปรวนเจ็บป่วย หิวหนาวร้อน แถมสกปรกเหม็นเน่าตลอดเวลา ท่านให้จิตเราพิจารณาตามความเป็นจริงของขันธ์ 5 รูป+นาม คือ ร่างกายที่จิตเราได้อาศัยแท้ที่จริง ร่างกายเป็นเพียงหุ่นที่จิตเรามาอาศัยอยู่ชั่วครู่ชั่วคราว ถ้าร่างกายตาย จิตเรามีจุดหมายปลายทาง คือ พระนิพพาน ที่พระโไตรโลกนาถศาสดาชี้ให้เราเดินทางสายกลาง คือ มรรค 8 มีทาน ศีล ภาวนาเป็นผลบุญหนุนนำส่งเมืองแก้วเมืองทิพย์พระนิพพานเป็นของจริง ส่วนร่างกายเป็นของปลอมเป็นของสกปรกแตกสลายตายง่ายไม่ควรยึดติดของสมมุติเป็นของปลอมของสูญเปล่า ขณะที่ร่างกายยังไม่ตาย ดูลมหายใจจนจิตเป็นสมาธิแล้วเปลี่ยนมาดูวิจัยร่างกายเราตามความเป็นจริง จิตเราจะละทิ้งเลิกรักหลงใน ร่างกายได้ง่าย เพราะมีปัญญาดี เห็นเหตุของทุกข์ เห็นผลคือ ไม่สนใจร่างกาย ผลคือ จิตเป็นสุขจิตสะอาดท่านเรียกว่า จิตพระอริยเจ้า การพิจารณาร่างกายนี้เป็นทั้งสมถะและวิปัสสนาญาณคือ เห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของจิต จิตกับกายแยกกันคนละส่วน เป็นการตัดสักกายทิฏฐิและเป็นมหาสติปัฏฐานสูตร
    ข้อแรกคือ ดูกายดูแล้วเลิกละยึดติดในกาย เพราะกายเป็นของปลอมเป็นอนัตตา จิตเป็นอมตะเป็นของจริงเป็นของสะอาดบริสุทธิ์เป็นสิ่งที่จะเสวยสุขยอดเยี่ยมแดนทิพย์อมตะนิพพานได้
    อสุภกรรมฐาน10
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำไว้ให้พิจารณาร่างกายเป็นซากศพ 10 รูปแบบตั้งแต่ตายวันที่ 1 จนถึงซากศพวันที่ 10 สำหรับผู้ที่มีราคะจริตรักสวยรักงามของร่างกาย ถ้าพิจารณาร่างกายเป็นซากศพจนเป็น เอกัคคตารมณ์อารมณ์นิ่งอารมณ์เดียวเป็นปกติ ก็เป็นปัจจัยเข้าถึงพระอนาคามีโดยง่ายดาย
    ให้ดูคนหรือสัตว์ตายเพราะสกปรกเหมือนกัน ตายวันที่หนึ่ง สิ้นลมปราณตัวแข็ง ธาตุไฟหมด ตัวเย็นชืด ธาตุลมหมด เหลือแต่ ธาตุน้ำกับธาตุดิน
    ตายวันที่ 2 เริ่มมีน้ำไหลออกจากรูทวารทุกรูจากร่างกายน้ำเหม็นเน่าท้องเริ่มเขียว
    ตายวันที่ 3 ซากศพบวม อ้วนพี มีกลิ่นเหม็นซากศพเหม็นตุ ๆ
    ตายวันที่ 4 - 5 น้ำอืด น้ำเหลือง มีมันจุกเนื้อหนังปริขึ้นอืดเต็มที่ สิ่งสกปรกในร่างกายไหลออกมา เพราะธาตุน้ำแยกออกจากธาตุดินในซากศพส่งกลิ่นเหม็นไปไกล
    วันที่ 6-7 ซากศพเริ่มแตกแยกเละเทะเหม็นไปทั่วทิศเหม็นเน่า
    วันที่ 7-8 มีหมู่หนอนเกิดขึ้นชอนไชกินซากศพเป็นอาหาร แมลงวันตอม
    วันที่ 8-9-10 ซากศพกระจัดกระจายเละเทะกระดูกอยู่ที่เนื้อเน่าเละเทะไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีหน้าตาเหลืออยู่แล้ว แขนขากระจาย เป็นเหยื่อของหนอนแมลง
    ท่านให้มองดูซากศพแล้วย้อนมองดูร่างกายตัวเราก็เป็นแบบนั้น ไม่มีอะไรน่ารักใคร่ใหลหลง จิตจะหลุดพ้นจากความหลงในกายเรา กายเขาได้ง่าย เป็นทั้งสมถะและวิปัสสนาญาณ ตอนแรกก็ใช้สัญญาความจำ ต่อไปก็ใช้ปัญญามองความเป็นจริงของชีวิตร่างกาย ก็คือ ซากศพเดินได้ พูดได้ ตายทุกวัน ตายจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ จากผู้ใหญ่เข้าวัยชรา จากวัยชราก็วัยตายไม่เหลือหลอ
    กรรมฐานทั้ง 40 มีกสิณ 10 กับอนุสติ 10 กับอสุภกรรมฐาน 10 รวมเป็น 30 กรรมฐาน
    อีก10 กรรมฐานคือ
    พรหมวิหาร 4 กรรมฐาน
    31. เมตตา ต่อคนสัตว์ทั้งโลกมีความรักสงสารสัตว์โลกที่ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน
    32. กรุณา หาทางช่วยตามความสามารถเท่าที่ช่วยได้
    33. มุทิตา พลอยยินดีกับผู้ได้ดี ไม่ริษยาโมทนาสาธุกับผู้ที่มีความดี ความสุข
    34. อุเบกขา จิตวางเฉยถ้าช่วยเขาไม่ได้ ถ้าวางเฉยในความสุข ทุกข์ของขันธ์ 5 เป็นจิตของพระอรหันต์
    อรูปฌาน 4 กรรมฐาน คือ มีสมาธิทรงฌานทางไม่มีรูปอีก 4 อย่าง ได้แก่
    35. อากาสานัญจายตนะ ท่านที่ภาวนาจิตถึงฌาน 4 แล้วเป็นรูปฌาน จิตจับภาพกสิณใดกสิณหนึ่ง จะเป็นรูปพระพุทธรูป เป็นกสิณก็ได้ ถ้าพระพุทธรูปเป็นแก้วใสเรียก อาโลกสิณในพุทธานุสสติกรรมฐาน ควบกัน 2 กรรมฐาน จนจิตเข้าถึงฌาน 4 เป็นรูปฌาน ท่านจะเข้าอรูปฌานก็ให้ภาพกสิณหายไปไม่สนใจแล้วจิตจับอรูปเข้าแทน คือ พิจารณาอากาศไม่มีรูป เวิ้ง ว้าง ว่างเปล่า ไม่มีที่สิ้นสุด ชีวิตเราก็เวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่สิ้นสุดฉันนั้น จิตพิจารณาอากาศแบบนี้ในฌาน 4 ท่านถือว่าเป็นอรูปฌานที่ 5 เป็นกรรมฐานไม่ต้องการรูป เพราะมีรูปถึงมีทุกข์ ร่างกายเรามีรูปจึงมีทุกข์เวทนาท่านก็จับพิจารณาร่างกายให้หายไปเหลือแต่อากาศ
    36. วิญญาณัญจายตนะ จากฌานที่ 5 ในอากาศท่านให้ทิ้งอากาศออกไปจากจิต พิจารณาวิญญาณในขันธ์ 5 แทนอากาศ จิตยังคงไว้ฌาน 4 แล้วจิตมาดูวิญญาณ คือ ความรู้สึกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แม้ร่างกายตายเป็นผียังมีความรู้สึกทางวิญญาณ สุข ๆทุกข์ ๆ เพราะมีประสาทวิญญาณรับสัมผัสและถ้าจิตยังติดอยู่ในวิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น สัมผัส ทางกาย อารมณ์ ใจที่ชอบไม่ชอบนั้นมีสุข ๆทุกข์ ๆ ไม่สิ้นสุดเพียงใด เวิ้งว้างว่างเปล่าเหมือนวิญญาณ หาจุดเริ่มต้นจุดที่สิ้นสุดไม่ได้ จิตเราก็เวียนว่ายตายเกิดตามวิญญาณของคนของสัตว์เป็นผี เป็นผีเทวดา เป็นผีพรหม ถึงแม้จะเป็นกายพรหม กายเทพ เป็นวิญญาณมีความสุขมากแต่ก็ไม่ถาวรตลอดกาล คิดแบบนี้ท่านว่าได้ อรูปฌาน 6
    ถ้าเป็นพระอริยเจ้าได้อรูปฌาน 6 ท่านเรียกว่าได้ สมาบัติ 6 ถ้าเป็นฌานโลกีย์ ยังไม่เป็นอริยบุคคลท่านเรียกว่า โลกีย์ฌาน 6 ตายแล้วก็ไปเกิดในอรูปพรหม แต่ถ้าเป็นพระอริยเจ้าได้สมาบัติ ก็เข้าพระนิพพานได้ง่าย เพราะมีปัญญาเข้าใจแล้วว่าอรูปพรหมไม่ใช่แดนทิพย์ถาวรและไม่ใช่สุขยอดเยี่ยมเช่นพระนิพพาน
    37. อากิญจัญญายตนะ ท่านเปลี่ยนจากการพิจารณาวิญญาณยังไม่สิ้นสุดของความทุกข์ มาเป็นพิจารณาเห็นว่าโลกนี้ทั่วอนันตจักรวาลสูญสลายตายหมดเป็นอนัตตาแตกสลายพังทั้งสิ้นไม่ว่า คน สัตว์ วัตถุ ไม่มีอะไรเหลือสูญสลายหมด มองดูทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเหลือแต่ว่างเปล่า ถึงแม้มีคน สัตว์ วัตถุ ก็มีเพียงชั่วครู่ชั่วคราวมิช้ามินานก็สูญสลายตายกันหมด เป็นทั้งสมถะและวิปัสสนาญาณจิตทรงฌาน 4 อยู่แบบนี้มองไปในโลกมีแต่ความว่างเปล่าไม่มีอะไรเหลือ เรียกว่า ท่านทรงอรูปฌานที่ 7 คือ อากิญจัญญายตนะ จิตเป็นสุขแต่ยังไม่จบกิจทางพระพุทธศาสนา
    38. เนวสัญญานาสัญญายตนะ จิตยังคงทรงฌาน 4 หรือ อรูปฌานที่ 7 แล้วเปลี่ยนจากการพิจารณาความไม่มีอะไรเหลือแม้แต่น้อยนิด แต่อารมณ์ยังไม่หมดทุกข์เพราะมีความจำได้หมายรู้ จำชื่อ จำคนรัก จำทรัพย์สมบัติ จิตยังหนักอยู่ ท่านจึงพยายามตัดสัญญาความจำออกไปโดยการที่จิตทำเฉย ๆ ทำเหมือนไม่มีความจำ ทำให้ลืมจากขันธ์ 5 เขาขันธ์ 5 เรา ไม่มีตัวไม่มีตน จิตแบบนี้คล้ายจิตของพระอรหันต์เพราะเป็นทั้งสมาธิและวิปัสสนาญาณ จิตมีความสุขมาก พระพุทธองค์ท่านสอนไม่ให้ติดความสุขในฌานสมาบัติ 5-6-7-8 เป็นเพียงบันไดของจิตเพื่อให้มีปัญญาชาญฉลาดเข้าถึงพระอรหัตตผล ด้วย สมาธิวิมุตติ สายปฏิสัมภิทาญาณ ไม่สนใจตัวเราตัวเขา ทำจิตทรงในเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะ ถ้ายังมีความจำได้หมายรู้ ก็ยังมีการยึดมั่นถือมั่น จิตยังไม่เบาจริง ยังหนักด้วยการจำ ท่านทรงฌาน ทำเป็นไม่จำไม่สนใจ คือ ฌานในอรูป 8 สมาบัติ 8 ในเนวสัญญานาสัญญายตนะ
    39. อาหารเรปฏิกูลสัญญากรรมฐาน
    พระพุทธเจ้าสอนให้พิจารณาอาหารที่คนเราติดในรสอร่อยของอาหารทำให้อยากเกิดมากินอาหารอร่อย ๆ ถูกใจจิตก็ยึดติดในรูปรสกลิ่นเสียง ทำให้ตกอยู่ในทะเลทุกข์เป็นคนสัตว์เวียนไปเวียนมา เพราะติดใจในรสอาหาร พระพุทธองค์ทรงสอนให้พิจารณาอาหาร ก่อนฉันก่อนกินว่ามาจากซากศพสัตว์สกปรก ซากพืชก็เน่าเหม็นสกปรก ร่างกายอยู่ได้ด้วยของสกปรกร่างกายก็ยิ่งสกปรกมากเป็นกรรมฐานเหมาะสำหรับผู้ฉลาดเป็นพุทธจริต ชอบคิด ชอบรู้ พระองค์ท่านก็ให้รู้ของจริง คือ อาหารไม่น่าติดใจหลงใหล เพราะเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ ไม่ถึงพระนิพพาน เพียงแต่กินระงับความหิว รู้ว่าอร่อยแต่ไม่ถือว่าเป็นของที่ทำให้จิตเป็นสุข ถ้าติดในรสจิตก็ติดในโลกไม่มีทางพ้นทุกข์ได้ การกินอาหารเจไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์ แต่ต้องกินแบบไม่ติดในรสอาหาร ให้พิจารณาเป็นของสกปรกบำรุงร่างกายสกปรก จิตจึงจะสลัดละความหลงติดในรสอาหารได้ ถ้าไม่หลงกาย ก็ไม่หลงในรสอาหาร อร่อยกินเพื่อระงับความหิว
    40. จตุธาตุววัฏฐาน 4
    กรรมฐานบทนี้เหมาะสำหรับคนฉลาด นิสัยชอบค้นคว้า อยากรู้อยากเห็นคนมาจากไหน ตายแล้วไปไหนเป็นพุทธจริต เป็นกรรมฐานพิจารณาค้นคว้า วิจัยคนสัตว์ตามความเป็นจริง คือ ร่างกายคนมี ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลมหรืออากาศมีแก๊สออกซิเจน ไนโตรเจร คาร์บอนไดออกไซด์และไฮโดรเจนประกอบกันเป็นนิวเครียสเซลล์เนื้อหนังมังส่ กระดูกของแข็งเป็นธาตุดิน น้ำ ก็มาจากธาตุโฮโดรเจนกับออกซิเจนผสมกัน ธาตุไฟคือ ความอบอุ่นในร่างกายเกิดจาก การเผาผลาญอาหารที่เรากิน เป็นพลังงานกับความอบอุ่น ทำให้ร่างกายทรงตัวอยู่ได้ ถ้าเราไม่เติมอากาศออกซิเจน ไม่เติมน้ำ อาหารให้ร่างกายตลอดวัน ร่างกายก็ตายทันที
    ดังนั้นร่างกายนี้เป็นภาระอันหนักจิตเราผู้อาศัยต้องหาน้ำ อาหาร อากาศเติมให้ร่างตลอดเวลา สกปรกเหม็นเน่าต้องชำระล้างไม่ได้หยุด พิจารณาไปจนเห็นว่า กายเป็นของธรรมชาติเป็นของโลกอยู่ใต้กฎของธรรมชาติ คือ เกิดขึ้น แล้วก็สลายตัวทุกสิ่งทุกอย่าง จิตเราไม่สลายตามร่างกายจึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะไปหลงรักรูปที่เป็นเพียงภาพมายา เป็นของปลอมของชั่วคราว จิตเราควรก้าวไปหาของจริงคือ พระนิพพาน เป็นของจริงไม่สูญสลาย ตามที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะให้เราหาทางพ้นทุกข์ คือ อย่าติดในของปลอม คือร่างกายเพราะทำให้ผิดหวัง
    ในกรรมฐานทั้ง 40 แบบนี้ แบบที่ยากที่สุดเพราะละเอียดที่สุดคือ อานาปานุสสติกรรมฐาน เป็นกรรมฐานที่คลุมกรรมฐานทั้ง 40 แบบ เวลาปฏิบัติท่านให้กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกควบทุกกรรมฐานทั้ง 40 แบบ คือ การภาวนา ถ้าธัมมานุสสติก็จับภาพพระธรรมเป็นดอกมะลิแก้วใสแพรวพราวไหลออกจากพระโอษฐ์ขององค์พระบรมโลกนาถศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    สำหรับอุปสมานุสสติกรรมฐาน คือ จับภาพพระนิพพาน ผู้ที่ฝึกมโนมยิทธิจิตจะเห็นภาพพระนิพพาน ภาพพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเบื้องบนพระนิพพาน ยกจิตไปฝากไว้กับองค์พระพิชิตมารไว้ตลอดเวลาจิตเบามีความสุขเป็นจิตนิพพานไม่มีกิเลสเกาะรบกวน
    ผู้ที่ยังไม่เคยฝึกมโนมยิทธิ ท่านก็ให้เอาจิตจับภาพพระพุทธรูปแทนก็ได้ ท่านที่เข้าถึงพระนิพพานองค์แรก คือ พระพุทธเจ้า ก็จับภาพพระพุทธรูปแล้วภาวนาว่า นิพพานสุขัง จนจิตเป็นฌาน 4 จะมีปัญญาตัดกิเลสได้ทั้งหมด ได้กรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งในกรรมฐาน 40 ร่วมกับวิปัสสนาญาณ คือ ทุกคนในโลกนี้ ไม่มีใครเป็นสุขจริง มีแต่ความแปรปรวน ทุกอย่างสูญสลายไม่ว่านรกโลก เทวโลก พรหมโลก ก็เป็นพระอรหันต์จบกิจในพระพุทธศาสนาได้ ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องฝึกทั้ง 40 กรรมฐาน
    การฝึกให้จิตมั่นคงในคำภาวนาจะพุทโธ สัมมา อรหัง นะมะพะธะ นะโมพุทธายะ เป็นการนึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าดีทุกอย่าง ทำให้เราเป็นผู้ชนะทุกอย่าง เพราะพลังบุญบารมีเป็นมหากุศล มีพลังจิตบวกกับพลังพระพุทธานุภาพเพื่อเอาชนะกิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา อกุศลกรรม ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เราต้องมาเวียนว่ายตายเกิด
    คุณประโยชน์ของการฝึกกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งในกรรมฐาน 40 นั้นมีมากมายมหาศาล คือ มีความสุขกายสุขใจ ซึ่งแม้จะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีก็ไม่มีความสุขเท่า การมีจิตมั่นคงในการภาวนา ร่างกายไม่มีโรคภัยเบียดเบียน มีสติปัญญาชาญฉลาดทั้งทางโลกทางธรรม มีคนเคารพนับถือ มีคนเมตตา มีจิตใจร่าเริงเบิกบานเพราะไม่มีความทุกข์กายทุกข์ใจใดๆ รบกวนจิตใจของท่านที่มีสมถะภาวนา เป็นการตัดภพตัดชาติ ตัดการเวียนว่ายตายเกิด ความโลภ ความโกรธ ความหลง หลุดหายไปด้วย เจโตวิมุติ หลุดพ้นทุกข์ด้วยสมาธิภาวนา จิตเข้าถึงอริยมรรคอริยผลได้รวดเร็ว มีความร่ำรวยทางธรรมมีความร่ำรวยทางโลก มีลาภ ยศ สรรเสริญ เจริญสุข มีพระนิพพานในจิตใจ ความทุกข์จากการเกิดแก่เจ็บตายไม่รบกวนจิตใจ ตายจากความเป็นคน จิตท่านที่เจริญพระกรรมฐานก็เข้าเสวยสุขเบื้องบนพระนิพพานตลอดกาลนาน
    [​IMG]
    วิสุทธิ 7 ประการ
    วิสุทธิ 7 ประการ คือ จิตจะถึงความสะอาดบริสุทธิ์ปราศจาก อวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรมมี 7 อย่าง คือ เป็นพระอรหันต์ขีณาสพได้ด้วยความบริสุทธิ์ 7 ประการ

    1. สีลวิสุทธิ คือ ไม่ละเมิดศีล 5 ศีล 8 หรือ ศีล 227 ข้อ ตามกำลังของท่าน
    2. จิตตวิสุทธิ จิตจะสะอาดได้ก็กำจัดกิเลสร้ายคือ นิวรณ์ 5 ได้เด็ดขาด
    3. ทิฏฐิวิสุทธิ คือ มีจิตเข้าใจมีความคิดเห็นตรง ไม่ขัดแย้งกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ความเห็นที่ว่าตายแล้วจิตสูญตามขันธ์ 5 หรือพระนิพพานเป็นอนัตตา เป็นความเห็นผิดไม่ตรงตามพระธรรมคำสอนที่พระองค์ว่า นิพพานนังปรมังสุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ถ้าจิตสูญสลายตามขันธ์ 5 นิพพานเป็นอนัตตาแล้วไซร้ จะเอาอะไรไปเป็นสุขอย่างยิ่งเล่า โกลนี้เป็นทุกข์เพราะ เป็นอนัตตา พระนิพพานเป็นสุข เพราะพระนิพพานไม่ใช่อนัตตาไม่ใช่ตัวตน คือ อมตะธรรมชาติที่วิเศษยิ่ง ไม่มีขันธ์ 5 ไม่มีขันธ์ทิพย์แห่งกายเทพกายพรหม ไม่มีอวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน บาปบุญกรรม ตามไม่ถึงอิสระเสรีตลอดกาล
    4. กังขาวิตรณวิสุทธิ คือ จิตจะบริสุทธิ์ ผุดผ่องสะอาดได้ด้วยหมดความสงสัยกังขาในพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์สวัสดิโสภาคย์ ที่พระองค์ท่านมีเมตตาต่อปวงชน สั่งสอนเทวดา พรหม คน สัตว์ ชี้แนะแนวทางแสงสว่างของชีวิตคือ พระนิพพาน ผู้ใดเห็นพระพุทะเจ้า เห็นพระพุทธรูป (องค์แทนพระพุทธเจ้า) ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเข้าใจในพระธรรม คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ผู้นั้นเห็นองค์พระตถาคต ผู้ใดเห็นพระตถาคตผู้นั้นเห็นเข้าใจพระนิพพาน อยู่ในจิตในใจของทุกท่านเอง คือ จิตหลุดพ้นจากอวิชชา กิเลส ตัณหาอุปาทาน อกุศลกรรมทำชั่วไม่มี
    5. มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ มีความรู้ความเข้าใจในความเป็นไปของจิต คือ ถ้าจิตใจยังผูกพันในอวิชชา ความไม่รู้ตามความเป็นจริงของชีวิต มีกิเลส โลภ โกรธ หลง มีตัณหาความอยาก มีบาปกรรมชั่ว ติดในรสอาหาร ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดภพทั้ง 3 คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ มีนรก สัตว์เดรัจฉาน ผีเปรต คน เทวดา พรหม เวียนเกิดเวียนตายไม่มีวันหยุดยั้งจนกว่าจะจบกิจ มีจิตสะอาดเข้าพระนิพพานได้
    6. ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ จิตสะอาดบริสุทธิ์หมดจดจากอวิชชา กิเลส ตัณหาอุปาทาน ได้ด้วยการรู้ฉลาดเข้าใจตามความเป็นจริงของโลก ของร่างกายเป็นทุกข์เป็นโทษ เพราะแปรปรวนเสื่อมสลาย มีแต่ของสกปรก น่ารังเกียจเป็นของสมมุติ เป็นของปลอม เป็นภาพมายา หลอกหลอนให้จิตหลงตลอดเวลา เกิดความเบื่อหน่าย เกิดความวางเฉยเห็นว่าเป็นธรรมดาของโลก ของขันธ์ 5 ไม่ทุกข์ไม่สุขไม่ยินดียินร้ายกับขันธ์ 5 คือ มี วิปัสสนาญาณ 10 อย่างนั่นเอง เป็นหนทางที่จะทำให้จิตสะอาดเป็นพระอรหัตตผลขีณาสพเจ้ามีจิตพระนิพพานพ้นจากอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แม้ยังไม่ตายจิตก็เป็นสุขเลิศล้ำ ทั้ง ๆ ที่ร่างกายยังเจ็บป่วยทุกข์ทรมานตามธรรมชาติของโลก จิตท่านไม่เกาะเกี่ยวกับความทุกข์ในขันธ์ 5 อีกต่อไป
    7. ญาณทัสสนวิสุทธิ จิตสะอาดบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นจากพลังของญาณของสมาธิภาวนา พ้นจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชาด้วยปัญญาที่เข้าฌาน 1-2-3-4 เป็นอัปปนาสมาธิกำลังแก่กล้า สำเร็จกิจตัดกิเลส อย่างอยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียดเป็นพระอรหันต์ พระอริยบุคคลที่สูงสุดในพระศาสนาเรียกว่า สมาธิวิมุตติ สำเร็จกิจด้วยกำลังของฌานสมาบัติเป็นปัญญารู้รอบวิปัสสนาญาณ ตามความเป็นจริง





    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2008
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,103
    เพิ่งกลับจากประชุมทุนนิธิฯ มา เดี๋ยวจะมีรูปพระที่จะแจกฟรี มาลงให้ดูทั้งหมด รวมถึงรูปกริชและพระขรรค์ที่หลวงปู่ใหญ่ท่านอธิษฐานจิตไว้ โดยทั้งกริชและพระขรรค์จะนำไปให้บูชาเฉพาะผู้ที่ไปทำบุญเท่านั้นถ้าคราวนี้หมดไม่เป็นไร เดี๋ยวจะไปเอามาอีก ราคาหลักร้อยต้นๆ เอาเงินเข้าทุนนิธิฯ ให้หมด ที่สำคัญก็คืออยากให้ผู้ที่ไปทำบุญมีของดีไว้ใช้ ผ่านการตรวจทีละด้ามทั้ง อ.ประถม และพี่ใหญ่ทุกอย่าง ทั้งพระและเครื่องราง ไปทำบุญกันเยอะๆ ก็แล้วกัน ส่วนพระพิมพ์ที่แจกฟรี ผมกะว่าจะให้พร้อมกับซุ้มไทรย้อย และซุ้มไข่ปลาเลย รวมเป็นแจกพระคราวนี้ มีประมาณ 3-4 องค์ ที่เหลือเดี๋ยวจะเอาไปให้พระวัดมาบจันทร์ (เป็นวัดกรรมฐานสาขาของหลวงปู่ชา อยู่ จ.ระยอง) สาขาเชียงใหม่ ท่านเอาไปแจกงานกฐินเป็นบางส่วนด้วย ขี้เกียจเก็บไว้เยอะ ไม่อยากให้บ้านเหาะได้ครับ (มีพระพิมพ์สมเด็จเจ้าคุณกรมท่าฯ อยู่พิมพ์หนึ่งที่จะแจกฟรีพร้อมกันด้วยพิมพ์นี้สำคัญมากในความเป็น "ทิพย์" ผมมีอยู่ 300 องค์ พิเศษอย่างไร ไว้ดูในหนังสือคู่มือที่สร้างพระ "ปิยบารมี" ในหมวดที่ทำน้ำมนต์ที่คณะกรรมการฯ กำลังเขียนกันไว้ครับ คราวนี้เก็บพระไว้ก่อน แล้วค่อยเฉลยในปีหน้า) เดี๋ยวดูรูปที่จะโพสท์ก่อน แล้วค่อยโม้ต่อครับ

    สัปดาห์นี้คงมีเท่านี้ ส่วนอื่นๆ เพิ่มเติมคงว่ากันต่อในสัปดาห์หน้า ส่วนเรื่องพระพิมพ์ที่นายสติ หรือ อ.ปุ๊ จะสอนให้ดู คราวนี้เป็นพระกรุวัดชนะสงคราม และพระพิมพ์ปิดตาของหลวงปู่เอี่ยมวัดสะพานสูง ครับ เท่าที่เห็น ของหลวงปู่เอี่ยมจะสอนให้ดูเนื้อใน ดูความเก่าของรัก และดูทรงพิมพ์ครับ

    พันวฤทธิ์
    21/9/51
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2008
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,103
    สำหรับผู้ที่มาใหม่ดูฉบับย่อที่น้องโอ๊ต ช่วยอัพเดทให้ตามนี้น๊ะครับ


    http://www.vcharkarn.com/vblog/34941/23


    คลิ๊กเลือกอ่านทีละหน้าทีละหัวข้อแล้วจะรู้ความเป็นมา...และกิจกรรมของทุนนิธิฯ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน



    พันวฤทธิ์
    21/9/51

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
     
  13. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    วันนี้ก็ขอขอบคุณพี่ๆ ท่านครับ

    ไม่ค่อยอยากจะโพสอะไรมากครับ

    ที่ผ่านมานั้นก็มองว่าเป็นครูครับ เป็นสิ่งที่ดี ให้ประสบการณ์ที่ดีแก่ชีวิต
    (ผมไม่ได้จะใครทั้งนั้นครับ เพราะไม่รู้อะไรกะใคร)


    ธรรมเป็นที่จิตที่ต้องฝึกฝนครับ

    จำเป็นจริงๆ ตอนนี้เห็นคุณค่าของการนั่งสมาธิมากครับ

    งานเยอะมาก ไม่นั่งสมาธิ สติแตก ต้องหาต้นหาปลายมาทำไปทีละอย่าง

    ไปโมโหอะไร ก็ไม่เกิดประโยชน์ครับ งานมันอย่างนั้น คนมันอย่างนั้น



    วันนี้ก็ได้เรื่องการหมุนเวียน เปลี่ยนแปลงของโลก

    ชีวิตก็เปลี่ยนไป ตามกาลเวลา

    แต่จุดสำคัญก็ตรงที่ว่า เราก็ช่วยคน ช่วยอย่างมีน้ำใจ ไม่ลำบากใจก็ใช้ได้ครับ


    มีอีกหนึ่งสิ่งไม่ชัดเจน แต่ก็ขอลงไว้ครับ
    ณ วันก่อนถ้าเราเคยไป บอกว่าใครทำไม่ถูกอะไร
    พอเวลามันเปลี่ยน กลายไปมา เราจะทำซะเองนี่ซิ

    อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงได้นา คนก็คนนะครับ
    ผมก็กลับมาได้ที่

    ถ้าเราไม่ทำสมาธิ จิตไม่นิ่ง ไม่อยู่ตัว
    อะไรๆ ก็เข้าหมด สติหายปัญญาไม่เกิด
    เรื่องจะยุ่งเอา

    แต่ถ้าเราทำสมาธิ จิตอยู่ตัว ปัญญามี
    พิจารณาดีๆ จากใจจริงๆ ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ
    มีหลักธรรม อะไรๆ ก็ไม่ลำบากครับ

    ปัญญายังไม่มา คิดไม่ออก มองไม่เห็นจริง
    อะไรๆ ก็ไม่ถูกนะครับ

    พิจารณาเอาละกันครับ พี่ท่านว่า ต้องใช้ปัญญา
    ต้องคิดให้ดี จะเอาดีกันไม่ใช่เลอ


    การทำบุญสร้างกุศลดีๆ ทำให้จิตใจอ่อนโยน มีความสุขใจ
    ทั้งยังได้ช่วยเหลือพระ และท่านอื่นๆ ด้วยครับ

    ยามเราลำบาก เราก็อยากได้คนช่วยจริงไหมครับ

    สาธุครับ
     
  14. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,292
    สงครามโลกครั้งที่ 3 กับของที่ว่า
     
  15. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,292
    หลังจากเห็นนิมิต ต่อมาปฏิบัติก็มีแต่อารมณ์ฟุ้งตลอดเวลา

    ปุจฉา

    ดิฉันได้ฝึกหัดการเจริญสติให้เป็นสมาธิ โดยใช้เทคนิคการหายใจ แบบที่องค์หลวงปู่ท่านทรงแนะนำลูกหลานอยู่เป็นประจำ ขณะที่จิตกำลังสงบ โดยได้ติดตามรับรู้กองลมที่เข้าและออก อยู่ๆ ก็สังเกตเห็นลมหายใจเข้ามาในตัวเอง ซึ่งปกติจะแค่รับรู้เฉยๆ แต่นี่เหมือนเห็นลมวิ่งเข้ามาในตัว และขณะที่เห็นลมหายใจออก ก็ปรากฏหัวของตัวเองตามออกมาด้วย และหันมาประจันหน้ากัน ชัดเจนมาก (เหมือนคนมานั่งอยู่ข้างหน้าเรา ทั้งๆ ที่กำลังหลับตาอยู่) ดิฉันก็พิจารณาไปเรื่อยๆ ว่า ถ้าเราไม่หายใจเข้าหรือออก จะเป็นอย่างไร ? รูปหน้าของดิฉันก็เริ่มอึดอัดเหมือนคนหายใจไม่ออก ในใจก็นึกว่า ถ้าไม่หายใจก็คงจะตาย ทันใดนั้นใบหน้านั้นก็เริ่มซีดขาว และเหมือนกับว่าตายแล้ว ใจก็คิดว่าคนตายเป็นอย่างนี้เอง ก็คิดต่อไปอีกว่าแล้วที่ตายหลายวัน ศพจะขึ้นอืดอย่างไร ก็ปรากฏให้เห็น ดิฉันนั่งดู นั่งพิจารณาขอรู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ภาพต่างๆ ก็ปรากฏ ให้เป็นสภาพของสังขารที่เน่าเปื่อย ผุพัง ไปเรื่อยๆ จนถึงกะโหลก และค่อยๆ ยุ่ยสลายเป็นผง ลมพัดมาหายไปจนสิ้น ไม่ปรากฏชิ้นส่วนใดๆ เหลืออยู่เลย (นี่คงจะเรียกว่าอนัตตา มั๊งค่ะ)หลายครั้งต่อมาในขณะที่จะเข้านอน ก็พยายามกำหนดลมหายใจ ก็ปรากฏอาการขนลุก ขนพอง น้ำตาไหล หรืออาการตัวพองโตเหมือนระเบิด และรู้สึกว่าผิวหนังหายใจได้ เพราะลมออกทุกรูขุมขนเลย ต่อมาดิฉัน ก็พยายามฝึกเจริญสติอยู่เนืองๆ เท่าที่เวลา และโอกาสจะอำนวย แต่ก็มีแต่อารมณ์ฟุ้งตลอดเวลา จิตไม่ค่อยรวมเป็นสมาธิเหมือนเดิมเลยค่ะ จนถึงปัจจุบันนี้ค่ะ ดิฉันขอกราบเรียนหลวงปู่ว่า ทำไมถึงมีนิมิตแบบนี้มาปรากฏให้เห็น ทำอย่างไรที่ลูก/หลานจะสามารถฝึกการเจริญสติให้ดียิ่งๆ ขึ้นได้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะหลังจากนั้นก็มีแต่อารมณ์ฟุ้งตลอดเวลา ขอความเมตตาให้ความสว่างแก่ลูก/หลานเพื่อจะค้นพบทางที่จะได้หลุดพ้นจากวัฏฏะสงสารด้วยเจ้าค่ะ
    กราบแทบพระบาทองค์หลวงปู่พุทธะอิสระมา ณ โอกาสนี้ด้วยเจ้าค่ะ



    วิสัชนา

    " ขณะที่คุณเจริญอานาปานสติ พิจารณาลมหายใจเข้าออก แล้วเกิดนิมิตเห็นตัวเองขึ้นอีกร่างหนึ่ง ที่จริงน่าจะเป็นเรื่องไม่ดี เพราะถ้าคุณไปติดในนิมิตที่เห็นนั้น ก็ทำให้คุณทิ้งลมหายใจ แล้วไปใส่ใจนิมิต สุดท้ายทั้งลมหายใจและนิมิตก็จับไม่ได้ เหมือนนิทานอีสป เรื่องหมากับเงา หมาคาบเนื้อมาที่สะพาน แล้วมองเห็นเงาเนื้อในน้ำว่าโตกว่า เนื้อที่ตนคาบมา เลยปล่อยเนื้อที่คาบ กระโจนลงไปคาบเนื้อในน้ำ สุดท้ายทั้งเนื้อแท้เนื้อเงาก็ไม่ได้ หมาเลยเศร้าไปตามระเบียบแต่คุณรู้จักใช้วิกฤตมาเป็นโอกาส ยังมีสติปัญญาพิจารณานิมิตที่เห็นจนเป็นวิปัสสนา ปรากฏเป็นอุบาย ทำให้เกิดปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริงของร่างกาย ถ้าพิจารณาต่อไปไม่เลิก ฉันก็คงจะได้พบพระอริยะแล้ว แต่น่าเสียดาย ปัญญาบารมี คุณยังไม่เข้มแข็ง แถมยังขาดขันติ วิริยะ สัจจะ อธิษฐาน เลยทำให้คุณพลาดโอกาสที่ประสบกับประสบการณ์ทางวิญญาณที่เยี่ยมยอดไป แต่ก็นับว่าคุณมีบารมีเก่าติดมาไม่น้อยเหมือนกัน ขอให้เพียรพยายามสั่งสม อบรมในการปฏิบัติธรรมต่อไป แล้วชัยชนะจักมีแก่คุณในที่สุด ส่วนที่คุณถามว่า พยายามฝึกสติ กำหนดลมหายใจจนเกิดนิมิต เกิดปีติ น้ำตาไหล ตัวพองขนลุก มีความรู้สึกเป็นสุข แล้วลมหายใจมันหายไป ที่จริงลมหายใจมิได้หาย แต่ที่หายคือสติของคุณต่างหาก เพราะคุณมัวแต่ไปติดนิมิต ติดปีติ และอาการเครื่องปรุงจิต ซึ่งถือว่าเป็นมายาขจิต เหมือนดังสุนัขที่ติดเงาเนื้อ(ต้องขออภัยฉันมิได้ว่าคุณนะ แต่ยกตัวอย่างเพื่อให้คุณเห็นภาพให้ชัด) เลยทิ้งเนื้อจริงที่คาบมา วิธีก็คือ ไม่ว่าอะไรจักเกิดขึ้น ในขณะที่คุณกำลังเจริญสติ พิจารณาลมหายใจ ก็อย่าไปใส่ใจ อย่าไปสนใจ คุณมีหน้าที่พิจารณาลมหายใจอย่างเดียว จนกว่าสติคุณจักตั้งมั่น จนบังเกิดสมาธิคือความสงบ และถ้าคุณพบนิมิตก็ให้คุณใช้สติและความสงบที่มีพิจารณาถึงอาการขอนิมิตที่ตั้งอยู่ และความดับไปของนิมิตนั้น เหมือนดังที่คุณเคยทำมา พร้อมกับพิจารณาน้อมอาการเหล่านั้นให้เข้ามาหาตัวคุณเอง จนเห็นตามความเป็นจริงถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของร่างกาย ทั้งภายในและภายนอก แต่นี่คุณจะมีจิตบังเกิดความเบื่อหน่ายต่อเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ผ่อนคลายความกำหนัดยินดีในตัณหาอุปาทานทั้งหลาย ถึงวิมุติความหลุดพ้นในที่สุด(ฉันจะไม่อธิบายละเอียดขอให้คุณทำด้วยตัวคุณเอง แล้วคุณจะรู้อาการของจิต พร้อมที่สิ่งที่เกิดกับจิต ด้วยตัวคุณเอง) อธิบายไปมากๆ เดี๋ยวจักกลายเป็นขยะสะสม เพิ่มขึ้นในจิตของคุณอีก เอาเป็นว่า รู้จริง ไม่ต้องจำ ทำได้มีประโยชน์ รู้ไม่จริง ถึงจำ ทำไม่ได้ มีแต่โทษ "


    ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซท์วัดอ้อน้อย
    http://www.onoi.org
     
  16. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ด้วยในปัจจุบันพระภิกษุสงฆ์อาพาธตามโรงพยาบาลต่างๆ เช่น รพ.สงฆ์ ยังคงมีอยู่เป็นจำนวนมาก พระสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็นเนื้อนาบุญของเรา ดังคำกล่าวที่ว่า"ผู้ใดปราถนาจะอุปปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นพึงกำหนดรักษาภิกษุป่วยไข้" ด้วยเหตุและปัจจัยแห่งเนื้อนาบุญอันมีอานิสงส์ที่ประมาณมิได้นี้ ประกอบกับเป็นการเชิดชูครูอาจารย็ที่ได้อบรมความรู้ และถ่ายทอดประสบการณ์ในเรื่องอภิญญาจิต และความรู้เรื่องพระพิมพ์สกุล วัดพระแก้ววังหน้า พระพิมพ์สกุลบรมครูเทพโลกอุดรของ ท่าน อ.ประถม อาจสาคร กระผมและคณะจึงได้ก่อตั้งกองทุนขึ้นมาในรูปแบบของทุนนิธิ เพื่อรวบรวมเงินบริจาคที่จะได้มานำไปบริจาคให้หรือรักษาไข้แก่พระภิกษุสงฆ์อาพาธที่ยากไร้ ตามโรงพยาบาลต่างๆ หรือบำรุงศาสนกิจที่จำเป็นตามที่คณะกรรมการของกองทุนจะได้พิจารณาขึ้น ดังนั้น กระผมและคณะจึงใคร่ขอเชิญชวนทุกท่านที่ได้อ่านกระทู้นี้ ได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือพุทธศาสนา ด้านการรักษาสงฆ์ หรือศาสนกิจอื่นๆ โดยการบริจาคเข้า บัญชี "ศ. ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร" (pratom foundation) บัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาถนนวิภาวดีรังสิต (ซันทาวเวอร์ส) บัญชีออมทรัพย์ หมายเลข 348-1-23245-9

    ในวันอาทิตย์ที่28กันยายนนี้ทุนนิธิฯจะทำบุญที่โรงพยาบาลสงฆ์โดยกิจกรรมครั้งนี้จะมีการถวายอาหารพระสงฆ์อาพาธ บริจาคซื้อเลือด ยา เวชภัณฑ์ ต่างๆ ผ่านทางโรงพยาบาลสงฆ์ ทั้งที่ส่วนกลางคือกรุงเทพ และ ส่วนภูมิภาคอีกหลายโรงพยาบาล รวมถึงมีการถวายเครื่องดูดเสมหะแด่พระสงฆ์อาพาธที่จำเป็นต้องใช้ประจำ ท่านใดมีจิตศรัทธาก็โอนเงินทำบุญตามเลขที่บัญชีด้านบนได้ครับ ท่านใดมีเจตนาไปร่วมกันถวายที่โรงพยาบาลสงฆ์จะได้รับแจกพระพิมพ์ที่ทรงคุณค่ากันฟรีๆ ท่านใดที่ทำบุญมาแล้วไปที่โรงพยาบาลสงฆ์ไม่ได้ก็pmมาขอพระที่ผมได้ครับ

    โมทนากับทุกๆท่านที่ร่วมกันทำบุญสงเคราะห์สงฆ์อาพาธครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,103
    เมื่อวานได้คุยกันไว้หลายเรื่อง ๆ หนึ่งที่คุยคือเรื่องหนังสือที่เป็นอนุสรณ์แห่งความดี "พระปิยบารมี" โดยมีหัวข้อที่น่าจดจำคือวัตถุดิบหรือชนวนที่นำมาหล่อ ทวนความหลังกันอีกที เพราะขณะนี้พระที่หล่อเสร็จและจะแจกฟรีในวันปีใหม่ไทยในปีหน้า เปลี่ยนสภาพกลับที่ไม่ใช่ดำ แต่เป็นกลับทองคำ งดงามมาก เพราะใส่ทองคำแท้ไว้ราว 7-8 บาท ผสมไปด้วย ส่วนชนวนอื่น ก็ดูเอาเถิดครับ

    เนื้อเรื่องเดิม

    วันอาทิตย์ได้ไปหาพี่ใหญ่ และถ่ายรูปชนวนที่จะนำไปหล่อเป็นพระเพื่อแจก เป็นกำลังใจให้กับผู้มี กุศลจิตบริจาคช่วยสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ โดยจะแจกด้วยกฎเกณฑ์อย่างไรไว้พระสำเร็จแล้วจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง วันนี้มาชมภาพ ชนวน และ ตะกรุดเก่าๆ บางส่วน บอกอีกทีครับว่าบางส่วน เพราะที่ไม่ได้ถ่ายรูปมีอีกมาก

    [​IMG]

    ไว้พรุ่งนี้จะมาแยก บรรยายแต่ละชนิดของชนวน ว่าเป็นของท่านใดบ้าง ทั้งหมดนี้ส่วนมากเป็นตะกรุดที่ คุณพ่อของพี่ใหญ่ท่านเก็บสะสมมา โดยเฉพาะแผ่นยันต์ ของอาจารย์ประถม ท่านจารคมชัด สวยงามมากจำนวนหลายแผ่น ไว้ตอนเย็นๆจะมาลงรูปให้ชมกันครับ



    พันวฤทธิ์: 03-03-2008, 08:18 AM



    ห่วงตะกั่ว 2 ห่วงที่อยู่ใต้พระร่วง เป็นของหลวงปู่หมุนวัดบ้านจาน ผู้ซึ่งสำเร็จ "นะ" จากท้าวมหาพรหมครบทั้ง 9 ตัว นับว่าเป็นสุดยอดพระอภิญญาที่หาไม่ได้อีกแล้ว ท่านทำไว้ให้สำหรับสร้างพระโดยเฉพาะซึ่งเดิมทีพี่ใหญ่จะหยิบไปทิ้ง หลวงปู่ท่านเห็น ท่านบอกขอท่านแล้วท่านก็นำไปเสกให้บอกเก็บไว้ให้ดีและสั่งให้เอาไปสร้างพระ แผ่นยันต์ชุดนี้ที่จำได้อีกก็มีของหลวงปู่หงส์ หลวงปู่บุญญฤทธิ์ หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส ไว้รอคุณโสระจาระนัยอีกทีก็แล้วกันครับ และที่สำคัญอีกอย่างก็คือมีเงินพดด้วงสมัยต้นรัตนโกสินทร์เก่าอีก 1 ลูกด้วยซึ่งหาไม่ได้ง่ายๆ ในสมัยนี้ครับ


    โสระ: ชนวนแรกที่จะนำมาให้ชมคือแผ่นยันต์ที่อาจารย์ประถม ท่านจารไว้ให้กับพี่ใหญ่จำนวนหลายแผ่น โดยเป็นยันต์ทางสายวิชาของหลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า และ ยันต์ทางสายวิชาของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เจริญ ผู้เป็นอาจารย์ของท่านเจ้าคุณนร

    [​IMG]

    ภาพนี้คือ ยันต์สายหลวงปู่ศุขที่อาจารย์ประถมจาร คมชัดสวยงาม และยังกระซิบบอกกับพี่ใหญ่ว่า ระหว่างจารทรงอารมณ์จิตอย่างมั่นคงไม่หลุดแม้นซักนิดเดียว

    [​IMG]

    ส่วนภาพนี้ทางขาวคือยันต์องค์พระสายสมเด็จฯเจริญ ที่ท่านอาจารย์ประถมเป็นหนึ่งในศิษย์เอกของท่านสมเด็จฯ เป็นยันต์เช่นเดียวกับท่านเจ้าคุณนร ใช้ประจำในพระเครื่องของท่าน




    [​IMG]

    เหรียญเงินโบราณของท่านอาจารย์ประถมมอบให้กับพี่ใหญ่ ท่านว่าเป็นหนึ่งในส่วนผสมทำพระกริ่งเขมรโบราณของพระเจ้าชัยวรมัน ทางคณะทุนนิธิฯและพี่ใหญ่ได้นำมาเป็นหนึ่งในชนวนสำคัญกับการหล่อพระครั้งนี้ครับ



    [​IMG]

    ชนวนในภาพคือ ตะกรุดโทนหลวงปู่ม่น วัดเนินตามาก และ เหรียญตะกั่วลองพิมพ์กับห่วงคล้องเหรียญหลวงปู่ม่น
    ในส่วนของตะกรุดโทน หลวงปู่ทำไว้ไม่มากหาได้ยากแต่เราจะใช้เป็นชนวนถึงสองดอก

    [​IMG]

    ที่เห็นในภาพคือ ก้านชนวนที่เหลือจากการหล่อพระประธานขนาดเท่าพระชินราชองค์จริง โดยเป็นพระพุทธรูปที่พี่ใหญ่สร้างถวายวัดสันปู่ศรี ในวัดเททองหล่อพระประธานองค์นี้ สมเด็จองค์ปฐมแห่งภัทรกัปป์นี้ คือองค์พระพุทธเจ้ากุกสันโธ ได้เสด็จมาพร้อมพระสาวกมากมายจนแสงสว่างดุจพระอาทิตย์หลายดวงเกิดขึ้นพร้อมกัน แต่เป็นแสงแห่งความเย็นตาเย็นจิตใจ (เป็นคำบอกเล่าของพี่ใหญ่ในวันเททอง)



    [​IMG]

    ชนวนต่อไปคือ ผงตะไบพระของ หลวงปู่หมุน วัดบ้านจาน เถราจารย์ 5 แผ่นดิน อายุ 109 ปี ผู้สำเร็จวิชานิ้วเพชร และ สามารถชักยันต์ในอากาศได้ มอบผงตะไบพระนี้ให้กับพี่ใหญ่ด้วยการบรรจงใช้นิ้วลงไปวนในผงตะไบนี้ เพื่ออธิฐานจิตให้แบบพิเศษ เพื่อนำไปสร้างพระ



    [​IMG]

    ตะกรุดของ หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค ตาคลี นครสวรรค์ พระผู้ซึ่งมีอายุถึง 128 ปี หลวงปู่แหวนยังเอ่ยปากว่า ท่านเสกพระสามเดือนยังไม่เท่าหลวงปู่สีเอามือกวนพระสามที เพราะท่านเป็นอาจารย์ท่านหนึ่งของหลวงปู่แหวนก่อนมาเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น

    ตะกรุดดอกนี้หลวงปู่สี ทำให้พิเศษท่านจารเอง มอบให้กับมือคุณพ่อของพี่ใหญ่ หาไม่ได้ทั่วไปพลังไม่ต้องกล่าวให้มากความ สุดยอด....เป็นอีกหนึ่งชนวนที่มีความสุดยอดครับ



    [​IMG]

    มาต่อกันเลยครับ ตะกรุดของหลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส ตะกรุดท่านมักลงหัวใจโจร ไว้สำหรับใส่ไปในที่อโคจรแล้วไม่เสื่อม พี่ใหญ่บอกว่าของท่านนี้ครบเครื่องจริงๆ ฉนั้นเมื่อนำมาเป็นชนวนหล่อพระจึงทำให้มีความสมบูรณ์มากขึ้นไม่ต้องห่วงเรื่องอโคจร
    คนจันทบุรีทราบดีถึงคุณวิเศษของตะกรุดท่าน



    [​IMG]

    ชนวนนี้สำคัญนัก เป็นตะกรุดของหลวงพ่อ ดิ่ง วัดบางวัว ฉะเชิงเทรา ท่านเป็นหนึ่งในอาจารย์ของกรมหลวงชุมพรฯ ตะกรุดดอกนี้ท่านทำพิเศษมีเพียงไม่กี่ดอกมอบให้คุณพ่อพี่ใหญ่

    พี่ใหญ่บอกกับคณะทุนนิธิฯว่าเก็บไว้กับพี่ก็ไม่ได้นำมาใช้บูชา ให้ลูกพี่ก็คงไม่เป็นประโยชน์เท่านำมาหล่อเป็นพระพุทธรูป เพื่อบูชาคุณพระพุทธองค์และเป็นกำลังใจกับผู้มีจิตศรัทธาช่วยสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ



    เอาไว้เท่านี้ก่อนเรื่องชนวนหล่อพระ ไว้มาแจกแจงให้ฟังกันใหม่ เพราะมีเยอะมากขอบรรยายเพียงย่อๆก่อน อย่างที่บอกไว้ว่าทุนค่าโลหะและชนวนถ้าตีเป็นราคาค่างวดก็สองแสนไม่พอทำ แต่เราไม่ได้คิดเรื่องราคา เราคิดแต่อยากจะให้ทุกท่านที่มีจิตตั้งมั่น มีอุดมคติเดียวกันคือ ต้องการสงเคราะห์สงฆ์อาพาธดุจดังได้อุปฐากพระพุทธองค์ ได้พระที่มีคุณค่าดุจดังพระพุทธองค์ทรงอยู่กับเราทั้งทางกายและใจ มีความศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องลังเลสงสัยในรัตนตรัยครับ






    [​IMG]

    [​IMG]

    แผ่นยันต์นี้เป็นของ หลวงปู่ธรรมรังสี วัดพระพุทธบาทเขาพนมดิน จังหวัดสุรินทร์ ท่านเป็นพระเถราจารย์ผู้ทรงญาณอันแจ่มใสมาก เพราะแผ่นยันต์ทั้งหมดนี้ พี่ใหญ่ขอความเมตตาบอกให้ท่านลงให้เพื่อจะนำไปสร้างพระประธานองค์ขนาดเท่าพระชินราช เมื่อประมาณปี47 แต่ระหว่างที่ท่านลงแผ่นยันต์ ท่านกลับบอกว่าเอาไปสร้างพระองค์เล็กๆ ปาง... ที่ตรงกับพระที่กำลังจะทำในปัจจุบันนี้ ทั้งที่เวลาห่างกันเกือบ 5 ปี และยังบอกว่าพระที่จะสร้างนี้ดีมาก

    แสดงให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่เบื้องบน กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะได้สร้างเมื่อไร ใครสร้าง ใครจะได้ไปบูชา


    [​IMG]

    ชนวนที่เห็นในภาพดูจากซ้ายไปขวาของภาพมีรายละเอียดดังนี้
    -โลหะที่เป็นลักษณะสามเหลี่ยม จำนวน3ชิ้น เป็นโลหะที่เหลือจากการทำพระของ หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ เพชรบุรี พี่ใหญ่บอกว่าวันแรกที่ได้มา ท่านก็มาบอกแล้วว่าให้ไว้ทำพระ
    -ก้อนกลมๆสีเงิน คือ เงินพดด้วงเป็นเงินของต้นรัตนโกสินทร์ มีผู้มอบให้พี่ใหญ่เพื่อร่วมสร้างพระ ต้องขอโมทนากับพี่ท่านนี้ด้วย
    -ก้อนสีดำ นั้นคือ โคตรเหล็กไหล บางที่เรียก ขี้เหล็กไหล
    -โลหะทางขวาสุด คือชนวนที่เหลือจากการหล่อพระพุทธบาทจำลอง ของพระอาจารย์นพพร แห่งสำนักปฏิบัติธรรมอาทิจจวังโส เชียงใหม่ http://www.artitjawangso.org/
    ท่านเป็นพระที่มีความพิเศษหลายประการ หนึ่งในนั้นคือท่านสามารถสื่อกับหลวงปู่โลกอุดรได้ทุกองค์และอาจารย์ประถมเคยไปปฏิบัติธรรมกับท่าน และบอกว่าพระท่านนี้ไม่ธรรมดาครับ


    [​IMG]
    ส่วนตะกรุดชุดนี้ เป็นตะกรุดที่คุณพ่อของพี่ใหญ่ และพี่ใหญ่สะสมไว้นานมาก ท่านทุกองค์ที่เป็นเจ้าของตะกรุดมาโมทนา ที่นำตะกรุดท่านไปทำพระ และพี่ใหญ่บอกว่า พี่รู้ว่าทุกดอกของท่านใดแต่บอกไปพวกเราก็ไม่รู้จัก ส่วนที่เป็นสีทองคือ ตะกรุดที่ทำจากแร่ที่สกัดจากขี้นกเขาเป้า เช่นเดียวกับที่หลวงปู่บุญ ใช้ทำพระชัยวัฒน์


    หลวงปู่หงส์ วัดเพชรบุรี จังหวัดสุรินทร์
    เถราจารย์ผู้มากด้วยเมตตา

    [​IMG]




    [​IMG]


    แผ่นยันต์ที่หลวงปู่หงส์ บรรจงจารให้แบบเรียบง่าย แต่ทรงพลัง และยังกำชับว่าดี ให้ไปทำพระ


    [​IMG]

    แผ่นยันต์ชุดนี้ใครมีตาในดีจะเห็น เพราะพระที่จารท่านใช้เพียงเล็บจิกลงที่แผ่นโลหะและกำหนดให้เป็นยันต์ จึงไม่ต้องจารแบบทั่วๆไปครับ คิดดูก็แล้วกันว่าพระที่ทำได้ระดับไหน พี่ใหญ่ให้ใช้เป็นชนวนหล่อพระให้หมดเลย


    หลวงพ่อปี่ วัดโคกท่าเจริญ จังหวัดชลบุรี ท่านเป็นพระที่ทรงอภิญญา ที่น้อยคนนักจะรู้จัก เข้าข่าย ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของไม่จริงพูดได้

    [​IMG]

    ตะกรุดดอกนี้เป็นของ หลวงพ่อปี่ ได้มาตั้งแต่พี่ใหญ่อายุประมาณสิบขวบ เป็นตะกรุดที่แค่ได้ชมก็เป็นบุญตา แต่พี่ใหญ่ให้มาหล่อเป็นพระ เพื่อผู้ที่ทำบุญอย่างมั่นคงกับทุนนิธิฯไว้ระลึกถึงคุณรัตนตรัยครับ

    หลวงพ่อปี่นี้ คุณพ่อของพี่ใหญ่เล่าว่าท่านเขียนหวยในสมัยนั้นได้ 7 หลัก ถูกต้องทั้งหมด สามารถเรียกน้ำให้มีเต็มบ่อในวัดได้ ทั้งที่ชลบุรีปีนั้นแห้งแล้งอย่าหนัก น้าของพี่ใหญ่สมัยนั้นเป็นปลัดอำเภอไปหาท่านที่วัด ท้ายิงปืนกันในวัดปรากฏว่าปืนไม่ลั่นทุกนัด เป็นต้น

    สำหรับเรื่องชนวนการหล่อพระชุดนี้ขอยุติแค่นี้ก่อนครับ เพราะมีชนวนอีกมากแจกแจงไม่หมด เช่น แผ่นยันต์ที่ครูบาอาจารย์โบราณที่มาทำให้ทางกายทิพย์อีกมาก ถ้าแจงหมดจะหาว่าโม้ จะทำให้เป็นบาปเป็นกรรมกับผู้ปรามาสได้ และที่แจกแจงไปแล้วถ้าข้าพเจ้าบรรยายผิดพลาดไป กราบขอขมารัตนตรัยและพ่อแม่ครูอาจารย์ทุกๆท่านด้วยขอรับ



    เหลือเวลาอีก 7 เดือนกว่าจะแจก ทำบุญมาเถอะครับ 7 เดือนนี้ทำบุญมา ชื่อท่านปรากฏในบัญชี เราก็จะบันทึกไว้ เปลี่ยนสมุดบัญชีไว้ หลายเล่มแล้ว เราเก็บตั้งแต่เล่มแรก รับรองได้ แจกให้ครั้งเดียวแล้วเลิกกัน พระนี้คณะกรรมการทุกคน พี่ใหญ รวมถึง อ.ประถม ช่วยกันตั้งกติกาไว้ ตรงกัน ให้กับผู้ทำบุญเป็นการประจำเท่านั้น มากน้อยไม่เป็นไร ดูที่ใจท่านครับ
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,103
    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๕๔ | ทรงประทานพระเกศธาตุ
    <!-- Main -->[SIZE=-1]พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๕๔ : ทรงประทานพระเกศธาตุ


    ทรงประทานพระเกศธาตุ แก่นายกองเกวียน

    เมื่อพระพุทธองค์ทรงเสวยเสร็จแล้ว แล้ว ตปุสสะ ภัลลิกะ พานิชทั้งสองเกิดความเลื่อมใส ได้กราบทูลแสดงตนเป็นอุบาสกด้วยความเลื่อมใส ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้ากับพระธรรม ว่าเป็นสรณะตลอดชีวิต ปฐมอุบาสกทั้งสองนี้จึงเป็นอุบาสกประเภท เทววาจิก คือ เปล่งวาจาขอถึงพระพุทธเจ้าและพระธรรม พระรัตนะทั้งสองเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะ (ตอนที่กล่าวนี้ สังฆรัตนะ คือ พระสงฆ์ก็ยังไม่เกิดขึ้น ด้วยเวลานั้นยังไม่มีพระสงฆ์) กล่าวคือ ทั้งสองประกาศตนเป็นพุทธศาสนิกชน ดังนั้นจึงนับได้ว่าเป็นอุบาสก หรือพุทธศาสนิกชนคู่แรกก่อนใครในโลก เพราะได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าก่อนใคร ภายหลังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ใหม่ๆ และพระพุทธเจ้ายังมิได้ตรัสเทศนาโปรดใครเลย


    [​IMG]


    เมื่อสองนายกองเกวียนประกาศตนเป็นอุบาสกแล้ว ก่อนที่จะถวายบังคมกราบทูลลาพระพุทธเจ้าไป ได้กราบทูลขอสิ่งของเป็นที่ระลึกเป็นอภิวาทบูชาในกาลต่อไปจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงทรงยกพระหัตถ์ขวาลูบเบื้องพระเศียร "ลำดับนั้นพระเกศาธาตุ (ผม) ทั้ง ๘ เส้นมีสีดุจแก้วอินทนิล แลปีกแมลงภู่
     
  19. narin96

    narin96 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +28
    ด้วยเป็นวาระในช่วงแห่งวันของตนเอง
    ได้โอนเงินเพื่อขอร่วมบุญกับทางทุนนิธิฯ วันนี้ 555 บาท ครับ
     
  20. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    917
    ค่าพลัง:
    +4,292
    ผมนำรูปพระที่จะนำไปใช้ศึกษากันในวันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน 2551 มาให้ได้ชมกันก่อนที่จะได้ส่องดูเนื้อหากันจริง ก็มีทั้งพระกรุวัดชนะสงครามที่ท่านอ.ประถม ได้สอนให้ความรู้ไว้ว่าเป็นพระที่หลวงปู่พระโลกอุดรท่านได้อธิษฐานจิตไว้ ส่วนพระปิดตาของหลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม แห่งวัดสะพานสูงนั้นท่านให้ความรู้ไว้ว่าเป็นพระที่มีพลังอิทธิคุณสูงกว่าพระที่สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)ท่านเสกเสียอีกแต่ก็ยังเป็นรองพระกรุพระโลกอุดรเท่านั้น จริงๆแล้วหลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม แห่งวัดสะพานสูงท่านก็เป็นลูกศิษย์ในสายของหลวงปู่พระโลกอุดรด้วย

    พระกรุวัดชนะสงคราม

    [​IMG]


    หลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม แห่งวัดสะพานสูง
    3 องค์นี้ได้รับมาจากมือของท่านอ.ประถม อาจสาคร

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...