ความรักคืออะไร ? ^_^

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย ทองอยู่, 14 กันยายน 2010.

  1. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  2. Senseless guy

    Senseless guy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    287
    ค่าพลัง:
    +991
    ถ้าเราจะรักกัน

    <O:p</O:pเมื่อเรารักกัน...ไม่ต้องคิดว่าจะโง่หรือจะฉลาด
    ไม่ต้องคิดว่า...ถ้าเชื่อเค้าแล้วเราจะโง่ในสายตาใคร ๆ
    ไม่ต้องคิดว่า...ถ้าเปิดหูตารับฟังปากชาวบ้านเป็นการฉลาด
    ไม่ต้องคิดว่า...ถ้าเชื่อว่าเค้ารักเราคนเดียวเป็นเรื่องโง่
    ไม่ต้องคิดว่า...ถ้ารู้ว่าเค้าทำอะไรเพื่ออะไรเป็นเรื่องฉลาด
    ไม่ต้องคิดว่า...ถ้าให้โอกาสเค้าเรื่อย ๆ เป็นเรื่องโง่
    ไม่ต้องคิดว่า...ถ้าตั้งกฎเกณฑ์แล้วจะฉลาด

    เมื่อคนเรารักกัน...เราไม่ได้เล่นเกม
    ไม่ใช่...เล่นหมากรุกที่ต้องมองเชิงกันก่อน
    ไม่ใช่...เล่นวิ่งไล่จับคนหนึ่งหนีคนหนึ่งวิ่งตาม
    ไม่ใช่...เล่นซ่อนหาต้องตามจิกตามหาตลอดเวลา
    ไม่ใช่...เล่นโยนเหรียญสุ่มเอาว่าจะหัวหรือก้อย

    เมื่อเรารักกัน...เราไม่ได้ทดลอง action = reaction
    เวลาเราให้เค้าไป...ไม่จำเป็นว่าต้องได้รับกลับ
    เวลาเค้าโมโหใส่...ไม่จำเป็นต้องโมโหกลับ
    เวลาเค้าทำไม่ดีกับเรา...ไม่จำเป็นต้องทำบ้าง
    เวลาเค้าไม่ทำดีให้...ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ควรทำให้เค้า

    เมื่อเรารักกัน...เราไม่ได้ทดสอบทฤษฎี Demand & Supply
    ไม่เสมอไป...ที่ต้องการความรักมาก ๆ แล้วเค้าจะมีให้เราน้อย
    ไม่เสมอไป...ที่ให้ความรักเค้ามาก ๆ แล้วราคาความรักจะต่ำ
    ไม่เสมอไป...ที่จะมีจุดที่ความต้องการเท่ากับความรักที่ให้

    เมื่อเรารักกัน....
    ไม่จำเป็น...ต้องหาเหตุผลให้กับเหตุการณ์ทุกอย่าง
    ไม่จำเป็น...ต้องกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น
    ไม่จำเป็น...ที่ต้องบอกเค้าว่า "
    เค้าคงไม่เห็นคุณค่าของสิ่งของที่เค้ามีถ้าเค้ายังไม่เสียมันไป"

    รักกันไม่จำเป็นต้องขู่กันเรื่องความสำคัญ
    รู้อยู่ในใจก็พอ...ว่าเรารักกัน

    จำไว้ให้แน่นใจ...กับเรื่องดี ๆ ที่เค้าพูด
    จำไว้ให้อบอุ่นใจ...กับสิ่งดี ๆที่เค้าทำให้เรา

    ค้นมันออกมาเวลาเหงาใจ
    ค้นมันออกมาเวลาไม่มั่นใจ
    ค้นมันออกมาเวลาเสียใจ

    เพราะว่าเวลาใจเราอ่อนแอ
    สิ่งดี ๆ ของเราสองคนมักจะหายไป
    อย่าปล่อยให้มันหายไป....เพราะ
    คนที่เค้าเคยทำให้เราอาจจะเสียใจ
    ที่เราหลงลืมเรื่องดี ๆ เหล่านั้นแล้ว
    Keep asking all the time
    ...เมื่อเรารักกัน....ไม่มีนิยามของแต่ละคู่.... <O:p></O:p>
    <O:p[​IMG] </O:p
    <O:p</O:p
     
  3. Mantalay

    Mantalay เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    1,679
    ค่าพลัง:
    +5,065
    [​IMG]

    ควรอยู่เป็นโสด หรือ มีครอบครัว

    (ศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ์ กรีน)
    พอดีคุณเทพได้พูดเรื่องไม่อยากมีลูกขึ้นมา ดิฉันอยู่ในฝ่ายที่รับฟังปัญหาของคนมามาก ถามเข้ามามากเพื่อต้องการคำตอบในเรื่องนี้ และดิฉันอายุก็จัดเข้าสู่วัยชราแล้ว มีลูกของตัวเองด้วย จึงเห็นปัญหาของคนในแต่ละวัยได้ชัดเจนมากขึ้น จึงอยากถือโอกาสพูดเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา อาจจะฟังขัดหูต่อคนบางคนที่ไม่อยากฟัง แต่ต้องพยายามเข้าใจเรื่องที่ดูเหมือนง่าย ๆ แต่มีความลึกซึ้งอย่างมหาศาล เช่นเรื่องการแต่งงานและมีลูก

    คนที่อายุยังน้อย เมื่อมาปฏิบัติธรรมแล้ว มักพูดเสมอว่า ไม่อยากแต่งงาน ไม่อยากมีลูก เพราะไม่อยากมีบ่วงผูกคอ ซึ่งเป็นการคิดและพูดตามพระพุทธเจ้า แต่ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว การเข้ามาพึ่งร่มโพธิ์ร่มไทรของพระพุทธศาสนาไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ สำหรับคนยุคนี้แล้ว โดยเฉพาะเพศหญิง ใครจะบวชได้และอยู่ได้จริง ๆ จำเป็นต้องมีทุนทรัพย์ด้วย

    เห็นคนเปลี่ยนทัศนะคติมาแล้ว

    ตอนนี้ดิฉันสามารถเห็นภาพชีวิตของคนที่มีอายุมากขึ้นด้วย ฝรั่งที่ใช้ชีวิตในวัยชราอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครดูแล บางคนตายเป็นอาทิตย์ เป็นเดือนแล้ว คนถึงจะรู้ ได้พบคนไม่น้อยที่เล่าถึงความห่วงใยในอานาคตของตนเองที่ต้องอยู่เพียงคนเดียวโดยไม่มีใครดูแล บางคนถึงขนาดกลัว ไม่สามารถขับไล่เจอรี่ตัวกลัวนี้ออกจากบ้านของใจ มันรบกวนมาก

    คนที่อยู่ในวัยไม่เกิน ๓๕ นั้น มักจะคิดถึงชีวิตแบบตัดตอนโดยเอาความรู้สึกในขณะนี้เป็นเกณฑ์ตัดสิน เห็นว่าชีวิตก็มีความสุขดีนะ เพราะมีพ่อแม่พี่น้องอยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่น ไม่เห็นจะต้องแต่งงานรับภาระการเลี้ยงลูกดูแลคู่ครองให้ยุ่งยากเปล่า ๆ ปฏิบัติธรรมไป ก็น่าจะอยู่ได้ แต่พอเข้าวัย ๔๐ แล้วสิ ความคิดเริ่มเปลี่ยน เพราะพ่อแม่ก็แก่เฒ่าชราลง หรืออาจจากเราไปแล้ว พี่น้องคนอื่นก็อาจจะแต่งงานมีครอบครัวของตนเอง จากครอบครัวที่เคยอบอุ่นเต็มไปด้วยผู้คนกลับเหลือสมาชิกน้อยลง ๆ พี่น้องที่มีครอบครัว เขาก็ไปสร้างสมาชิกใหม่ของเขา มีความรักความอบอุ่นเหมือนที่พ่อแม่มีเราตอนเราเล็ก ๆ แม้เพื่อน ๆ ก็ตาม เมื่อเขาแต่งงานไป จะค่อย ๆ ห่างและหดหายไปเช่นกัน หากเราไม่ได้แต่งงาน ไม่มีลูก แม้จะปฏิบัติธรรมก็ตาม จะยังไม่พ้นที่จะถูกความเงียบเหงาและความกลัวอนาคตหลอกเอาทั้งนั้นไม่ว่าชายหรือหญิง ยิ่งแก่ตัว คนรู้จักในรุ่นเดียวกันก็จะยิ่งน้อยลง ก็จะยิ่งคิดมาก อย่างน้อยพ่อแม่ที่ชราของเรามีเราเป็นคนดูแลท่าน พาท่านไปหาหมอ ดูแลปรนิบัติท่านในยามที่ท่านเจ็บป่วย แม้จากไปแล้ว ก็ยังมีเราเป็นภาระจัดงานศพแผ่ส่วนบุญกุศลไปให้ท่าน และเมื่อเราแก่เฒ่าชราล่ะ ใครจะดูแลเรา หากเราไม่มีลูก ใครจะทำสิ่งเหล่านี้ให้กับเรา มีหลายรายที่เขียนมาหาดิฉันเพื่อต้องการเค้นเอาคำตอบว่าจะแก้ปัญหาเรื่องความเหงา และการต่อสู้กับอนาคตอย่างโดดเดี่ยวได้อย่างไร

    สัญชาติญาณคือธรรมชาติจัดสรร

    ดิฉันจึงขอถือโอกาสนี้พูดตรง ๆ เลย ว่า คุณกำลังอยู่ในโลกมนุษย์อันเป็นคุกชีวิตที่ไม่มีอะไรสมบูรณ์เพียบพร้อมไปหมดทุกอย่าง จะขอไปนิพพานด้วยพร้อมกับอยู่ในโลกมนุษย์อันเป็นคุกชีวิตอย่างไม่ทุกข์เลยย่อมเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะอยู่เป็นโสด หรือเลือกการไม่มีลูก ล้วนต้องมีห่วง มีทุกข์กันคนละแบบทั้งสิ้น ถ้าต้องการความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นความอบอุ่นของการมีครอบครัว ก็ต้องยอมลงทุนโดยการรับภาระเลี้ยงลูก ต้องยอมเสี่ยงที่จะเป็นทุกข์ หากลูกไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ หรืออาจมีเรื่องอะไรเกิดกับลูก นี่เป็นเรื่องของโลก ไม่มีทางเลือก

    ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า โลกมนุษย์คือโลกที่ต้องมีมนุษย์อยู่ ธรรมชาติจึงจัดสรรให้มนุษย์มีขบวนการสืบเผ่าพันธุ์ ความต้องการทางเพศจึงเป็นสัญชาติญาณที่รุนแรงมาก แรงพอ ๆ กับสัญชาติญาณของหญิงที่อยากเป็นแม่คน และแรงพอ ๆ กับสัญชาติญาณของแม่ที่ต้องการปกป้องลูกของตน เรื่องสัญชาติญาณนี่เป็นเรื่องลึกซึ้งและลึกลับของธรรมชาติ สัญชาติญาณที่รุนแรงเหล่านั้นล้วนเป็นแผนการณ์ให้มนุษย์จำเป็นต้องทิ้งเผ่าพันธุ์ไว้ในโลกมนุษย์ การฝืนธรรมชาติเหล่านี้ย่อมเป็นเรื่องยากมาก แม้ฝืนมันได้ โดยการไปบวชเป็นพระ ก็เห็นไม๊ล่ะว่า ทำไมจึงมีปัญหาเรื่องพระไปแอบเสพเมถุนกันมาก แม้ไม่บวชเป็นพระ นักปฏิบัติธรรมที่เป็นชายก็ล้วนถูกเรื่องกามราคะตามรังควานทั้งสิ้นอย่างที่หลายคนได้ประสบมา

    ชีวิตมีทั้งแง่บวกและลบ

    นอกจากนั้น ชีวิตมนุษย์เป็นชีวิตที่ต้องทำงานหาเงินเพื่อมาเลี้ยงชีวิตให้อยู่รอด ไม่มีความสามารถในการเนรมิตของทิพย์เหมือนประชากรของเทวดาในโลกสวรรค์ ธรรมชาติจึงสร้างมนุษย์ให้เป็นสัตว์สังคม ต้องอยู่กันเป็นคู่ เป็นครอบครัวเพื่อช่วยกันทำมาหากิน ช่วยกันเลี้ยงลูกเล็กให้เติบใหญ่ ความรักความอบอุ่นของครอบครัวที่มีคนที่เราพึ่งพาได้อย่างแท้จริงเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทั้งมนุษย์และสัตว์พอจะหาได้ในขณะที่ยังอยู่ในคุกชีวิต

    โลกมนุษย์นี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์ เพราะมันเป็นคุก เราต้องยอมรับวิถีชีวิตที่ธรรมชาติสร้างให้ ซึ่งมีทั้งแง่บวกกับแง่ลบ ในสายตาของนักปฏิบัติธรรมเห็นการแต่งงานมีลูกเป็นภาระหนักที่จะถ่วงไม่ให้ตนเองไปนิพพาน แต่การอยู่คนเดียว ปฏิบัติธรรมก็ไม่ได้รับประกันว่า เราจะไปนิพพานได้เร็วกว่าคนที่มีครอบครัวที่ไหน ในทางตรงกันข้าม คนที่มีครอบครัวของตนเองนั้น จะมีประสบการณ์ชีวิตอีกมากมายที่คนไม่เคยมีครอบครัวจะไม่มีวันรู้ได้ เช่น การเป็นพ่อแม่คนมีความรู้สึกอย่างไร การเลี้ยงลูกเล็กมีความสุขอย่างไร การเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อรักมนุษย์อีกคนหนึ่งโดยไม่มีอะไรเคลือบแฝง นี่เป็นสิ่งที่คนไม่ได้เป็นพ่อแม่คนจะไม่มีโอกาสทำได้ แน่นอน การเลี้ยงลูกย่อมเป็นภาระ และเป็นบ่วงผูกคอ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงลูกเลว ๆ ที่นำปัญหามาให้พ่อแม่ต้องเสียใจ ทุกข์ใจ จนต้องพูดออกมาดัง ๆ ว่าหากไม่มีลูก คงดีกว่านี้

    จะมองชีวิตแบบตัดตอนไม่ได้

    สิ่งที่ดิฉันอยากให้คนปฏิบัติธรรมมองคือ ไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่แต่งงาน หรือ แต่งงานแล้วไม่มีลูกด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ ทุกคนล้วนมีทุกข์ มีปัญหาไปคนละแบบทั้งสิ้น ล้วนต้องตั้งความปรารถนาพระนิพพานทั้งสิ้น แต่ก่อนที่จะตัดสินใจเด็ดขาดว่า จะไม่แต่งงานและไม่อยากมีลูกนั้น ต้องพยายามมองภาพที่ไกลออกไป เพราะทุกคนล้วนต้องแก่ และอาจมีโรคภัยไข้เจ็บ และต้องตายทั้งสิ้น เพราะมีส่วนนี้แหละ วิถีของธรรมชาติจึงสร้างให้มนุษย์ต้องอยู่กันเป็นกลุ่มก้อนที่เราเรียกว่าสังคม ตั้งแต่สังคมครอบครัวขึ้นไปจนถึงระดับประเทศ เพื่อมนุษย์จะได้ดูแลซึ่งกันและกัน ฉะนั้น คุณจะมองแบบตัดตอนไม่ได้ คุณต้องมองให้เห็นภาพของตนเองในวัยชราที่กำลังเจ็บไข้ได้ป่วยด้วย คุณต้องมองให้ออกว่า ความสุขของพ่อแม่ของเราในขณะนี้คือ การได้อยู่ห้อมล้อมด้วยลูกหลานของตนเอง นี่คือความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนแก่ ล้วนมองไปที่หน้าบ้านเพื่อเอี้ยวคอมองว่าเมื่อไหร่ลูกหลานจะมาหาทั้งนั้นแหละ ลองไปสังเกตสิ ลูกหลานของคนอื่นก็ไม่เหมือนลูกหลานของเราเอง ขอยกเว้นกรณีพิเศษที่ลูกหลานคนอื่นดีกว่าลูกหลานของตัวเองซึ่งมีน้อย ฉะนั้น ต้องมองตนเองในวัยชราที่อยู่โดดเดี่ยว เราจะไม่มีความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างที่พ่อแม่เรามีอยู่ในขณะนี้

    ถูกแม่ดุ

    แม้ดิฉันเอง ขณะอยู่ในวัยสามสิบกว่ามีลูกเล็กสามคนแล้ว กลับมาหาแม่ทีไร ก็มักพูดว่าอยากกลับมาอยู่กับแม่และพี่น้องที่เมืองไทย จนแม่ต้องดุดิฉันเลยว่า มีสามีมีลูกแล้ว ก็ต้องคิดอยู่กับครอบครัวของตัวเองสิ จะคิดไปอยู่กับคนอื่นได้อย่างไร เห็นไม๊ แม่พูดเองว่า พี่น้องเป็นคนอื่น ยังรู้สึกผิดหวังว่าทำไมแม่พูดเช่นนั้น และทำไมตอนที่เรามีลูกเล็ก ผู้ใหญ่จึงพูดเหมือนกันหมดว่า หนูนี่โชคดีจัง มีลูกชายน่ารักถึง ๓ คน ถูกละ ความรู้สึกสุขและสวยงามจากการมีลูกก็มีอยู่ แต่ตอนนั้นฟังแล้วก็ยังขัดกับความรู้สึกบางอย่างของตนเองบ้าง เพราะเหนื่อยมากจากการเลี้ยงลูก แถมเงินทองก็ไม่ค่อยมี เห็นแต่ภาระที่หนักหน่วง

    แต่ตอนนี้ดิฉันเข้าใจมากขึ้นแล้วว่าทำไมผู้ใหญ่จึงมักพูดเช่นนั้น เห็นปู่ย่าตาทวดบางคนที่ผ่านชีวิตมามาก พร้อมกับเห็นปัญหาและความทุกข์มากมายที่ลูกหลานนำมาในช่วง ๕๐ ปี แต่คนชราเหล่านี้ ก็ยังพูดเหมือนกันหมดว่า ไม่เสียใจที่มีลูก ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ยังสนับสนุนให้คนมีครอบครัวดีกว่า นี่คือความลึกซึ้งของชีวิตที่เข้าใจได้ยาก ต้องมีประสบการณ์เท่านั้น จึงจะรู้ได้

    ต้องกล้าเผชิญปัญหา

    ฉะนั้น หากใครตัดสินใจไม่อยากมีครอบครัว ก็ต้องมีความกล้าหาญที่จะเผชิญกับปัญหาความเงียบเหงาและการดูแลตนเองในยามแก่เฒ่า จะต้องยอมรับว่านี่เป็นการตัดสินใจของตนเอง และเตรียมตัวรับปัญหาเหล่านั้น จะต้องวางแผนให้ดีว่าจะทำอะไรกับตัวเองอย่างไร ซึ่งคนโสดส่วนมากมักไปอยู่วัด

    ส่วนใครที่มีลูก ก็ไม่ได้รับประกันเช่นกันว่า ลูกจะมาเลี้ยงเราในยามแก่เฒ่า ลูกที่แต่งงานแล้ว รักแต่สามีหรือภรรยาและลูกของตัวเองโดยไม่เหลียวแลพ่อแม่ชราก็มีถมไป สังคมเปลี่ยนไปมากแล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความเสี่ยงเหมือนการซื้อล๊อตเตอรี่ ไม่มีทางรู้ว่ามันจะออกหัวหรือออกก้อย ต้องจำไว้เสมอว่า เรากำลังอยู่ในคุกชีวิตที่ไม่มีอะไรสมบูรณ์ เพียบพร้อม ล้วนต้องเสี่ยง หรือไม่ก็ต้องลงทุนเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมาทั้งสิ้น

    ครอบครัวใหญ่

    การที่พระพุทธเจ้าสร้างสังคมของบรรพชิตขึ้นมา ก็เพื่อสร้างทางลัดให้คนเดินไปนิพพานได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องมีภาระหาเลี้ยงชีพ นอกจากนั้น สังคมบรรพชิตก็เหมือนเป็นครอบครัวใหญ่ที่พระบรมศาสดาหวังจะให้ภิกษุดูแลกันเอง เมื่อครั้งที่ท่านเสด็จไปดูแลพระรูปหนึ่งที่เจ็บไข้ได้ป่วยเพราะไม่มีใครดูแล ทรงเช็ดถูกายให้ เสร็จแล้ว ท่านก็ตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า หากภิกษุไม่ช่วยดูแลกันเองในยามเจ็บไข้แล้ว จะไปหวังให้ใครมาช่วยดูแลหรือ เป็นการบอกพระภิกษุสาวกว่า สังคมของสงฆ์นี่แหละคือครอบครัวใหม่ของตนเองแล้ว จำเป็นที่จะต้องคอยสอดส่องและดูแลกันเอง ซึ่งดิฉันก็ไม่ทราบว่า ภิกษุของยุคสมัยนี้ยังคงปฏิบัติต่อกันเช่นนี้หรือไม่ ถ้าเป็นพระที่มีชื่อเสียง เป็นครูบาอาจารย์หรือเป็นเจ้าอาวาสก็คงไม่มีปัญหา ย่อมมีลูกศิษย์คอยดูแล อย่างเช่น หลวงปู่ชา แต่พระที่ไม่มีบทบาทอะไรต่อสังคมแล้ว เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ยังคงเป็นหน้าที่ของครอบครัวตนเองที่จะต้องมารับภาระดูแลท่าน

    สังคมอโศกเป็นตัวอย่างที่ดี

    ส่วนทางออกของคนที่ไม่คิดบวชและไม่อยากแต่งงานมีครอบครัว ก็ต้องสร้างสังคมของตนเองขึ้นมาที่จะช่วยดูแลกันเองได้ คือ สร้างสังคมของญาติธรรม มาเป็นญาติกันในทางธรรม ซึ่งสังคมของชาวอโศกที่นำโดยท่านโพธิรักษ์จะเป็นตัวอย่างที่ดีมากของสังคมดังกล่าว หรือไม่เช่นนั้นก็ไปอยู่วัด หรือ อาศรมต่าง ๆ ที่มีผู้นำทางธรรมได้สร้างสังคมไว้แล้ว เช่น อาศรมมาตา เป็นต้น แต่หมายความว่า เรายังต้องเสียสละอิสรภาพส่วนตัวบ้างที่จะมาสร้างญาติทางธรรม มาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเช่นนี้ จะต้องมีทั้งการให้และการรับที่สมดุลกัน give and take เราไม่สามารถคาดหวังให้ใครมาดูแลเราในยามเจ็บไข้ หากเราไม่เคยไปดูแลคนอื่นเลย ในขณะที่การมีครอบครัวของตนเอง ก็เหมือนการบังคับให้ดูแลกันเองไปในตัวตามที่ธรรมชาติสร้างมา

    การสร้างสังคมของญาติธรรมก็ไม่ใช่เป็นคำตอบสำหรับทุกคนเสมอไป เพราะคนปฏิบัติธรรมส่วนมากก็ไม่ค่อยอยากยุ่งกับใครมากอยู่แล้ว ยิ่งถ้าไม่ใช่ครอบครัวคนใกล้ชิดของตนเอง อยากมีชีวิตเป็นส่วนตัวของตนเองมากกว่า สังคมของกัลยาณมิตรเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาเลย แม้สังคมที่มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นก็ยังมีปัญหาหากต้องมีการพูดคุย สื่อสาร และทำงานร่วมกัน นี่เป็นเรื่องธรรมดา

    สร้างสังคมกัลยาณมิตรของตนเอง

    ใครที่ไม่พร้อมจะอยู่กับคนหมู่มากดังเช่นสังคมของชาวอโศก ก็อาจจะสร้างสังคมกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีกัลยาณมิตรที่ไม่ได้แต่งงานเหมือนกัน เป็นชมรมเล็ก ๆ สร้างความสัมพันที่ใกล้ชิดต่อกันเพื่อจะได้ช่วยเหลือดูแลกันเอง แต่เห็นหรือไม่ว่า ไม่ว่าทางออกจะเป็นอะไร ล้วนต้องเกี่ยวข้องกับการลงทุนซึ่งเป็นการเสียสละความเห็นแก่ตัวตนทั้งสิ้น เหมือนพ่อแม่ที่ต้องเสียสละเพื่อเลี้ยงลูกจนโต จึงจะมีลูกมาดูแลตัวเองในยามแก่เฒ่า

    และต้องอย่าลืมว่า เพื่อนที่จะมาใส่ใจดูแลเพื่อนด้วยกันเองอย่างทุ่มเทนั้น มีน้อยมากในสังคมแห่งความเป็นจริง ไป ๆ มา ๆ มักเหลือแต่ ลูกหลานที่เกี่ยวดองกันทางสายเลือดใกล้ชิดจริง ๆ เท่านั้น นี่แหละ ธรรมชาติจึงสร้างให้มนุษย์และสัตว์เดรัจฉานอยู่เป็นคู่ ๆ เพราะคู่ครองของเรา ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือ เพื่อนที่ดีที่สุดของเรานั่นเอง และต้องอย่าลืมว่า เพื่อนที่อายุไล่เลี่ยกันย่อมเข้าสู่วัยชราพร้อมกันด้วย จะให้มานั่งเยี่ยมเยียนกันเพื่อดูว่าอีกฝ่ายสบายดีหรือไม่เหมือนตอนที่ยังหนุ่มสาวอยู่ ย่อมเป็นไปไม่ได้ นี่เป็นเหตุผลที่ธรรมชาติสร้างให้มีการสืบเผ่าพันธุ์ เพื่อคนอายุน้อยกว่าจะได้มาดูแลคนอายุมากกว่า เป็นเรื่องที่ธรรมชาติจัดสรรให้อย่างเหมาะเจาะแล้ว

    การมีบุตรชายไว้สืบสกุลจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่มากของสังคมส่วนมากตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว เหมือนเป็นสัญชาติญาณที่ไม่จำเป็นต้องสอนมาก เพราะกลไกของธรรมชาติชักใยอยู่เบื้องหลังนั่นเอง การมีครอบครัวจึงเป็นเรื่องลึกซึ้งมาก ไม่ใช่เรื่องตื้น ๆ เลย และไม่ใช่เรื่องที่จะมาเปลี่ยนแปลงเอาง่าย ๆ ด้วย

    ต้องสอนเด็ก ๆ เรื่องกตัญญู

    ในสังคมตะวันออกที่มีอิทธิพลของพระพุทธศาสนานั้น การดูแลพ่อแม่เป็นเรื่องกตัญญูกตเวที เป็นการเสริมความต้องการของธรรมชาติในเรื่องการดูแลมนุษย์ที่แก่เฒ่าให้เข้มข้นมากขึ้น ทำให้สมาชิกของสังคมไม่ลืมหน้าที่พื้นฐานของตนเอง

    สังคมตะวันตกยังขาดความรู้เรื่องนิพพาน พร้อมสถาบันศาสนาตลอดจนถึงระบบจริยธรรมของเขาก็อ่อนแอลง ในช่วง ๒๐ - ๓๐ ปีให้หลังนี้ สังคมเปลี่ยนไปมาก คนเห็นแก่ตัวมีมากขึ้น ประเด็นเรื่องการมีลูกเพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่ในยามแก่เฒ่าจึงถูกบิดเบือนให้เห็นเป็นเรื่องความเห็นแก่ตัวของพ่อแม่ เด็กตะวันตกของยุคนี้ เมื่อมีปากเสียงกับพ่อแม่ มักพูดด้วยความโกรธใส่หน้าพ่อแม่ว่าเห็นแก่ตัว มีลูกเพียงเพื่อให้มาเลี้ยงดูตนเองเท่านั้น ตำหนิพ่อแม่ว่าไม่ได้รักลูกอย่างแท้จริง รักแต่ตัวเองเท่านั้น พ่อแม่ไม่น้อยก็พลอยสนับสนุนความคิดนี้โดยพูดว่า ที่ตนเองมีลูกก็ไม่ได้หวังให้ลูกมาเลี้ยงตัวเองหรอก ด้วยความกลัวคนตำหนิว่าตนเองจะเห็นแก่ตัว ไม่ได้รักลูกจริง คนตะวันตกจึงไม่เข้าใจเรื่องความกตัญญูต่อพ่อแม่ ตีความว่าพ่อแม่เลี้ยงเรามาเพื่อหวังสิ่งตอบแทนคือให้เราเลี้ยงดูเขา ความคิดนี้ก็ได้ระบาดเข้ามาในสังคมตะวันออกด้วย ดังที่เคยฟังพ่อแม่ไทยพูดในทำนองนี้ ซึ่งเป็นการคิดที่ผิดทำนองคลองธรรมไปหมด เป็นความคิดที่อันตรายมาก

    ที่จริงแล้ว การสอนลูกให้กตัญญูต่อพ่อแม่โดยเลี้ยงดูท่านในยามแก่เฒ่าเป็นการสอนที่ถูกต้องแล้ว ไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัวของใครทั้งสิ้น นี่เป็นความต้องการของธรรมชาติ การที่พ่อแม่คาดหวังให้ลูกเลี้ยงดูตนเองไม่ใช่เป็นเรื่องผิด และไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัวแต่อย่างใด จะมีพ่อแม่คนไหนบ้างที่ไม่หวังฝากผีฝากไข้กับลูกของตน แม้คนที่พูดว่าไม่คาดหวังอะไรจากลูกก็ตาม เมื่อถึงเวลาแก่เฒ่า ช่วยตัวเองไม่ได้ ก็ต้องหวังพึ่งลูกทั้งสิ้น นี่เป็นเรื่องธรรมชาติมาก คนไทยเราไม่ควรพูดอะไรตามก้นฝรั่งไปหมด เขาพูดอย่างคนหลงทิศชีวิต ใครจะพูดเรื่องนี้ ต้องระวังให้ดี ต้องพูดให้เด็ก ๆ มีความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ เห็นพ่อแม่เป็นเนื้อนาบุญที่ตนเองสามารถปลูกต้นบุญเพื่อไปนิพพาน การเลี้ยงดูพ่อแม่ในยามที่ท่านแก่เฒ่า จึงเป็นการปลูกต้นบุญให้ตนเอง เป็นเรื่องที่นำศิริมงคลมาสู่ชีวิตตนเอง

    สร้างเมตตาบารมี

    คนที่แต่งงานแล้ว แต่ไม่อยากมีลูกเป็นบ่วงผูกคอ และห่วงว่าลูกที่เกิดมาอาจจะดีหรืออาจจะไม่ดี ถ้าลูกไม่ดีมาเกิดแล้ว จะทำให้ชีวิตยิ่งยุ่ง ยิ่งทุกข์มากกว่าเป็นสุข
    ขอตกลงกันก่อนว่า ดิฉันกำลังพูดกับคนปฏิบัติธรรมที่ได้ละทิ้งโคตรปุถุชนมาแล้ว ได้ข้ามพรมแดนมาสู่อริยโคตรแล้ว จึงพูดให้คนคิดใหม่ว่า การผลิตมนุษย์อีกคนหนึ่งขึ้นมาในโลกนี้ เท่ากับช่วยให้อีกชีวิตหนึ่งในสังสารวัฏมีโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา เพื่อเขาจะได้มีโอกาสต่อยอดทางธรรม เดินทางต่อไปให้ถึงพระนิพพานเหมือนที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี้ เท่ากับเป็นการสร้างเมตตาบารมีให้กับตนเองด้วย

    หากใครแต่งงานแล้ว คิดจะมีลูก ควรตั้งจิตอธิษฐานขอให้จิตวิญญาณที่มีบารมีทางธรรมหรืออาจได้เคยข้ามโคตรมาแล้วได้รับรู้ เพื่อต้อนรับจิตวิญญาณที่มีบุญบารมีนั้นมาสู่ครรภ์ของตน ในขณะเดียวกัน จิตวิญญาณที่ได้สร้างบารมีทางธรรมมาแล้วก็ย่อมสรรหาครรภ์ของมารดาที่มีคุณธรรมเช่นกัน เรื่องการเกิดมาเป็นพ่อแม่ลูกกันนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบุญบารมีและวิบากกรรมโดยตรง แม้เด็กที่มาเกิดกับเราไม่เคยข้ามโคตรมาก่อน แต่การเกิดมาในครอบครัวของคนปฏิบัติธรรม มุ่งนิพพานย่อมเป็นสภาพแวดล้อมที่สามารถบ่มเพาะช่วยให้มนุษย์อีกคนหนึ่งก้าวข้ามโคตรได้เช่นกัน เพราะภพภูมิมนุษย์นี้เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรมเพื่อไปนิพพานมากที่สุด การคิดได้เช่นนี้ ก็เท่ากับมีเมตตาแก่เพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายที่วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏเหมือนเรา เมื่อลูกที่มีบุญมาเกิดกับเราได้เช่นนี้ ก็จะสามารถช่วยกันประคับประคองเพื่อต่อยอดเดินทางไปนิพพาน นี่เป็นเหตุปัจจัยที่คู่แต่งงานสามารถทำให้มันเกิดได้

    แต่ไม่ว่าจะเลือกทางใด ล้วนต้องมีการลงทุนก่อนทั้งสิ้น คือ ต้องเสียสละความสุขส่วนตัวเลี้ยงลูกให้โต เพื่อลูกจะได้ดูแลเราในยามแก่เฒ่า ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องไม่ลืมเรื่องกฎแห่งอนิจจังและความเสี่ยงว่ามันอาจจะไม่เหมือนที่คิด ที่คาดหวังไว้ ก็เพียงทำในสิ่งที่ถูกต้องให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง

    พระมหากัสสปกับนางภัททา
    คนที่ได้ข้ามพรมแดนมาสู่โคตรอริยะแล้วนั้น หากเป็นโสดอยู่ ย่อมอยากได้คู่ครองที่ได้ข้ามพรมแดนมาแล้วเช่นกัน เรื่องการหาคู่นี่เป็นเรื่องยากมาก หากไม่ได้ “ปิ๊ง” กันอย่างเป็นธรรมชาติแล้ว แม้จะมีคนมาชอบเราอยู่ ก็ยากที่จะทำให้ตนเองชอบอีกฝ่ายหนึ่งได้ ยิ่งกำลังฝึกเรื่องพาตัวใจกลับบ้านด้วยแล้ว ก็เป็นธรรมชาติอยู่เองที่อยากอยู่คนเดียวมากกว่าที่จะอยู่กับคนอื่น
    หากใครยังมีความกลัวหรือกังวลที่จะต้องเผชิญชีวิตในวัยชราเพียงคนเดียว อยากมีคู่ และเข้าใจในสิ่งที่ดิฉันพูดเบื้องต้นแล้ว คนที่อยู่ในอริยโคตรด้วยกันเองน่าจะดูตัวอย่างของพระมหากัสสปะกับนางภัททา
    พระมหากัสสปะมีชื่อเดิมว่า ปิปผลิมานพ เกิดในตระกูลพราหมณ์ พ่อแม่ต้องการให้แต่งงาน ในหนังสือบอกว่า เป็นคนไม่ชอบเพศตรงข้าม (อาจจะเป็นเกย์ก็ได้) อยากบวชอย่างเดียว จึงออกอุบายให้ช่างทางหล่อรูปปั้นทองคำเล็ก ๆ ของหญิงสาวสวยหยดย้อย แต่งตัวให้งาม โดยตั้งใจว่าพราหมณ์ ๘ คนที่พ่อแม่หามาช่วยจะไม่มีทางหาหญิงตามรูปปั้นได้แน่ แต่เมื่อพราหมณ์นำรูปปั้นนี้ไปแห่ตามเมืองต่าง ๆ ก็ได้พบหญิงที่หน้าตาตามที่ปั้นขึ้นมาจริง นางชื่อภัททา เป็นชาวเมืองสาคละ แคว้นมคธ ซึ่งสาวใช้ของนางภัททาไปพบการแห่รูปปั้นนี้ก่อน จึงกลับมาบอกนายหญิงของตน พราหมณ์ ๘ คนที่พ่อแม่ของปิปผลิมานพส่งออกมาหาเจ้าสาวก็ไปดูตัว เห็นพ้องกันว่า นางภัททานี้เหมือนรูปปั้นของหญิงในฝันของขิปผลิมานพจริง จึงเอารูปปั้นทองคำนั้นหมายมั่นนางไว้ และแจ้งให้เศรษฐีกบิลพราหมณ์ทราบ

    ในที่สุด ทั้งสองก็ได้แต่งงานกัน และมาพบความจริงว่า ต่างฝ่ายต่างก็ต้องการบวช ไม่อยากแต่งงานมีครอบครัวเหมือนกัน จึงสัญญากันว่า จะไม่เกี่ยวข้องกันทางกายฉันสามีภรรยา จึงเอาช่อดอกไม้คั่นไว้ตรงกลางบนเตียงนอน และรอเวลาจนกระทั่งบิดามารดาเสียชีวิตไปแล้ว จึงตัดสินใจยกสมบัติพัสถานให้ผู้อื่นหมดและออกบวชทั้งสองคนจนในที่สุดก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งคู่

    ทฤษฎีเรื่องความสมดุลของหยินหยาง

    ดิฉันเห็นว่าเรื่องราวของปิปผลิมานพกับนางภัททายังน่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้อยู่แม้ในยุคนี้ การที่ดิฉันได้มาใช้ชีวิตคู่ จึงเห็นความลึกซึ้งของธรรมชาติที่สร้างฝ่ายชายกับฝ่ายหญิงขึ้นมาให้พึ่งพาซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดความสมดุลอย่างแท้จริง นี่คือปรัชญาความคิดเรื่องหยินหยางของชาวจีน ชายกับหญิงถูกสร้างมาให้มีความแตกต่างกันมาก ดังที่หมอดูพูดว่า ชายมาจากดาวอังคาร หญิงมาจากดาวศุกร์ Male comes from Mars and female comes from Venus. มีบางคนถึงขนาดคิดว่าหญิงกับชายไม่ใช่เพียงมาจากดาวเคราะห์ต่างกัน แต่มาจากต่างแกแลกซี่เลยทีเดียว

    หญิงชายมีความแตกต่างกันมากนี่เป็นความตั้งใจของธรรมชาติ ตั้งแต่ความแตกต่างทางกายตลอดจนการคิดนึกและความสามารถซึ่งบางสิ่งจะทดแทนกันไม่ได้เลย เนื่องจากชายมีร่างกายแข็งแรงกว่า ในอดีต ชายจึงต้องเป็นฝ่ายออกไปล่าสัตว์หาอาหารมาเลี้ยงครอบครัว ในขณะที่ฝ่ายหญิงจะดูแลลูกและทำงานบ้าน ซึ่งบทบาทดั้งเดิมนี้แม้ได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้วในสังคมปัจจุบัน ก็ยังเปลี่ยนไม่มากเท่าไร หญิงที่ออกจากบ้านไปทำงานเท่าเทียมฝ่ายชาย หากมีครอบครัว แม้กลับถึงบ้านก็ยังไม่พ้นต้องดูแลลูกเต้าและทำงานบ้านเช่นเดิม ทำให้ต้องทำงานหนักกว่าชายถึงสองเท่า ใครมีฐานะดีพอที่จะจ้างแม่บ้านมาดูแลความสะอาดของบ้านช่องก็อีกเรื่องหนึ่ง

    บ้านที่มีความลงตัวได้ดีทุกอย่าง ต้องเป็นบ้านที่มีทั้งชายและหญิงอยู่ด้วยกัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะทำงานที่ตนถนัด ดิฉันมักล้อสามีเสมอว่า เขาตากผ้าไม่เป็น สามีก็มักล้อดิฉันว่าเปลี่ยนหลอดไฟไม่ได้ อ่านแผนที่ไม่เป็น ไม่รู้จักแยกขวาแยกซ้าย เป็นต้น ชายจะสามารถวาดภาพของแผนที่ในหัวตนเองได้ แต่หญิงทำไม่ค่อยได้ เรื่องที่ทำง่าย ๆ สำหรับหญิงจะกลายเป็นเรื่องยากของฝ่ายชาย และกลับกัน โดยเฉพาะเรื่องการเลี้ยงเด็กทารก เป็นเรื่องที่ทดแทนกันยากมาก

    ผูกพันกันทางสายเลือด

    นอกจากหญิงชายจะพึ่งพาซึ่งกันและกันในเรื่องงานต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวรอบบ้านแล้ว ธรรมชาติยังสร้างให้มาพึ่งพากันทางด้านอารมณ์ความรู้สึกด้วย เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการความรัก ต้องมีคนที่เป็นห่วงเป็นใยเรา อยากรู้เรื่องสุขทุกข์ของเรา ซึ่งคนที่จะให้ความรักเช่นนั้นกับเราได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุดคือ พ่อแม่ของเราเท่านั้น คนที่ให้เราได้ถัดมาคือคู่ครองที่เรารักจริง และต่อมาคือลูกของเรา ซึ่งอาจจะให้ความรักแก่เราไม่เท่าที่เราในฐานะพ่อแม่ให้แก่ลูก ความรักที่จะได้รับจากคนอื่นก็น้อยลงแล้ว เพราะการเกี่ยวดองทางสายเลือดนี่ย่อมสร้างใยผูกพันที่เหนียวแน่นกว่าคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือด จึงไม่เพียงพอที่เราจะพึ่งพาได้อย่างแท้จริง ฉะนั้น คนที่อยู่เป็นโสด ถึงจุดหนึ่งที่พ่อแม่เสียไปแล้ว จะเหงาและโดดเดี่ยวมาก จะรู้สึกขาดแคลนความรัก แม้ปฏิบัติธรรมอยู่ก็ตาม นอกจากว่าตนเองจะหมดปัญหา หลุดพ้นได้แล้วนั่นแหละ จึงจะไม่ถูกเรื่องความเหงาและความโดดเดี่ยวกัดเซาะเอา แม้จะมีสติเข้มข้นอย่างไร เจอรี่ตัวนี้จะหาทางเข้ามาในบ้านของเราได้เสมอ

    สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว

    การพึ่งพาด้านจิตใจระหว่างชายกับหญิง จะเห็นได้ชัดเมื่อมีการออกจากบ้าน ต้องเข้าสังคมนั้น การมีคู่ครองของเราไปด้วยจะทำให้เกิดความอุ่นใจและมั่นใจในตนเองมากกว่าการไปไหนต่อไหนคนเดียว คู่ครองที่ดีมักจะตรวจสอบความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งเสมอ หากฝ่ายหนึ่งรู้สึกประหม่า ไม่มีความมั่นใจ อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องคอยดูแล เป็นเพื่อนคุยด้วย เหมือนต่างฝ่ายต่างเป็นหลักเกาะให้แก่กันและกัน จะทำให้ทั้งสองฝ่ายมีความมั่นคงมากขึ้น ไม่ล้มในทางอารมณ์ง่าย ๆ
    โดยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว ย่อมต้องการมีคนพูดคุยด้วย แม้เพียงคำพูดธรรมดา ๆ ว่า ข้าวราดแกงนี่อร่อยนะ ดอกกุหลาบนี่หอมจัง หรือ ต้องการให้ใครมาบอกเราว่าเสื้อผ้าชุดนี้สวยและเหมาะกับเรานะ เน็คไทเส้นนี้จะไปกับเสื้อเชิ๊ตตัวนี้ไหมหนอ ถ้ามีคนรับฟังเรา ก็จะรู้สึกอุ่นใจ ยิ่งวันไหนไปเจอเหตุการณ์ที่ผิดจากปกติ มีปัญหาเข้ามารุมเร้า กลับมาบ้านแล้ว ก็อยากมีคนคุยด้วย ระบายปัญหาให้ที่รุมเร้าใจออกไป สิ่งเหล่านี้เป็นแผนการณ์ของธรรมชาติที่ช่วยมนุษย์ระบายเจอรี่ออกจากใจของเรา และพยายามบอกมนุษย์ว่า “สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว”

    ถ้าโลกนี้ไม่มีผู้ชาย ก็คงไม่มีอารยธรรมทางวัตถุ การประดิษฐ์คิดค้นและการสร้างสรรค์งานที่ยิ่งใหญ่ต่าง ๆ ซึ่ง ๘๐ เปอร์เซนต์ล้วนเป็นผลงานของฝ่ายชาย ลองไปดูการสร้างตึกสูง ๆ นับร้อยชั้น สร้างสะพาน ทางรถไฟ อุโมงค์ใต้น้ำ ขุดเจาะน้ำมัน ล้วนต้องอาศัยแรงงานผู้ชายทั้งสิ้น แต่หากโลกนี้ไม่มีเพศแม่ มนุษย์ก็คงสูญพันธุ์ คงไม่มีมนุษย์เพศชายที่มาสร้างสรรค์อารยธรรมวัตถุเหล่านี้ คงไม่มีโลกมนุษย์

    การมีคู่ครองก็คือการมีเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่ง เพื่อนธรรมดาถึงจุดหนึ่ง ก็จำเป็นต้องแยกย้ายกันไป แต่เพื่อนที่ดีที่สุดจะอยู่กับเราและดูแลซึ่งกันและกันไปจนวันตาย หากเป็นคู่ที่มีคุณธรรมใกล้เคียงกันแล้ว ก็น่าจะสามารถใช้ชีวิตอย่างปิปผลมานพและนางภัททา เป็นเรื่องที่คุยตกลงกันได้ แม้ไม่อยากมีลูก การมีคู่ครอง อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ชีวิตเงียบเหงาจนเกินไป เป็นเพื่อนดูแลซึ่งกันและกัน เท่ากับใช้ทรัพยากรของชีวิตที่พระธรรมชาติเจ้าประทานมาให้อย่างดีที่สุดในขณะที่ยังอยู่ในคุกชิวิต และช่วยกันประคับประคองเพื่อเดินทางไปนิพพานด้วยกัน

    ปัญหาเกิดเมื่อฝืนธรรมชาติ
    สังคมในอดีตมักไม่ต้องคิดมาก การแต่งงานมีครอบครัวเป็นวัฒนธรรมที่ล้วนยอมรับกัน ค่านิยมเรื่องไม่อยากแต่งงานมีลูกเพราะไม่อยากมีภาระรับผิดชอบนี่เพิ่งมาเปลี่ยนแปลงมากในยุค ๓๐ ปีให้หลังนี้ เกิดจากขบวนการ women’s liberation เพศหญิง เรียกร้องสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมฝ่ายชายมากขึ้น จนทำให้ฝ่ายหญิงมีบทบาททางสังคมมากขึ้น ออกมาหาเงินเป็นที่พึ่งของตัวเองได้ ความคิดเรื่องไม่แต่งงานและพึ่งตัวเองจึงเริ่มระบาดจากสังคมตะวันตกก่อน เมื่อหญิงออกมาทำงานมาก การเลี้ยงลูกจึงต้องถูกผลักภาระให้แก่ผู้อื่น เช่น ปู่ยาตายาย คนรับใช้ หรือไม่ก็สถานรับเลี้ยงเด็กต่าง ๆ เพราะเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ ปัญหาสังคมจึงตามมาอันเนื่องจากเด็กขาดความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ที่เอาแต่ทำงานจนไม่มีเวลาให้ลูก

    นอกจากนั้น ความกดดันของระบอบเศรษฐกิจและปัญหาสังคม การดิ้นรนตะเกียกตะกายเพื่อเลี้ยงชีวิตตนเองให้รอดยังเป็นเรื่องยากอยู่ หญิงชายไม่น้อยจึงกลัว ไม่กล้าคิดเรื่องมารับภาระของการมีครอบครัวเพิ่ม ทำให้คนอยากแต่งงานมีน้อยลงในยุคนี้ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลโดยตรงที่จะต้องส่งเสริมให้สถาบันครอบครัวอยู่รอด ทำให้คู่แต่งงานที่มีลูกสามารถอยู่ได้ง่ายขึ้น โดยให้เสียภาษีน้อยลง อำนวยความสะดวกในเรื่องการให้แม่ได้ดูแลลูกเล็กของตน เป็นต้น เพราะถ้าสถาบันครอบครัวถูกส่งเสริมให้อยู่ได้ง่ายและประสบความสำเร็จแล้ว ปัญหาสังคมจะค่อย ๆ น้อยลงเอง

    เสี่ยงทั้งนั้น
    ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้พูดกับคนที่ยังอยู่ในโคตรปุถุชน แต่พูดกับคนที่ได้ข้ามพรมแดนมาอยุ่ในอริยโคตรแล้ว แต่ยังมีความทุกข์อยู่ จึงอยากให้เห็นภาพใหญ่ของชีวิตและเข้าใจธรรมชาติของโลกมนุษย์และความลึกซึ้งของมัน ต้องไม่มองชีวิตแบบตัดตอน แต่มองอย่างครบวงจร การพูดครั้งนี้จึงพยายามหาทางออกให้แก่คนที่อยู่ในแต่ละกลุ่ม ซึ่งต้องเข้าใจว่า ไม่ว่าจะเลือกวิถีวิตแบบไหน ล้วนเป็นเรื่องของการเสี่ยงทั้งสิ้น เราอาจจะวางแผนสวยหรูไว้เช่นนี้ แต่ความเป็นจริงกลับกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะทุกอย่างเป็นอนิจจัง

    นอกจากนั้น ต้องยอมรับความจริงขั้นพื้นฐานว่า เรากำลังอยู่ในคุกชีวิตที่มีความทุกข์ ฉะนั้น ไม่ว่าใครจะเลือกวิถีชีวิตอะไรก็ตาม ล้วนต้องมีปัญหาและความทุกข์ที่แตกต่างกันทั้งสิ้น คนโสดก็ทุกข์อย่างคนโสด คนมีครอบครัวก็มีปัญหาและทุกข์อย่างคนมีครอบครัว สิ่งที่รับประกันได้ คือ ความทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพราก ไม่ว่าจะจากกันไปไกล เช่น ลูกที่ต้องจากบ้านไปเรียนหรือทำงานไกล ๆ นาน ๆ จึงกลับบ้านมาดูหน้าพ่อแม่สักครั้งหนึ่ง หรือ การพลัดพรากเพราะความตาย ไม่ว่าใครจะเลือกวิถีชีวิตแบบไหน ล้วนต้องพบความพลัดพรากและต้องเป็นทุกข์ทั้งสิ้น ใครมีครอบครัว สิ่งที่หวังได้ดีที่สุดคือ ขอให้พ่อแม่ตายก่อนลูก ใครที่เป็นโสด อย่างน้อยก็ขอให้มีคนฝากผีฝากไข้ด้วย เมื่อความตายมาถึง ทั้งคนโสดและคนมีครอบครัวล้วนจากโลกนี้ไปมือเปล่าเท่าเทียมกันหมด

    สรุป

    ไม่ว่าจะเป็นโสดหรือมีครอบครัว เมื่อได้ข้ามพรมแดนมาสู่อริยโคตรแล้ว จับหลักเรื่องการพาตัวใจกลับบ้านได้แล้ว ทุกคนล้วนมีสิทธิ์เดินเข้าใกล้พระนิพพานและถึงพระนิพพานได้เท่าเทียมกันหมด ไม่มีกฏเกณฑ์บอกว่า คนโสดจะไปถึงนิพพานเร็วกว่าหรือช้ากว่าคนมีครอบครัว ใครที่ปฏิบัติถูกทาง ย่อมถึงพระนิพพานทั้งสิ้น
    หวังว่าบทความนี้จะสามารถตอบคำถามของผู้อ่านที่เขียนเข้ามาถามปัญหาของการมีครอบครัว และหวังว่าทุกคนจะสามารถใช้สถานะของความเป็นมนุษย์ตลอดจนทรัพยกรชีวิต และธรรมชาติที่มีอยู่ในโลกมนุษย์ให้เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติเพื่อเดินเข้าใกล้พระนิพพานให้มากขึ้น

    ด้วยความเมตตา Very Happy
    ศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ์ กรีน
    ๖ กันยายน ๔๙

    บทความจาก
    http://www.supawangreen.in.th
    ...
     
  4. หมั่นเพียร

    หมั่นเพียร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    254
    ค่าพลัง:
    +708
    อนุโมทนาสาธุ กับคุณ Mantalay ไม่ว่าจะมีครอบครัวหรืออยู่เป็นโสด ทุกคนล้วนมีสิทธิ์เดินเข้าใกล้พระนิพพาน และถึงพระนิพพานได้เท่าเทียมกันหมด
     
  5. เจ้าจันทร์

    เจ้าจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +431
    Never say I love you
    If you don't really care
    [FONT=NP Lovely Vol.1]อย่าพูดว่ารัก[/FONT][FONT=NP Lovely Vol.1]ถ้าคุณไม่ได้สนใจจริงจัง[/FONT]

    Never talk of feelings
    If they aren't really there
    [FONT=NP Lovely Vol.1]อย่าพูดถึงความรู้สึก ถ้าคุณไม่ได้อยู่ที่นั่นจริงๆ[/FONT]

    Never hold my hand
    If you mean to break my heart
    [FONT=NP Lovely Vol.1]อย่าจับมือฉัน[/FONT][FONT=NP Lovely Vol.1]ถ้าคุณหมายถึงจะทำลายจิตใจฉัน[/FONT]

    Never say forever
    If you ever plan to part
    [FONT=NP Lovely Vol.1]อย่าพูดว่าชั่วชีวิต ถ้าคุณคิดจะจากไป[/FONT]

    Never look into my eyes
    If you are telling me a lie
    [FONT=NP Lovely Vol.1]อย่ามองตาฉัน[/FONT][FONT=NP Lovely Vol.1]ถ้าคุณกำลังโกหกฉันอยู่[/FONT]

    Never say hello
    If you think you'll say goodbye
    [FONT=NP Lovely Vol.1]อย่าเอ่ยทักทาย ถ้าคุณคิดจะบอกว่าลาก่อน[/FONT]

    Never say that I'm The one
    If you dream of more than me
    [FONT=NP Lovely Vol.1]อย่าพูดว่าฉันเป็นหนึ่งเดียว[/FONT][FONT=NP Lovely Vol.1]ถ้าคุณฝันถึงอีกหลายๆ คนนอกจากฉัน[/FONT]

    Never lock up my heart
    If you don't have the key
    [FONT=NP Lovely Vol.1]อย่าปิดหัวใจของฉัน ถ้าคุณไม่มีกุญแจ[/FONT]
     
  6. เจ้าจันทร์

    เจ้าจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +431
    ชอบเจ้าสตร์อของคุณน่านมากเลยค่ะ
     
  7. เจ้าจันทร์

    เจ้าจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +431
    ยกมือเห็นด้วยอีกเสียงค่ะ
     
  8. sirawasa

    sirawasa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2010
    โพสต์:
    337
    ค่าพลัง:
    +1,191
    ตามมาจากกระทู้ที่ 17 กะว่าจะมีคนมาตอบ หรือ เจ้าของกระทู้จะมาเฉลย ตามสัญญา พยายามไล่ๆ ดูลงมา ก็ไม่ยักกะเจอเฉลยซะที ... เลยลองมาตอบดูค่ะ คู่รักคู่นี้เค้าต้องคิด+พูดว่า "เราน่าจะยังอยู่บนรถคันนั้นนะ ถ้ารถไม่เสียเวลาจอดให้เราลงกลางทางก็คงจะวิ่งเลยจุดที่หินตกไปแล้ว ทุกคนก็จะรอด เราเป็นต้นเหตุให้ทุกคนตายแท้ๆ เลย" ... มั่นใจว่าเป็นคำตอบที่ถูก ในขณะที่มั่นใจว่าเป็นคำตอบที่ผิด เอ๊ะ! ยังไง งงล่ะสิ ที่มั่นใจว่าเป็นคำตอบที่ถูกเพราะถ้าคิดในฐานะของคนกับเหตุเฉพาะที่ประสบตรงหน้าและคนๆ นั้นมีจิตที่เมตตา+เสียสละ จะรู้สึกผิดและโทษตัวเองเมื่อเห็นคนโชคร้ายโดยที่ตัวเองมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ ส่วนที่มั่นใจว่าเป็นคำตอบที่ผิด เป็นความมั่นใจในฐานะพุทธศาสนิกชน เชื่อในกฎแห่งกรรม คู่รักคู่นั้นไม่ได้รู้ล่วงหน้าหรอกว่ารถจะมีอุบัติเหตุ การลงจากรถเป็นกรรมของเขาที่ยังไม่สิ้นอายุขัยจึงกำหนดให้เขารอด ส่วนคนที่ตายทั้งคันรถก็ต้องมีกรรมที่ทำร่วมกันมาให้ต้องมาตาย ถ้าไม่มีกรรมตัวนี้อยู่ รถจะจอดให้ใครลงหรือไม่จอด ก็ไม่มีใครตายหรอก

    ส่วนที่คุณทองอยู่หยอดไว้ในกระทู้ที่ 54 เรื่องผู้ชายสามคนกับพยายม อันนี้คิดไม่ออกแฮะ รบกวนมาเฉลยด้วยนะคะ ... เข้ามาปล่อยให้อยาก (รู้) แล้วจากไป..บาปเน้อ

    สุดท้ายขอบคุณกับบทความดีๆ หวานๆ ซึ้งๆ ที่นำมาเผยแพร่ค่ะ เช็ดน้ำตาเสร็จแล้วเดี๋ยวจะไปรพ.เช็คน้ำตาลต่อ 555++
     
  9. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    สิ่งที่เราควรรักอย่างแท้จริงก็คือตัวเรา เราต้องรู้วิธีที่จะรักตัวเอง เราจึงจะรู้วิธีที่จะรักผู้อื่นได้ เมื่อเรารักใครสักคน เราต้องมองคนๆนั้นด้วยสายตาที่ไม่พร่ามัวจากความคิดเห็นผิด นี่คือปัญญาของผู้เรียนรู้ที่จะรัก...
     
  10. เป็ดเซ็ง

    เป็ดเซ็ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +858
    [​IMG]

    มีเหมือนกัน ครับ .. ทั้งกุญแจใจ และ กุญแจผี เลย ครับ
     
  11. pinya

    pinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    240
    ค่าพลัง:
    +842
    555555 คุณเป็ดเซ็งระวังจะเจอผีซ่อนเงื่อนเด้อ
     
  12. ทองอยู่

    ทองอยู่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    346
    ค่าพลัง:
    +1,493

    อ้าว....แล้วกัน ไอ้เราก้อนึกว่าม่ะมีใครอยากรู้ เห็นเฉย ๆ เราก้อเฉยมั่งจิ่ อิอิอิ
    แต่คุน<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ariyabut<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3792937", true); </SCRIPT> ตอบมาแล้วนี่คะ แต่ตอบมาแค่นี้ "ตอบ .. ถ้าสองคน ยังอยู่บนรถ คงไม่มีใครตาย เลยสักคน ... ถูกป่าว ?"

    คำตอบของคุน<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->sirawasa<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3844723", true); </SCRIPT> ถูกต้องแล้วค่ะ แต่ๆๆๆๆๆ
    คำตอบของคุนสมบูรณ์กว่าของเรานะ ตรงที่ยกหลักธรรมมาประกอบน่ะ ซ้าธุเจ้าค่ะ

    ส่วนอีกข้อ ท่านยมฝากบอกมาว่า จะเลือกข้อไหนก้อได้จ๊ะ เพราะความเสียสละ ซื่อสัตย์ มั่นคง จริงใจในรัก จะยืนเคียงข้างไม่ว่าทุกข์หรือสุข เหล่านี้คือ อมตะแห่งรักจ๊ะ

    [​IMG]
     
  13. ทองอยู่

    ทองอยู่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    346
    ค่าพลัง:
    +1,493
    ต้องขอโทษด้วยนะคะที่หายไปไม่บอกไม่กล่าว ช่วงนี้เดินสายทำบุญน่ะ
    เอางี้ ถ้าช่วงไหนเราหายไป ขอฝากกระทู้ให้คุน<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->น่านนะซิ<!-- google_ad_section_end --> , คุน<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Mantalay<!-- google_ad_section_end --> ,คุน<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->หมั่นเพียร<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3841317", true); </SCRIPT> ,คุน<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->sirawasa<!-- google_ad_section_end --> ,คุน<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->มุมไบ<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3849229", true); </SCRIPT> เอ......แล้วใครอีก คุนเป็ด คุนราคุ คุนติง ช่วยดูแลให้หน่อย ได้ไหมคะ
    [​IMG]

    ขออภัยเพื่อน ๆ อีกหลายท่านที่ไม่ได้เอ่ยถึงนะคะ ตอนนี้นึกได้แค่นี้อ่ะ
    <SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3844723", true); </SCRIPT>

    <SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3840645", true); </SCRIPT>
    <SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3826354", true); </SCRIPT>
     
  14. ทองอยู่

    ทองอยู่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    346
    ค่าพลัง:
    +1,493
    คุนเป็ด......มีความในใจจะบอกอะไรใครรึปล่าวเนี่ย
    อ่ะ...วันนี้ใจดีให้ยืมกระทู้ ตามสบายยยจ๊ะ
    เพราะกระทู้นี้คือ กระทู้แห่งฟามร๊ากกกกกกกกก


    อืม....ไปกันได้เนาะ คนนึงซ่อน อีกคนนึงก้อมีไข 555555[​IMG]
     
  15. ทองอยู่

    ทองอยู่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    346
    ค่าพลัง:
    +1,493
    <TABLE class=MsoNormalTable style="WIDTH: 100%; mso-cellspacing: 0cm; mso-yfti-tbllook: 1184; mso-padding-alt: 4.3pt 68.55pt 0cm 68.55pt" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR style="mso-yfti-irow: 0; mso-yfti-firstrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff; PADDING-RIGHT: 3.75pt; BORDER-TOP: #ffffff; PADDING-LEFT: 3.75pt; PADDING-BOTTOM: 3.75pt; BORDER-LEFT: #ffffff; WIDTH: 26.68%; PADDING-TOP: 3.75pt; BORDER-BOTTOM: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width="26%" rowSpan=2></TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff; PADDING-RIGHT: 3.75pt; BORDER-TOP: #ffffff; PADDING-LEFT: 3.75pt; PADDING-BOTTOM: 3.75pt; BORDER-LEFT: #ffffff; WIDTH: 73.32%; PADDING-TOP: 3.75pt; BORDER-BOTTOM: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: transparent" vAlign=top width="73%">


    หลังจากที่แต่งงานมาได้ 21 ปี
    ผมก็ค้นพบวิธีใหม่ในการทำให้ความรักสดใสมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ เพราะ....วันหนึ่งภรรยาผมบอกว่า ผมต้องออกเดทกับผู้หญิงคนหนึ่ง
    มันเป็นไอเดียของเธอล้วน ๆ จริง ๆ นะ


    ' ฉันรู้ว่าคุณรักเธอ' ภรรยาผมพูด
    'แต่ผมรักคุณนี่' ผมเถียง
    'ฉันรู้ค่ะ แต่คุณก็รักเธอคนนี้ด้วยเหมือนกัน'

    ผู้หญิงคนนั้นที่ภรรยาอยากให้ผมไปหา คือ 'แม่' ของผมเอง ซึ่งเธอเป็นหม้ายและใช้ชีวิตเพียงลำพังกับสัตว์เลี้ยงมา 19 ปีแล้ว
    เนื่องจากงานที่รัดตัว ทั้งเจ้านายและลูกค้าที่ผมจะต้องรับผิดชอบ และยังมีภรรยาและลูก ๆ ที่ต้องดูแล ทำให้ผมไปเยี่ยมแม่เพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้น
    ผมตอบตกลงกับภรรยา และขอบคุณที่เธอให้โอกาสเช่นนั้น
    วันที่ผมโทรไปหาแม่ เพื่อชวนท่านออกไปทานข้าวเย็นและดูหนัง
    แม่ถามผมว่า 'มีอะไรหรือ? ลูกสบายดีรึเปล่า?'
    แม่คิดว่าการที่ผมโทรมาหาอย่างกระทันหันหมายความว่า มีเรื่องไม่ค่อยดีเกิดขึ้น
    ผมตอบแม่ว่า 'ไม่มีอะไรคับ ก็อยากคุยกับแม่ และคงจะดีมาก ถ้าเราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ตามลำพังสองคนแม่ลูกบ้าง ทานข้าวด้วยกันสักมื้อ ดูหนังด้วยกันสักเรื่อง'
    แม่นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า 'ได้สิจ๊ะ แม่ยินดีมากเลยจ้ะ' + 'แล้วลูกมีเวลาว่างแล้วเหรอจ๊ะ หยุดงานได้เหรอ'
    เย็นวันศุกร์หลังเลิกงาน ผมขับรถไปรับแม่ที่บ้าน ผมรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
    เมื่อผมไปถึงบ้านแม่ ผมก็สังเกตได้ว่าแม่เองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน แม่สวมเสื้อโค้ทนั่งรอผมอยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้ว แม่ม้วนผมแล้วสวมชุดที่แม่ใส่ในวันฉลองครบรอบการแต่งงานครั้งสุดท้าย พลางยิ้มรับผมด้วยใบหน้าที่แจ่มใสราวกับทูตสวรรค์
    แม่บอกเพื่อน ๆ ว่า 'จะออกไปเที่ยวกับลูกชาย'
    แม่พูดขณะที่กำลังก้าวขึ้นรถ เพื่อน ๆ ของแม่ต่างพากันประทับใจยกใหญ่
    เราไปภัตตาคารที่ถึงแม้จะไม่หรูหรา แต่ก็ดีเยี่ยม บรรยากาศก็อบอุ่นสบาย ๆ มาก ๆ
    ผมวางแผนว่าต้องเป็นร้านในสไตล์ที่แม่ต้องชอบ แม่ควงแขนผมเดินราวกับว่าเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง หลังจากที่เรานั่งเรียบร้อยแล้ว ผมต้องเป็นฝ่ายอ่านเมนูอาหาร
    เพราะแม่บอกว่า 'ตอนนี้สายตาของแม่อ่านได้เพียงตัวหนังสือตัวใหญ่ ๆ เท่านั้น'
    เมื่อผมอ่านเมนูอาหารไปได้เพียงครึ่งหนึ่งจึงหยุดเว้นจังหวะ เพื่อให้แม่ได้เลือกรายการอาหาร
    ผมเงยหน้าขึ้น มองเห็นแม่กำลังจ้องมองดูผมอยู่ด้วยรอยยิ้มระลึกถึงความหลัง
    แม่พูดเปรยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า 'ตอนที่ลูกยังเด็ก แม่ต้องเป็นคนอ่าน เมนูให้ลูกฟังหลายรอบ'

    ผมบอกแม่ว่า 'งั้นตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ผมจะผลัดเวรให้แม่นั่งฟังสบาย ๆ บ้างแล้ว'

    ในระหว่างมื้ออาหารนั้นเราคุยกันอย่างถูกคอ - ไม่ใช่เรื่องราวพิเศษอะไร -เพียงแต่สลับกันถามเกี่ยวกับชีวิตของเรา
    เราคุยกันสนุกมากจนไปดูหนังไม่ทัน
    เมื่อผมไปส่งแม่ที่บ้าน แม่พูดว่า 'แล้วแม่จะออกไปเที่ยวกับลูกอีกนะ แต่คราวนี้ลูกต้องยอมให้แม่เป็นเจ้าภาพนะจ๊ะ'
    'แน่นอนครับ' ผมตอบตกลง


    'ดินเน่อร์เป็นยังไงบ้าง?' ภรรยาถาม เมื่อผมกลับถึงบ้าน
    'วิเศษมาก ๆ ดีเยี่ยมกว่าที่ผมคิดไว้มากเลย' ผมตอบ

    อีกไม่กี่วันต่อมา แม่ผมเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน มันเกิดขึ้นกระทันหันมากจนผมช่วยอะไรไม่ทันเลย
    หลายวันต่อมา ผมได้รับจดหมายพร้อมใบเสร็จจากภัตตาคารที่ผมกับแม่เคยไป มีโน๊ตเล็กๆแนบมาด้วยว่า...
    'แม่จ่ายค่าอาหารชุดนี้เรียบร้อยแล้ว แม่รู้อยู่แล้วว่าแม่คงไปอีกครั้งไม่ได้ แต่... แม่ก็จ่ายสำหรับสองคน คือ สำหรับลูกกับภรรยา - ลูกคงเดาไม่ถูกหรอกว่าวันนั้นมีความหมายต่อแม่มากแค่ไหน, รักลูกมากจ๊ะ'

    ณ วินาทีนั้น ผมได้เข้าใจถึงความสำคัญของการกล่าวคำว่า ''รัก"ต่อคนที่เรารัก ในช่วงเวลาที่เค้าต้องการมัน
    ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าครอบครัวของคุณ
    จงให้เวลากับพวกเค้าในเวลาที่พวกเค้าต้องการคุณ
    เพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่อาจผลัดวันประกันพรุ่งได้

    -มีบางคนบอกว่า หลังจากที่คลอดลูกแล้วต้องใช้เวลาพักฟื้นราว 6 สัปดาห์ แม่จึงจะคืนสภาพเดิม
    คนนั้นไม่รู้ว่าหลังจากที่คุณได้เป็นแม่คนแล้ว ไม่มีคำว่าคนเดิมอีกต่อไป

    -บางคนบอกว่า คนเราเรียนรู้การเป็นแม่ได้เองตามสัญชาติญาณ
    คนนั้นไม่เคยพาลูกสามขวบไปซูเปอร์มาร์เกต

    -บางคนบอกว่า การเป็นแม่คนนั้นน่าเบื่อ
    คนนั้นไม่เคยนั่งรถที่ลูกวัยรุ่นขับ หลังจากที่ได้ใบขับขี่มาหมาด ๆ

    -บางคนบอกว่า ถ้าคุณเป็นคนดี ลูกออกมาก็จะดีเอง
    คนนั้นนึกว่าเด็กคลอดออกมาพร้อมกับคู่มือการใช้และใบรับประกัน

    -บางคนบอกว่า แม่ที่ดีไม่ควรขึ้นเสียงกับลูก
    คนนั้นไม่เคยเปิดประตูหลังบ้านออกมา ทันได้เห็นลูกหวดลูกบอลเข้าใส่หน้าต่างครัวของเพื่อนบ้านพอดิบพอดี

    -บางคนบอกว่า การเป็นแม่คนนั้นไม่ต้องมีการศึกษาก็ได้
    คนนั้นไม่เคยช่วยลูกที่กำลังเรียน ป.4 ทำการบ้านเลข

    -บางคนบอกว่า แม่รักลูกคนที่ห้าไม่เท่าลูกคนแรก
    คนนั้นไม่เคยมีลูกห้าคน

    -บางคนบอกว่า ช่วงที่ยากที่สุดของการเป็นแม่ คือตอนคลอดและตอนเลี้ยง
    คนนั้นไม่เคยยืนดูลูกขึ้นรถ ไปโรงเรียนอนุบาลวันแรก ไม่เคยส่งลูกเข้าห้องหอในคืนแต่งงาน

    -บางคนบอกว่า งานของแม่นั้นหมู ๆ ปิดตาสองข้าง หรือมัดมือไว้ข้างหนึ่งก็ยังไหว
    คนนั้นไม่เคยสอนการออกเดินขายขนมให้กับเหล่ายุวนารี ที่กระจุ๊กกระจิ๊กคิกคักกันอยู่ตลอดเวลา

    -บางคนบอกว่า แม่เลิกกังวลได้แล้ว หลังจากที่ลูกแต่งงานออกเรือนไป
    คนนั้นไม่รู้ว่าการแต่งงานคือการนำลูกชายหรือลูกสาวคนใหม่เข้ามาอยู่ในสายใยใจของแม่

    -บางคนบอกว่างานของแม่ สิ้นสุดลงเมื่อลูกคนสุดท้ายออกจากบ้านไป
    คนนั้นไม่เคยมีหลานยาย หรือหลานย่า

    -บางคนบอกว่า แม่รู้ดีอยู่แล้วว่าคุณรักท่าน เพราะงั้น ไม่ต้องบอกท่านก็ได้
    คนนั้นไม่เคยเป็นแม่คน





















    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff; BORDER-TOP: #ffffff; BORDER-LEFT: #ffffff; BORDER-BOTTOM: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: transparent" width=0>





    </TD></TR><TR style="HEIGHT: 12.75pt; mso-yfti-irow: 1; mso-row-margin-right: 73.32%"><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ffffff; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ffffff; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-cell-special: placeholder" width="73%">





    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff; BORDER-TOP: #ffffff; BORDER-LEFT: #ffffff; BORDER-BOTTOM: #ffffff; HEIGHT: 12.75pt; BACKGROUND-COLOR: transparent" width=0 height=17></TD></TR><TR style="HEIGHT: 12.75pt; mso-yfti-irow: 2; mso-row-margin-right: 73.32%; mso-yfti-lastrow: yes"><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff; PADDING-RIGHT: 68.55pt; BORDER-TOP: #ffffff; PADDING-LEFT: 68.55pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ffffff; PADDING-TOP: 4.3pt; BORDER-BOTTOM: #ffffff; HEIGHT: 12.75pt; BACKGROUND-COLOR: transparent"><O:p





    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff; PADDING-RIGHT: 0cm; BORDER-TOP: #ffffff; PADDING-LEFT: 0cm; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: #ffffff; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: transparent; mso-cell-special: placeholder" width="73%">





    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff; BORDER-TOP: #ffffff; BORDER-LEFT: #ffffff; BORDER-BOTTOM: #ffffff; HEIGHT: 12.75pt; BACKGROUND-COLOR: transparent" width=0 height=17></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2010
  16. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    ความรักทำให้ชีวิตมีความสุข ใครที่มีความรักและได้รับความรักตอบ ย่อมเป็นความสุขของชีวิต ในทางตรงกันข้ามหากรักที่เคยสร้างสุข กลายมาเป็นหมดรัก ชีวิตย่อมเป็นทุกข์ ความรักที่มีจึงต้องดูแลอย่างดี เพื่อให้ความรักนั้นไม่จากไป ดังเช่น 25 วิธี ต่อไปนี้…

    1. อย่าเขินที่จะบอกรัก

    2. จดจำรายละเอียดของอีกฝ่าย เช่น ชอบทานอะไร ชอบฟังเพลงแนวไหน กิจกรรมสุดโปรดคืออะไร แล้วหยิบยื่นสิ่งเหล่านี้ให้เสมอ

    3. โรแมนติกอย่างรู้กาละเทศะ เลือกสถานที่ให้ถูกที่ เลือกเวลาให้ถูกเวลา เรื่องโรแมนซ์ใครก็ชอบ แต่ความพอเหมาะพอดีก็สำคัญ

    4. ให้เกียรติกันและกันเสมอ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

    5. อย่าปล่อยให้อารมณ์โกรธอยู่เหนือความรักที่มี นึกถึงเรื่องดีๆ ที่เขาเคยทำให้ จะช่วยให้อารมณ์โกรธหรืออารมณ์ชั่ววูบเบาบางลง

    6. เมื่อมีปัญหาควรใช้เหตุผลในการพูดคุย เป็นเรื่องธรรมดาที่คนสองคนจะมีเรื่องขัดแย้ง แต่ถ้าทั้งคู่พร้อมที่จะปรับตัวเข้าหากัน ปัญหาทั้งหลายก็จะกลายเป็นเรื่องเล็ก

    7. ปล่อยให้อีกฝ่ายมีเวลาเป็นของตัวเอง การเกาะติด ควบคุมมีแต่จะทำให้ความรักจืดจางได้ง่าย ปล่อยให้อีกฝ่ายไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง รวมทั้งพยายามให้ตัวเองมีโลกส่วนตัวบ้าง จะได้ไม่อึดอัดเช่นกัน

    8. พูดกันตรง ๆ โดยเลือกใช้คำพูดที่ไม่ทำร้ายจิตใจ

    9. มีขอบเขตในการปรับตัว แน่นอนว่าต่างฝ่ายทั้งเราและเขาต่างต้องปรับตัวเข้าหากัน แต่ควรมีขอบเขต ไม่ใช่ยอมเปลี่ยนแปลงให้เป็นแบบที่อีกฝ่ายต้องการทุกอย่าง จนไม่เหลือความเป็นตัวของตัวเอง เพราะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนตัวเองเพื่อคนอื่นได้ตลอดกาล

    10. ห้ามโกหก ผลลับที่ร้ายแรงของการโกหกคือ ต่างฝ่ายจะไม่สามารถเชื่อใจกันได้อีก

    11. อย่าคาดคั้นหาคำตอบหาอีกฝ่ายยังไม่พร้อม การดึงดันให้รู้เดี๋ยวนั้น ว่าทำไม? เพราะอะไร? จะเอายังไง? เป็นการกดดันอีกฝ่ายอย่างไม่มีประโยชน์ หากอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด ควรลองถอยออกมาหนึ่งก้าว ทำใจให้สงบ รอจนกว่าทั้งสองฝ่ายจะพร้อม แล้วค่อยคุยกันใหม่ก็ยังไม่สาย

    12. ดูแลตัวเองให้ดูดีเสมอ

    13. ไม่ควรคาดหวังกับความรัก เพราะเป็นเรื่องความรู้สึกของคนสองคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ และไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว อย่าคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะทำนั่นทำนี้ให้ เพราะถ้าผิดหวังจะเสียใจทั้งสองฝ่าย ควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ

    14. ห้ามพูดถ้อยคำหยาบคาย จะทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน ก็ห้ามด่าทอกันเสียๆ หายๆ

    15. ซื่อสัตย์และไว้ใจกัน

    16. หาสิ่งของที่ต้องดูแลร่วมกัน เช่น เลี้ยงสัตว์ ต้นไม้ หรือกิจการเล็กๆ เพื่อสร้างความผูกพันระหว่างสองคน

    17. ให้โอกาสอีกฝ่ายแก้ไขข้อผิดพลาด กับคนที่เรารักยิ่งต้องให้อภัยและให้โอกาส

    18. อย่าอายที่จะขอโทษ

    19. หากิจกรรมสร้างสรรค์ทำร่วมกัน เช่น ชวนกันเล่นกีฬา ไปดูงานศิลปะ เพื่อให้ความรักสดใส และได้พบสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต

    20. นึกถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายเสมอ อย่ามัวแต่คิดว่าทำไมอีกฝ่ายไม่เข้าใจเรา นอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว ยังทำให้เป็นคนขี้น้อยใจอย่างไม่มีเหตุผล

    21. รู้สึกดีกับสังคมที่อยู่ ทั้งพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน เพื่อยกระดับจิตใจและทำให้ภูมิใจในตัวเอง

    22. อย่าปิดกั้นโอกาส เปิดตัวเองให้รู้จักกับคนใหม่ๆ เพราะการได้รู้จักคนที่หลากหลาย จะทำให้รู้คุณค่าคนใกล้ตัวและรู้ใจตัวเอง

    23. รู้จักใช้ภาษากายในการสัมผัสร่างกายของอีกฝ่าย เช่น จับมือ ลูบหลัง เพราะสามารถสื่อความในใจได้ดีกว่าคำพูดในหลายโอกาส

    24. คิดถึงอนาคต แต่อย่าพูดบ่อยจนกลายเป็นการควบคุมผูกมัด พูดในจังหวะที่เหมาะสม ให้รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในแผนการอนาคตของกันและกัน

    25. รู้จักรักตัวเอง เพื่อให้สามารถรักคนอื่นได้เช่นกัน

    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     
  17. vergo shaka

    vergo shaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +835
    ขอยอมเป็นคนโง่.....แม้แต่เทพยังอยากมีความรักเช่นมนุษย์
    และบางครั้ง ความรัก....ยังทำให้ หิ่งห้อยในคืนเดือนดับมีจริง...
    เบื่อแล้ว ....กับความแข็งแกร่ง น่าแกรงขาม แต่ ไม่มีใครรัก เพราะกลัว
    ในตัวตน ที่เป็นกำแพงกั้นภายนอก...แต่ข้างใน ช่างอ่อนบาง แตกหักง่าย
    ......... เพราะความรัก เป็น พลังงานทีบริสุทธ์ ต่างจาก ราคะ แม้จะคล้ายกัน
    แต่ก็ไม่เหมือน..กัน
     
  18. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ฉันเพิ่งสังเกตุเห็นข้อความของท่าน อ่านแล้วประทับใจจริงๆ ขออนุโมทนา...
     
  19. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ถ้าท่านคิดแบบนั้น แสดงว่าท่านยังไม่เข้าใจความหมายของ"ความรัก" นั่นเอง ไม่เคยมีใครมองเห็นความรัก หรือว่าท่านเคยเห็น? ถ้าเคย..ช่วยบอกหน่อยว่า"หน้าตาเจ้าความรัก" เป็นเช่นไร..
     
  20. vergo shaka

    vergo shaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +835
    ความรัก นำมาซึ่ง ความเปลี่ยนแปลง จากอสูรร้ายใจทมิฬ ให้รู้จัก คำว่าเมตตา สงสาร
    และรู้จักที่จะเห็นใจคนอื่นยามทุกข์ และถ่อมตน เราไม่รู้จัก รักที่แท้มันเป็นอย่างไร
    แต่ถ้านำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ให้ดีเพื่อคนที่รัก นั้นก็คือ ความรักในทัศนะของเรา
    รักมันมองไม่เห็น วัดออกมาเป็นหน่วยสากลไม่ได้ แต่ ใช้ใจ สัมผัส
    เท่านี้ ก็เพียงพอที่จะบอกว่ารัก มีจริง ไม่ใช่เรื่องงมงาย และพิสูจน์ได้ ถ้าไม่รัก ใจก็ขาด
    ความเมตตา ไม่รู้จักเสียสละ ไม่มีความหวัง ไม่มีการให้อภัย และมีชีวิตดั่งผู้ล่า ไม่แกร่งก็ตาย ทั้งกายและวิญญาณ นิยามความรัก เขียนได้ หลายล้านความหมาย
    ตามแต่ประสบการณ์ตน ไม่มีสิ่งใดหรอกที่ไม่ต้องการความรัก แม้ ปิศาจ ใน ขุมลึกสุด
    แสงสว่างจะเล็กเท่าแสงหิ่งห้อยก็ยังมี ในใจตนเอง จริงของคุณ ไม่มีใครเห็นหน้าตาของความรักหรอก เหมือนคนตาบอด ถ้าใจไม่บอด คนตาบอดก็เห็นได้....รักน่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...