ข่าวดี ชาวโลกจะได้พบพระศรีอารย์ในปี 2549

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เกษม, 10 พฤศจิกายน 2004.

  1. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ผู้ทำได้ ****

    คือ ผู้ที่เชื่อสัจจะ ถือสัจจะนำการกระทำ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  2. กะละมัง

    กะละมัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +150
  3. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    และอีกคำทำนายนึงบอกใว้ประมาณว่า จะมีตัวจริงก่ะตัวปลอม ซึ่งตัวปลอมจะหลอกคนไปตายจากมรรคผลแทนที่จะช่วยเหลือเหมือนตัวจริง
     
  4. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ใครเคยอ่านหลังสือเล่ม หนา ๆ ชื่อเรื่องสัพพัญญุตญาณของพระพุทธเจ้า ขอบอกว่ามีเรื่องนี้เล่มเดียวที่อ่านแล้วไม่จบ

    บอกเลยว่าไม่รู้เรื่อง อ่านไปก็ปวดหัวจี๊ด

    อะไรก็ตามถ้าเราปฏิบัติยังไม่ถึง จะรู้ได้ไง
     
  5. baankvee

    baankvee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +33
    พระสรีอาริย์ ตอนนี้ เป็นท้าวสันตดุสิต อยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต ไม่ใช่เวลาที่พระองค์จะลงมาในเวลานี้ หลังจากพระสษสนาของพระสมณโคดมหมดไป และนานๆๆๆๆ กว่าจะลงมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    มิใช่ ปี 2549


    ไหนอ่ะ นี่ปี 2552 ไม่เห็นมี
     
  6. ไม้บรรทัด

    ไม้บรรทัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2008
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +293
    ท่านอาจกำลัง เผยแพร่ พระธรรม คำสอน
    เพื่อเปลี่ยนความคิด จิตสำนึกของผู้คน
    โดยที่เราไม่รู้ตัวอยู่ก็ได้
    เพราะใช้ภาษาพื้นๆ
    ทำตัวพื้นๆก็ได้
    ไม่แน่???
     
  7. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ยุคพระศรีอาริย์กึ่งกลางพระพุทธศาสนา(พญาธัมมิกราช)

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในพระสุตตันตปิฎก ฑีฆนิกาย ปาฎิวรรค ในเรื่อง การเสด็จอุบัติแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่า เมตไตรย ว่า พระเมตไตรยจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจารณะ รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 5

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า พระเมตไตรยอยู่ในพุทธวงศ์หรือเป็นวงศ์วานเดียวกันกับพระพุทธเจ้าโคตมในภัทรกัป ที่มีพระผู้มีพระภาคเจ้าถึง 5 พระองค์คือ พระกกุสันธะ ,พระโกณาคมมนะ,พระกัสสปะ,พระพุทธเจ้าโคตม และพระเมตไตรย ซึ่งเรื่องนี้บ่งบอกอยู่ในพุทธปกิณณกกัณฑ์หรือว่าด้วยเรื่องเบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าในพระสุตตันตปิฎก ขุทกกนิกาย พุทธวงศ์

    เหตุการณ์ก่อนหน้าที่พระเมตไตรยหรือพระศรีอาริยเมตไตรยจะมาปรากฏตนนั้น พระพุทธศาสนาจะเริ่มเสื่อมลงด้วยสาเหตุ 5 ประการ คือ

    1.การเสื่อมลงของหนทางแห่งความสำเร็จบรรลุมรรคผล ศีลธรรมและจริยธรรม
    2.การเสื่อมลงของวิธีการปฎิบัติธรรมและการเจริญภาวนา
    3.การเสื่อมลงของการศึกษาธรรมและการเข้าถึงพระธรรม
    4.การเสื่อมลงของวัฒนธรรมทางพุทธศาสนา
    5.การเสื่อมลงของบูรพาอาจารย์

    อย่างไรก็ตามพระพุทธเจ้าโคตรมทรงตรัสว่า พระศรีอาริยเมตไตรยหรือพระเมตไตรย จะมาปรากฏและสามารถแก้ปัญหาความเสื่อมลงของพระพุทธศาสนา และจะนำพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรื่องเป็นที่พึ่งที่แท้จริงตลอดไป จากความเป็นจริงที่เห็นได้ในปัจจุบันศาสนาพุทธได้แบ่งแยกนิกายเป็น 3 นิกายใหญ่คือ มหายาน,หินยาน และวัชรยาน

    ในแต่ละนิกายก็จะมีการแบ่งแยกออกไปอีก มีการปรุงแต่ง เพิ่มเติมหลักการสอนและปฎิบัติตามความเชื่อและความนิยม แต่ละบุคคลมีความเชื่อในผลบุญต่างๆโดยไม่ทราบว่า การกระทำไปนั้นมีความถูกต้องหรือไม่ มากกว่าการทำความเข้าใจถึงหลักธรรมที่แท้จริง ผู้คนโดยทั่วไปส่วนใหญ่เชื่อว่า พระศรีอาริยเมตไตรยจะมาปรากฏหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว 5,000 ปี ซึ่งเป็นความเชื่อที่ขาดหลักฐานยืนยัน เชื่อโดยขาดเหตุผล

    จากตำนานโบราณ และตามพระพุทธพจน์ทำนายหรือคำตรัสของพระพุทธเจ้าโคดม จากศิลาจารึกในเขตมหาวิหาร ในสวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย แสดงว่า พระศรีอาริยเมตไตรยจะมาปรากฎพระองค์เมื่อพระพุทธศาสนาได้ล่วงมาถึงกึ่งพระพุทธกาล (2,500 ปี) ซึ่งขณะนี้พุทธศักราช 2500 จริงยังมาไม่ถึงแต่กำลังจะถึงแล้วซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงปัจจุบันนี้ แต่เนื่องจากความผิดพลาดของผู้นำพุทธศักราชมาใช้โดยขาดการวิเคราะห์และพิจารณา

    ทำให้พุทธศักราชที่ใช้ในทุกวันนี้ผิดพลาดจากปีพุทธศักราชจริงไปประมาณ 50 ปี ซึ่งในศิลาจารึกยังได้บ่งบอกว่า พระศรีอาริยเมตไตรยหรือพระธรรมมิกราชโพธิสัตว์ จะเกิดขึ้นภายใต้ความอุปถัมภ์ของพระเถระโพธิสัตว์ ทั้งสองพระองค์สถิต ณ เบื้องตะวันออกของมัชฉิมประเทศ ทั้งสองพระองค์จะช่วยกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรื่องสืบไป และในเวลาไม่นานแผ่นดินอธรรมจะถล่มเป็นทะเล อธรรมจะพ่ายแพ้ไปทั้งหมด จากนั้นแผ่นดินจะเป็นยุคศรีวิไล

    ได้มีการบอกกล่าวเล่าสืบกันมาว่า ในยุคของพระศรีอาริยเมตไตรย ผู้คนจะไม่ลำบากบากแค้น คนทั่วไปจะมีกินมีใช้กันทั่วหน้า บ้านเมืองจะไม่มีโจรขโมยเป็นเสมือนปัจจุบันนี้ วิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปจากสมัยอดีตอยู่มาก เมื่อมีความเจริญทางวัตถุและเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์มากขึ้นเท่าไหร่ ความเจริญทางด้านจิตใจกับลดน้อยลงไปทุกทีๆ ทั้งนี้เนื่องจากอะไรเป็นต้นเหตุ ผู้คนเข้าวัดน้อยลง คิดเพียงว่าไปทำบุญ ตักบาตร ถวายพระสงฆ์แล้วเพียงแค่นั้นก็ได้บุญหรือคิดเพียงเป็นการสะเดาะเคราะห์ต่อดวงชะตา เสริมบารมีเหมือนอย่างที่เป็นข่าวให้ได้เห็นการอยู่เรื่อยๆมา

    เป็นพุทธศาสนิกชนแต่เพียงชื่อมีมากมายขนาดไหน เรายอมรับกันหรือไม่ ที่ประเทศอินเดียมีผู้นับถือพุทธไม่น่าจะเกินร้อยละ 7 ทั้งที่เป็นต้นกำเนิดของพุทธศาสนาเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น เราทั้งหลายได้พิจารณาด้วยความคิดและสติปัญญาแล้วหรือยังว่า “ความเสื่อมต่างๆ ได้มีขึ้นมานานแล้วโดยที่เราไม่ค่อยได้เห็นหรือสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงต่างๆ”

    เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆความมีศีลธรรมและจริยธรรมเสื่อมลง คนทั้งหลายจะไม่สามารถเข้าถึงวิธีการที่จะสำเร็จบรรลุมรรคผลได้ เมื่อพระสงฆ์ทั้งหลายไม่สามารถชี้แจงสั่งสอนหรือทำให้คนเหล่านั้นเข้าใจถึงหลักคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธองค์ได้ คนเหล่านั้นก็ไม่สนใจคำสอนของพระสงฆ์ คนรุ่นต่อมาจึงขาดความเข้าใจธรรมะที่แท้จริง พระพุทธศาสนาจึงเริ่มเสื่อมลงด้วยเหตุ 5 ประการ คือ

    1.การเสื่อมลงของหนทางแห่งความสำเร็จบรรลุมรรคผล ศีลธรรมและจริยธรรม
    2.การเสื่อมลงของวิธีการปฎิบัติธรรมและการเจริญภาวนา
    3.การเสื่อมลงของการศึกษาธรรมและการเข้าถึงพระธรรม
    4.การเสื่อมลงของวัฒนธรรมทางพุทธศาสนา
    5.การเสื่อมลงของบูรพาอาจารย์

    ท่านทั้งหลายคงเคยได้ยินชื่อของนอสตราดามุส(Nostradamus) หรือที่เราทราบตามหนังสือว่าเป็นผู้ที่ล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคต แล้วจดบันทึกในสิ่งที่ได้เห็นในนิมิต นอสตราดามุสเป็นคนฝรั่งเศส มีอาชีพเป็นแพทย์ ได้เขียนคำทำนายต่างๆ ไว้มากมายซึ่งได้จดบันทึกไว้เป็นหลักฐาน อีกทั้งข้อมูลจากตำนานต่างๆ ข้อมูลจากศาสนาอื่นๆ ที่กล่าวถึงบุคคลผู้ที่ได้ชื่อว่า”เป็นผู้นำสันติสุข” ซึ่งมีชื่อเรียกปรากฎตามการเรียกของแต่ละศาสนาและภาษานั้นๆ ดังเช่น

    ศาสนายิว ซึ่งเป็นต้นแบบของศาสนาคริสต์ เรียกว่า มาซายะ (Messiah)
    ศาสนาคริสต์ เรียกว่า Comforter
    ศาสนาอิสลาม เรียกว่า มาฮ์ดิ (Maldi)
    ศาสนาฮินดู เรียกว่า กาลกี(Kalki)
    ศาสนาพุทธ เรียกว่า เมตไตรยะ(บาลี),ไมเตรยะ(สันสกฤต) (Maitreya)

    ขอให้สังเกตว่า ทุกศาสนามีคำสอน และความเชื่อที่ต่างกัน และในศาสนาเดียวกันนั้นก็ยังมีการแตกแยกเป็นนิกาย หรือกลุ่มต่างๆ และสอนแตกต่างกัน แต่ทำไมถึงได้ระบุถึงผู้นำสันติสุขนี้ไว้เหมือนกันและสนับสนุนกัน ซึ่งเรื่องนี้จะกล่าวต่อไปในภายหลัง จากการศึกษาค้นคว้าของผู้เชี่ยวชาญทางศาสนาที่มหาวิทยาลัยและศูนย์ศาสนาที่สำคัญๆทั่วโลก เช่น กรีก,ฝรั่งเศส,ศรีลังกา,สหรัฐอเมริกา และอินเดีย เป็นต้น ได้มีความเห็นเดียวกันว่า

    พระเมตไตรย(Maitreya) หรือ Comforter หรือ Messiah หรือ Maldiหรือ Kalki หรือชื่อเรียกตามศาสนาและภาษานั้นๆ น่าจะเป็นบุคคลคนเดียวกันและจะมาปรากฏตนในปัจจุบันนี้ และตามตำนานโบราณยังได้บ่งว่า จะมีมหาภัยต่างๆ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว โรคระบาด มีวิกฤตต่างๆ ผู้คนเดือดร้อน และมีเหตุการณ์ที่เกิดได้ยากจะปรากฏขึ้นก่อนที่พระศรีอาริยเมตไตรยหรือพระเมตไตรยจะมาปรากฏ ดังเช่น

    1.การเกิดของวัวป่าสีขาว (White Cow) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2537 ตามความเชื่อของชาวอเมริกัน-อินเดียน เชื่อว่าสันติสุขของโลกที่แท้จริงจะเกิดขึ้น ข่าวจากหนังสือพิมพ์ในสหรัฐอเมริกา

    2.การเกิดของวัวแดง (Red Heifer) ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วมากกว่า 2,000 ปี ได้กำเนิดขึ้นใหม่ในปี พ.ศ.2539 ที่ประเทศอิสราเอล การเกิดของวัวแดงตัวปัจจุบันตามความเชื่อของชาวยิวเป็นการแสดงว่า มาซายะ(Messiah) จะมาปรากฏตน สำนักข่าว CNN รายงานข่าวตามความเชื่อของชาวยิว

    3.ปรากฎการณ์เรียงตัวกันของดาวนพเคราะห์ทั้งหลายเมื่อต้นเดือน พฤษภาคม พ.ศ.2543 ตามความเชื่อของศาสนาฮินดูโบราณบ่งว่า กาลกี (Kalki) จะมาปรากฏตน

    4.พระจันทร์สีแดงอันเกิดจากจันทรุปราคาเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2543 แต่ประเทศไทยมีเมฆปกคลุมทำให้มองไม่เห็น เรื่องของพระจันทร์สีแดง มีในตำนานโบราณอายุกว่า 2,000 ปีกล่าวไว้ว่า “ในเวลากลางคืนไร้แสงอาทิตย์ และเกิดพระจันทร์สีแดงจะเป็นวันที่สำคัญยิ่งเพราะแสดงการมาของผู้นำสันติสุข” และในวันที่ 16 กรกฎาคม 2543 ดังกล่าวนั้นยังตรงกับวันอาสาฬหบูชาอีกด้วย

    เกี่ยวกับเรื่องที่ได้นำเสนอมาแล้วในตอนที่ 1 และในตอนที่ 2 นี้ก็ไม่ได้ขอให้เชื่อ แต่ขอให้พิจารณาถึงเหตุผลต่างๆ พิจารณาจากหลักฐานและข้อเท็จจริง การพิจารณาในสิ่งที่ดีงาม เปิดใจให้กว้าง ไม่เป็นกบในกะลาหรือเป็นน้ำชาล้นถ้วยที่ไม่ยอมรับอะไรเลย ยึดถือกับความเชื่อเก่าๆที่ขาดเหตุผลและหลักฐานความจริง จงอย่าลืมว่า พระศรีอาริยเมตไตรยนั้นท่านเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 5 ต่อจากพระพุทธเจ้าโคตม และเป็นวงศ์วานเดียวกับพระพุทธเจ้าโคตมในภัทรกัป ที่มีพระผู้มีพระภาคเจ้าถึง 5 พระองค์คือ พระกกุสันธะ ,พระโกณาคมมนะ,พระกัสสปะ,พระพุทธเจ้าโคตม และพระเมตไตรย

    สำหรับการที่ผู้คนส่วนใหญ่ และผู้ที่บอกกล่าวว่า พระศรีอาริยเมตไตรยหรือพระเมตไตรยจะมาปรากฏตนเมื่อพระพุทธเจ้าโคตมปรินิพพานไปแล้ว 5,000 ปี เป็นความเชื่อที่ขาดซึ่งหลักฐาน แม้แต่ในพระไตรปิฎกก็ไม่ได้ระบุเวลาดังกล่าวไว้ สิ่งที่เป็นหลักฐานที่พบได้ก็คือ หลักฐานที่พระธรรมทูตที่ได้ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และต้นศรีมหาโพธิ์ จากประเทศอินเดียเมื่อ พ.ศ.2484 ได้คัดลอกพระพุทธพจน์ทำนายหรือคำตรัสของพระพุทธเจ้าโคตม มาจากศิลาจารึกที่เก่าแก่ ณ เขตมหาวิหาร ในสวนมฤคทายวัน เป็นพระพุทธพจน์ทำนายที่ตรัสว่า พระศรีอาริยเมตไตรยหรือพระเมตไตรยจะมาปรากฏพระองค์หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว 2,500 ปี (ศาสนาได้ล่วงเลยมาถึงกึ่งพุทธกาล)

    พระพุทธเจ้าโคตม ได้ตรัสสอนไม่ให้เชื่อในเรื่องใดทั้งสิ้น ซึ่งได้ตรัสสอนไว้ในกาลามสูตร 10 ประการ หากสิ่งที่ได้คิด ได้ทำ ได้ปฎิบัตินั้นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ด้วยข้อเท็จจริงเป็นประโยชน์ต่อตนเอง และผู้อื่นโดยส่วนรวมแล้วก็ควรจะนำมายึดถือปฎิบัติ การเชื่อจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรนำมาถกเถียงกัน แต่ที่สำคัญอยู่ที่การศึกษาหาข้อเท็จจริง ความเป็นจริงต่างๆให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ให้เกิดโทษ การจะเอาเรื่องความเชื่อมายึดถือโดยตลอดนั้นก็จะขัดกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าและหลักความเป็นไปได้ของความเป็นจริง “ใบประดู่ลายในพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้าเพียงไม่กี่ใบ” เป็นสิ่งที่พระองค์ได้นำเรื่องที่เป็นความจริง พิสูจน์ได้และเป็นประโยชน์มาตรัสสอน แต่ใบไม้ที่เหลืออยู่บนต้น และอยู่ในป่าอีกมากมายนั้นเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงทราบแต่ไม่ทรงตรัสสอน.

    คนเราทุกคนเกิดมาเพราะมีเวรจากการกระทำของตน มีใครจะทราบภูมิหลังของตนได้ว่า ชาติก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน บ้างก็บอกว่า ถ้าทำกรรมดีก็ได้ไปสวรรค์ ถ้าทำกรรมชั่วก็ได้ลงไปชดใช้กรรมอยู่ในนรก ซึ่งเป็นเรื่องที่เล่าสืบกันมา ได้ยินได้ฟังกันมาในลักษณะของนามธรรม แต่พระศรีอาริยเมตไตรยจะสามารถแสดงนรก-สวรรค์ให้ผู้คนได้เห็นจริงได้ด้วยรูปธรรม มิใช่เพียงนามธรรมตามที่ได้สั่งสอนกันมาหรือได้ยินได้ฟังกันมา เมื่อผู้คนได้ทราบผลแห่งการทำความดีและความชั่วแล้ว ผู้คนก็จะประพฤติปฎิบัติดี มีศีลธรรม ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่เบียดเบียนกัน สังคมก็จะมีความสงบสุขที่แท้จริงอย่างยั่งยืนและตลอดไป

    ท่านผู้อ่านทั้งหลายคงพอจะทราบแล้วว่า จากการศึกษาและค้นคว้าจากผู้เชี่ยวชาญศาสนาในมหาวิทยาลัยต่างๆของโลกและศูนย์ศาสนาที่สำคัญๆต่าง ได้มีความเห็นเดียวกันว่า”ผู้นำสันติสุข”ที่มีชื่อเรียกตามแต่ละภาษาหรือแต่ละศาสนาเช่น ศาสนายิวเรียกว่า Messiah,ศาสนาคริสต์เรียกว่า Comforter,ศาสนาอิสลามเรียกว่า Maldi,ศาสนาฮินดูเรียกว่า Kalki และศาสนาพุทธเรียกว่า Maitreya น่าจะเป็นบุคคลคนเดียวกัน นอกจากนี้ใน Isaiah 9.6 และ 3.3 ของศาสนายิวกว่า 2,700 ปีมาแล้ว

    ได้ระบุเวลาเกิดของ Messiah ว่า จะเกิดในระหว่างสงครามซึ่งจะมีชัยชนะได้ด้วยไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญ (น่าจะหมายถึงระเบิดปรมาณูที่ใช้เฉพาะแค่ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ) และยังได้ระบุอีกว่า บุคคลนี้จะมาปรากฏตัวเมื่ออยู่ในวัยที่เรียกว่า “Golden Age”(วัยทอง,วัยกลางคน) นอกจากนี้ในศาสนาและลัทธิที่สำคัญๆ และจากตำนานที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ได้บ่งบอกถึงบุคคลผู้นี้ไว้ดังนี้

    1.มีชื่ออยู่ในศาสนานั้นๆมีนามสกุลและคุณสมบัติส่วนบุคคลบ่งไว้พอเพียงที่จะพิจารณาและเข้าใจได้ เช่น ลักษณะของรูปร่าง,อายุ,จมูก,ปาก,เสียง
    2.บ่งบอกสถานที่และเวลากำเนิดของบุคคลนี้ว่าเกิดเมื่อใด
    3.ที่อยู่ปัจจุบันเป็นเมืองเล็กที่อยู่ในเมืองใหญ่
    4.เป็นผู้ที่มีความรู้ทั้งทางโลกและทางสวรรค์และจะพิสูจน์ให้คนทั่วไปเห็นได้ด้วยหลักฐานรูปธรรม
    5.เป็นผู้รู้จักมารและจะมาปราบมารด้วยพระธรรม
    6.เป็นผู้รู้โดยชอบจากการเข้าสมาธิ ความรู้ที่มีจะเกิดจากตนเอง
    7.เป็นผู้รู้ศาสนาทั้งหลายอย่างแท้จริง

    อ่านมาถึงขณะนี้ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องราวที่ไร้สาระ หาความจริงไม่ได้กันแน่แต่เรื่องราวต่างๆเหล่านี้มีหลักฐานปรากฏอยู่ในตำนานและคัมภีร์ของแต่ละศาสนา ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทางศาสนาได้ค้นคว้ามาแล้วมีหลักฐานของความเป็นจริงที่พิสูจน์ได้ไม่ใช่เรื่องที่กล่าวขึ้นลอยๆโดยไม่มีที่มา พระพุทธเจ้าโคตมะ ได้ตรัสสอนเกี่ยวกับเรื่องบัว 4 เหล่าไว้เปรียบเทียบกับความเข้าใจของคนไว้อย่างเป็นเหตุเป็นผลถึงชนิดของบัวต่างๆ อันประกอบด้วย บัวบานแล้ว,บัวปริ่มน้ำ,บัวใต้น้ำ และบัวใต้โคลนตม

    นอกจากนี้พระองค์ยังได้ตรัสสอน ปรโตโฆสะและโยนิโสมนสิการ คือ การสนทนา ซักถามจากผู้ที่เป็นเพื่อนแท้ และรู้จักคิดพิจารณาด้วยความจริงที่เป็นธรรมและมีประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น ก็จะเกิดปัญญาธรรมที่ถูกต้อง ท่านผู้อ่านลองพิจารณาหาเหตุผล ข้อเท็จจริง ความเป็นจริงว่าเรื่องที่ได้บอกกล่าวมานี้ เป็นอย่างไร อย่าได้ปักใจเชื่อโดยมิได้พิจารณา หรือคิดว่าไม่น่าเชื่อถือโดยคิดว่าไม่มีเหตุผล ไร้สาระ ในขณะที่ผู้คนในต่างประเทศหลายๆประเทศ กำลังตื่นตัวในเรื่องราวเหล่านี้แต่เรายังหลับใหลอยู่หรือ มีบุคคลผู้หนึ่งได้กล่าวไว้ว่า การจะพิจารณาว่าคุณธรรมของตนเองมีแค่ไหน ความมีกุศลผลบุญมีเพียงใด วัดได้จากความเข้าใจในเรื่องนี้...........

    โดย : falcon
    วันที่ : 2006-04-03 22:09:00

    ที่มา http://webboard.mthai.com/7/2006-04-03/218551.html<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2009
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ตำนานละแวก

    ต้นฉบับตำนานละแวกนี้เป็นของวัดศรีพิงค์เมือง (วัดศรีปิงเมือง) ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จำนวน ๑ ผูกความยาว ๖๒ หน้า คัดลอกโดยมหาวันภิกขุ เมื่อพ.ศ. ๒๔๒๓ ตรงกับ จ.ศ.๑๒๔๒ ปีกดสะง้าเดือน ๑๒ แรม ๙ ค่ำ วัน ๓ สรุปใจความได้ดังนี้

    ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั้น ทรงทำนายเหตุการณ์ในอนาคตไว้ที่เมืองละแวก เมื่อเสด็จมาถึงเมืองแห่งนี้พญานาคได้มาอุปัฏฐาก จึงทำนายว่า สถานที่ดังกล่าวนี้จะเป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนา พระอานนท์จึงขอเอาพระเกศาธาตุบรรจุไว้ที่นี่ พระพุทธองค์ทรงมอบพระเกศาธาตุให้จำนวน ๕ เส้น จากนั้นพระอินทร์ พระพรหม ครุฑ นาค และพญาเจ้าเมืองละแวก จึงก่อเจดีย์ขึ้นเป็นจำนวน ๕ องค์ สำหรับเป็นเครื่องหมายของศาสนา ๕,๐๐๐ ปี

    ครั้นเมื่อพระพุทธองค์นิพพานไปแล้ว ๒๒ ปี พญาอโสกธัมมิกราชได้มาบูรณปฏิสังขรณ์เจดีย์ดังกล่าวให้เจริญรุ่งเรือง โดยก่อกำแพงแก้วรอบบริเวณพร้อมทั้งติดแผ่นทองจังโกทุกองค์เจดีย์ ส่วนเมืองละแวกแห่งนั้นมีบริเวณกว้าง ๓ พันวา ยาว ๒ พันวา กำแพงเมืองก่อด้วยหินหนา ๖ พันวา สูง ๔ พันวาคูเมืองลึก ๗ วา สำหรับบริเวณที่สร้างเจดีย์ ๕ องค์กว้าง ๓๐๐ วาฐานเจดีย์องค์หนึ่งกว้าง ๑๔ วา สูง ๒๐ วา แต่ละเจดีย์มีซุ้มพระพุทธรูปทั้ง ๔ ด้านเหมือนกันหมดทุกองค์

    เจดีย์ทั้ง ๕ องค์ดังกล่าวนี้พระพุทธองค์ให้สร้างไว้ เพื่อเป็นเครื่องหมายทางศาสนา หากเจดีย์จมพื้นดินลงไป ๑ องค์เท่ากับศาสนาพ้นไปแล้ว ๑ พันปี จนกว่าจะครบ ๕ พันปีเจดีย์ทั้งหมดจึงจะหายไปในที่สุด เจดีย์ดังกล่าวนี้มีผู้อุปัฏฐากดูแลคือ ภิกษุ ๕๐๐ องค์ สามเณร ๕๐๐ รูป คฤหัสถ์ ๕๐๐ คน ในช่วงระยะเวลาระหว่างพุทธศาสนา ๕,๐๐๐ ปีนั้น จะมีพญาธัมมิกราชเกิดมาจำนวน ๕ องค์โดยมีช่วงเวลาครั้งละ ๑ พันปื

    สำหรับพญาธัมมิกราชองค์ที่ ๓ ที่จะเกิดมาในระหว่างพุทธศาสนาได้ ๓,๐๐๐ ปีนั้น(ตั้งแต่ พ.ศ.2001-3000 ) จะเกิดมาในขณะที่บ้านเมืองเดือดร้อนวุ่นวาย ผู้คนไม่มีศีลธรรม เกิดมีการรบพุ่งฆ่าฟันกันไปทั่ว

    ก่อนที่จะมีพญาธัมมิกราชเกิดขึ้นนั้น ท้องฟ้าจะมืดมิดเป็นเวลา ๗ วัน ครั้นถึงวันที่ ๘ ท้องฟ้าจึงจะสว่างสดใส เทวบุตรจะนำเอาเครื่องสูง ๕ ประการมา ทำพิธีราชาภิเษก(มุรธาภิเษก) โดยมีเทวดานางฟ้าและพระฤาษีมาร่วมพิธีด้วย รวมทั้งข้าทาสบาทบริจาริกาจำนวนหนึ่งหมื่นหกพันนางจากอุตรกุรุทวีป

    เมื่อเสร็จพิธีราชภิเษกแล้ว ปราสาท ๓ หลังจะผุดขึ้นมาจากพื้นดิน แต่ละหลังทำด้วยทองคำ แก้วและเงิน พญาธัมมิกราชองค์นั้นได้เสวยราชสมบัติในเมืองฝาง ในราชสำนักจะมีบุรุษผู้ประเสริฐจำนวน ๖ คน พญาธัมมิกราชจะขุดเอาข้าวของเงินทองจากพื้นดิน มาบูรณะบ้านเมืองและแจกจ่ายเป็นทานแก่คนทั่วไป หลังจากนั้นจึงได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป


    ขอเชิญอ่านหนังสือ 2 เล่มนี้ เพื่อเรียนรู้เรื่องของพระศรีอาริยเมตไตรย ที่จะมาเป็นพญาธัมมิกราช(พระเจ้าจักรพรรดิ์) โดยละเอียดทุกแง่ทุกมุมครับ​

    [​IMG]


    [​IMG]

    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2009
  9. roongruang

    roongruang สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2006
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +16
    ครับในทางมหายานถือว่าพระพุทธเจ้าจะปกครองธรรมกาลประมาณ 3,000 ปี เนื่องจากรับภิกษุณีจึงลด 500 ปีลงมาเหลือ 2,500 ปี และท่านจะมาจุติและสั่งสอนพระธรรมอันยิ่งใหญ่ไปในทุกหนแห่งในโลก และรวมหลักธรรมและความเชื่อมโยง อีกทั้งผู้ศึกษาและบำเพ็ญในทุกศาสนาเข้าไว้เป็นหนึ่ง เอกธรรมมรรค ดังนั้นในสมัยท่านทุกคนจะนับถือศาสนาของท่านเป็นหนึ่งเดียวครับ
     
  10. 11111111111

    11111111111 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    203
    ค่าพลัง:
    +226
    ********************
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2011
  11. สิงหนวัติ

    สิงหนวัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มกราคม 2009
    โพสต์:
    788
    ค่าพลัง:
    +2,107
    มาฝึกมโนมยิทธิกันดูสิครับ จะได้รู้ว่าสิริมายาเทวบุตร กับศรีอาริยเทวบุตร อยู่ที่ไหน ต้องลองมาฝึกดู
     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ถึงจะมีมโนมยิทธิเก่งสักแค่ไหน ก็ไม่อาจก้าวล่วงแรงอธิษฐานจิตของพระมหาโพธิสัตว์ไปได้

    พระศรีอารย์แอบจุติ

    เมื่อสันดุสิตเทพบุตรหรือเมตไตรยโพธิสัตว์เฝ้าตรวจตราโลกอยู่นั้น ก็ได้เห็นชาวพุทธที่ลำบากเพราะภัยสงครามพากันร่ำร้องหาตน ให้รู้สึกกรุณาแก่หมู่ชนยิ่งนัก จึงได้เรียกเหล่าเทพบุตรซึ่งจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในระหว่างพุทธันดรที่จะถึงนี้และพระมหาสาวกทั้งหลายของตนเข้าประชุมในวิมานอันมีกำแพงล้อมรอบมิดชิด ชวนเทพบุตรเหล่านั้นจุติลงสู่โลกมนุษย์เพื่อบำเพ็ญบารมีด้วยกัน สันดุสิตจึงเริ่มเตรียมการณ์บนสวรรค์คือหาสันดุสิตองค์ใหม่

    ภารกิจในการบริหารเทพบริษัทนั้นไม่ใช่ว่าใครๆก็จะทำได้ สันดุสิตตรวจหาผู้ที่สมควรนั้นอยู่ก็ได้เล็งเห็นรามโพธิสัตว์ในร่างภิกษุนามว่า “เสือ”แห่งวัดไผ่สามกอ จ.ฉะเชิงเทรา ที่เพิ่งทอดทิ้งร่างขึ้นสู่ดาวดึงส์ไม่นานนัก สันดุสิตจึงใช้เทพบุตรผู้จะเป็นพุทธอุปัฏฐากของตนลงไปเชิญรามโพธิสัตว์สู่ดุสิตเพื่อให้รับตำแหน่งบริหารเทพบริษัทแทนตน

    ในท่ามกลางธรรมสภาของหมู่เทพเหล่าดุสิต สันดุสิตเทพบุตรได้กล่าวอ้างว่าตนปรารถนาจะเก็บตัว เพื่อเร่งปฏิบัติธรรมบ่มโพธิญาณในวิมาน ไม่สะดวกที่จะออกมาพบปะเทพทั้งหลาย ไม่สะดวกที่จะบริหารหมู่คณะ จึงได้เสนอให้เหล่าเทพบุตรเลือกสันดุสิตองค์ใหม่เพื่อทำหน้าที่แทนตน เหล่าดุสิตเทพล้วนเป็นเหล่าผู้เจริญ ย่อมเคารพมติของผู้นำว่าเป็นผู้มีทิฏฐิอันประกอบด้วยประโยชน์เกื้อกูลหมู่ชนยิ่งกว่าใคร จึงได้ขอให้สันดุสิตเป็นผู้เสนอให้ว่าใครควรจะทำหน้าที่นี้

    สันดุสิตกล่าวว่า “ท่านรามนี้ แม้จะเป็นผู้ใหม่ในดุสิตบริษัท แต่ก็เป็นผู้มีปัญญามาก เป็นพระโพธิสัตว์สุขุมาลชาติ เป็นผู้เที่ยงที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อจากเรา ย่อมสามารถบริหารกิจต่างๆได้เสมอเราทีเดียว เราชอบใจให้ท่านรามทำหน้าที่นี้ หากพวกท่านชอบใจมติของเราก็ขอให้นิ่ง ถ้าไม่ชอบก็ขอให้กล่าวแย้งมาเถิด” เทพบริษัทล้วนนิ่งเงียบ สันดุสิตจึงประกาศว่า “แต่นี้ไป ขอให้พวกเราทั้งหลายทรงจำร่วมกันว่า ท่านรามคือสันดุสิตสำหรับพวกเรา”

    เมื่อเมตไตรยโพธิสัตว์กลับสู่วิมานแล้ว จึงเนรมิตรูปเหมือนของตนขึ้น อธิษฐานว่า รูปนิมิตนี้จงประกอบกิจต่างๆเสมือนเรายังอยู่ดุสิต มีการแสดงธรรมสอนเหล่าเทพ การต้อนรับแขกจากที่อื่นเป็นต้น แม้เหล่าเทพที่จะจุติลงมาก็ล้วนทำทีเป็นว่าปฏิบัติธรรมอยู่ในวิมาน ไม่ออกมาคลุกคลีบ่อยๆกับเทพองค์อื่นๆ ท่านเหล่านั้นบางท่านเนรมิตรูปเหมือนของตนให้อยู่วิมาน แล้วก็พากันจุติลงสู่โลกมนุษย์ ซึ่ง โดยมากแล้ว ต่างก็ลงสู่ดินแดนภาคอีสานของประเทศไทย

    สำหรับเมตไตรยโพธิสัตว์นั้นก็ได้สั่งความให้คู่บารมีของตนพร้อมด้วยเทพธิดาผู้มีบุญมากบางนางจุติลงสู่อุตตรกุรุทวีป เมื่อตนกำหนดมารดาได้ว่าจะหยั่งลงสู่ครรภ์แม่เนียบเนียนแล้วก็จุติลงสู่ครรภ์มารดาในบัดนั้นเอง

    จิตของเราหยั่งลงสู่เซลล์อ่อนๆในท้องมารดา ความจำในชาติอดีตก็ยังคงมีอยู่มิลืมเลือนว่า ตนกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน เสียงนกการเวกยังคงดังก้องในโสตประสาทอยู่ดุจแดนทิพย์ สายเลือดไหลเข้าและออก หล่อเลี้ยง เติมแต่งกายให้เติบใหญ่ สมบูรณ์ขึ้นเป็นลำดับๆ จนท้องมารดามิอาจจะรองรับกายเราได้ไหว กัมมัชชวาตะก็ปั่นป่วนขึ้น ตีทารกน้อยให้เท้าชี้ขึ้นฟ้า หน้าห้อยลงดิน บีบรัดรีดเร้าทารกให้โผล่พ้นออกมา แม้พระเมตไตรยโพธิสัตว์ก็มีอาการคล้ายอย่างนั้น

    กล้ามเนื้อของมารดาบีบรัดกะโหลกอ่อนๆของเรา จนเจ็บปวดรวดร้าวปางตาย เหมือนเขาเอาคีมใหญ่ๆมาบีบคั้นจนระบม ยากจะทานทนไหว สติที่เคยมีมาตลอดกลับสูญสิ้นไปเพราะเวทนากล้าที่เกิดแก่ตน เราลืมเลือนสิ้นว่าเราเป็นใคร มาจากไหน ทำไมจึงมา มาทำอะไรกัน. แม้เมตไตรยโพธิสัตว์ก็มีอาการคล้ายกัน

    เมื่อทารกน้อยคลอดออกมาแล้ว เนียบเนียนผู้เป็นมารดาก็ประหวัดนึกถึงความฝันในค่ำคืนหนึ่งอันเงียบสงัดของเดือน ๘ เมื่อปี ๒๕๑๗ ว่า มีเทวดานำแหวนทองคำมาให้เธอ เธอจึงได้ตั้งชื่อเด็กชายผู้นี้ว่า “เทพ”ตามความฝันนั้น

    ------------------------------------------------------------------------

    “คำทำนายโลกาพิบัติจากเกจิดัง, อภิญญาหกจะแพร่หลายปี 2552 และการปรากฏตัวของพระศรีอาริย์” ความว่า

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) ได้เคยบอกลูกศิษย์ที่ตึกรับแขก ซึ่งภรรยาของผมเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษา ได้ช่วยงานอยู่ที่นั่น เราทราบดีว่าหลวงพ่อนั้นเป็น"พระสุปฏิปันโน" จึงไม่ต้องสงสัยคำพูดใดๆของท่าน เมื่อคราวหนึ่งท่านกล่าวกับคณะศิษย์ที่ตึกรับแขกว่า...

    “ขณะนี้ "พระเจ้าจักพรรดิ" ได้ลงมาเกิดในประเทศไทยแล้ว และเกิดเป็นคนหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ มีเชื้อทางฝั่งลาว ตอนเกิดนั้น มารดาท่านฝันว่าได้แหวนทองจากเทวดา และตั้งชื่อลูกของท่านว่า "เทพ" (พวกเราจึงเลิกสงสัยว่าทำไมประเทศไทยจึงเจริญรุ่งเรืองต่อไป)<O:p</O:p<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>

    ที่มา http://palungjit.org/threads/นิยายสิริอริยะ-ธรรมิกราชโพธิสัตต์.50789/
     
  13. 11111111111

    11111111111 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    203
    ค่าพลัง:
    +226
    ********************
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2011
  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ความฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศล และคำทำนายของพระพุทธเจ้า

    ข้อที่ 16. พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงฝันว่า ฝูงแกะพากันไล่กวดฝูงเสือเหลือง และกัดกิน ทำให้เสืออื่นๆ สะดุ้งกลัว จนต้องหนีไปแอบซ่อนตัวจากฝูงแกะ

    พระพุทธเจ้าทรงทำนายว่าต่อไปภายหน้า คนชั่ว หรือคนที่ไม่ดีจะเรืองอำนาจ และใช้อำนาจไม่เป็นธรรม ทำให้คนดีถูกทำร้าย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ต้องหลบหนี ซ่อนตัวจากภัยร้ายเหล่านี้ เหมือนเสือซ่อนตัวจากแกะ

    เมื่อพิจารณาความฝัน จะเห็นว่าหลายข้อในความฝัน เป็นสิ่งที่ผิดไปจากธรรมชาติ เช่น แม่โคกินนมลูกโค ม้าสองปาก เขียดกินงู และแกะกินเสือ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนมีนัยอันไปสู่พุทธทำนายทั้งสิ้น หลายคนอาจจะสงสัยว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์ในสมัยพุทธกาล ทำไมฝันได้ไกลไปถึงอนาคต อันไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์ได้ถึงเพียงนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าคงเป็นเพราะเทวดาดลใจ ให้พระองค์ฝันแปลกประหลาด เพื่อพระบรมศาสดาจะได้ฝาก “พุทธทำนาย” เป็นคำพยากรณ์อันอมตะไว้ เป็นเครื่องเตือนสติ

    ให้มนุษย์โลกได้ตระหนัก และระมัดระวังภัยพิบัตินานัปการ ที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า หลังจากที่พระพุทธองค์ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว เพราะคงเล็งเห็นด้วยญาณวิเศษแล้วว่า นับวันคนเราก็จะห่างไกลจากหลักธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ จนเป็นเหตุให้มนุษย์มุ่งทำลาย เอารัดเอาเปรียบทั้งเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง และสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพื่อกอบโกยไปบำรุงบำเรอกิเลสแห่งตน โดยขาดความรัก ความเมตตาต่อกัน จึงทำให้คนเห็นแก่ตัว และมีผลให้สภาพแวดล้อม ธรรมชาติแปรปรวนไปหมด

    ในปัจจุบัน เหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น ฝนแล้ง อันทำให้เพาะปลูกได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ปัญหาเรื่องศีลธรรมและจริยธรรม เช่น เด็กและเยาวชนแก่แดดขึ้น มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยเพิ่มขึ้น ลูกขาดความกตัญญู และความเคารพยำเกรงต่อพ่อแม่ อลัชชีหรือพระทุศีลมีมากขึ้น ชายแก่ตกอยู่ในอำนาจเมียเด็ก หรือปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม เช่น คนขาดความรู้ประสบการณ์

    ได้รับแต่งตั้งให้ปกครองบ้านเมืองเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้มีอำนาจรับสินบน ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป คนรวยยิ่งรวยเพราะมีช่องทาง และโอกาสเอาเปรียบคนจน เหมือนตุ่มใหญ่ที่คนตักน้ำไปใส่จนเต็มแล้วเต็มอีก แล้วปล่อยตุ่มเล็กให้ว่างเปล่า ตัวอย่างเหล่านี้ ล้วนไม่พ้นคำพยากรณ์ที่ทรงทำนาย บอกแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า จะเกิดขึ้นในอนาคตของสมัยโน้น ก็คือ สมัยนี้หรือปัจจุบันนั่นเอง

    อย่างไรก็ดี ก็ยังมีพุทธทำนาย เพิ่มเติมที่มีผู้ถอดความจากศิลาจารึก เชตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย ความว่า พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า “....เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้น จะพบกับความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนเวียนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ คนในสมัยนั้น(ปัจจุบัน) จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต

    จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัย และคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น...ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง กล่าวคำเท็จ ไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติชอบ กลับไม่มีคนเคารพยำเกรง พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศ มีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง

    เมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ (น่าจะหมายถึงพระศรีอาริยเมตไตรย)....จะเสด็จมาเสริมสร้างพระศาสนา ของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปอีก 5,000 พระวรรษา…คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับเป็นกรรมของสัตว์โลกที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน

    ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศีลห้าประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่หลงมัวเมาในอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคง จึงจะพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล” นี่คือพุทธทำนายที่ทรงตรัสไว้ กว่า 2500 ปีล่วงมาแล้ว ส่วนใครจะเชื่อ จะปฏิบัติหรือไม่อย่างไร ก็คงเป็นไปตามกรรม ของแต่ละคนดังพระพุทธองค์ตรัสไว้

    <O:pสวัสดีครับ</O:p
    <O:pArbacu

    </O:pที่มา http://www.jobpub.com/articles/showarticle.asp?id=1895</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2009
  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    อย่าได้เห็นผิดไปจากคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้า พุทธพยากรณ์นี้มีหลักฐานยืนยันอยู่ในพระไตรปิฏก เป็นเรื่องจริงที่สามารถตรวจสอบและพิสูจน์ดูได้
     
  16. 11111111111

    11111111111 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    203
    ค่าพลัง:
    +226
    ********************
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2011
  17. ไม้บรรทัด

    ไม้บรรทัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2008
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +293
    ดูเหมือน เด็กๆ ที่คอยรบกวนเว็บ น่ะนี่
    ไม่มีความรู้ ในเรื่องที่จะโพสต์
    ภาษาที่ใช้ ก็เขียน ผิดๆถูกๆ งงๆ
    แถมยังเอาคลิป สาว มาลงอีก
    ผู้ดูแล..แนะนำหน่อยน่ะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2009
  18. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    ขอบคุณค่ะ
     
  19. พลน้อย

    พลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +473
    ใบลาน : พระศรีอารย์เทศนา ๒๐กัณฐ์
    โดย : ธวัช เฟื่องประภัสสร์ ป.๙ สำนักวัดเบญจมบพิตร<O:p</O:p
    ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา : นายรวล รุ่งเรืองธรรม พ.ศ.๒๔๙๘ (สงวนลิขสิทธิ์)<O:p</O:p
    สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์อักษรเจริญทัศน์<O:p</O:p
    ๑๙๕ เสาชิงช้า ถ.บำรุงเมือง พระนคร กรุงเทพฯ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระศรีอารย์กัณฐ์ที่๓<O:p</O:p
    มิตตกถา การคบเพื่อน<O:p</O:p
    สตฺโถ ปสวโต มิตฺตํ มาตา มิตฺตํ สเก ฆเร<O:p</O:p
    สหาโย อตฺถชาตสฺส โหติ มิตฺตํ ปุนปฺปุนํ<O:p</O:p
    สยํ กตานิ ปุญฺญานิ ตํ มิตฺตํ สมฺปรายิกนฺติ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    บัดนี้ จะแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องพระศรีอารย์ ต่อจากกัณฐ์ก่อน เพื่อเป็นเครื่องเจริญศรัทธาประดับปัญญาแห่งท่านทั้งหลาย ก็การที่ท่านมาประชุมกันฟังธรรมในวันนี้ ก็ได้ชื่อว่าได้กระทำคุณงามความดีหรือที่เรียกว่าบุญกุศล อันนับว่าเป็นเพื่อนที่ดี สามารถติดตามท่านไปในภพหน้า<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ธรรมดาคนเราจะอยู่แต่โดยลำพังในโลกไม่ได้ เพราะต่างต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นอันว่า จะต้องช่วยกันทำการงาน ซึ่งคนๆเดียวไม่สามารถทำให้สำเร็จลุล่วงไปได้ หรืองานบางอย่างต้องอาศัยกำลังคนหลายคนช่วยกันทำ เช่นการปลูกบ้านสร้างเรือนเป็นต้น ต้องอาศัยความช่วยเหลือของคนโน้นบ้าง คนนี้บ้าง จึงจะสำเร็จได้
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อนึ่ง ตามธรรมดาของคน ย่อมมีการขาดตกบกพร่องด้วยวัสดุสิ่งของเครื่องใช้ ในบางครั้งบางคราวต้องมีการหยิบยืมกันใช้สอย หรือบางคราวก็บกพร่องด้วยสติปัญญาวิชาความรู้ ซึ่งอาจจะทำงานพลั้งพลาดบ้างในบางกาลบางขณะ ต้องอาศัยผู้อื่นคอยเตือนสติบ้าง เหตุเหล่านี้แล เป็นปัจจัยให้คนทั้งหลายต้องคบหาสมาคม เอื้อเฟื้อเจือจาน ผูกไมตรีจิตในกันและกัน เพื่อได้อาศัยกันในคราวที่ต้องการ
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    แต่บุคคลทุกๆคนย่อมมีอัธยาศัยและนิสสัยใจคอแตกต่างกัน มีความคิดและปัญญาความประพฤติไม่เหมือนกัน บางคนก็มีใจหนักแน่นอดทน บางคนก็โกรธง่าย แต่คงแบ่งได้สั้นๆเป็น๒ประเภท คือ ที่เป็นพาลสันดานชั่วร้ายที่เรียกว่า ปาปชนประเภทหนึ่ง เป็นคนดีมีสันดานสงบเรียบร้อย ประพฤติกาย วาจา ใจ ตามทำนองคลองธรรม ที่เรียกว่า กัลยาณชนประเภทหนึ่ง<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ก็แหละ การคบหาสมาคมซึ่งกันและกันนั้น ย่อมเป็นปัจจัยให้นิสสัยสืบเนื่องติดต่อกันได้ ถ้าคบคนชั่ว ย่อมมีคนชั่วเป็นคติ ดังนัยเทศนาว่า ยํ เว สวติ ตาทิโส คบคนเช่นไรย่อมเป็นเหมือนคนนั้น ดังนี้ การคบคนชั่วย่อมเป็นมลทิน พาตัวให้มัวหมอง ปราศจากประโยชน์ที่จะพึงได้พึงถึง มักจะชักชวนในสิ่งที่ผิด ประกอบการทุจริตต่างๆ หรือแม้ไม่ถึงเช่นนั้น อันบุคคลผู้สมาคมหรือดำเนินตามรอยคนพาล ย่อมได้รับการครหานินทา เช่นว่า เราจะไม่เป็นคนเสพสุรายาเมาเป็นความจริง แต่ไปเดินตามคนเสพสุรายาเมาเข้า ย่อมมีอาการให้มหาชนลงสันนิษฐานว่า เราเป็นคนเช่นนั้นด้วย ยากที่จะพิสูจน์ตัวให้บริสุทธิ์ได้ ท่านจึงมีอุปมาไว้ว่า เหมือนด้วยใบไม้ที่ห่อของเน่า มีปลาร้าเป็นต้น แม้จะไม่ติดเปื้อนเปรอะก็คงมีกลิ่นเหม็นติดอยู่ เพราะฉะนั้น บุคคลจึงไม่ควรคบหาคนพาล ดังคำว่า อเสวนา จ พาลานํ ความไม่คบหาซึ่งคนพาลเป็นมงคลอันสูงสุด ดังนี้
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ส่วนการคบหาสมาคมกับด้วยกัลยาณชนคนดี มีความประพฤติสงบเสงี่ยมเรียบร้อยนั้นย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญ เพราะบุคคลผู้เป็นสัตบุรุษเช่นนั้น อาจสามารถจะแนะนำสั่งสอนชักชวนให้ปฏิบัติดำเนินไปในปฏิปทาอันเป็นทางมาแห่งความดีความชอบเป็นลำดับไป หรือว่าบางคาบบางสมัย เราจะพลั้งเผลอปราศจากสติ ทำความชั่วอย่างใดอย่างหนึ่ง สัตบุรุษนั้นอาจตักเตือนให้รู้สึกและละเว้นเสีย กลับดำเนินในทางที่ถูกได้ โดยที่สุดแม้จะทำดีให้เสมอเหมือนเขาไม่ได้ ก็ยังได้รับการยกย่องสรรเสริญว่าเป็นผู้คบสัตบุรุษ ซึ่งท่านเปรียบไว้ว่า เหมือนใบไม้หรือกระดาษที่ห่อกฤษณาหรือกะลำพัก แม้จะไม่มีเนื้อไม้ของหอมติดมาเลย ก็คงมีกลิ่นหอมติดมาบ้าง เพราะฉะนั้น จึงควรที่จะเลือกคบหาสมาคมด้วยธีรชนบัณฑิตชาติ แม้นักปรารชญ์ก็สรรเสริญไว้ว่า ความคบหาสมาคมซึ่งบัณฑิต เป็นอุดมมงคลอีกประการหนึ่ง
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อนึ่ง คำว่ามิตรและสหายเป็นคำมาคู่กัน แต่ท่านมุ่งอัตถะต่างกัน กล่าวโดยสาธารณนัย ชนผู้ประพฤติร่วมกัน เช่นทำหน้าที่การงานและอยู่ร่วมกัน ไม่ถึงแก่การรักใคร่กัน ท่านเรียกว่าสหายบ้าง อมาตย์บ้าง ชนผู้รักใคร่สนิทสนม ร่วมสุขร่วมทุกข์กัน จะอยู่ร่วมกันหรือไม่ก็ตาม ท่านเรียกว่ามิตร<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    มิตรมีหลายประเภท ที่เป็นภายในก็มี ภายนอกก็มี ดังพระพุทธภาษิตคาถา ซึ่งยกไว้ ณ เบื้องต้นว่า

    <O:p</O:p
    สตฺโถ ปสวโต มิตฺตํ มาตา มิตฺตํ สเก ฆเร<O:p</O:p
    สหาโย อตฺถชาตสฺส โหติ มิตฺตํ ปุนปฺปุนํ<O:p</O:p
    สยํ กตานิ ปุญฺญานิ ตํ มิตฺตํ สมฺปรายิกนฺติ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ความว่า หมู่เกวียนเป็นมิตรของคนเดินทาง มารดาเป็นมิตรในเรือนของตน สหายเป็นมิตรของคนมีธุระเกิดขึ้นเนืองๆ บุญทั้งหลายที่ทำไว้แล้วด้วยตนเป็นมิตรติดเนื่องในภพเบื้องหน้า ดังนี้
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    คนผู้เดินทางเมื่อขาดมิตรย่อมรู้สึกอ้างว้างเปลี่ยวใจ เมื่อได้พบหมู่เกวียนในระหว่างทางย่อมยินดี หรือผู้เดินทางไกลจนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าหมดกำลัง เมื่อได้นั่งเกวียนบรรเทาความกรากกรำและทำให้ปลอดภัยอันตราย ก็จัดได้ว่าหมู่เกวียนเป็นมิตร เพราะยังประโยชน์กิจให้สำเร็จได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    บรรดาอันโตชนผู้ร่วมกิจการอันสนิท ท่านยกเอามารดาเป็นมิตรอย่างสำคัญ เมื่อมารดาอยู่ด้วย ช่วยทำกิจตามส่วนที่ควรจัดทำ ทั้งเป็นผู้อุปถัมภ์บุตรธิดาในกรณียทุกอย่าง เหตุนั้น ท่านจึงขนานนามมารดาว่าเป็นพรหม เป็นบุรพาจารย์ และเป็นอาหุเนยยบุคคล แต่มิตรประเภทนี้ มีกำลังช่วยเหลือเพียงภายใน
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ชนผู้เป็นเพื่อนร่วมการงาน ท่านเรียกเพียงสหาย ต่อเป็นผู้มีเมตตาสนิทสนมไว้วางใจกันได้ ในสมัยที่มีธุระเกิดขึ้นก็ช่วยขวนขวายในกิจนั้นๆจนสำเร็จลุล่วงไปอย่างนี้ จึงสมควรเรียกว่ามิตร แต่ก็เป็นมิตรภายนอก
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    บุญทั้งส่วนเหตุและส่วนผลอันสำเร็จด้วยทาน ศีล ภาวนา ที่บุคคลบำเพ็ญอยู่แล้ว ย่อมติดตามไปเป็นอุปถัมภกปัจจัย ให้ได้รับความสำราญชื่นบานในสุคติภพยิ่งๆขึ้นไป จัดเป็นมิตรภายในที่ให้ผลยั่งยืนถึงภายหน้า
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    บรรดามิตรเหล่านั้น มิตรภายนอกทั่วไปอาจเป็นมิตรได้ทั้งชั่วและดี เพราะยังขึ้นอยู่แก่คน ถ้ามิตรชั่วก็เรียกว่าปาปมิตร ถ้ามิตรดีก็เรียกว่ากัลยาณมิตร ความเป็นผู้มีปาปมิตรย่อมเป็นไปเพื่อความเสียหายอย่างใหญ่ ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตรย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์อย่างมหันต์ เหตุนั้น บัณฑิตท่านจึงสอนไว้ให้เว้นมิตรชั่วเสียให้ห่างไกล เหมือนคนเดินทางเว้นทางที่มีภัยอันตราย และพึงเข้าหามิตรดี เหมือนมารดาไม่ทิ้งบุตร ฉะนั้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ก็แหละ บุคคลแม้จะได้กัลยาณมิตรแล้วก็ตาม แต่ถ้ามีจิตปฏิพัทธ์ มุ่งมั่นอนุเคราะห์จนเกินไป กล่าวคือพะวงแต่ในกิจธุระของมิตรสหายส่วนเดียว ไม่แลเหลียวถึงการจะบำเพ็ญประโยชน์ตน ก็เป็นผลทำตนให้เสื่อมจากคุณที่จะพึงได้พึงถึง มิหนำ ถ้ามุ่งอนุเคราะห์มิตรสหายในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก็อาจยังประโยชน์ส่วนน้อยและประโยชน์ส่วนรวมให้เสียได้ อันเป็นภัยแก่ส่วนย่อยและส่วนรวม เพราะฉะนั้น ทางที่ดีจึงสมควรที่บุคคลจะพึงทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นทั้งแก่ตน และทั้งแก่คนเป็นมิตรสหายตลอดถึงส่วนรวมร่วมกันไป จึงจะเป็นความดีงามในข้อนี้ ทั้งนี้ ก็เพราะเห็นในสันถวไมตรีนั้นว่าเป็นภัย จึงไม่มุ่งแต่จะสงเคราะห์มิตรสหายโดยฆ่าประโยชน์เสีย
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ก็แหละ คำที่ว่า ยังประโยชน์ให้เสื่อมนั้น ท่านหมายถึงประโยชน์ทั้ง๓ คือ<O:p</O:p
    ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ คือประโยชน์ในปัจจุบัน๑ สัมปรายิกัตถประโยชน์ คือประโยชน์ในภายหน้า๑ และปรมัตถประโยชน์ คือประโยชน์อย่างยิ่ง๑<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์นั้น อันผู้ศึกษาพึงทราบว่าท่านไม่ได้หมายเอาธรรม๔ประการ มีอุฏฐานสัมปทาเป็นต้น ว่าเป็นตัวประโยชน์ แท้จริงธรรม๔ประการนั้น เป็นปฏิปทาทางดำเนินให้บรรลุทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ต่างหาก เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อะไรเล่าเป็นตัวทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์<O:p</O:p

    <O:p</O:p
    ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์นั้น ได้แก่ทรัพย์ ยศ ไมตรีซึ่งเป็นอิฏฐผล อันสามัญชนพึงปรารถนา ชนใดทำตนให้ได้บรรลุผลเหล่านี้ครบทั้ง๓เช่นนั้น จัดว่าตั้งตนได้ และได้ชื่อว่า ยึดไว้ได้ซึ่งทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ก็บุคคลที่จะได้บรรลุผลเช่นนั้น ต้องประกอบด้วยธรรม๔ประการ มีอุฏฐานสัมปทาเป็นต้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ส่วน สัมปรายิกัตถประโยชน์ คือประโยชน์ในภายหน้านั้นได้แก่สมบัติ๒ประการ คือ มนุษย์สมบัติ๑ สวรรค์สมบัติ๑ สมบัติทั้ง๒ประการนี้ อันบุคคลจะพึงถึงก็เพราะประกอบด้วยธรรม๔ประการ มีสัทธาสัมปทาเป็นต้น
    <O:p</O:p
    ปรมัตถประโยชน์ ประโยชน์อย่างยิ่งคือนิพพานสมบัติ ข้อปฏิบัติอันจะพึงเป็นไปเพื่อปรมัตถประโยชน์คือวิมุติมรรคผล สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้เป็นอเนกประการ มีนัยวิจิตรพิสดารต่างๆ แต่เมื่อจะย่นลงกล่าวแล้ว ได้แก่ข้อปฏิบัติ๓ประการคือ ศีล สมาธิ ปัญญา
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ข้อที่ยกเอาวิมติ ความหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวงเป็นปรมัตถประโยชน์นั้น เพราะวิมุติเป็นคุณที่สุดแห่งพรหมจรรย์ จึงนับว่าเป็นประโยชน์อย่างสูง บุคคลหวังต่อประโยชน์คือวิมุตินั้น ต้องชำระกิเลสอย่างหยาบ ด้วยการศึกษาปฏิบัติในกองศีล, ต้องชำระกิเลสอย่างกลาง ด้วยการศึกษาปฏิบัติในกองสมาธิ, ต้องชำระกิเลสอย่างละเอียดที่เป็นอนุสัยเสีย ด้วยการศึกษาปฏิบัติในกองปัญญา
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เมื่อชำระจิตของตนให้ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง เช่นนั้นแล้ว ย่อมมีจิตผ่องใสไม่ขุ่นมัว ดุจน้ำอันใสสะอาดปราศจากมลทินฉะนั้น เมื่อปฏิบัติและหยั่งทราบชัดลงเช่นนั้น จิตย่อมหลุดพ้นจากอาสวกิเลส เป็นสมุจเฉทประหาร บรรลุมรรคผลนิพพาน อันเป็นเอกันตบรมสุข โดยเหตุนี้ สีล สมาธิ ปัญญา จึงนับว่าเป็นข้อปฏิบัติส่วนปรมัตถปฏิปทา ด้วยประการฉะนี้.
    <O:p</O:p
    บัดนี้จะได้แสดงเรื่องพระศรีอารย์สืบต่อไป ดำเนินความว่า เมื่อมหายักษ์ได้สมาทานศีลอยู่ตราบเท่าอายุขัยแล้วก็กระทำกาลกิริยา ตายไปบังเกิดเป็นบุรุษคนหนึ่ง มีกำลังร่างกายแข็งแรง อาศัยอยู่ ณ เชิงเขาแห่งหนึ่ง หาเลี้ยงชีพด้วยการปลูกผักพืชพรรณต่างๆ เขาที่บุรุษอาศัยอยู่นั้นก็เป็นเขาลูกเดียวกันกับเขาที่สมเด็จพระพุทธองค์เคยเสด็จไปสรงน้ำ และได้ทรงตากผ้าชุบสรงไว้ และได้มีฝูงลิงพากันมาถ่ายมูตรคูถ ทำให้เปรอะเปื้อนนั่นเอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อเถก ทิวสํ อยู่มากาละวันหนึ่ง บุรุษอริยเมตไตรยนั้นได้ออกมาตรวจตราดูไร่แตงโมของตนซึ่งกำลังมีผลดกอยู่เต็มไร่ ขณะที่ออกมายืนดูอยู่นั้นก็ได้เห็นฝูงลิงพากันมาลักแตงโมกินเป็นอาหาร บุรุษหนุ่มจึงวิ่งไล่กวดฝูงลิงเพื่อให้หนีไป<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    บังเอิญวันนั้น สมเด็จพระบรมศาสดามาถึงไร่แตงโมของบุรุษอริยเมตไตรย ประทับยืนอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง บุรุษหนุ่มได้วิ่งไล่ลิงไปถึงสถานที่ที่พระพุทธองค์ประทับยืนอยู่นั้น และได้เหยียบเอาพระฉายา เงาขององค์พระบรมศาสดาโดยมิทันได้สังเกต
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ครั้นบุรุษหนุ่มเหลียวไปเห็นพระพุทธองค์ก็เกิดมีความเลื่อมใสเป็นกำลัง ตรงเข้าไปถวายอภิวาทแล้วจึงนำแตงโมจากไร่ของตน๗ผลด้วยกัน น้อมนำเข้าไปถวายพระองค์ แต่ว่าแตงโมผลหนึ่งนั้นไม่บริสุทธิ์ เพราะมีรอยหนูเจาะกัดกินเสียก่อน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เมื่อพระพุทธเจ้าทรงรับผลแตงโมจากบุรุษหนุ่มอริยเมตไตรยแล้ว จึงได้ตรัสพยากรณ์ว่า ดูก่อนบุรุษ กุศลผลทานที่ท่านได้นำเอาแตงโม๗ผลมาถวายแก่ตถาคตนี้ จะเป็นปัจจัยให้ท่านได้บังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชอันประเสริฐในระหว่างกลางแห่งศาสนาของตถาคต และท่านจะได้ช่วยยกย่องศาสนาของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไป ก็แต่ว่า ผลกรรมที่ท่านได้เหยียบเงาของตถาคตนั้นก็ดี ผลกรรมที่ท่านนำแตงโมไม่บริสุทธิ์ มีรอยหนูเจาะมาถวายตถาคตนั้นก็ดี ผลกรรมนั้นจะส่งให้ท่านบังเกิดเป็นมนุษย์มีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว ที่ศีรษะของท่านจะมีรอยแผลเป็น ดุจรอยหนูเจาะแตงโม ครั้นต่อมา ท่านจึงจะกลับมีผิวพรรณผ่องใส มีร่างกายงามผุดผ่องดุจสีทอง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสพยากรณ์จบลงแล้ว ฝ่ายบุรุษหนุ่มศรีอริยเมตไตรยก็ได้สมาทานศีล อำนวนทานจนตราบเท่าอายุขัย ครั้นสิ้นชีพแล้วก็ได้ไปบังเกิดเป็นโอรสของพระราชา มีพระนามว่า อชิตกุมารเมื่อเจริญวัยก็ได้เล่าเรียนศิลปวิทยา แล้วได้ออกบรรพชาในสำนักของพระพุทธเจ้า ได้เรียนพระไตรปิฎกจนแตกฉานเชี่ยวชาญ และได้บำเพ็ญสมณธรรมอยู่จนตราบเท่าอายุขัย เมื่อแตกกายทำลายขันธ์แล้ว ได้จุติไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตเทวพิภพ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ในคัมภีร์อนาคตวงศ์ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อใกล้ศาสนาของพระบรมศาสดาของเราจะเสื่อมโทรม พระศรีอารย์บรมโพธิสัตว์จะได้จุติจากสวรรค์ลงมาเสวยพระชาติเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิ ช่วยยกย่องพระศาสนาให้รุ่งเรืองสืบต่อไป<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ในพระคัมภีร์ได้กล่าวต่อไปว่า ในกาลเมื่อพระศรีอารย์จะได้จุติจากสวรรค์ลงมาเกิดเป็นสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิราชนั้น ท้าวเธอจะมาประทับอยู่ในปราสาทราชวังอันใหญ่โต ณ ปราสาทที่ท้าวเธอประทับอยู่นั้น จะมีเทวดา๕หมื่นองค์มาคอยพิทักษ์รักษา นอกจากพวกเทวดาแล้ว ยังมียักษ์อีก๕หมื่นตน พร้อมทั้งพระยานาคและพระยาครุฑ รวมทั้งบริวารอีกมากมาย ต่างก็จะพากันมาเฝ้าปราสาท<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พระราชวังของพระศรีอารย์นั้น จะมีประตู๘๐ประตู แต่ละประตูจะมีฝูงเทพยดาและยักษ์คอยเฝ้าอยู่ทุกๆประตู ประชาชนที่จะผ่านเข้าประตูพระราชวังของท้าวเธอได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในศีลธรรม ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ประพฤติแต่การสุจริต ส่วนผู้ที่ประพฤติทุจริตจะไม่สามารถผ่านเข้าไปภายในได้
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ในบริเวณปราสาทนั้นเล่า ก็จะสว่างไสวไปด้วยดวงประทีป รุ่งเรืองด้วยแสงแก้ว๙ประการ กลางคืนกับกลางวันนั้นก็จะแลดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ต่างกันแต่ว่าตอนกลางวันสว่างด้วยแสงอาทิตย์ ส่วนกลางคืนจะสว่างด้วยแสงจันทร์และแสงแก้วมณี เป็นที่น่าดูน่าชมยิ่งนัก
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เมื่อพระศรีอารย์บรมโพธิสัตว์ประทับอยู่ในพระราชวังนั้น จะมีเทพบุตรนำเอาผลไม้ทิพย์มีรสอันโอชานำมาถวายพระองค์ ผลไม้นี้ ถ้าใครได้บริโภคแล้ว คนแก่ก็จะกลายเป็นหนุ่ม มีกำลังแข็งแรง แม้มีอายุมากแล้วก็จะดูประดุจมีอายุเพียง๒๐ปี และจะมีพระมหาเถระ๒๔รูป เดินทางมาจากทิศต่างๆ เพื่อเฝ้าถวายพรแด่สมเด็จพระศรีอารย์บรมจักรพรรดิ ท้าวเธอจะได้นำผลไม้ทิพย์ที่เทวดานำมาถวายพระองค์นั้น น้อมนำไปถวายแก่พระมหาเถระผู้เฒ่าที่มาเฝ้าพระองค์ พระเถระเหล่านั้น เมื่อฉันผลไม้แล้วก็จะรู้สึกง่วงนอนและนอนหลับไป ครั้นตื่นขึ้นก็จะรู้สึกว่าร่างกายของตนกลับแข็งแรงและมีผิวพรรณผุดผ่อง ประหนึ่งว่าเป็นพระภิกษุเมื่อแรกอุปสมบทได้เพียง๑พรรษาเท่านั้น เมื่อพระศรีอารย์นำผลไม้ถวายพระเถระแล้ว ก็จะได้นำเมล็ดผลไม้นั้นไปปลูกไว้ ณ ที่ดินริมปราสาท แล้วก็จะทรงรดน้ำที่เมล็ดนั้น
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ตสฺมิง ขเณ ในขณะนั้น เมล็ดผลไม้ทิพย์นั้นก็จะงอกงามเจริญขึ้น แตกกิ่งก้านสาขา ออกดอกออกช่อ และผลเต็มไปทั้งต้น ฝูงประชาชนทั้งหลาย ก็จะพากันมาจากทิศต่างๆ แล้วเก็บผลไม้นั้นบริโภค คนแก่ก็จะกลับกลายเป็นคนหนุ่ม ผู้ที่มีผิวพรรณไม่งดงาม ก็จะกลับมีผิวพรรณงดงามผ่องใส คนที่เป็นโรคต่างๆหรือร่างกายอ่อนแอ ก็จะหายจากโรค กลับมีร่างกายแข็งแรง
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    รอบปราสาทของพระองค์ จะมีต้นกัลปพฤกษ์ ๑,๖๐๐๐ต้น อาณาเขตของปราสาทนั้นจะกว้างขวางหลายโยชน์ จะเป็นที่อยู่ของประชาชนพลเมือง ซึ่งล้วนแต่มีจิตใจเป็นกุศลทั้งหมด บ้านเมืองจะร่มเย็นเป็นสุขด้วยประการฉะนี้<O:p</O:p<O:p</O:p
     
  20. พลน้อย

    พลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +473
    พี่เกษมครับ ไม่แน่ใจว่าเป็นท่านเดียวกันไหม
     

แชร์หน้านี้

Loading...