คุณคิดว่าวิทยาศาสตร์กับศาสนามีความสัมพันธ์กันหรือไม่?

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย khajornwan, 8 พฤศจิกายน 2010.

  1. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ธรรมชาติของภพภูมิ

    ตามธรรมชาติแห่งความเป็นจริงนั้น จิตวิญญาณอยู่เหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่าง ระยะทางและกาลเวลา จิตวิญญาณไม่มีอดีต อนาคต มีแต่ปัจจุบัน จิตวิญญาณไม่ใช้เนื้อที่ มิติเป็นสิ่งที่เธอเข้าใจเพียงภายใต้กฏเกณฑ์ของกาลเวลาที่เธอรู้จัก ภพภูมิเป็นสิ่งที่เธอกำหนดขึ้นภายใต้กฏเกณฑ์ของช่องว่างและระยะทาง

    มิติที่แท้จริงและมิติทั้งหมด คือปัจจุบัน
    ภพภูมิที่แท้จริงและภพภูมิทั้งหมด คือ ภาวะแห่งจิตวิญญาณ

    ภพภูมิเป็นสิ่งที่เธอทั้งหลายเข้าใจได้ยากด้วยสภาวะความรู้สึกนึกคิดที่เธอเป็นอยู่ ภพภูมิไม่ใช่สถานที่หรือดาวนพเคราะห์เสมอไป แต่ดาวนพเคราะห์ดวงหนึ่งก็เป็นภพภูมิหนึ่งได้เช่นเดียวกันกับโลกที่เธออาศัยอยู่นี้ ภพภูมิปรากฏอยู่ได้โดยปราศจากดาวนพเคราะห์ และดาวนพเคราะห์ดวงหนึ่งๆ ก็อาจมีหลายภพภูมิซ้อนกันอยู่ ภพภูมิเกี่ยวพันธ์กับความรู้ของเผ่าพันธ์ที่มาตั้งรกรากอยู่ ภพภูมิไม่ใช่สถานที่เสมอไป มันอาจเป็นได้ในบางกรณีเท่านั้น

    [​IMG]

    ภพภูมิอาจเป็นช่วงแห่งกาลเวลาหรือเป็นเพียงหน่วยของอะตอมที่สถิตย์อยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง ภพภูมิเป็นการแบ่งแยกภาวะในห้วงจักรวาล ด้วยกาลเวลา ด้วยสภาวะและด้วยเหตุผลจำเพาะ ภพภูมิอาจสลายตัวไปหรือผุดขึ้นในสภาวะที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ภพภูมิเป็นสภาวะที่เอื้ออำนวยให้ธาตุแท้แห่งจิตวิญญาณหรือจิตวิญญาณรวมต่างร่างในทุกชาติภพสามารถพัฒนาและเติมเต็มความเป็นไปได้ และเพิ่มคุณค่าในตัวเองในระดับต่างๆ ภพภูมิจึงเป็นบรรยากาศหรือสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อพัฒนาการจำเพาะ ต่อคุณสมบัติจำเพาะและเป้าหมายแห่งความสำเร็จในทิศทางจำเพาะของจิตวิญญาณ ภพภูมิเป็นสภาวะที่เอื้ออำนวยต่อการแบ่งแยกธาตุในลักษณะจำเพาะเพื่อการพัฒนาและการทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ของจิตวิญญาณ

    ดาวนพเคราะห์ทั้งหลายได้ถูกใช้เป็นภพภูมิครั้งแล้วครั้งเล่าในสภาวะที่แตกต่างกันไป แต่ภพภูมิก็ไม่ใช่สถานที่ตั้งใดๆ ในจักรวาล ธาตุแท้แห่งจิตวิญญาณหรือจิตวิญญาณต่างร่างในทุกชาติภพอาจถือกำเนิดในภพภูมิใดภพภูมิหนึ่งก่อนที่จะไปถือกำเนิดในภพภูมิอื่นต่อไป แต่การถือกำเนิดในภพภูมิต่างๆ ก็ไม่มีลำดับตายตัว ลำดับเหล่านั้นเป็นไปเพื่อดประโยชน์จำเพาะของธาตุแท้แห่งจิตวิญญาณรวม เธออาจพูดได้ว่า ธาตุแท้แห่งจิตวิญญาณรวมถือกำเนิดในทุกชาติภพและทุกภพภูมิพร้อมกันหมด เช่นเดียวกันกับที่เธอสามารถจะพูดได้ว่า เธอเกิดและใช้ชีวิตอยู่ในตำบลบางจาก อำเภอพระโขนง กรุงเทพฯ ในประเทศไทย ในทวีปเอเซีย ในโลกมนุษย์และในระบบสุริยจักรวาลพร้อมกันหมด

    การถือกำเนิดในภพภูมิต่างๆ พร้อมกันหมดเปรียบเสมือนภาวะที่เธอมีความสุขพร้อมกันกับความทุกข์ ความแตกต่างที่เกิดขึ้นพร้อมกันย่อมทำให้อารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้นรุนแรง มันทำให้เธอรู้จักและเข้าใจความสุขและความทุกข์ได้อย่างลึกซึ้ง การเผชิญประสบการณ์หลากหลายในต่างภพภูมิพร้อมกันหมดทำให้จิตวิญญาณมีความรู้สึกนึกคิดที่ล้ำลึกและสามารถเรียนรู้ได้อย่างชัดแจ้ง ภพภูมิไม่กินเนื้อที่และไม่ต้องใช้สถานที่เช่นเดียวกันกับภาวะแห่งอารมณ์
    ( ยังมีต่อ )
     
  2. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ธรรมชาติของภพภูมิ ( ต่อ )

    สวรรค์และนรกเป็นภพภูมิซึ่งพวกเธอส่วนมาเข้าใจไม่ค่อยถูกต้อง ทั้งสวรรค์และนรกไม่ใช่สถานที่ ไม่กินเนื้อที่ ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีระยะทางจากโลกมนุษย์ไปสู่สวรรค์หรือนรก ไม่มีการเดินทางและไม่มีการใช้เวลาเพื่อไปให้ถึง ทั้งสวรรค์และนรกเป้นสภาวะแห่งอารมณ์ของจิตวิญญาณ เมื่อเธอไม่รู้จักธรรมชาติแห่งความเป็นจริงว่า จิตวิญญาณยังคงดำเนินวิถีชีวิตต่อไปโดยมีอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดไม่น้อยไปกว่าสภาวะในร่างกายของมนุษย์ เพียงแต่ว่าอารมณ์ของจิตวิญญาณไม่ได้ขึ้นอยู่กับประสาทสัมผัสทั้งห้า แต่ขึ้นอยู่กับความรู้ความละเอียดอ่อนของจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ สวรรค์จึงเป็นภาวะของจิตวิญญาณซึ่งมีอารมณ์เป็นสุข ด้วยความพอใจในความรู้ ความละเอียดอ่อนของจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้นในขณะจิตนั้นๆ

    กลุ่มคนบางพวกพากันไปเที่ยวสวรรค์ พวกเขาอาศัยจินตนาการที่เป็นไปในทิศทางที่ได้รับการเสนอแนะหรือชักนำ ทำให้พวกเขามองเห็นสวรรค์เป็นสถานที่ตระการตา ประดับประดาด้วยเพชรนิลจินดา จิตวิญญาณทั้งหลายซึ่งปราศจากร่างกายอย่างฉัน ปราศจากความปรารถนาในวัตถุธาตุ เพชรนิลจินดาเป็นสิ่งที่สนองความปรารถนาในระดับมนุษย์ หรือในระดับการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าเท่านั้น เมื่อจิตวิญญาณปราศจากร่างกาย วัตถุธาตุทั้งหลายรวมทั้งเพชรนิลจินดาก็เป็นเพียงจินตนาการ ไม่มีมูลค่า ไม่มีตัวตนเป็นวัตถุธาตุ และไม่มีความหมายใดๆ กับจิตวิญญาณ


    [​IMG]


    สิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดสำหรับจิตวิญญาณคือความรู้ ความรู้เป็นจินดามณีล้ำค่าที่แท้จริงของจิตวิญญาณ ความรู้เป็นปัจจัยซึ่งทำให้จิตวิญญาณมีความแกร่งและคมเหมือนเพชรน้ำหนึ่ง ความรู้เป็นปัจจัยที่ทำให้จิตวิญญาณเติมเต็มคุณค่าด้วยปัญญา

    ดังนั้นสวรรค์ที่แท้จริงคือความสุขซึ่งเกิดจากการเกิดปัญญา เมื่อเธอได้สัมผัสสวรรค์ที่แท้จริง เธอสัมผัสด้วยอารมณ์แห่งปัญญา มันเป็นสวรรค์ที่ไม่มีวันสลายตัว เพราะปัญญาเป็นแก่นแท้ของจิตวิญญาณซึ่งไม่มีวันสูญสลายหรือลดลงมีแต่เพิ่ม ในขณะที่เธอยังมีร่างกายและประสาทสัมผัสทั้งห้าอยู่นี้ เธอเองก็ไปสวรรค์ได้บ่อยๆ เมื่อเธอพบกับความรู้สึกที่อิ่มอกอิ่มใจ พอใจกับสภาวะที่เธอได้เป็น ได้ทำ ได้มีอยู่ เธอก็อยู่ในสวรรค์หรือไปถึงสวรรค์ได้ในชั่วพริบตา หากแต่ว่าสภาวะดังกล่าวนี้จะคงทนอยู่ไม่ได้นาน เพราะสิ่งต่างๆ ที่เธอพึงพอใจนั้นไม่ได้คงทนถาวรเช่นเดียวกับปัญญาความรู้

    นรกก็เป็นภาวะแห่งอารมณ์เช่นเดียวกัน นรกเป้นภาวะที่จิตวิญญาณมีอารมณ์อันปราศจากปัญญาและความรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงภาวะที่ไม่พึงปรารถนาในขณะจิตนั้นๆ ให้เป็นอื่นไปได้ นรกคือภาวะที่เธอตกอยู่ในอารมณ์อันหมดหวัง หมดปัญญาความรู้ที่จะแก้ไข ในขณะที่เธกตกอยู่ในขุมนรกเหมือนไม่มีวันรอดพ้นจากขุมนรกได้นั้น สิ่งเดียวที่จะทำให้เธอสามารถรอดพ้นจากขุมนรกได้ก็คือ การเปลี่ยนความเชื่อ เมื่อเธอเชื่อว่า เธอมีปัญญาความรู้ที่จะแก้ไขสถานการณ์เลวร้ายได้ มันจะทำให้เธอเกิดความหวังขึ้น ความหวังจะทำให้เธอเกิดความตั้งใจและใช้สติสัมปชัญญะในการแก้ปัญหา

    เมื่อเธอมีความตั้งใจและสติสัมปชัญญะที่คมชัด เธอก็ได้ใช้อำนาจแห่งปัจจุบันถ่ายทอดความรู้มาจากฐานข้อมูลทั้งจากอดีตและอนาคต เพื่อแก้ไขและเปลี่ยนแปลงความเชื่อ จิตวิญญาณในส่วนลึกของเธอทั้งหลายเต็มไปด้วยปัญญาความรู้ ไม่มีจิตวิญญาณใดปราศจากความรู้ เพราะความรู้คือจิตวิญญาณและจิตวิญญาณคือความรู้ การศึกษาทางโลกไม่ได้เป็นตัวกำหนดค่าแห่งความรู้ทางจิตวิญญาณ การศึกษาทางโลกช่วยให้เธอเรียนรู้วิธีการที่จะใช้ความตั้งใจและสติสัมปะชัญญะเพื่อทำการให้เป็นผลสำเร็จ แต่สังคมมักทำให้เธอเข้าใจผิดๆ ว่า การศึกษาทางโลกเป็นปัจจัยเดียวที่จะทำให้เกิดปัญญาความรู้ ปัญญาความรู้ที่แท้จริงเกิดจากการมีความตั้งใจและสติสัมปะชัญญะ ความรู้ที่แท้จริงสถิตย์อยู่ในจิตวิญญาณ เธอใช้สติสัมปะชัญญะเป็นกุญแจสู่ปัญญาความรู้ของจิตวิญญาณ เพื่อนำปัญญาและความรู้นั้นมาแก้ปัญหาหรือหาทางออกจากขุมนรกได้ทุกเมื่อ
    ( ยังมีต่อ )
     
  3. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ธรรมชาติของภพภูมิ ( ต่อ )

    การปรากฏของจานบินและมนุษย์ต่างดาวเป็นปรากฏการณ์ที่นักวิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ นอกเสียจากว่าพวกเขาจะเข้าใจธรรมชาติของภพภูมิและศาสตร์แห่งจิตวิญญาณ เมื่อมนุษย์โลกมองเห็นจานบินที่พวกเธอเข้าใจว่าเป็นยานพาหนะของมนุษย์ต่างดาวนั้น มันไม่ได้เดินทางจากดาวนพเคราะห์ดวงอื่นมาปรากฏให้เธอเห็นในโลกมนุษย์ พวกเขาอยู่ในภพภูมิที่มีวิทยาการล้ำหน้ากว่าวิทยาการบนโลกมนุษย์ของเธอมาก พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ต่างดาว แต่เป็นสิ่งมีชีวิตต่างภพภูมิ การปรากฏของพวกเขาเคยเกิดจากความบังเอิญ แต่เมื่อวิทยาการของเขาล้ำหน้าไป การปรากฏเหล่านั้นก็เป็นไปได้ด้วยการวางแผนและความตั้งใจ แต่ถึงกระนั้นการปรากฏของจานบินและสิ่งมีชีวิตต่างภพภูมิก็เป็นไปอย่างไม่ชัดเจนหรือไม่สมบูรณ์ เพราะในแต่ละภพภูมินั้นจะมีเครื่องพรางที่แตกต่างกันไป ภพภูมิแห่งโลกมนุษย์ของเธอมีช่องว่าง ระยะทาง และกาลเวลาเป็นเครื่องพราง สภาวะที่แท้จริงของจิตวิญญาณ ทำให้ชีวิตทางกายภาพดำเนินไปได้ภายใต้กฏเกณฑ์จำกัด เพื่อพัฒนาการจำเพาะ ในสภาวะจำเพาะของภพภูมิแห่งโลกมนุษย์ มนุษย์ต่างดาวและจานบินของพวกเข้าก็อยู่ภายใต้กฏเกณฑ์และเครื่องพรางจำเพาะซึ่งแตกต่างไปจากโลกมนุษย์ การปรากฏของพวกเขาเป็นภาวะที่อยู่ระหว่างการแปลงสภาพ

    หากเปรียบเทียบว่า ไขกบอาศัยอยู่ในน้ำและกบอาศัยอยู่บนบก แหกกันโดยสิ้นเชิง การที่มนุษย์โลกมองเห็นมนุษย์ต่างดาวก็เป็นช่วงเวลาที่ไขกบแปลงสภาพเป็นลูกอ๊อดและเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ซึ่งย้ายที่อาศัยจากแหล่งน้ำมาสู่ชายเลน ภาวะระหว่างการแปลงสภาพเป็นภาวะชั่วคราว เธอจะเรียกลูกอ๊อดว่าเป็นสัตว์โลกอีกพันธ์หนึ่งก็ไม่ถูกต้อง

    [​IMG]

    หากเธอลบเอากฏเกณณ์ของช่องว่าง ระยะทาง และกาลเวลาออกไปจากวงจรชีวิตของไข่กบหรือกบ การแปลงสภาวะดังกล่าวจะเป็นสภาวะที่ไข่กบหรือกบไม่สามารถรับรู้ได้จากมุมมองของมัน จากมุมมองของไข่กบ ชายเลนคือน้ำตื้น และจากมุมมองของกบ ชายเลนคือสภาพบนบกที่มีน้ำขัง ลองจินตนาการต่อไปว่า หากการแปลงสภาพนี้เกิดขึ้นทันทีทันใด หรือใช้เวลาหลายศตวรรษ วงจรของการแปลงสภาพดังกล่าวจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้เห็นได้เลย ไข่กบก็จะรู้จักแต่ไขกบในช่วงชีวิตของมัน เช่นเดียวกันกับการที่มนุษย์ก็รู้จักแต่มนุษย์ และมนุษย์ต่างดาวหรือสิ่งมีชิวิตต่างภพภูมิก็จะรู้จักแต่พวกเขา จากมุมมองของมนุษย์ จากโลกมนุษย์ หรือจากมุมมองของสิ่งมีชีวิตจากภพภูมิอื่น สภาวะที่เกิดขึ้นนั้นคาบอยู่ระหว่างสองภพภูมิในลักษณะที่บิดเบือนไปจากความเป็นจริงทั้งสองฝ่าย เธอไม่สามารถจะมองเห็นพวกเขาและจานบินของพวกเขาได้ตามความเป็นจริง เธอเพียงแต่เห็นสภาวะที่อยู่ระหว่างการแปลงสภาพจากภาวะหนึ่งไปสู่อีกภาวะหนึ่ง และจากภพภูมิหนึ่งไปสู่อีกภพภูมิหนึ่ง มนุษย์จากต่างภพภูมิเหล่านั้นก็เช่นเดียวกัน เขาไม่สามารถจะเห็นโลกมนุษย์และมนุษย์โลกได้ตามสภาพที่เธอทั้งหลายเห็นกัน

    เมื่อจานบินเหล่านี้ออกเดินทางจากจุดเริ่มต้นซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดหรือภพภูมิของเขา อะตอมและโมเลกุลของสิ่งมีชีวิตและวัตถุธาตุต่างก็สอดคล้องกับสภาวะจำกัดของภพภูมินั้นๆ แต่เมื่อมาเยือนภพภูมิแห่งโลกมนุษย์ อะตอมและโมเลกุลของสิ่งมีชีวิตและวัตถุธาตุเหล่านั้นบิดเบือนไป รูปทรงและสัณฐานของมันก็ผิดเพี้ยนไปด้วย มนุษย์โลกพยายามที่จะมองเห็นและเข้าใจสิ่งมีชีวิตและวัตถุธาตุเหล่านั้นจากมุมมองความเชื่อและความเข้าใจที่จำกัดเกี่ยวกับจักรวาล อะตอมและโมเลกุลของสิ่งมีชีวิตและวัตถุธาตุต่างภพภูมิเปลี่ยนแปลงบางส่วน และคงสภาพบางส่วนตามความจำเป็น เพื่อการคงสภาพให้สอดคล้องกับภพภูมิใดภพภูมิหนึ่ง การปรากฏในต่างภพภูมิต้องใช้ความดันสูง ซึ่งอะตอมและโมเลกุลของสิ่งมีชีวิตและวัตถุธาตุเหล่านั้นไม่สามารถต้านทานอยู่ได้นาน ในที่สุดอะตอมและโมเลกุลนั้นก็ต้องปรับตัวให้ลงรอยกับสภาวะของภพภูมิใดภพภูมิหนึ่ง มันจึงไม่สามารถที่จะคงสภาพอยู่ได้นานพอในภพภูมิแห่งโลกมนุษย์ และแปลงสภาพกลับไปสู่ภพภูมิต้นกำเนิดในที่สุด

    สิ่งมีชีวิตหรือมนุษย์ต่างภพภูมิเหล่านี้จึงมองเห็นโลกมนุษย์ได้จากมุมมองเพียงชั่วขณะหนึ่ง เช่นเดียวกันกับที่มนุษย์โลกมองเห็นพวกเขาได้เพียงชั่วขณะหรือเพียงแว้ปหนึ่งเท่านั้น จิตวิญญาณของเธออาจไปเยือนหรือชะโงกไปสู่ภพภูมิอื่นได้ชั่วขณะหนึ่ง เช่นเดียวกันกับที่เธอสามารถจะไปเยือนอดีตและอนาคตชาติได้ ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ขึ้นอยู่กับจิตศาสตร์และการฝึกฝนเพื่อวัตถุประสงค์จำเพาะ

    วิทยาการมีมากมายหลายสายนอกเหนือไปจากวิทยาศาสตร์ที่เธอรู้จัก วิทยาการบางสายเป็นศาสตร์แห่งการเคลื่อนที่ด้วยการใช้เสียง วิทยาการในโลกปัจจุบันของเธอเป็นศาสตร์แห่งการสื่อสารและพลังงาน ดังนั้นเมื่อนักวิทยาศาสตร์ของเธอพยายามที่จะอธิบายการสร้างปิรามิดในประเทศอียิปต์ สโตนเฮนท์ในประเทศอังกฤษ หรือปรากฏการณ์อื่นๆ ด้วย กฏเกณฑ์ของวิทยาการปัจจุบัน พวกเขาก็ไม่สามารถจะเข้าใจความเป็นจริงเกี่ยวกับวิทยาการในยุคนั้นได้ นอกจากนี้มนุษย์มักเข้าใจว่า วิวัฒนาการรุดหน้าไปเป็นเส้นตรงโดยที่อดีตล้าหลังกว่าปัจจุบัน และอนาคตล้ำหน้ากว่าปัจจุบันเสมอ วิวัฒนาการและวิทยาการในอดีตล้ำหน้ากว่าปัจจุบันที่เธอรู้จักมากมายนัก

    แอตแลนติสเป็นดินแดนที่มนุษย์โลกเข้าใจว่าเป็นอดีตที่มีวิทยาการล้ำหน้า แต่แท้ที่จริงแล้วแอตแลนติสก็เป็นดินแดนแห่งอนาคตของโลกปัจจุบันของเธอด้วย เมื่อเธอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์และเครื่องพรางแห่งช่องว่าง ระยะทาง และกาลเวลา เธอไม่สามารถมองเห็นหรือเข้าใจได้ว่า อดีต ปัจจุบัน และอนาคตซ้อนกันอยู่ได้เช่นเดียวกันกับการซ้อนกันหรือการสถิตย์อยู่พร้อมกันหมดของภพภูมิต่างๆ และจิตวิญญาณก็สามารถปรากฏในอดีต ปัจจุบัน อนาคตได้พร้อมกันหมด ดังนั้นความก้าวหน้าของวิวัฒนาการและวิทยาการต่างๆ ก็ปรากฏอยู่ในภพภูมิเดียวกัน ในต่างภพภูมิ ในอดีต อนาคตชาติพร้อมกันหมดในปัจจุบัน

    โนวา อนาลัย
    (kiss)(kiss)(kiss)
     
  4. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    [​IMG]

    พระสัทธรรมอันยิ่งใหญ่

    สภาวะของปรากฏการณ์ทั้งมวลเต็มไปด้วยความหลอกลวงเหมือนกับดักที่ผู้คนพากันถูกกักขังอยู่ นี่คือสภาวะก่อนการรู้แจ้งความจริงของสรรพสิ่ง แต่หลังจากการรู้แจ้งความจริงแล้วย่อมรู้ชัดว่าสรรพสิ่งเป็นเพียงมายากลแห่งดวงจิตประภัสสร ซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้ จึงกลายเป็นกัลยาณมิตรคอยช่วยหลือให้ได้พบทัศนียภาพใหม่แห่งสูญญตาธรรม
    <O:p</O:p
    ในอาณาจักรแห่งปรมัตถสัจจะปรากฏการณ์ทั้งปวงคือสุญญตาก่อนการประจักษ์แจ้งความจริง สติจะถูกกักขังไว้ด้วยความมืดบอดแห่งอวิชชา จึงก่อให้เกิดกิเลสตัณหา สร้างบาปกรรมอยู่ในวัฏสังสารวัฏอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หลังการประจักษ์แจ้งความจริงสติกลับกลายมาร่วมงานกับปัญญาญาณอันสว่างไสว ก่อให้เกิดการลดละปล่อยวางกิเลสตัณหาลงได้
    <O:p
    ภาวะแห่งความเป็นทวลักษณ์ซึ่งเป็นภาพลวงของมารแห่งสังสารวัฏ ซึ่งดูเหมือนเป็นจริงเป็นจัง เมื่อได้รู้แจ้งชัดต่อธรรมชาติอันแท้จริงแล้วมันกลายเป็นผู้รักษาสัทธรรมเอาไว้ กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าดุจอัญมณีที่คอยเกื้อหนุนให้บรรลุถึงความรู้แจ้งความจริงที่ยิ่งใหญ่แห่งสุญญตา และได้พบกับสภาวะที่ยิ่งกว่าสุขในอัตภาพนี้นับเป็นความยิ่งใหญ่แห่งการพัฒนาของความเป็นมนุษยชาติ
    <O:p</O:p
    เมื่อรู้แจ้งชัดต่อธรรมชาติอันแท้จริงแห่งจิตประภัสสร ทำให้สามารถขจัดความมืดบอดแห่งอวิชชาได้อย่างแท้สิ้นเชิง ความยุ่งยากทั้งปวงได้อันตรธานไปอย่างปราศจากร่องรอยหลงเหลืออยู่ เข้าถึงความสว่างไสวแห่งปัญญาญาณ ดังแสงสุริยาที่ปราศจากเมฆหมอกบดบัง นี่คืพระสัทธรรมอันยิ่งใหญ่

    [​IMG]

    <O:p</O:p
    เมล็ดพันธ์แห่งการรู้แจ้ง
    <O:p</O:p
    การบำเพ็ญภาวนาด้วยการใส่ใจอยู่กับจิตประภัสสรและตั้งมั่นอยู่ในโพธิจิตอันปราศจากขอบเขต ย่อมสัมผัสถึงสภาวะที่เป็นความสุขอย่างยิ่งที่บังเกิดขึ้น และเป็นไปเองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องพากเพียรพยายาม ความแจ่มใสแวววาวแห่งจิตที่ปราศจากสิ่งรบกวนทำให้พลังแห่งความเมตตากรุณาแผ่กระจายสู่สรรพสัตว์ทั้งมวลให้ได้ดื่มน้ำอมฤตแห่งพระสัทธรรม
    <O:p</O:p
    ด้วยพลังแห่งความเมตตากรุณาอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์ที่ประทานคำสอนอันล้ำลึกเกี่ยวกับการปฏิบัติภาวนาบนวิถีของสัมมาอริยมรรค ทำให้เมล็ดพันธุ์แห่งการรู้แจ้งได้งอกงามไพบูลย์ขึ้นในดวงจิตของผู้บำเพ็ญภาวนา จนรู้แจ้งชัดถึงความเป็นมายาลวงของโลกีสุข ทำให้ข้ามพ้นห้วงมหรรณพอันทุกข์ทรมานแห่งสังสารวัฏได้
    <O:p</O:p
    ถ้าจิตใจเราปราศจากม่านมิจฉาทิฏฐิ เราก็สามาถเข้าถึงธรรมชาติของความเป็นเอกภาพของสรรพสิ่งได้ ปัญญาญาณก็จะเปิดเผยข้อเท็จจริงของการเห็น การได้ยิน ฯลฯ จริงๆ ได้ นั่นคือการบรรลุธรรม
    <O:p</O:p
    ผู้ที่ขาดศรัทธาต่อจิตประภัสสรของตนเองย่อมไม่ประสบความสำเร็จจากการปฏิบัติภาวนา การฝึกฝนภาวนาก็เพื่อขจัดความคิดที่ทำให้เกิดการแบ่งแยกตัวตนให้สิ้นสุดลง ทำให้ดำรงชีวิตอยู่อย่างพุทธะและจิตใจเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณา
    <O:p</O:p
    มีวิถีทางเดียวที่เราจะเข้าใจธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะได้นั่นก็คือการฝึกฝนภาวนาบนวิถีจิตหนึ่งเดียว “ เอกายนมรรค ” จนเกิดอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา รู้แจ้งชัดในความเป็นสุญญตา รู้แจ้งชัดในความเป็นเช่นนั้นเองของสรรพสิ่งในแต่ละขณะ แล้วดำเนินชีวิตอยู่ในความเป็นองค์รวมกับสรรพสิ่งอย่างเป็นเอกภาพ
    ( ยังมีต่อ )<O:p</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2011
  5. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    มรรคาแห่งความเป็นพุทธะ

    การบรรลุธรรมก็คือการรู้แจ้งชัดต่ออันติมสัจจะหรือจิตประภัสสรของเราอยู่เสมอๆ ด้วยการเรียนรู้ตนเองซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่าเราจะเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง ถ้าพลาดจากจุดนี้การปฏิบัติของเราก็จะก่อกำแพงกักขังตัวเองด้วยการไปยึดติดรูปแบบ จึงยากที่จะเข้าถึงความเป็นอิสระได้
    <O:p</O:p
    ไม่ว่าเราจะทำอะไร เราก็ควรรู้จักวิธีที่จะทำให้ตื่นอยู่เสมอ การกระทำนั้นๆ ก็จะเป็นปาฏิหารย์อย่างยิ่ง ถ้าเราจับจุดนี้ไม่ได้ การปฏิบัติภาวนาของเราก็จะล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะมันเป็นประเด็นสำคัญที่สุดในพุทธศาสนา และไม่ว่าเราจะไปที่ไหน เราก็จะไม่ออกนอกวิถีทางนี้ เพราะมันเป็นวิถีทางไปสู่ความเป็นพุทธะ
    <O:p</O:p
    การกระทำของพุทธะนั้น ตั้งอยู่บนฐานของธรรมชาติที่แท้จริงของเรา ซึ่งแสดงออกและประจักษ์แจ้งได้ในการฝึกฝน การฝึกฝนภาวนาของเราก็เพื่อให้ธรรมชาติที่แท้นี้แสดงออกร่วมกับกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันของเรา แล้วเราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับการกระทำ เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง เป็นหนึ่งเดียวกับการฝึกฝน การงานในชีวิตประจำวันกับการปฏิบัติภาวนาจึงไม่ใช่สองสิ่งที่แยกจากกัน
    <O:p</O:p
    เหนือโคลนตมแห่งสังสารวัฏ ดอกบัวที่บริสุทธิ์สะอาดไร้มลทินได้อุบัติขึ้นด้วยความเมตตากรุณาของพระพุทธองค์ ที่ประทานคำสอนอันล้ำลึกในการบำเพ็ญภาวนา เพื่อรู้แจ้งชัดถึงความจริงของสรรพสิ่งว่าเป็นสุญญตา – อนัตตา เพื่อขจัดกระแสความคิดที่หลั่งไหลจากการหลั่งไหลจากการปรุงแต่งของอวิชชา อันเป็นดวงประทีปส่องทางให้แก่การดำเนินชิวิตที่ปลอดภัย เป็นการดำเนินชีวิตพรหมจรรย์ ย่อมเข้าถึงความหลุดพ้นอย่างไม่กำเริบได้ นี่คือเป้าหมายสูงสุดในพุทธศาสนา

    [​IMG]
    <O:p</O:p
    เอกภาพแห่งชีวิต
    <O:p</O:p
    หากเราแสวงหาสัจจะในวิถีของการเกิดการตายในระดับจิตสามัญสำนึกย่อมไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง เพียงหยั่งรู้ในอาณาจักรแห่งสุญญตาธรรมที่ไม่มีการเกิดและการตาย และพักผ่อนอยู่ในอาณาจักรนั้น ย่อมเข้าถึงความสุขนิรันดร์ที่เกิดจากการประจักษ์แจ้งความจริง
    <O:p</O:p
    เพราะเราขาดปัญญาญาณในการดำเนินชิวิต จึงตกอยู่ในกับดักของถ้อยคำและภาษา ชื่อสมมุติ และคำพูดที่เราสร้างขึ้นมาบดบังดวงตาจนมืดมิด ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อย่างชัดเจน เรายึดถือความหมายจากคำอธิบายที่เป็นเปลือกนอก ทำให้เกิดเงื่อนไขผูกมัดตนเอง จึงตกสู่กับดักแห่งสมมุติสัจจะ ไม่สามารถพ้นจากการเกิดและการตายในไตรภูมิได้ ถ้าต้องการพ้นจากการเกิดและการตาย จงค้นหาพุทธะในตนเองให้พบ และจะเข้าใจความหมายของความมีอิสรภาพอย่างแท้จริง
    <O:p</O:p
    ชั่วขณะที่ความโกรธเกิดขึ้นในจิตใจ เราก็ถูกเผาผลาญอยู่ในเพลิงนรก ชั่วขณะที่ความยินดีเกิดขึ้นในจิตใจ เราก็ถูกจำกัดอยู่ในสวรรค์ภูมิ การดำรงอยู่ของเราถูกจำกัดอยู่ด้วยกาลเวลาที่เป็นเส้นตรงและสิ่งแวดล้อม เราจึงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมและกาลเวลา ถ้าเราสามารถเรียนรู้และทำความเข้าใจกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างซึมซาบจากประสบการณ์ตรง เราก็จะใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมในทุกหนทุกแห่งที่เราดำรงอยู่ จึงเป็นปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่ทุกย่างก้าว
    <O:p</O:p
    จุดมุ่งหมายของคำสอนอันลึกซึ้งของพระพุทธองค์ ต้องการให้เราตระหนักรู้ถึง “ บางสิ่ง “ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเราและมีอยู่แล้วในตัวเราตลอดเวลา จะทำให้เราอยู่เหนือกาลเวลาและเป็นมนุษย์ที่แท้ ซึ่งอยู่บนหนทางแห่งอิสรภาพและเอกภาพกับสรรพสิ่ง
    <O:p</O:p
    ถ้า “ เราเป็นเรา “ ก็จะเป็นครูของตนเองได้ในทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ทั้งหมดคือความจริง ชั่วขณะแห่งความสงสัยเกิดขึ้น พญามารก็จะเข่าสู่จิตใจ ทุกสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป จงมีศรัทธาในความเป็นพุทธะในตัวเราที่กำลังแสดงออกร่วมกับกิจการงานอยู่ในขณะนี้ จงหยั่งรู้ว่าทุกสิ่งโดยตัวของมันเองแล้วคือพุทธะ คือความว่างเปล่า – สุญญตา
    ( ยังมีต่อ )<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2011
  6. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    สูงสุดสู่สามัญ

    สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักจิตประภัสสรของตนเอง ก็ป่วยการที่ผู้นั้นจะเข้าถึงพุทธศาสนา เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาจิตสามัญสำนึกไปสู่จิตเหนือสำนึก แต่ถ้าผู้ใดรู้จักจิตประภัสสรของตนเองได้อย่างซาบซึ้ง ผู้นั้นก็เริ่มเห็น “ หนทาง “ ของการปฏิบัติภาวนา

    จิตประภัสสรของเรานั้นเป็นอิสระ ไม่เกิด ไม่ดับ เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความเปลี่ยนแปลง เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง จิตประภัสสรเป็นเช่นไร พุทธะ ธรรมะ สังฆะ ก็เป็นเช่นนั้น นี่คือไตรสรณคมน์อันเป็นที่พึ่งอันเกษมของเรา
    <O:p
    คนส่วนมากมีโลกทัศน์ที่เป็นมิจฉาทิฐิ พวกเขาไม่เห็นสรรพสิ่งตามที่มันเป็น เขาพากันคิดว่ามิจฉาทิฏฐิหรือความสุดโต่งทั้งสอง สูง – ต่ำ ดำ – ขาว ยาว – สั้น ฯลฯ คือความจริง จึงยึดติดกับความเห็นของตนเองอย่างแน่นแฟ้น แต่ความเห็นของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน สังคมจึงมีแต่ความขัดแย้งรุนแรง เราจะพูดได้อย่างไรว่าความเห็นของเราถูก ของคนอื่นผิด นี่คือความลวงที่ทำให้เราหลงผิดแล้วยึดถือความหลงผิดนั้น สังคม - ตัวเราจึงมีแต่ปัญหา
    <O:p</O:p
    ถ้าต้องการเข้าถึงความจริงที่แท้ เราต้องปล่อยวางความรู้และเงื่อนไขที่มีขอบเขตอันจำกัดทั้งหมดก่อน แล้วจิตก็จะเป็นสภาพก่อนการคิด ซึ่งเป็นจิตที่กระจ่าง ไม่มีถูก ไม่มีผิด มันเพียงแต่เป็นเช่นนั้นเอง นี่คือความจริงของสรรพสิ่ง คือจิตประภัสสร อันเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะให้เราเข้าถึง เพื่อแก้ความเห็นที่สุดโต่งทั้งสองให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ( เห็นสิ่งต่างๆ ตามที่มันเป็น – ตถตา ) ความยึดถือ ปัญหาต่างๆ ก็จะสิ้นสุดลง สูงสุดสู่สามัญ เข้าถึงความผาสุกที่แท้จริง ดำเนินชีวิตอย่างพุทธะ อยู่กับโลกที่เป็นของคู่อย่างไม่ขัดแย้ง เพราะมีสัมมาทิฏฐิเป็นพื้นฐานของจิตใจ ที่ขจัดเงื่อนไขของความยึดติดทั้งปวง

    [​IMG]
    <O:p</O:p
    แก่นสาระของสรรพสิ่ง
    <O:p</O:p
    สรรพสิ่งกำลังแสดงธรรมอยู่ทุกขณะ เสียงนกร้อง เสียงรถยนต์ เสียงเห่าของสุนัข ฯลฯ กำลังบอกความลับของชีวิตแก่เราเพียงเราหยุดความคิดปรุงแต่งของเราเสียเท่านั้น ความจริงก็จะเผยตัวมันเองให้เราได้ประจักษ์แจ้ง
    <O:p</O:p
    “ หนทาง “ อันยิ่งใหญ่นั้นไม่ยาก ถ้าปราศจากการเปรียบเทียบปราศจากการแบ่งแยก เพียงไปพ้นการลงความเห็นที่ขัดแย้ง ทุกสิ่งก็จะกระจ่างชัดสมบูรณ์ นี่คือเนื้อหาแก่นสาระของสรรพสิ่ง เรากับสรรพสิ่งเป็นเอกภาพเดียวกันและไม่แตกต่างกัน มันเป็นของมันเช่นนั้นเอง ( ตถตา ) นี่คือความจริงของสรรพสิ่งที่หยั่งรู้ได้ด้วยปัญญาญาณ
    <O:p</O:p
    มนุษย์อยู่กันอย่างเป็นสังคม ต้องใช้คำพูดและภาษาเพื่อสื่อสารกัน ถ้าเราคิดยึดติดในคำพูด ยึดติดในความหมายของภาษา เราจะไม่สามารถกลับไปสู่รากฐานของการดำรงอยู่ได้เลย แต่ถ้าเราไม่ยึดติดสิ่งต่างๆ ไม่ช้าเราก็จะบรรลุถึงการรู้แจ้งความจริง บรรลุถึงความเป็นพุทธะ
    <O:p</O:p
    ถ้าเราไม่ยึดติดกับสิ่งต่างๆ เราจะรู้ชัดถึง “ บางสิ่ง “ ที่อยู่เบื้องหลังของการดำรงอยู่ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะอธิบายถึงสิ่งนั้นด้วยคำพูดและภาษา เราจะรู้ชัดถึงสิ่งนี้ได้ด้วยการปฏิบัติภาวนาอย่างถูกต้องเท่านั้น
    <O:p</O:p
    การปฏิบัติภาวนาก็เพื่อค้นหาธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเรา แล้วจะพบความสมบูรณ์ของชีวิตในแต่ละขณะ เป็นการละทิ้งโลกแห่งการแบ่งแยกไว้เบื้องหลัง และเดินทางไปสู่อิสรภาพและสันติสุขอย่างแท้จริง ชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร มันขึ้นอยู่กับขณะนี้ เราดำรงจิตไว้อย่างไร ถ้าเราดำรงจิตอยู่ในสุญญตาวิหาร เราก็จะดำเนินชิวตอย่างพุทธะ และช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากทุกข์ได้ ถ้าเราดำรงจิตอยู่กับการรับรู้อย่างแบ่งแยก มีผู้รู้ มีสิ่งที่ถูกรู้ ( นาม – รูป ) เราก็เป็นปุถุชน
    <O:p</O:p
    ไม่ว่าเราจะรับรู้ทางประสาทสัมผัสใดก็ตาม จงรักษาจิตก่อนการคิด รักษาจิตที่ดำรงอยู่ในสุญญตาเอาไว้ แล้วเราจะเข้าใจตนเอง เข้าใจโลก เข้าใจสรรพสิ่งตามความเป็นจริง
    ( ยังมีต่อ )
    (kiss)(kiss)(kiss)
     
  7. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ตถตาภาพแห่งความเป็นเอง

    อันติมสัจจะจะมีอยู่ในทุกหนทุกแห่ง เพียงขจัดความคิดปรุงแต่งที่เกิดจากอวิชชาเสียเท่านั้น เราก็จะสัมผัสถึงสัจจะ อัตตาตัวตนเกิดขึ้นขณะมีการปรุงแต่งของอวิชชา ดังนั้น การเกิดและการตายเป็นแค่การเกิดขึ้นและดับไปของอัตตา ที่เกิดจากความคิดที่ยึดติดเท่านั้น เมื่อความคิดสิ้นสุด อัตตาก็สิ้นสุดลง เราก็จะหยั่งรู้ว่าเราและสรรพสิ่งก็คืออนัตตา – สุญญตานั่นเอง

    การเข้าถึงตถาตภาพแห่งความเป็นเองตามวิถีของธรรมชาติด้วยสติกับปัญญาญาณที่สมบูรณ์ภายใน ทำให้รู้แจ้งถึงเอกสภาวะของสรรพสิ่ง รู้ชัดถึงภาวะที่ปราศจากการไปและการมา เข้าถึงความดับไม่เหลือแห่งอุปาทานในขันธ์ 5 ปราศจากความลังเลใดๆ เป็นความสุขอย่างยิ่ง ผู้ปรารถนาต่อโพธิญาณย่อมดำเนินตามเส้นทางนี้
    <O:p</O:p
    ถ้าต้องการรู้แจ้งชัดถึงสาระของธรรมชาติที่แท้แห่งจิตประภัสสร ความบ่มเพาะศรัทธา ธัมมวิจยะ และการสำรวมอินทรีย์ให้มั่นคง เพราะมันจะเป็นแรงบันดาลใจที่จะทำให้เราเข้าถึงแก่นสาระของธรรมชาติที่แท้แห่งจิตประภัสสร
    <O:p</O:p
    การบำเพ็ญเพียรภาวนาด้วยฉันทะ วิริยะ ขันติ อยู่บน “ ทางสายกลาย “ เปรียบเสมือนนั่งไปบนอาชาไนยตัวประเสริฐ ที่จะทำให้ถึงเป้าหมายของชีวิตในอัตภาพนี้

    ดวงจิตที่เปี่ยมด้วยพลังแห่งสัมมาสมาธิและความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ย่อมทะยานสู่อาณาจักรแห่งเอกภาพซึ่งสว่างไสวอยู่ด้วยประทีปแห่งปัญญาญาณ ยังความกล้าแข็งให้กับอินทรีย์พละ รู้ชัดถึงสุญญตาแห่งสรรพสิ่ง ย่อมบรรลุถึงความที่ยิ่งกว่สุขนิรันดร์
    <O:p</O:p
    [​IMG]

    พลังแห่งโลกุตตระธรรม

    ถ้าไม่สามารถใช้ประโยชน์จากความทุกข์โศกเพื่อพัฒนาจิตวิญญาณของตนเอง จะสามารถเอาชนะความโศกตรมทั้งหลายได้อย่างไร
    <O:p</O:p
    ถ้ายังไปไม่พ้นความสุดโต่งทั้งสอง ( ทวิภาวะ – เหตุผล ) จะปฏิบัติภาวนาบนวิถีของ “ ทางสายกลาง “ ได้อย่างไร ถ้ายังไม่เกิดแรงบันดาลใจที่จะทำให้เกิดความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวในขณะนี้ ความสำเร็จย่อมไม่มีวันเกิดขึ้นได้ ถ้ายังไม่พัฒนาจิตวิญญาณให้สูงขึ้นในขณะนี้ จะมีการพัฒนาในอนาคตย่อมเป็นไปได้ยาก
    <O:p</O:p
    บนทัศนียภาพอันมหัศจรรย์แห่งอันติมสัจจะ สรรพสิ่งจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันสู่เอกายนมรรค อันเป็นสัมมาอริยมรรคที่จะนำไปสู่ความสมบูรณ์ ซึ่งเป็นนิมิตหมายของผู้ที่พ้นแล้วจากการกำหนดหมาย แห่งแยกคุณค่าของสรรพสิ่งตามคติทวินิยม
    <O:p</O:p
    สภาวธรรมที่หลั่งไหลออกมาจากดวงจิตที่รู้แจ้งชัด ล้วนเป็นการยืนยันข้อความในพระไตรปิฏกของพระพุทธศาสนาให้กระจ่างชัดยิ่งขึ้น การรู้แจ้งชัดต่ออันติมสัจจะอย่างสมบูรณ์ ย่อมบรรลุถึงพลังอำนาจแห่งโลกุตตระ
    <O:p</O:p
    พลังแห่งโลกุตตระมาจากเหตุปัจจัยหลายประการ เช่น ความเมตตากรุณาอันไร้ขอบเขต คำสอนที่เป็นแก่นสาระของการปฏิบัติภาวนา โพธิญาณที่เปี่ยมด้วยการหยั่งรู้อันปราศจากขอบเขต ธรรมชาติเดิมแท้ของจิตประภัสสรอัปปนาสมาธิอันมั่นคงแห่งเอกภาพ ความสว่างไสวไม่มีประมาณแห่งประทีปของปัญญญาณ การไม่พักไม่เพียรโดยตัวของมันเอง ความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งที่ไหลอย่างต่อเนื่อง ความเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ของอันติมสัจจะ การปลดปล่อยตัวตนสู่ความเป็นอิสรเสรีจากความยึดถือทั้งปวง นี่คือที่มาแห่งพลังโลกตตระ ถ้าบุคคลสามารถบำเพ็ญภาวนาได้เต็มตามศักยภาพของตนเอง ย่อมนำมาซึ่ง พลังแห่งโลกุตตรธรรม

    หลวงพ่อโพธินันทะ
    :z8:z8:z8
     
  8. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ต้องขอโทษด้วยค่ะที่ต้องลบ post เรื่อง “ จุดเริ่มต้นของจักรวาล “ ลงก่อน
    เพราะเกรงว่าจะทำให้ท่านผู้อ่านเครียดกับภาษาที่ท่านอาจารย์อนาลัยถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือ<O:p
    โดยสรุปของเนื้อหาก็คือว่า จักรวาลที่เราเห็นและไม่เห็นด้วยตาเนื้อทั้งหลาย เกิดจากอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของพวกเราเอง<O:p
    เพราะฉะนั้นเวลาเราจะคิดสิ่งใด ก็ให้พยายามคิดกันอย่างมีสติ เพราะความคิดของเราในปัจจุบันเป็นตัวกำหนดอนาคตของโลกและจักรวาลนั่นเองค่ะ<O:p
    เลยขอแก้ตัวด้วยเรื่อง “ ก่อนกำเนิดจักรวาล “ แทนเพราะรู้สึกว่าจะอ่านได้ง่ายกว่า <O:p
    หากท่านใดต้องการอ่านเพิ่มเติมก็สามารถติดต่อพี่นักเขียนได้ทาง arthachinda.c@gmail.com<O:p
    หนังสือเล่ม “ ประวัติศาสตร์ของจิตวิญญาณ “ จะเป็นเล่มที่อ่านแล้วเข้าใจยากที่สุดในบรรดาหนังสือที่อ่านมาทั้งหมดเลยค่ะ ^_^
    (ping-love(ping-love(ping-love<O:p
     
  9. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ก่อนกำเนิดจักรวาล

    “ จักรวาลจะถือกำเนิดในอดีต “ “ จักรวาลได้ถือกำเนิดแล้วในอนาคต “ คำกล่าวเหล่านี้ไร้ความหมาย นอกจากจะผิดไวยากรณ์แล้ว ความหมายของเวลายังผิดธรรมดาอีกด้วย แต่คำกล่าวที่ว่า “ จักรวาลได้ถือกำเนิดมาแล้วหนึ่งหมื่นห้าพันล้านปี “ ก็ไม่ได้มีความหมายมากไปกว่ากัน แม้คำกล่าวสองอันแรกนั้นจะไม่เป็นเหตุเป็นผล แต่ก็ให้เงื่อนงำเกี่ยวกับปรากฏการณ์ว่า ช่องว่างและกาลเวลาเป็นเครื่องประดับอันสร้างสรรค์ของจักรวาล

    ประสบการณ์ของขณะจิตเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณ เช่นเดียวกับนาฬิกาแขวนผนังเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องเรือน เมื่อนักวิทยาศาสตร์และนักศาสนศาสตร์พยายามหาจุดกำเนิดของจักรวาล พวกเขาค้นหาจากอดีต แต่จักรวาลกำลังถือกำเนิดอยู่ในปัจจุบัน สิ่งสร้างสรรค์ทั้งหลายเกิดขึ้นทุกขณะจิต ภาพลวงตาของเวลาก็กำลังถือกำเนิดอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นการค้นหาต้นกำเนิดของจักรวาลโดยใช้เวลาเป็นปัจจัยจึงเป็นวิธีการที่หาความจริงไม่พบ
    <O:p
    [​IMG]

    ปัจจุบันคือรากฐานของขณะจิต นักวิทยาศาสตร์บอกเธอว่า จักรวาลถือกำเนิดมาจากการระเบิดของมวลของไฮโดรเจนอะตอม ซึ่งยังคงขยายตัวออกเนื่องจากแรงระเบิดดังกล่าว แล้วในที่สุดก็จะหดกลับแล้วระเบิดออกใหม่อีก ผู้ที่ยึดถือทฤษฏีเกี่ยวกับวิวัฒนาการไม่อาจถือเอาปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุแห่งวิวัฒนาการได้ ผู้ที่เชื่อถือทฤษฏีทางศาสนาเชื่อว่า พระเจ้าสถิตย์อยู่ในมิติของโลกแห่งความเป็นจริงอันยิ่งใหญ่ เป็นผู้สร้างจักรวาล สถิตย์อยู่นอกเหนือจักรวาลและทำให้สรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลเป็นไป คนบางพวกที่ไม่เชื่อถือในทฤษฏีทั้งสองนี้อาจคิดว่า ไม่ว่าจักรวาลจะถือกำเนิดมาเช่นใด ในที่สุดจักรวาลอาจจะหมดพลังงาน ไม่นานมานี้นักวิทยาศาสตร์เชื่อมั่นว่า พลังงานเป็นสิ่งที่ไม่สูญสลายและไม่สามารถสร้างขึ้นได้ แต่พลังงานเป็นสิ่งที่แปลงสภาพได้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า พลังงานและสสารมีรากฐานเหมือนกันหรือเป็นสิ่งเดียวกัน แต่มีสภาวะต่างกันภายใต้เงื่อนไขที่แตกต่างกัน
    <O:p
    ฉันจะลดเว้นที่จะใช้คำว่า “ พระเจ้า “ เพราะความหมายของคำว่า “ พระเจ้า “ ที่มนุษย์กำหนดขึ้นนั้น เกิดจากความเชื่อที่แคบเกินไปสำหรับโลกแห่งความเป็นจริงที่อยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่าง ระยะทาง และกาลเวลา “ พระเจ้า “ ในความหมายของเธอเป็นเสมือนบุคคลที่อยู่เหนือมนุษย์ แต่สิ่งที่ก่อเกิดจักรวาลและสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลไม่ได้เป็นบุคคล เป็นสิ่งที่เล็กเกินกว่าและในขณะเดียวกันก็ใหญ่เกินกว่านั้นมาก ฉันจะอธิบายครอบคลุมถึงกระบวนการสร้างสรรค์อันไร้ขอบเขตนี้ในบทต่อๆ ไป ฉันจะเรียกผู้สร้างและกระบวนการสร้างสรรค์อันไร้ขอบเขตนี้ว่า “ สรรพสิ่งทั้งปวง “
    <O:p
    “ สรรพสิ่งทั้งปวง “ เป็นส่วนหนึ่งของผลงานสร้างสรรค์ในลักษณะที่กล่าวได้ว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกผู้สร้างกับสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นออกจากกัน เพราะผลงานของสิ่งสร้างสรรค์ทั้งหลายมีคุณลักษณะของต้นกำเนิดของผู้สร้างซึ่งลบล้างไม่ได้อยู่ในตัวของมันด้วยเสมอ
    <O:p
    หากเธอจินตนาการว่า จักรวาลถูกสร้างขึ้นด้วยเสียงจักรกลบางชนิด เธอจะต้องจินตนาการต่อไปว่า ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นสร้างตัวมันเองขึ้นมาโดยรู้หน้าที่ของมันในโครงสร้างทั้งหมดในอนาคต ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นยินดีแตกแยกออกมาจากต้นกำเนิดของมัน โดยถูกตัดแต่งให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ของมันอย่างดีที่สุด ในขณะเดียวกันต้นกำเนิดก็ยังคงผูกพันธ์อย่างลึกซึ้งกับทุกชิ้นส่วน
    <O:p
    ฉันไม่ได้หมายความว่า จักรวาลเป็นผลลัพธ์ของกลไกของจิต แต่ฉันหมายความว่า จิตวิญญาณทั้งหลายทั้งปวงเป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งทั้งปวง และจักรวาลก่อเกิดขึ้นอย่างฉับพลันในภาวะที่เป็นระเบียบแบบแผนอันเป็นเลิศ และส่วนย่อยทั้งหลายของจิตวิญญาณต่างก็มีความรู้ของส่วนรวมที่ลบล้างไม่ได้
    <O:p
    กำเนิดของโลกเป็นตัวแทนของการตื่นของสภาวะจิตอันมีระเบียบแบบแผนเป็นเลิศ จิตวิญญาณส่วนย่อยแต่ละส่วนในโลกทางกายภาพของจักรวาลมีส่วนร่วมในการ “ ผัน “ ก่อนที่โลกจะก่อเกิด เพื่อมาถือบทบาทในโลกนี้
    <O:p
    ตามธรรมชาติของจักรวาลและการก่อกำเนิด ซึ่งเกินกว่าคำพูดของเธอจะใช้อธิบายได้ มันเป็นความจริงที่ว่าจักรวาล “ ดับ “ และ “ เกิด “ พร้อมๆ กันไป ตลอดเวลาในขระนี้ แต่ในภาวะจำเพาะหนึ่งๆ ก็อาจกล่าวได้ว่า จักรวาล มีอยู่ เป็นอยู่ และดำเนินไปตลอดวันเวลา
    <O:p
    เป้าหมายของการมีตัวตนของจักรวาลนี้ เปรียบได้กับอารมณ์รักที่เธอมีต่อลูกหลานของเธอ อารมณ์รักและอารมณ์ปรารถนาที่เธอต้องการเห็นลูกหลานของเธอพัฒนาไปสู่ความเป็นไปได้อย่างเต็มที่และดีที่สุดของเขา
    ( ยังมีต่อ )
    qsquqsquqsqu<O:p
     
  10. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    ผมเคยดูหนังเรื่องนึง มันเป็นฉากจบ มีนักบวชคนนึงพูดกับ นักวิทยาศาสตร์คนนึงว่า

    "ถ้าเราไม่มีท่านเราก็อยู่ไม่ได้ "
     
  11. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ความหมายของคำพูดนักบวชท่านนี้น่าจะหมายถึง
    ท่านเองก็ยอมรับว่าท่านใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์
    ในการศึกษาหาความรู้ทางจิตวิญญาณ
    นั่นก็คือการเฝ้าสังเกตุการณ์ อารมณ์, จินตนาการ และความรู้สึกนึกคิดของท่านเอง
    ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร? มีผลอย่างไรต่อการแสดงออกทางกายภาพ
    ในภาษาพุทธเราอาจจะเรียกว่า " การดูจิต " ก็ไม่น่าจะผิด
    ในศาสนาคริสต์เองก็มีวิธีการเช่นกัน เค้าเรียกว่า " การเข้าเงียบ "
    วิทยาศาสตร์ในแง่ของศาสนาพุทธเรานั้น เป็นวิธีการค้นหา " พุทธะที่อยู่ในใจ " ของตัวเอง

    ข้อคิด
    - ทันทีที่เกิด อารมณ์ จินตนาการ และความรู้สึกนึกคิด .. จิตเกิด
    - หยุดอารมณ์ จินนาการ และความรู้สึกนึกคิดได้ .. จิตดับ
    :boo::boo::boo:
     
  12. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ความปรารถนาสูงสุดของเธอจะให้เงื่อนงำอย่างเลือนลางว่า ความคิดสร้างสรรค์ที่ผุดขึ้นมาและอยู่เบื้องหลังการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดของเธอนั้น เกิดจากการที่เธอได้รับการสนับสนุนให้มาถือกำเนิดในโลกนี้ เธอได้รับมอบชีวิต ทุกขณะจิตเธอได้รับการชุบชีวิตอย่างนุ่มนวลแยบยล จนกระทั่งเธอไม่สามารถจะรู้ได้ เธอไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากพลังงานจำกัด ซึ่งจะร่อยหรอและหมดลงหรือตายไปในที่สุด ในทางตรงกันข้าม เธอถูกสร้างขึ้นจากพลังงานที่ชุบชีวิตเธอใหม่อยู่ทุกขณะจิต

    ประสบการณ์อันเป็นจิตวิสัยของจักรวาลหรือความรู้สึกนึกคิดของสรระสิ่งทั้งปวงนั้นคมชัด ฉลาดล้ำลึก และมีความหลากหลายจนแทบจะทำให้มันหลงทางในอาณาจักรของภูมิจิตของความรู้สึกนึกคิด อันเป็นอาณาจักรภายในที่เติบโตและขยายตัวไม่รู้จบสิ้น

    ความคิด ความฝัน ความรู้สึกหรืออารมณ์แต่ละอารมณ์สร้างคุณลักษณะที่ไม่มีวันลบล้างได้ขึ้นมา ความนึกคิดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนการเปลี่ยนแปลงของวิวัฒนาการเสมอ และเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดวัฒนาการ เมื่อความนึกคิดอยู่ในกระบวนการสร้างซึ่งแปลงสภาวะเป็นรูปธรรม มันจะเตรียมโลกที่มันจะถือกำเนิดขึ้นและสร้างปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นเงื่อนไขจำเป็น ซึ่งเป็นสภาวะที่ต้องมีมาก่อน

    วิวัฒนาการคือการเคลื่อนไหวของพลังงานไปสู่การแสดงออกของจิตวิญญาณ ผ่านโลกทางกายภาพของจักรวาล แต่รากฐานทั้งหมดของมันไม่ใช่สิ่งที่เป็นกายภาพ ในกาลเวลาหนึ่งๆ เผ่าพันธ์ทั้งหลายในโลกมนุษย์แปลงสภาพจากความฝันและจินตนาการมาสู่การเป็นตัวตนจากความนึกคิดของสมาชิกแต่ละบุคคล

    เธอไม่อาจกล่าวได้ว่า สรรพสิ่งหนึ่งๆ ถือกำเนิดขึ้นเมื่ออีกสรรพสิ่งหนึ่งสูญสลายไป มนุษย์สร้างกฏเกณฑ์ของอดีต ปัจจุบัน อนาคตขึ้นมาเพื่อให้การสื่อความหมายเป็นไปได้

    สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกทางกายภาพ
    ถูกสร้างขึ้นจากความนึกคิด

    ในนัยแห่งสมการของเธอ พลังงาน = จิตวิญญาณ = สสาร เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

    และในนัยนี้ จิตวิญญาณคือปัจจัยกระตุ้นให้พลังงานแปลงสภาวะเป็นสสาร และกระตุ้นให้สสารแปลงสภาวะเป็นพลังงาน อนุภาคที่เธอมองเห็นได้และมองเห็นไม่ได้ ทั้งที่ค้นพบและที่จินตนาการขึ้น ซึ่งหมายถึงอนุภาคที่เป็นสมมุตฐาน ล้วนมีจิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยพลังงาน

    [​IMG]

    พลังงานมีคุณสมลักษณะจำเพาะ ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในตัวของมันและมักแตกต่างไปจากที่เธอสันนิษฐาน เพราะตราบจนทุกวันนี้พวกเธอทั้งหลายยังไม่เคยพิจารณาว่า พลังงานคือจิตวิญญาณ

    พลังงานเป็นสิ่งสร้างสรรค์ที่เหนือชั้น เป็นนวัตกรรมที่เป็นแบบฉบับใหม่ๆ พลังงานคือจินตนาการ ( นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายที่อ่านอยู่จะเลิกอ่านทันที่ที่มาถึงจุดนี้ )

    ฉันไม่ได้กำหนดลักษณะจำเพาะของมนุษย์ให้กับพลังงาน แต่ในทางตรงกันข้ามลักษณะจำเพาะของมนุษย์เป็นผลลัพธ์ของคุณสมบัติจำเพาะของพลังงาน อันเป็นความแตกต่างที่สำคัญยิ่ง ช่องว่างในอากาศที่เธอคิดว่าว่างเปล่านั้น เต็มไปด้วยอนุภาคที่มองไม่เห็น อนุภาคเหล่านี้เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาและเป็นส่วนหนึ่งของภาวะทางกายภาพที่ยังไม่ได้ก่อเกิดหรือยังไม่มีสถานภาพเป็นรูปธรรม เป็นสื่อที่ยังไม่มีสถานภาพเป็นส่วนหนึ่งของโลกในความเป็นจริงของเธอ ในนัยนี้กล่าวได้ว่าอะตอมและโมเลกุลได้ก่อเกิดหรือมีสถานภาพ ซึ่งเธอไม่สามารถมองเห็นได้โดยปราศจากอุปกรณ์ช่วย อนุภาคซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นอะตอมและโมเลกุลมีขนาดเล็กลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเธอไม่สามารถมองเห็นมันได้ด้วยอุปกรณ์ใดๆ จุดนี้จะเป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่าอนุภาคที่ก่อเกิดแล้วและไม่ได้ก่อเกิด

    นักวิทยาศาสตร์สามารถนับหน่วยของธาตุได้ ซึ่งหมายความว่า พวกเขาจะค้นพบไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาพร้อมที่จะเสียสติ เพราะพวกเขาจะสร้างเครื่องพรางตาที่เป็นกายภาพขึ้นมาบดบังสิ่งที่เป็นจิตวิสัย ในขณะที่พวกเขาคิดค้นประดิษฐ์อุปกรณ์ต่างๆ ขึ้นมา เพื่อช่วยให้เขามองเห็นอนุภาคที่เล็กลงไปเรื่อยๆ เขาจะค้นพบอนุภาคที่เล็กลงไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันสิ้นสุด และเมื่ออุปกรณ์ของเขาก้าวไกลออกไปในจักรวาล เขาจะ “ มองเห็น “ ในที่นี้ฉันขอย้ำคำว่า “ มองเห็น “ ไกลออกไปเรื่อยๆ แต่เขาจะแปลงสภาวะสิ่งที่มองเห็นให้กลายเป็นเครื่องพรางตาซึ่งเขาคุ้นเคย ในที่สุดเขาจะติดกับหรือถูกจำกัดด้วยอุปกรณ์ของเขาเอง

    ( ยังมีต่อ )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2011
  13. abha12345

    abha12345 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2009
    โพสต์:
    165
    ค่าพลัง:
    +125
    ทุกอย่างสัมพันธ์กันหมด
     
  14. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ก่อนกำเนิดจักรวาล ( ต่อ )

    อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่คำนวณและวัดความสั่นสะเทือนที่นักวิทยาศาสตร์คุ้นเคยจะถูกออกแบบขึ้น แล้วก็ออกแบบใหม่อีกจนกระทั่งพวกเขาค้นพบปรากฏการณ์ต่างๆ อีกมากมายที่เป็นไปไม่ได้ด้วยอุปกรณ์เหล่านั้น พวกเขาจะตระหนักว่า มีบางสิ่งบางอย่างผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะพวกเขาวางแผนให้อุปกรณ์เหล่านั้นจับภาพเครื่องพรางตาบางอย่าง แต่อุปกรณ์เหล่านั้นถูกออกแบบมาอย่างชาญฉลาด มันจึงทำหน้าที่ที่มันควรจะทำ ฉันจะไม่อธิบายเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้มากมายนัก เพียงแต่จะบอกว่า ในที่สุดอุปกรณ์เหล่านั้นจะแปลงสภาพข้อมูลที่เธอทั้งหลายไม่สามารถเข้าใจได้ให้กลายเป็นข้อมูลที่เธอเข้าใจได้ นักวิทยาศาสตร์พยายามทำเช่นนี้อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว

    อนุภาคของภาวะจิต คือ จิตวิญญาณในหลายรูปแบบ ซึ่งเปรียบได้กับอะตอม โมเลกุล โปรตรอน นิวตรอน หรือ ควอร์ค อนุภาคของภาวะจิตเป็นอนุภาคที่ไม่มีสภาวะทางกายภาพเป็นรูปแบบประหลาดที่ทำให้ประสบการณ์ชีวิตของเธอขึ้นๆ ลงๆ หรือหมุนไปเรื่อยๆ แต่กลับเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ไม่เคยพยายามค้นคว้า

    [​IMG]
    <O:p

    หากรูปทรงทางกายภาพประกอบกันขึ้นด้วยอนุภาคหลากหลายที่มองไม่เห็นดังที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ เธอลองจินตนาการว่า จิตวิญญาณจะประกอบด้วยส่วนประกอบภายในที่มีระเบียบแบบแผนอันเป็นเลิศยิ่งกว่านั้นเพียงใด ซึ่งหากจิตวิญญาณปราศจากสติสัมปชัญญะที่จะรับรู้ได้ รูปธรรมของมันก็ปราศจากความหมาย ความสัมพันธ์ที่เกิดจากการมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกันของจิตวิญญาณจึงล้ำลึกและมหาศาลกว่าการรวมกันของอนุภาคในทุกรูปแบบ<O:p

    เมื่อกล่าวถึง “ จุดเริ่มต้น “ ของจักรวาล โดยกล่าวถึงเวลาในความหมายที่เธอรู้จัก อะตอมและโมเลกุลเริ่มต้นด้วยการ “ จินตนาการ “ รูปทรงทางกายภาพที่มันปรารถนาจากความเป็นไปได้อันเป็นอนันต์ มันจินตนาการจำนวนของเซลล์ซึ่งนับไม่ได้ที่จะสร้างสรรค์ขึ้นมาจากการร่วมมือกัน พลังงานปราศจากขีดจำกัด พลังงานมีมากมายเหลือเฟือ มันจึงไม่รู้จักขีดจำกัด ในนัยนี้อะตอมเหล่านั้น “ ฝัน “ ให้เซลล์แปลงสภาวะเป็นกายภาพ และจากจุดเริ่มต้นของสภาวะใหม่ที่เป็นกายภาพนี้ จิตวิญญาณของเซลล์ “ ฝัน “ ถึงองค์ประกอบอันเป็นอนันต์ ซึ่งจะก่อเกิดจากการผจญภัยอันสุดที่จะพรรณนา ( เช่น ก่อเกิดเป็นอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายของเธอ เป็นต้น )<O:p

    การก่อเกิดทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมานี้ เกิดขึ้นอย่างฉับพลันพร้อมกันทั้งหมด ประสบการณ์ทางจิตอันลึกล้ำเป็นสิ่งที่หยั่งไม่ถึง แต่เกี่ยวพันกับการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ซึ่งจิตวิญญาณแต่ละหน่วยเกี่ยวพันกัน คุณลักษณะของการเต็มเต็มช่องว่าแห่งประสบการณ์เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของ “ สรรพสิ่งทั้งปวง “ และเป็นส่วนหนึ่งของมรดกที่ตกทอดมาสู่เผ่าพันธุ์ทั้งหลาย ทั้งมนุษย์ สัตว์ พืช<O:p

    การเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์เป็นสิ่งที่อธิบายให้เธอเข้าใจได้ยาก เพราะมันประกอบกันด้วยธรรมชาติของการก่อเกิดด้วยความรัก การก่อเกิดที่เต็มไปด้วยความรู้ภายในถึงความซับซ้อนและความมีระเบียบแบบแผนอันเป็นเลิศ ด้วยความสามารถในการสร้างสรรค์อันปราศจากขีดจำกัดซึ่งแสวงหาประสบการณ์ด้วยสัดส่วนที่เหลือคณานับ เพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ ไม่ว่าสัดส่วนนั้นจะเล็ก อยู่ไกล กลับทิศหรือซับซ้อนเพียงใดก็ตาม หรืออีกนัยหนึ่งกล่าวได้ว่าพลังงานทุกหน่วยได้รับมอบทุนซึ่งประกอบด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่แสวงหาการเต็มเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ในความเป็นไปได้ทุกรูปแบบ พัฒนาการดังกล่าวจะช่วยให้พลังงานแต่ละหน่วยมีความสร้างสรรค์สูงยิ่งขึ้นไปอีกในโลกแห่งความเป็นจริงแต่ละโลก<O:p

    การเกิดของจักรวาลเกิดขึ้นจากความปลื้มปิติและความปรารถนาที่สร้างสรรค์ ไม่ใช่เกิดจากหน้าที่หรือความรับผิดชอบ ความคิดเห็นมากมายในหนังสือเล่มนี้จะเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ยอมรับด้วยความแคลงใจอย่างยิ่ง แต่บางคนก็จะยอมรับโดยปริยาย มันเป็นการยากมากสำหรับพวกเธอที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เพราะความเป็นจริงที่ลุ่มลึกที่สุดมักเป็นสิ่งที่พวกเธอพิสูจน์ไม่ได้ด้วยวิธีการทางกายภาพ
    ( ยังมีต่อ )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2011
  15. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ก่อนกำเนิดจักรวาล ( ต่อ )

    นักวิทยาศาสตร์มักตั้งคำถามที่จำเพาะเจาะจง เพื่อให้ได้คำตอบที่จำเพาะเจาะจง แม้ว่าคำตอบเหล่านั้นจะผิด คำตอบผิดๆ เหล่านั้นจะเข้ากันได้อย่างเหมาะเจาะเพื่อสร้างภาพรวมที่สมบูรณ์ และคำตอบที่เข้ากันไม่ได้จะถูกตัดทิ้งไปจากระบบ เธอกำลังศึกษาส่วนที่นักวิทยาศาสตร์โยนทิ้งไป ดังนั้นภาพรวมสุดท้ายที่เธอจะได้จากข้อมูลจากฉัน ย่อมจะไม่สามารถเข้ากันได้กับภาพรวมของนักวิทยาศาสตร์

    อย่างไรก็ตาม หากการพิสูจน์ทางกายภาพเป็นสิทธิตามธรรมชาติของความเป็นจริง เธอคงต้องยอมรับว่านักวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถพิสูจน์สมมุติฐานการเกิดของจักรวาลตามหลักการวิทยาศาสตร์ได้ พวกเขาเพียงแต่ตั้งสมมุติฐานด้วยการรวบรวมข้อมูลที่คล้องจองกัน และก็เช่นเคย โยนข้อมูลที่ขัดแย้งทิ้งไป นอกจากนี้สมมุติฐานทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่มีคำตอบที่ยืนยันความเป็นจริงที่อยู่ในหัวใจของมนุษย์ทั้งหลาย ในทางตรงกันข้ามมันกลับกระตุ้นความไม่ลงรอย เพราะในหัวใจมนุษย์ทั้งหลายนั้นพวกเธอรู้คุณค่าของตัวตนที่แท้จริงและตระหนักดีว่า จิตวิญญาณของเธอไม่ได้เกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุ จิตวิสัยของเธอจึงมีคุณสมบัติที่ยืนยันและกระตุ้นให้เกิดการก่อเกิดทางกายภาพ ซึ่งเป็นการยืนยันที่ปกป้องมนุษย์จากการถูกทำให้ตาบอดโดยสิ่งที่พวกเขากำหนดหรือสร้างขึ้นเอง

    [​IMG]

    <O:p
    จิตวิญญาณของเธอทั้งหลายมีความรู้ที่เป็นมาตรฐานอันปราศจากข้อบกพร่อง ซึ่งช่วยให้เธอตัดสินทฤษฏีและความเชื่อต่างๆ ที่ปรากฏในช่วงชีวิตของเธอ แม้ว่าความนึกคิดของเธออาจจะถูกทำให้จมปลักด้วยลัทธิความเชื่อตกต่ำ แต่ถึงกระนั้นความซื่อสัตย์ ความมั่งคั่ง และความสมบูรณ์ในความรู้ของจิตวิญญาณก็ไม่เคยถูกหลอก
    <O:p
    แก่นแท้ของจิตวิญญาณของเธอมีความรู้ที่แท้จริง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเธอที่ที่ถือกำเนิด เติบโต และพร้อมที่จะไปถึงจุดที่สมบูรณ์ที่สุด หนังสือเล่มนี้จึงทำหน้าที่เป็นเพียงกระจกเงาให้เธอมองเห็นแก่นแท้ของจิตวิญญาณของเธอ ผู้มีความรู้ที่แท้จริง
    <O:p
    พวกเธอจำนวนมากจะรู้สึกว่า ข้อมูลที่ฉันถ่ายทอดให้นี้ไม่ใช่ของใหม่ เธอรู้จักและคุ้นเคยกับมันมานานแสนนาน เธออาจจะไม่สามารถเอ่ยเป็นคำพูดหรือยืนยันความรู้ที่เธอ “ รู้ “ เพราะเหตุว่า มันไม่สัมพันธ์กับโลกแห่งวิทยาศาสตร์ที่ถูกสนับสนุนตามกระแสของวัฒนธรรม ( ไม่ใช่ตามหัวใจของมนุษย์ ) แน่นอนว่าข้อมูลของฉันไม่ต่างจากความรู้ที่ซื่อสัตย์ ความมั่งคั่งและสมบูรณ์ในจิตวิญญาณของเธอเพราะเหตุว่า มันมาจากต้นกำเนิดของ “ สรรพสิ่งทั้งปวง “ อันเป็นต้นกำเนิดเดียวกัน
    <O:p
    ฉันได้กล่าวถึงบทละครของชาติภพไว้ในหนังสือ “ โนวา อนาลัย ขยายความ ธรรมชาติของชาติภพ “ ว่า บทบาทของเธอในแต่ละชาติภพเป็นรูปแบบหนึ่งของการแปลงสภาวะเป็นรูปธรรมในสถานภาพของมนุษย์ ซึ่งไม่แตกต่างไปจากการแปลงสภาวะเป็นรูปธรรมของจักรวาล จะต่างกันก็แต่เพียงสิ่งที่เธอเรียกกันว่า “ ขนาด “ หรือ “ ขอบเขต “
    <O:p
    ธรรมชาติของโลกแห่งความเป็นจริงของเธอประกอบด้วยหลักฐานจำเพาะ หากเธอค้นหามัน มันจะปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน การค้นหาหลักฐานเหล่านี้ ทำได้ด้วยการเปรียบเทียบโลกในยามตื่นกับโลกแห่งความฝันของเธอ กล่าวได้อีกนัยหนึ่งคือ แม้บทละครของชาติภพจะเป็นเสมือนจิตวิสัยในความฝัน แต่มันก็เป็นรากฐานของสิ่งสร้างสรรค์ทั้งปวง และเป็นผู้รับผิดชอบทั้งบทละครของชาติภพในโลกที่เธอเรียกว่า “ ความฝัน “ และในโลกที่เธอเรียกว่า “ โลกแห่งความเป็นจริง “
    yimmyimmyimm<O:p
     
  16. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    อิทัปปัจจยตา ในฐานะที่เป็น “ พระเป็นเจ้า “

    ทีนี้มาถึงวันนี้ก็อยากจะชี้ให้เห็น สิ่งที่เรียกว่า อิทัปปจจยตา “ ในฐานะที่เป็น “ พระเจ้า “ ท่านทั้งหลายจะต้องทบทวนถึงเรื่องที่พูดมาแล้วแต่วันแรกๆ ว่า

    ครั่งที่ 1 ได้พูดว่า อิทัปปัจจยตา ในฐานะที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาแต่ยังจมหายอยู่ในพระไตรปิฏก
    ครั้งที่ 2 อิทัปปัจจยตา ในฐานะที่เป็นวิชาหรือเป็นศาสตร์ทั้งหลายของสิ่งทั้งปวงในโลก
    ครั้งที่ 3 ที่แล้วมาก็ได้ชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่เรียกว่า อิทัปปัจจยตา นั่นแหล่ะคือตัวเรา ตัวเราเองในทุกความหมาย และในทุกอิริยาบถ หมายความว่าตลอดเวลา สิ่งใดที่เราเรียกว่าตัวเราในความหมายไหนในอิริยาบถไหน ทั้งหมดนั้นคือตัว อิทัปปัจจยตา ทีนี้ในวันนี้จะได้พูดว่า อิทัปปัจจยตา ในฐานะที่เป็นพระเจ้า ของให้ตั้งใจฟังให้สำเร็จประโยชน์

    [​IMG]

    สำหรับ สิ่งที่เรียกว่า พระเจ้า “ นี้ มันเป็นปัญหามาก มากเหลือที่จะนับ แต่แล้วมันก็สรุปได้ว่า ปัญหาทั้งหมดนั้น มันเกิดมาจากความโง่ที่ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่รู้จักพระเจ้าเอาเสียเลยก็มี รู้จักพระเจ้าอย่างผิดๆ ก็มี หรือบางทีก็แสดงความโง่ออกมาว่าฉันมีพระเจ้าบ้าง ฉันไม่มีพระเจ้าบ้าง อย่างนั้น อย่างนี้ สำหรับเป็นข้อทุ่มเถียงกัน แต่ตามความเป็นจริงนั้นสิ่งที่เรียกว่า พระเจ้า “ มีได้โดยที่คนเหล่านั้นไม่ต้องรู้สึกก็ได้ พระเจ้าที่ว่านี้ก็คือ อิทัปปัจจยตา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย, สิ่งๆ นี้จึงเกิดขึ้น อิทัปปัจจยตาในฐานะที่เป็นกฎนั่นแหล่ะ คือพระเจ้า ขอให้ตั้งใจสังเกตศึกษาให้ดีๆ ให้รู้จักสิ่งที่มันได้มีอยู่จริง โดยไม่ต้องเถียงกัน เราจะต้องรู้จักพระเจ้า เราจะต้องเข้าใจพระเจ้า และเราจะต้องมีพระเจ้า ด้วย ส่วนการที่เราจะรู้จักได้อย่างไร เมื่อไหร่ ที่ไหนนั้น มันก็เป็นเรื่องที่จะต้องศึกษา ดังที่กำลังศึกษาอยู่เดี๋ยวนี้ เอาล่ะ ทีนี้เราก็จะพูดถึงคำว่า พระเจ้า “ พอให้รู้จักว่าสิ่งที่เรียกว่า “ พระเจ้า “ นั้นมันคืออะไร?
    <O:p
    พระเจ้าคืออะไร? เด็กอมมือ หรือคนที่ได้รับคำสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กจนโตเป็นผู้ใหญ่ มีความรู้อย่างเด็กอมมือ ก็จะสรุปง่ายๆ ว่า พระเจ้านั้นคืออะรก็ไม่รู้ ซึ่งมีลักษณะเหมือนบุคคลที่น่ากลัว หรือว่าเป็นผี หรือว่าเป็นเทวดา หรือเป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง จะว่าเป็นคนก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ใช่คนก็ไม่ใช่ พวกเราในโลกเวลานี้ ทั้งที่เป็นฝรั่ง ทั้งที่เป็นไทย ได้ยินได้ฟังเรื่องพระเจ้าก็เข้าใจเรื่องพระเจ้ากันในลักษณะอย่างนี้ คือเข้าใจพระเจ้าในฐานะที่เป็นบุคคล มีความรู้สึกเหมือนคน ก็เรียกว่า พระเจ้าอย่างบุคคล หรือ Personal God นี่รู้จักกันอย่างนี้ พวกหนึ่งก็ว่าดีและนับถือ พวกหนึ่งก็ว่าไม่เอา แต่ทั้งสองพวกนั้นยังเข้าใจว่า พระเจ้านี้เป็นเหมือนอย่างกับผีที่น่ากลัวอะไรสักอย่างหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรแน่ คือคนก็ไม่ใช่ ไม่ใช่คนก็ใช่ ถ้าใครรู้จักพระเจ้าในลักษณะอย่างนี้ก็ขอให้ถือว่าเขายังรู้จักพระเจ้าอย่างเด็กอมมือ พระเจ้าชนิดนั้น ก็พลอยเป็น พระเจ้าเด็กอมมือ ไปด้วย สำหรับคนชนิดนั้น
    <O:p
    ทีนี้เราจะรู้จักพระเจ้าที่แท้จริงกันอย่างไร ทั้งที่อาตมาก็ได้บอกล่วงหน้าไว้แล้วว่า พระเจ้าที่แท้จริงก็คือกฎแห่งอิทัปปัจจยตา คือความที่เมื่อสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ ย่อมเกิดขึ้น พูดเพียงเท่านี้ฟังไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้จักคุณสมบัติของสิ่งที่เรียกว่า “ พระเจ้า “ กันเสียก่อน แล้วเราจึงจะรู้จักพระเจ้าโดยความหมายทั่วไปของทุกศาสนา
    <O:p
    แม้ไม่ใช่ในเรื่องของศาสนา ก็ยังต้องยอมรับว่า พระเจ้านั้นมีหน้าที่สำหรับสร้างสิ่งทั้งหลาย ทั้งปวงให้เกิดขึ้น แล้วก็ควบคุมสิ่งทั้งหลาย ทั้งปวงอยู่ตลอดเวลา แล้วก็จะลบล้างหรือเลิกล้างสิ่งทั้งหลาย ทั้งปวงนั้นออกไปเสียให้หมดในบางคราวบางโอกาส ดังนั้นจึงเกิดมีพระเจ้าที่ประกอบอยู่ด้วยคุณสมบัติ 3 อย่างนี้เป็นหลักก่อน สร้างอะไรขึ้นมา , ควบคุมสิ่งทั้งหมดนั้นไว้, แล้วก็ยุบหรือเลิกเสียเป็นคราวๆ เพื่อการสร้างใหม่

    ทีนี้คนเรานั้นมันต่างกันมาก ในความเป็นคนโง่ หรือเป็นคนฉลาด สำหรับคนโง่ต้องพูดให้เป็นตัวตน เป็นบุคคลเหมือนกับเรา เหมือนกับตัวผู้ฟังว่าพระเจ้าก็เป็นคน แล้วก็มีอำนาจสร้าง, ควบคุม และทำลาย เพราะว่าพูดมากไปกว่านี้ หรือพูดผิดไปจากนี้ มันเข้าใจไม่ได้ นี้คืพระเจ้าของเด็กอมมือ
    <O:p
    แต่ถ้าพูดว่า พระเจ้าไม่ใช่คน ซึ่งจะเป็นอะไรก็ยังไม่ทราบ ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่ผี ไม่ใช่อะไร ล้วนแต่ยังไม่ทราบ แต่ว่ามันเป็นสิ่งหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่ทำให้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้น, แล้วก็ควบคุมสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไว้, แล้วก็ทำให้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นสลายตัวไปเป็นยุคๆ เพื่อจะเกิดขึ้นมาใหม่, ถ้าใครยอมรับว่าสิ่งนี้มี และมีคุณสมบัตอย่างนี้ นั้นก็เรียกว่า เขาได้รู้จักพระเจ้าที่ถูกต้องตามความหมาย ทั้งที่ไม่รู้ว่าเป็นคนหรือเป็นผี แต่ยอมรับว่ามีอะไรอย่างหนึ่ง ซึ่งมีอำนาจพอที่จะบันดาลให้สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นแล้วก็ให้เป็นไป แล้วก็ให้สลายไป แล้วก็ให้เกิดขึ้น แล้วก็ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป อย่างนี้
    <O:p
    สิ่งนี้ก็คือสิ่งที่เราเรียกันในเวลานี้ว่ากฎ หรือกฎของธรรมชาติ เช่นว่า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวทั้งหลายทั้งหมดทุกอย่างในสากลจักรวาลนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร กำลังเป็นไปตามกฎอย่างไร จะสูญหายไปอย่างไร แล้วจะเกิดใหม่อย่างไร ด้วยอำนาจของอะไร กฎนั้นคือพระเจ้า
    ( ยังมีต่อ )
     
  17. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    อิทัปปัจจยตา ในฐานะที่เป็น " พระเป็นเจ้า " ( ต่อ )

    สำหรับเด็กอมมือก็ต้องพูดว่า พระเจ้าเป็นคน บางทีเขียนรูปหนวดยาวถือไม้เท้าด้วยซ้ำไป แต่ถ้าว่าโดยกฎนั้น ก็บอกแล้วว่า ไม่ใช่คน ไม่ใช่ผี ไม่ใช่เทวดา เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นเพียงกฎ หรือ อำนาจ ไม่ใช่รูปธรรม จึงไม่อาจจะเขียนเป็นรูปร่างได้ พุทธบริษัทเราก็เคยฉลาดถึงอย่างนี้ อย่างหินสลักที่ติดรอบฝาผนังตึกหลังใหญ่นั้น ไม่ยอมทำรูปพระพุทธเจ้า ไม่ยอมทำรูปพระธรรม และไม่ยอมทำรูปพระสงฆ์ด้วย เพราะเขาถือหลักตายตัวว่า พระพุทธจริง พระธรรมจริง พระสงฆ์จริงนั้นแสดงไม่ได้ด้วยรูปภาพ คือไม่มีรูป แล้วก็ระบุลงไปยังพระธรรมมากกว่า มากกว่าพระพุทธ หรือมากกว่าพระสงฆ์ เพราะธรรมะเป็นสิ่งที่แสดงไม่ได้ด้วยรูปภาพ เพราะมันไม่มีรูป และธรรมะนั้นคือพระพุทธเจ้า อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเองว่า “ ใครเห็นเรา คนนั้นเห็นธรรม , ใครเห็นธรรม คนนั้นเห็นเรา “ นี้คือการที่ไม่เอาร่างกายเป็นประมาณ

    ดังนั้น พระพุทธเจ้าก็คือพระธรรม พระธรรมก็คือสิ่งที่แสดงด้วยรูปด้วยภาพไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงแสดง เขาถือหลักอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ก็ยังตะโกนอยู่อย่างนี้ในหมู่บุคคลผู้รู้สึกอย่างนี้ในประเทศอินเดีย ขอให้จำไว้สั้นๆ ว่า พระธรรมเป็นสิ่งที่แสดงไม่ได้ด้วยรูปภาพ จะเป็นรูปปั้น รูปเขียน รูปอะไร ก็ไม่ได้ทั้งนั้น ฉะนั้นจึงจำเป็นจะต้องทิ้งว่างไว้ ตรงนั้นเป็นพระพุทธเจ้า หรือเป็นพระธรรม หรือเป็นพระสงฆ์ก็ตาม ในภาพนั้นจะต้องทิ้งว่างไว้เฉยๆ ส่วนภาพของคนอื่นสิ่งอื่นเขียนได้

    [​IMG]
    <O:p
    ทีนี้ก็ดูต่อไป พระธรรมนั้นคืออะไร พระธรรมนั้นคือกฎ เมื่อพูดว่ากฎ นั้นก็ควรจะนึกไปถึงคำว่า “ ธรรมธาตุ “ อย่างที่พระสวดเมื่อตะกี้นี้ ที่สวดว่าพระตถาคตจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม ธรรมธาตุ จักตั้งอยู่แล้วอย่างนั้นเสมอไป นี่เรียกว่ากฎนั้นจะต้องอยู่อย่างนั้นเสมอไป พระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้นก็ตาม พระพุทธเจ้าจะไม่เกิดขึ้นก็ตาม ตัวธรรมธาตุซึ่งเป็นกฎนั้น จะตั้งอยู่อย่างนั้นเสมอไป คำพูดประโยคนี้ ไม่ใช่ใช้แต่ทางธรรมะในทางพุทธศาสนา มันใช้ได้ทั่วไปหมด แก่บรรดาทุกๆ สิ่งที่มีกฎและเป็นไปตามกฎ

    ฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายดูให้ดีเถอะ ว่ามันไม่มีอะไร ที่จะอยู่นอกเหนือไปจากกฎเหล่านี้ บรรดาสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้ คนสมัยนี้รู้จักกันแต่ฝ่ายวัตถุ หรือแม้ที่เป็นพลังงาน ถ้าเขารู้จักทั้งสสารทั้งพลังงาน เขาก็ยอมรับว่า มันก็เป็นสิ่งที่เป็นไปตามกฎอย่างแน่นอน 100% เราต้องรู้กฎของสิ่งเหล่านั้น เราจึงจะเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้น
    <O:p
    ยังมีสิ่งที่คนสมัยนี้ไม่รู้ ก็คือพวกนามธรรม คือความเป็นไปในทางนามธรรม ไม่เกี่ยวกับรูปธรรม แม้สิ่งที่เรียกว่านามธรรมนี้ก็ยังมีกฎ และต้องเป็นไปตามกฎ ฉะนั้นรูปธรรมก็ดี นามธรรมก็ดี มันมีกฎ และต้องเป็นไปตามกฎ ส่วนที่เป็นกฎ หรือความที่ต้องเป็นไปตามกฎ นั้นมันเฉียบขาด จนถึงกับต้องเรียกว่า “ พระเจ้า “ เพราะเราไม่คำอะไรที่สูงสุด ที่มีค่าพอกันกับที่จะเอามาเรียกมัน จะเรียกว่าสถาบันก็ได้ กฎนี้มันเป็นสถาบัน คือมันตั้งตนเองอยู่อย่างเด็ดขาดโดยไม่ต้องมีใครช่วยตั้ง ส่วนสถาบันในเมืองมนุษย์นี้ มนุษย์ช่วยกันตั้งช่วยกันทำจึงเกิดขึ้น แต่ว่ากฎหรือสถาบันของพระเจ้านั้น พระเจ้าหรือกฎนั้นเองมันตั้งขึ้น คือมันมีอยู่จนเราไม่รู้ว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร กฎต่างๆ ทางฟิสิกส์ ทางเคมี ทางวัตถุ นี้ก็เหมือนกัน กฎทางจิตใจ คือเกิดกิเลสแล้วเป็นทุกข์นี้ก็เหมือนกัน ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วใครตั้งขึ้น ดังนั้นในทางคัมภีร์นี้ เขาถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นเอง แล้วยังเรียกว่าเป็นอสังขตะ คือไม่ได้มีใครทำขึ้นแล้วใครก็ไปทำไมไม่ได้ด้วย
    <O:p
    ตรงนี้ สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยฟัง ก็ขอให้ฟังคำ 2 คำนี้ก่อนว่า อสังขตะ คือไม่ได้มีใครทำขึ้น และไม่มีใครอาจจะทำได้ แล้วอีกสิ่งหนึ่งก็คือ สังขตะ คือสิ่งที่มีอะไรๆ หรือใครทำขึ้น และเป็นสิ่งที่ทำได้ แตะต้องได้ เปลี่ยนแปลงได้
    <O:p
    สิ่งที่เรียกว่ากฎนี้ กฎธรรมชาตินี้ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครได้ตั้งขึ้น หรือใครเปลี่ยนแปลงได้ นี่คือกฎ นี้คือ สิ่งที่เราจะต้องเรียกว่า “ พระเจ้า “ เพราะว่ามีอำนาจที่จะทำให้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้น แล้วมีอำนาจทำให้สิ่งทั้งหลายทั้งปวง เป็นไปตามกฎ คือตัวมันเอง ทีนี้สิ่งทั้งหลายนั่นแหล่ะคือตัวสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้และเป็นไปตามกฎ มันจึงถูกจัดไว้เป็นพวกที่เรียกว่า “ สังขตะ “ คือมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย อาการอย่างนี้เรียกว่า “ อิทัปปัจจยตา “ คือ ความที่เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
    <O:p
    อิทัปปัจจยตา แปลว่า ความที่เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น ถ้าคำนี้ตั้งอยู่ในฐานะที่เป็นกฎ นั่นคือพระเจ้า ถ้าว่าสิ่งนี้ๆ ที่ต้องเป็นไปตามกฎ นี้คือ สิ่งที่ถูกพระเจ้าสร้างขึ้น ควบคุมอยู่ และให้เป็นไป
    ( ยังมีต่อ )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2011
  18. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ทีนี้ ก็มีคำพิเศษที่จะต้องเตือนกันอีกสำหรับวันนี้ ทั้งที่เตือนแล้วเตือนเล่าว่า ขอให้จำไว้ให้ดี คือคำว่า “ ตถตา “ หรือ “ ความเป็นอย่างนั้น “ อิทัปปัจจยตา เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น นี้เพราะมันเป็นอย่างนั้น มันจึงถูกเรียกว่า “ ตถตา “ ทีนี้ ส่วนตัวกฎเองมันก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า “ ตถตา “ ด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นตัวพระเจ้าที่บันดาลให้สิ่งทั้งหลายเป็นไปก็ดี ตัวสิ่งทั้งหลายที่ถูกพระเจ้าบันดาลให้เป็นไปก็ดี เรียกว่า “ ตถตา “ เสมอกันหมด

    คำว่า “ ตถตา “ แปลว่า ความเป็นอย่างนั้น ฟังดูคล้ายกับคำพูดของคนบ้าคือไม่ได้พูดว่าอะไรเลย นอกจากพูดว่า เป็นอย่างนั้น สำหรับพุทธบริษัทที่ไม่เข้าใจคำนี้ ก็ยังไม่ใช่เป็นพุทธบริษัท แม้จะบวชเรียนเป็นมหาเปรียญ 9 ประโยค ต่อให้ 100 ประโยค 1,000 ประโยค ถ้าไม่เข้าใจคำว่า ความเป็นอย่างนั้นแล้วก้ยังไม่เป็นพุทธบริษัท สู้ยายแก่ไม่รู้หนังสือตามป่าตามดงคนหนึ่งก็ไม่ได้ ถ้ายายแก่คนนั้นพูดออกมาว่า “ โอ๊ย! อย่าร้องห่มร้องไห้ร้องห่มไปเลยลูกเอ๋ย มันเป็นอย่างนั้นเอง! “ ยายแก่คนนี้ชื่อว่าถึงพุทธศาสนายิ่งกว่าพวกท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ ทั้งทั้งๆ ที่แกไม่รู้จักคำว่า ตถตา คืออะไร แต่พูดได้ว่า “ อย่างร้องไห้ร้องห่มไปเลย มันเป็นอย่างนั้นเอง! “ หรือว่าถูกลอตเตอรี่แกก็ว่า “ โอ้ย! อย่าบ้าไปเลย มันเป็นอย่างนั้นเอง “ อะไรๆ ก็มีแต่คำว่า มันเป็นอย่างนั้นเอง อย่าไปแปลกใจว่า น่ารักหรือน่าเกลียด นี้คือผู้ที่รู้จัก อิทัปปัจจยตา แล้วจะไม่รักอะไร จะไม่เกลียดอะไร จะไม่ขึ้น จะไม่ลง จะไม่ยินดี จะไม่ยินร้าย

    [​IMG]

    ดังนั้นเราก็จะเห็นอยู่ว่า คนแก่ๆ บ้านนอกไม่รู้หนังสือ อยู่ตามป่าตามดง บางทีก็พูดเหมือนกัน คือพูดว่า “ อย่าดีใจไปเลย มันเป็นอย่างนั้นเอง “ หรือว่า “ อย่าร้องไห้ไปเลย มันเป็นอย่างนั้นเอง “ สมมุติว่า พ่อเขาตาย ลูกมันร้อง แล้วคุณย่าหรือคุณยายก็บอกว่า “ อย่าร้องไห้เลย มันเป็นอย่างนั้นเอง “ ถ้าอย่างนี้ก็หมายความว่ายายแก่คนนั้นเข้าถึงตัว อิทัปปัจจยตา คือ ความเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นคำว่า อิทัปปัจจยตา ที่สรุปเหลือเป็น ตถตา นี้คือหัวใจของพุทธศาสนา ตถตา แปลว่า “ อย่างนั้นเอง “

    เพราะฉะนั้นถ้าใครเห็นอะไร ได้ยินอะไร ได้ฟังอะไร เหลียวไปทางไหนมีความรู้สึกว่า มันเป็นอย่างนั้นเอง ไม่ไปหลงรักหลงเกลียดแล้ว ก็เรียกว่าเขารู้เรื่อง อิทัปปัจจยตา ใช้สิ่งที่เรียกว่าอิทัปปัจจยตา ให้เป็นประโยชน์ได้ คือทำให้ตัวเป็นอิสระอยู่ได้ ไม่ไปเป็นทาสของสิ่งที่น่ารัก หรือน่าเกลียดน่ากลัว นี้เราพูดกันถึงคำว่า ตถตา คือความเป็นอย่างนั้น ความเป็นอย่างนั้นที่เป็นตัวกฏ นั้นคือพระเจ้า ความเป็นอย่างนั้นที่เป็นตัวสิ่งทั้งหลายที่ต้องเป็นไปตามกฏนั้น คือสิ่งที่พระเจ้าสร้างและควบคุม
    <O:p
    ฉะนั้นท่านทั้งหลายคิดดูเถอะว่า พระเจ้ามีหรือไม่มี ถ้าท่านไม่ยอมเชื่อว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวง เกิดขึ้น แล้วเป็นไปเพราะอำนาจของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ท่านก็ปฏิเสธได้ว่าพระเจ้าไม่มี แต่ถ้าท่านคิดว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ ปรากฏขึ้น เป็นไปอยู่ และสลายไปในที่สุดนั้น เพราะมีต้นเหตุอยู่ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว นี่ก็จะถือได้ว่าต้นเหตุดังที่ว่านั้นแหล่ะ คือพระเจ้า
    <O:p
    เดี๋ยวนี้เราพุทธบริษัท เชื่อตามคำสอนในพุทธศาสนามาแต่ก่อนอยู่แล้ว มันก็ไปตรงกันพอดี แต่ถ้าไม่เข้าใจ มันก็เหมือนกับไม่รู้เหมือนกัน อย่างหัวใจพุทธศาสนา ที่เรียกว่าคาถา ของพระอัสสชิว่า “ สิ่งทั้งหลายมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตทรงแสดงเหตุของสิ่งเหล่านั้น และทรงแสดงความดับของสิ่งเหล่านั้น เพราะหมดเหตุ “ คาถาที่พระอัสสชิ บอกแก่พระสารีบุตรก่อนมาบวชในพระศาสนานี้ นั่นแหล่ะคือพระอัสสชิได้แสดงถึงสิ่งที่เรียกว่า “ พระเจ้า “ ให้แก่อุปติสสะกุลบุตร ที่มาบวชแล้วเป็นพระสารีบุตรในพุทธศาสนา คือแสดงว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวง มีเหตุเป็นแดนเกิด พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงเหตุแห่งสิ่งเหล่านั้นและความดับแห่งสิ่งเหล่านั้น เพราะเหตุหมด ก็หมายความว่า พระพุทธเจ้า ได้แสดง “ พระเจ้า “ แล้ว คือเหตุที่ทำให้เกิดสิ่งทั้งปวง และเหตุที่ทำให้มีความดับไปแห่งสิ่งทั้งปวง แต่เราไม่เรียกว่าพระเจ้าเราเรียกว่าธรรม เพราะฉะนั้นพระธรรมนั่นแหล่ะ คือพระเจ้า พระเจ้าในฐานะที่เป็นต้นเหตุ ส่วนพระธรรมในฐานะที่เป็นสิ่งที่ถูกกระทำ นั้นคือตัวโลก หรือตัวสิ่งทั้งปวง
    ( ยังมีต่อ )
    :boo::boo::boo:<O:p
     
  19. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    อิทัปปัจจยตา ในฐานะที่เป็น " พระเป็นเจ้า "

    นี้เป็นเพราะคำว่า “ ธรรม “ หรือ “ ธรรมะ “ นี้มันใช้ได้แก่สิ่งทุกสิ่ง เป็น subjective ก็ได้ เป็น objective ก็ได้ เป็นกรรมก็ได้ เป็นกัตตุ์ก็ได้ เป็นกิริยาอาการก็ได้ เป็นอะไรก็ได้ ใช้คำคำเดียวเพียงคำว่า “ ธรรม “ ดังนั้น พระธรรมในส่วนที่เป็นต้นเหตุของสิ่งทั้งหลาย นี้มีค่าเท่ากันกับ “ พระเจ้า “ แล้วสิ่งนั้นก็คือ อิทัปปัจจยตา คือกฏที่เฉียบขาด ไม่มีอะไรต้านทานได้ว่า “ เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น “ กฏอันนี้ไม่มีใครต้านทานได้ ดังที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ตถคตจะเกิดขึ้น หรือตถาคตจะไม่เกิดขึ้น ธรรมธาตุอันนี้เป็นอยู่แล้วอย่างนี้ และไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น

    นี่ก็หมายความว่า มีสิ่งซึ่งพระพุทธเจ้าก็เลิกล้างไม่ได้ ไม่มีใครบังคับได้ คือกฏแห่งอิทัปปัจจยตา นี้เราจะต้องรู้จักมัน ในฐานะที่เป็นพระเจ้าที่แท้จริง ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่ผี ไม่ใช่อะไรทั้งหมด แต่แล้วบุคคล หรือเทวดา หรือผีเหล่านั้นนั่นแหล่ะคือ สิ่งที่ต้องเป็นไปตามกฏของอิทัปปัจจยตา คือเป็นสิ่งที่ถูกพระเจ้าสร้างขึ้นมา อิทัปปัจจยตาในฐานะที่เป็นตัวกฏ นั่นคือพระเจ้า แล้วสิ่งที่ต้องเป็นไปตามกฏนี้คือ สิ่งที่พระเจ้าสร้างและควบคุม นี่เราจะต้องรู้จักพระเจ้ากันในลักษณะอย่างนี้ โดยถือเอาความหมายเป็นหลัก ส่วนที่เรียกว่าพระเจ้า หรือไม่เรียกว่าพระเจ้านั้น ก็เป็นเรื่องที่แล้วแต่สมมติ แล้วแต่บัญญัติ

    [​IMG]
    <O:p</O:p
    พวกที่เป็นพวกอื่น ใช้ภาษาอื่น เช่นคำว่า God ในภาษาต่างประเทศ มันก็มีความหมายอย่างเดียวกับคำว่า “ พระเจ้า “ ในภาษาไทยของเรา ทั้งนี้ก็เพราะมันมีความหมายหลายชั้น คนโง่เข้าใจอย่างหนึ่ง คนไม่สู้จะโง่เข้าใจอย่างหนึ่ง คนฉลาดก็เข้าใจอย่างหนึ่ง เราอย่าเป็นเด็กอมมือ แล้วอวดดี ไปตีความหมายของคำว่า God ในศาสนา เช่น ศาสนาคริสต์ เป็นต้น จะเป็นคนโง่ดักดานยิ่งขึ้นไปอีก เพราะว่าถ้าเรารู้จักคำว่า God นั้นถูกต้องแล้ว เราจะพบว่าตรงกันกับคำว่า “ พระธรรม “ ในพุทธศาสนา
    <O:p</O:p
    คิดดูทีว่า จะเป็นคนโง่ หรือจะฉลาดเท่าไร ในการที่จะไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่า อิทัปปัจจยตา ในฐานะที่เป็นสิ่งทั้งปวง เป็นพระเจ้าก็ได้ เป็นสิ่งที่ถูกพระเจ้าสร้างก็ได้ แล้วท่านลองคิดดูทีว่า พระเจ้ามีหรือไม่มี ทำไมมานั่งกันอยู่ที่นี่ ทุกคนทำไมมานั่งกันอยู่ที่นี่ มาจากไหน ใครสร้างมา ถ้าตอบแบบพุทธบริษัทก็ตอบว่า อิทัปปัจจยตา สร้างมา จะสร้างต้นโครต ต้นตระกูลมนุษย์คนแรกก็ อิทัปปัจจยตา หรือว่าพ่อแม่ที่เพิ่งสร้างมาเมื่อไม่กี่ปีนี้ ก็ อิทัปปัจจยตา ไม่ว่าจะมองกันในแง่ไหนก็ตาม มนุษย์ทุกคนนี้ อิทัปปัจจยตา สร้างขึ้นมา แล้วควบคุมเอาไว้ แล้วก็จะยุบเลิกเมื่อถึงคราวที่จะยุบเลิกเป็นคราวๆ ไป คือ “ พระเจ้าอิทัปปัจจยตา “ มีหน้าที่สร้างขึ้นมา แล้วควบคุมไว้ตลอดเวลา แล้วก็จะยุบเลิกให้สลายไปเป็นคราวๆ แล้วก็เพื่อสร้างใหม่ เพื่อเกิดใหม่ นี่คิดดูสิว่า เรามีพระเจ้าหรือไม่มีพระเจ้า
    <O:p</O:p
    ฉะนั้นอาตมาจึงเห็นว่า พวกที่ไม่มีพระเจ้านั้น มันหลับหูหลับตาพูด แม้พูดก็พูดอย่างเด็กๆ มันต้องพูดอย่างยุติธรรมให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ว่าถ้ามีสิ่งใดที่ทำหน้าที่สร้าง ควบคุม และยุบเลิกเป็นตราวๆ สิ่งนั้นเรียกว่า “ พระเจ้า “ ส่วนเราก็เรียกว่า “ พระธรรม “ ในวงพุทธบริษัทนี้จะเรียกว่า “ พระธรรม “ ส่วนหนึ่งเป็น อสังขตะ คือเป็นตัวกฏ ส่วนหนึ่งเป็น สังขตะ คือส่วนที่ต้องเป็นไปตามกฎ, ส่วนหนึ่งเป็นสังขตะ คือส่วนที่ต้องเป็นไปตามกฎ
    <O:p</O:p
    ทีนี้ก็จะพูดสักนิดหนึ่งว่า เราเคยถือสับสนปนเปกันหมด คำว่า “ พระเจ้า “ ในภาษาไทยก็ดี คำว่า God ในภาษาโน้นก็ดี พระเจ้าในภาษาไทยนี้ชั่วสมัยกรุงศรีอยุธยาเท่านั้นแหล่ะ หมายถึงพระพุทธเจ้า นี่ฟังให้ดี ว่าตามข้อเท็จจริงนั้น พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระเจ้า แต่ภาษาพูดในภาษาไทยเรา ที่ใช้พูดกันอยู่นี่ในประเทศไทย ชั่วแค่สมัยอยุธยานี้ คำว่า พระเจ้านี้ ใช้เล็งถึงพระพุทธเจ้า เช่น ในกฎหมายตราสามดวงบทหนึ่งว่า “ ภิกษุนั้นอย่ารับมรดกเลย เพราะว่าท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว “ นี่ฟังดูสิกฎหมายนั้นว่า ภิกษุนั้นอย่าได้รับมรดกเลยหรือว่า อย่าได้ถือสิทธิอะไรบางอย่างเกี่ยวกับกฎหมายเลย นี่เพราะว่าท่านเป็นลูกพระเจ้าเสียแล้ว คือท่านบวชในพุทธศาสนานี้ ก็เรียกว่า เป็นลูกพระเจ้าทั้งนั้น นี้ภาษาไทยคนไทยเรียงเอง ไม่ใช่พวกฝรั่งมาเรียงกฎหมายเหล่านี้ให้ ฉะนั้นชั่วไม่กี่ปีนี้ คำว่าพระเจ้าหมายถึงพระพุทธเจ้า แล้วยังมีความหมายอย่างอื่นอีก
    <O:p</O:p
    ดังนั้น อย่าเอาแน่นอนกับตัวหนังสือที่ใช้พูดจา ที่มนุษย์บัญญัติเฉพาะครั้งเฉพาะคราว ต้องเอาความหมายอันแท้จริง ว่าสิ่งใดเป็นกฎอยู่ในตัวมันเอง ไม่มีใครสร้างขึ้น แล้วไม่เชื่อฟังใคร แล้วบันดาลให้สิ่งทั้งหลายเป็นไป คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นั้นแหล่ะคือ พระเจ้าที่แท้จริง ใครจะเรียกว่าอะไรก็ตามใจ จะเรียกว่าพระธรรม หรือเรียกว่า God หรืออะไรก็ตามใจ แต่สิ่งนั้นมีอยู่ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า สิ่งนี้มีอยู่ ตถาคต จะเกิดหรือตถาคตจะไม่เกิด สิ่งนี้มีอยู่คือ ตถตา คือ อวิตถตา คือ อนัญญถตา คือ อิทัปปัจจยตา สิ่งนี้คือ ตถตา คือความเป็นอย่างนั้น สิ่งนี้คือ อวิตถตา คือ ความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น สิ่งนี้คือ อนัญญถตา คือความไม่เป็นอย่างอื่น สิ่งนี้คือ อิทัปปัจจยตา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆ จึงเกิดขึ้น
    ( ยังมีต่อ )<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2011
  20. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    อิทัปปัจจยตา ในฐานะที่เป็น " พระเป็นเจ้า " ( ต่อ )

    พวกเราเป็นพุทธบริษัท ก็จะเคยได้ยินได้ฟังเรื่อง “ กรรม “ เมื่อทำกรรมแล้ว จะหนีผลของกรรมไปที่ไหน ไม่พ้น ไม่มีทางพ้น เพราะว่ากรรมหรือ “ พระเจ้าของกรรม “ นั้น อยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง ให้ไปอยู่ในเหวหรือในใต้สมุทร หรือไปอยู่ที่ไหนก็ตามใจ จะไม่พ้นอำนาจของกรรม นั่นแหล่ะ “ พระเจ้ากรรม “ มันเป็นอย่างนั้นเอง

    ทีนี้ ในการงานที่เราทำ แต่ละคนมันก็ต่างๆ กัน แล้วแต่ใครมีหน้าที่อย่างไร ในโลกนี้ ล้วนแต่มี อิทัปปัจจยตา เฉพาะหน้าที่ของตน จะเป็นเพศหญิงเพศชายก็ตาม จะเป็นวัยเด็ก วัยหนุ่ม วัยคนแก่ก็ตาม พระเจ้านี้จะตามไปควบคุมอยู่ตลอดเวลาในที่ทุกหนทุกแห่ง
    <O:p
    เอาล่ะทีนี้ แม้ว่าตัวกฎที่บังคับให้สิ่งต่างๆ เป็นไป มันก็คือ อิทัปปัจจยตา ตัวสิ่งที่ต้องเป็นไปตามกฎ ก็คือ อิทัปปัจจยตา ทีนี้ตัวผลที่จะเกิดขึ้นมา ก็ยังคงเป็น อิทัปปัจจยตา เพราะว่า ผลที่เกิดขึ้นก็เป็นอิทัปปัจจยตา แต่ว่าอยู่ในฐานะที่เป็นผล และถ้าเล็งถึงจุดหมายปลายทาง มันก็คือผลที่มนุษย์ควรจะได้รับอย่างเป็นที่น่าพอใจที่สุด
    <O:p
    ถ้าพูดอย่าง คริสเตียน หรือศาสนาที่มีพระเจ้า เขาก็ว่า ในที่สุดเราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า เข้าถึงความเป็นอันเดียวกันกับพระเจ้า นั่นแหล่ะเป็นจุดหมายปลายทางของเขา คือพระเจ้า พระเจ้าเป้นจุดหมายปลายทางของพวกที่ถือพระเจ้า เพื่อเขาจะเข้าไปเป็นพระเจ้าเสียเลย แล้วเขาจะไม่ต้องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิด หรือถูกพระเจ้ากระทำให้เป็นไปอย่างนั้นอย่างนี้ต่อไป เรียกว่า จุดหมายปลายทาง คือพระเจ้า

    [​IMG]
    <O:p
    ที่นี้ จุดหมายปลายทางของพุทธบริษัท คือนิพพาน คือเข้าถึงความเป็นอันเดียวกันกับกฎของ อิทัปปัจจยตา ไม่ต้องถูกสร้างอีกต่อไป ถ้าพระเจ้าเป็นจุดหมายปลายทาง ในพุทธศาสนานี้ก็มี นิพพานเป็นพระเจ้า
    <O:p
    อาตมาเคยเขียนเคยพูดไปว่า นิพพานนั้นคือพระเจ้าในพุทธศาสนา หรือพระเจ้านั้น คือนิพพานในพุทธศาสนา นักศึกษาชนิดเด็กอมมือบางคนเขาหัวเราะ แล้วเขาเขียนค้าน อย่างนี้เป็นต้น เพราะเขาไม่ฟังให้ดีว่าพระเจ้าคืออะไร พระเจ้าในฐานะที่เป็นกฎ พระเจ้าในฐานะเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกสิ่งต้องเป็นไปตามกฎ และพระเจ้าในฐานะที่เป็นผลอันสุดท้าย เป็นจุดหมายปลายทาง พระเจ้าเป็นตั้ง 3 อย่าง อย่างนี้ ทีนี้ไปดูกันแต่พระเจ้าอย่างเด็กอมมือ ไม่รู้ว่าเป็นผีหรือเป็นคน หรือเป็นเทวดา คือรู้จักแต่ Personal God เท่านั้น ไม่รู้จักพระเจ้าที่เป็นสภาวธรรม เขาก็เลยพูดออกมาอย่างนั้นได้ โดยถือเอาตัวหนังสือเป็นหลัก ถือเอาความรู้ที่เขาสอนเด็กๆ นั้นมาเป็นหลัก เพราะเหตุฉะนั้นเราทุกคนจะต้องศึกษาให้เข้าใจเรื่องอิทัปปัจจยตา เพื่ออย่าโง่เหมือนนักศึกษาประเภทนั้น ว่านิพพานไม่ใช่พระเจ้าหรือพระเจ้าไม่ใช่นิพพาน เป็นต้น<O:p

    เพราะฉะนั้น ขอให้ทุกคนสรุปความ ว่าอิทัปปจจยตาในฐานะที่เป็นกฎก็มี คือ อสังขตธรรมทั้งหลายที่เป็นกฎ แล้วอิทัปปัจจยตา ในฐานะที่ต้องเป็นไปตามกฎก็มี คือสิ่งทั้งปวงที่เป็นสังขตะ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามกฎ นี้ก็คือสิ่งที่พวกถือพระเจ้าเขาถือว่า พระเจ้าคือสิ่งทั้งปวง แม้ที่เป็นไปตามกฎ แล้วพระเจ้าคือจุดหมายปลายทางที่เราจะต้องเข้าถึง แล้วเป็นอันเดียวกัน ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไปนั้น นี้คือนิพพาน<O:p

    นิพพาน ซึ่งที่แท้ก็เป็นสภาวะผลของ อิทัปปัจจยตาฝ่ายดับ ในฐานะที่ว่าเป็นอนันตะ มีความเป็นกฎชนิดหนึ่ง ซึ่งมันตรงกันข้ามจากการที่จะต้องเวียนว่ายต่อไป มันจะกลับไปสูสภาพอสังขตะในที่สุด เรื่อมันก็เกือบจะคล้ายหรือคล้ายๆ กับพวกที่ถือพระเจ้า เขาพูดเป็นอุปมาว่า มีพระเจ้า หรือมีปรมาตมัน หรือบรมอัตตาตัวใหญ่นั้น แล้วก็แบ่งย่อยออกมาเป็นตัวเล็กๆ สำหรับเวียนว่ายไปวัฏสงสารจนฉลาดพอ แล้วก็จะสลายกลับไปหารกราก อันเป็นที่มาดั้งเดิม คือปรมาตมันอี อย่างนี้พวกเวทานตะเขาว่า คือพวกศาสนากลุ่มฮินดูเขาว่า

    <O:p</O:pแต่ถ้าเราจะมองดูให้ดีแล้ว มันมีสิ่งเดียวเท่านั้น คือมันมีแต่ อิทัปปัจจยตา สิ่งเดียวเท่านั้น เรื่องมันแล้วแต่ว่าเราจะมองดู อิทัปปัจจยตา ในเหลี่ยมไหน แง่ไหน มุมไหน ถ้าดูอิทัปปัจจยตา ในแง่ที่ว่าเป็นผู้สร้าง มันก็คือพระเจ้าผู้สร้างอิทัปปัจจยตา ในแง่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง มันก็คือเป็นสิ่งทั้งปวงที่ถูกสร้าง อิทัปปัจจยตา ในแง่ที่เป็นผลสุดท้าย จุดปลายทางที่จะต้องเข้าถึง มันก็คือสิ่งที่ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร กล่าวคือ การจบลงของอิทัปปัจจยตา นี้มันก็คือนิพพานในพุทธศาสนา
    <O:p
    ดังนั้นเราหวังกันอยู่ว่าเราจะกระทำให้ถูกต้องตามกฎของพระเจ้า ข้อหนึ่ง และอีกข้อหนึ่งเราจะเป็นอันเดียวกันกับพระเจ้าเสียเลย คือเราขอเป็นพระเจ้าเสียด้วยเลย ในชั้นแรกเราจะเป็นพระเจ้าเสียเลยไม่ได้ เราก็เป็นไปตามกฎของพระเจ้าจนถึงที่สุด คือรู้จักสิ่งนี้ดี รู้จักกฏเกณฑ์ของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงดีว่าเป็น อิทัปปัจจยตา ว่าเมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น มีเท่านั้นเอง แล้วก็เกิดความไม่ยึดมั่นถือมั่นตามหลักของพุทธศาสนา เรียกว่าความไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใด โดยความเป็นตัวกู หรือเป็นของกู ไม่ถือ ไม่โง่ ไม่หลง ว่าสิ่งใดเป็นตัวตน และเป็นของของตน ก็เกิดว่างจากตัวตน ว่างจากของตน ก็เลยเป็นพระเจ้าแบบอสังขตะ คือเป็นอิทัปปัจจยตา คือมีอะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป จิตใจนี้มันหลุดพ้นมันอยู่เหนือสิ่งทั้งปวง หลุดพ้นจากความเหนี่ยวรั้งของสิ่งทั้งปวง นี้ก็คือเป็นพระเจ้าเสียเอง
    <O:p
    ทีแรก เราลงทุนทำไปให้ถูกต้องตามกฏเกณฑ์ของพระเจ้าจนหลุดพ้นจากสิ่งทั้งปวง ก็เลยเป็นพระเจ้าเสียเอง แล้วจะมีปัญหาอะไร มันก็อยู่เหนือสุข เหนือทุกข์ เหนือบุญเหนือบาป เหนือดีเหนือชั่ว เหนือแพ้เหนือชนะ เหนือไปทั้งหมดเลย ไม่ว่าคู่ไหน มันอยู่เหนือไปหมด นี่เรียกว่า อิทัปปัจจยตาในขั้นสุดท้าย คือปฏิบัติตามกฎนี้ จนหลุดพ้นออกไปจากสิ่งทั้งปวงได้ เรียกว่า อยู่รวมกันกับพระเจ้า
    <O:p
    ในพุทธศาสนาเรา มีพระธรรมส่วนหนึ่งซึ่งสร้างเรามาให้เกิดรูปเป็นนาม เวียนว่ายในวัฏสงสาร จนมันหายโง่ มันฉลาดขึ้นแล้ว มันก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร มันก็หยุดความเป็นธรรม ประเภทว่ายเวียน ในที่สุดก็เข้าถึงธรรมประเภทที่เป็นนิพพาน คือไม่ว่ายเวียน เรื่องมันก็คล้ายๆ กับว่า ออกมาจากพระเจ้าแล้ว ก็กลับไปหาพระเจ้า แต่นี้เรียกว่าพูดโดยอุปมา<O:p

    พุทธบริษัทเราจะต้องรู้เรื่องนี้ แล้วก็ต้องเอาชนะให้ได้ด้วยคือว่าเอาชนะให้ได้ในการที่จะไม่ต้องเป็นไปตามกฎชนิดที่ทำให้มีความทุกข์ แต่ให้เป็นไปตามกฎชนิดที่จะออกมาจากทุกข์ จนพ้นทุกข์ จนเหนือทุกข์ จนว่างไปไม่มีตัวตน พอเป็นสูญญตา เป็นอนัตตาแล้ว พระเจ้าอย่างไหนก็สร้างไม่ได้ พระเจ้าชนิดไหนๆ มันก็สร้างคนๆ นี้ให้เป็นคนขึ้นมาไม่ได้ เพราะมันรู้และอยู่เหนือกฎของการที่จะเวียนว่ายอีกต่อไป ก็เรียกว่า “ สุญญตา “ หรือ “ อนัตตา “ ถ้าจิตเข้าถึงความจริงขั้นสุญญตา ขั้นอนัตตาแล้ว จะอยู่เหนือการสร้างของพระเจ้า แล้วก็จะเป็นพระเจ้าเสียเอง
    <O:p
    พุทธทาส ภิกขุ<O:p
    พระเจ้าอิทัปปัจจยตา ผู้สร้าง ควบคุม ยุบเลิก สิ่งทั้งปวง<O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...