จังหวัดไหนน่าอยู่ที่สุด

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย Kingkong1, 19 ตุลาคม 2012.

  1. ชูบดี

    ชูบดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2012
    โพสต์:
    403
    ค่าพลัง:
    +2,271
    นายกอร์ดอนตอนนี้อยูู่ที่ใด...
     
  2. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    อย่าซีเรียสนะครับ เอาสนุก ๆ เราจะไม่ถกเถียงกันด้วยเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ใครเชื่อแบบไหน มีข้อมูลแบบไหนก็เชิญตามสบายนะครับ และขอสนับสนุนที่จะจับจองพื้นที่ชายทะเล ผมมองเห็นคุณเป็นเศรษฐีที่ดินในอนาคต แต่อย่าลืมรีบเก็บเงินซื้อที่นะครับ
     
  3. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    555 ใครจะตอบท่านเนี่ย เ้พราะผมก็หยิบมาจากไซด์ใดไซด์หนึ่งที่บังเอิญพบ จุดมุ่งของผมอยู่ที่การบันเทิงนะครับ ถ้าท่านอยากทราบข้อมูลมากกว่านี้เชิญถามกูเกิ้ล เขารู้หมดแหระ
     
  4. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    .........................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2012
  5. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ..........................<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_6878291", true); </SCRIPT>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2012
  6. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ผมว่าความผิดพลาดมันอยู่ที่ผมนะครับที่กล่าวไว้ไม่หมด ความมุ่งหมายที่ผมพูดคือในเว็บนี้มันมีผู้วิเศษอวดอ้างมากมาย ทำทายกันโจ๋งคึ่ม แต่ที่สุดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันจึงไม่น่าเชื่อถือ นั่นหมายเอาส่วนมาก แต่ผมก็เชื่อถือหลาย ๆ ท่านนะ ปู่อินทร์ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธ หลวงปู่สรวงผมก็ไม่ได้ปฏิเสธ พระอภิญญาของท่านผมก็ไม่ได้ปฏิเสธ ผมถึงว่ามันมาพ้องกับของนายกอร์ดอน แล้วพระอภิญญาของท่านก็ไม่ได้บอกไม่ใช่หรือว่ามันจะเกิดเมื่อไร ผมถึงว่าผมเชื่อนะว่าเหตุการณ์เช่นนี้มันจะเกิดจริง แต่ไม่ใช่เกิดแบบปุบปับโกลาหลกันทั้งโลกดังที่สร้างข่าวกัน ผมไม่เชื่อว่าโลกมันจะหยุดกึก 3 วัน ไม่เชื่อว่าความมืดมันคุมทั้งโลก(กี่วันก็ลืมไปแล้ว) ผมเชื่อทฤษฎีแบบนักวิทยาศาสตร์ที่ท่านดร.อาจองได้อธิบายไว้ มันสมเหตุสมผล แล้วโลกนี้มันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแบบนี้แหละมาหลายครั้งแล้ว ยกเว้นการเปลี่ยนแปลงเพราะดาวเคราะห์น้อยตกลงมาบนโลกนั้นอีกเรื่องหนึ่ง แต่โลกนี้ก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองอยู่ มันจึงไม่เกิดเหตุร้ายแบบรวมกลุ่มเช่นนั้นง่าย ๆ

    ผมไม่เชื่อผู้วิเศษอุปโลกตัวเองที่เราเห็นกันทุกวันนี้จนชาชิน มันไม่ใช่ของจริง แต่เทวดามีญาณวิเศษจริง เพราะผมได้พบกับตัวเองมาบ่อยแล้ว พิสูจน์ด้วยตัวเองแน่ชัดจึงเชื่อ และท่านสามารถห้ามฟ้าห้ามฝนได้ (ถ้าเราขอ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ขอ มีบารมีพอหรือเปล่า)

    ผมก็คุยกับคนได้มากมายนะครับ คนที่มีความเชื่อแบบเดียวกัน แต่ต้องไม่เว่อร์จนเกินไป
     
  7. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    เข้าสู่จุดหมายหลักของกระทู้ครับ

    ผมเคยผ่านไปแถวจังหวัดเลยหลายครั้ง ผมว่าเลยก็น่าอยู่มากนะ ดินดำ น้ำชุ่ม อากาศเย็นสบาย ความสูงของพื้นที่ก็ระดับ 240-245 ถ้ายอดภูกระดึงก็ 1250 เมตรโดยประมาณ ก็พอ ๆ กับเขาใหญ่ แต่ที่ภูกระดึงแปลกมาก เมื่อเราอยู่ข้างบนนั้นมันหนาวเย็นมาก หมอกที่ลงมาเหมือนฝนฝอย อ้อ ลืมไปว่าผมขึ้นไปช่วงธันวาคม แต่นานมาแล้ว 2523 โน่นแหละ ไปถึงซำแฮกก็หอบแฮก ๆ เหมือนชื่อซำ ไม่รู้เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปถึงไหนแล้ว เดี๋ยวจะหาภาพมาประกอบดูหน่อย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ตุลาคม 2012
  8. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ความน่าอยู่ที่สุดของจังหวัดเลยคือที่ดินเกษตรราคาถูก ลองเข้าไปดูเขาขายที่ดิน ไม่น่าเชื่อว่ามีคนขายที่ดินมากมาย ที่ปลูกยางแล้วก็มากมาย ไม่รู้จะขายไปทำไม ถ้าผมมีเงินต้องรีบซื้อเก็บไว้ หาคนกรีดยางขายแต่ละวันก็สามารถอยู่ได้สบาย อากาศเย็น ๆ อย่างจัดหวัดเลยน้ำยางออกดีมาก และยางนี้ราคาไม่มีตก (ถ้าไม่มีคนในรัฐบาลหากินกับการกดราคา) เพราะการใช้ยางในอุตสาหกรรมรถยนต์เพิ่มขึ้นทุกวัน

    สาธุ ขอให้เจอแจ๊คพอร์ทสัก 45 ล้านเถอะ นอกจากจะสร้างสำนักกรรมฐานแล้วจะไปซื้อสวนยางเมืองเลยสัก 200 ไร่ ไม่เอารวยหรอก แค่นั้นก็อยู่สบายไร้กังวลแล้วครับ

    แต่ว่าผมไม่ซื้อล็อตเตอรี่เลย แล้วมันจะถูกยังไงเนี่ย
     
  9. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ระยะนี้เข้าฤดูหนาวแล้ว จะมีคนขึ้นไปท่องเที่ยวเขาใหญ่มาก ก็มีข่าวเตือนจากวนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เรื่องช้างนะครับ
    เตือน! นักท่องเที่ยวขึ้นเขาใหญ่ระวังช้าง ฟาดงวงใส่รถบุบหลายคัน


    • [​IMG]16 ต.ค. 2555 11:39:44 น.



    ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

    เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ์ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา ไปตรวจราชการที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ปรากฏว่าทั้งขาไปและขากลับออกมา รถติดกับโขลงช้างที่ออกจากป่ามาอยู่บนถนนทางเข้าออกบริเวณอุทยานแห่งชาติเขา ใหญ่ จำนวนเกือบ 30 ตัว อยู่ราว 4 ชั่วโมง สังเกตว่าในจำนวนช้างทั้งหมดนั้นเป็นลูกช้างมากถึง 10 ตัว ได้สอบถามเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เพิ่มเติมเรื่องนี้ได้ความว่า เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาว โขลงช้างมักจะออกมาหากินนอกป่า โดยจะออกมาวันละ 2 รอบ คือ รอบเช้าเวลาประมาณ 9 โมงเช้าถึง 10 โมง แล้วกลับเข้าไปช่วงเกือบเที่ยง และออกมาอีกครั้งในตอนเย็นก่อนค่ำ หรือราว 6 โมงเย็น โดยจะออกมาคราวละ 20-30 ตัว บริเวณที่พบบ่อยคือ เส้นทางเขาใหญ่ฝั่ง จ.ปราจีนบุรี และเส้นทางปากช่อง-เขาใหญ่

    "ปัญหา ที่น่าเป็นห่วงคือ เวลานี้เราจะเห็นลูกช้างเกิดใหม่ ที่ออกมาพร้อมแม่หลายตัว และแม่ช้างจะหวงลูกมาก ประกอบกับเวลานี้มีนักท่องเที่ยวขับรถไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เยอะ ทั้งรถเก๋ง และรถจักรยานยนต์ โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ที่มีเสียงดังมากๆ ชอบขับกันไปเป็นกลุ่มใหญ่ๆ เจ้าหน้าที่รายงานว่า รถจักรยานยนต์พวกนี้ชอบเร่งเครื่องเสียงดังจนช้างตกใจ แม่ช้างคิดว่าเร่งเสียงเพื่อจะทำร้ายลูก อาจจะพุ่งเข้าใส่ได้ ที่ผ่านมาโชคดีว่ายังไม่มีใครได้รับอันตราย" นายธีรภัทรกล่าว

    นายธีร ภัทรกล่าวว่า การที่โขลงช้างออกมาจากป่าและมายืนออกันบนถนนทางขึ้นลงอุทยานแห่งชาติเขา ใหญ่ ยังก่อให้เกิดปัญหารถติดอย่างมาก น่ากังวลว่าผู้ขับขี่รถยนต์หลายคนยังใจกล้าลงไปถ่ายรูป หรือบางคนบีบแตรขอทางเพื่อให้ช้างออกจากเส้นทางรถวิ่ง ซึ่งที่ผ่านมาเกือบทุกวันมีรถยนต์หลายคันถูกช้างใช้งาฟาดหน้ารถหรือบริเวณ ตัวถังจนรถบุบเสียหาย แต่ยังโชคดีว่ายังไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ถึงตอนนี้อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่พยายามแก้ปัญหาเรื่องนี้โดยการจำกัดเวลาขึ้น ลงอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ หากพบว่ามีช้างจะห้ามรถขึ้นลงเด็ดขาดจนกว่าจะมีเจ้าหน้าที่มาเคลียร์ผลักดัน ช้างเข้าป่าให้หมดก่อน เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และขอเตือนว่าหากเห็นช้างอยู่บนถนน อย่าพยายามบีบแตรไล่ หรือขับรถฝ่าฝูงช้าง แต่ให้รอเจ้าหน้าที่มาผลักดันช้างออกไปก่อน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    มารู้จักปากช่องกันหน่อย

    อำเภอปากช่องแบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็น 12 ตำบล 217 หมู่บ้าน ได้แก่
    <table><tbody><tr> <td>1.</td> <td>
    </td> <td>ปากช่อง</td> <td>
    </td> <td>(Pak Chong)</td> <td>
    </td> <td>
    </td> <td>
    </td> <td>7.</td> <td>
    </td> <td>ขนงพระ</td> <td>
    </td> <td>(Khanong Phra)</td> <td>
    </td> </tr> <tr> <td>2.</td> <td>
    </td> <td>กลางดง</td> <td>
    </td> <td>(Klang Dong)</td> <td>
    </td> <td>
    </td> <td>
    </td> <td>8.</td> <td>
    </td> <td>โป่งตาลอง</td> <td>
    </td> <td>(Pong Talong)</td> <td>
    </td> </tr> <tr> <td>3.</td> <td>
    </td> <td>จันทึก</td> <td>
    </td> <td>(Chanthuek)</td> <td>
    </td> <td>
    </td> <td>
    </td> <td>9.</td> <td>
    </td> <td>คลองม่วง</td> <td>
    </td> <td>(Khlong Muang)</td> <td>
    </td> </tr> <tr> <td>4.</td> <td>
    </td> <td>วังกะทะ</td> <td>
    </td> <td>(Wang Katha)</td> <td>
    </td> <td>
    </td> <td>
    </td> <td>10.</td> <td>
    </td> <td>หนองน้ำแดง</td> <td>
    </td> <td>(Nong Nam Daeng)</td> <td>
    </td> </tr> <tr> <td>5.</td> <td>
    </td> <td>หมูสี</td> <td>
    </td> <td>(Mu Si)</td> <td>
    </td> <td>
    </td> <td>
    </td> <td>11.</td> <td>
    </td> <td>วังไทร</td> <td>
    </td> <td>(Wang Sai)</td> <td>
    </td> </tr> <tr> <td>6.</td> <td>
    </td> <td>หนองสาหร่าย</td> <td>
    </td> <td>(Nong Sarai)</td> <td>
    </td> <td>
    </td> <td>
    </td> <td>12.</td> <td>
    </td> <td>พญาเย็น</td> <td>
    </td> <td>(Phaya Yen)</td> </tr></tbody></table>แต่ละตำบลนี่ก็กว้างขวางไม่ใช่เล่นนะครับ ประชากรอาจจะไม่มาก แต่อาณาเขตนี่สิ ดังนั้นพื้นที่ส่วนใหญ่จึงว่าง แต่เห็นว่าว่าง ๆ อย่านึกว่าไม่มีเจ้าของนะครับ เจ้าของปากช่องที่แท้จริงคือทหารครับ หันไปทางไหนก็เป็นที่ของทหารทั้งนั้น ที่ชาวบ้านอยู่กันมาก็ล้วนรุกที่ทหาร ต้องทะเลาะกับทหาร ต้องเดินขบวนขอแบ่งเอาที่ของทหาร เป็นมาทุกยุคสมัยจนถึงสมัยปัจจุบัน เชื่อมั้ยครับว่าแม้ที่บนยอดเขาและเทือกเขาทั้งเทือกที่ตั้งของวัดป่าถ้ำซับมืดก็ล้วนที่ทหารทั้งนั้นแหละ อยู่กันแบบไม่มีโฉนด มีเพียงใบภาษีบำรุงท้องที่ (ภบท. ๕) แต่แปลกนะที่สามารถออกโแนดได้จะอยู่ทางป่าเขาใหญ่ พวกเศรษฐีนายทุนทั้งหลายมาซื้อป่าล้อมภูเขาแล้วสามารถออกโฉนดได้ แถมเป็นเจ้าของภูเขาอีกด้วย นี่คือประเทศไทย ส่วนที่ชาวบ้านตาดำ ๆ อยู่กันมาเป็นสิบ ๆ ปีไม่มีโฉนดหรอกครับ

    นอกจากชาวบ้านต้องแย่งที่จากทหารแล้วยังต้องแย่งจากที่ทรัพย์สิน แย่งจากกรมประมง แย่งจากกองวัคซีน แย่งจากกรมป่าไม้ จึงเป็นประชาชนจากปากช่องมาทุกวันนี้ น่าเห็นใจจริง ๆ

    ดังนั้นที่ที่มีโฉนดที่ปากช่องจึงแพงบรรลัยระดับกรุงเทพ ฯ แถวเขาใหญ่ ซอยเล็กซอยใหญ่ที่แยกจากถนนธนรัตน์ล้วนราคาระดับ 2 ล้าน ถึง 6 ล้าน หรือบางแห่งอาจมากกว่า 6 ล้านก็ได้ (ต่อไร่นะครับ) ตอนผมไปอยู่ปากช่องครั้งแรกรู้จักคุณลุงคนหนึ่งเป็นคนกรุงเทพ ฯ ไปซื้อที่อยู่ที่ปากช่องมาหลายปีแล้ว ปี 2549 ที่เจอกัน แกเล่าว่าแกมีที่ร่วมร้อยไร่ ขายไร่ละ 350,000 บาท แล้วแกก็ขึ้นของแกทุกปี มาถึงทุกวันนี้ที่ของแกราคาไร่ละ 4,500,000 บาท โอ้..เหลือเชื่อจริง ๆ ทั้งที่ของแกอยู่ที่วังกะทะ อยู่บนเนินเขา เป็นบ้านป่าเมืองเขา แต่ที่บนเนินนั่นแหละท่านมหาเศรษฐีทั้งหลายแสวงหากัน ทำให้ราคาแพงมหาโหด ที่อีกชนิดหนึ่งที่แพงคือที่ติดแม่น้ำลำตะคอง อย่าแตะเข้าเชียว ขนลุกเกรียวเชียวหล่ะ

    แต่ผมจะพยายามนะ ผมจะหาที่ราคาถูกมาแบ่งขายให้พวกท่าน ๆ ทั้งหลายในราคาถูก ๆ ให้ได้ เหอะ ๆ ๆ รอถูกล็อตเตอรี่แจ็คพ็อตอีกแหระ





    <table><tbody><tr><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td></tr><tr><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td></tr><tr><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td></tr><tr><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td></tr><tr><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td></tr><tr><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td><td>
    </td> </tr></tbody></table>
     
  11. eve1

    eve1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    244
    ค่าพลัง:
    +682

    เห็นด้วยขอรับ และขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน

    ครั้ง1 ยอดเขาเคยเป็นท้องทะเล พื้นทะเลเคยขึ้นเป็นภูเขา ถ้าภัยสุดขั้วเกิดขึ้นจริง ทุกพื้นที่ 50 50 ( ความคิดผมเอง )

    :VO
     
  12. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ประวัติความเป็นมาของปากช่อง

    แต่เดิมปากช่องเป็นป่าทึบดงหนารวมกันทั้งหมดเรียกว่าดงพญาไฟ ไม่มีใครกล้าเข้าป่าดงนี้ เพราะเต็มไปด้วยไข้ป่าและเสือสมิง ต้องนายพรานอาคมขลังจอมขมังเวทจริง ๆ จึงกล้าเข้าดงพญาไฟ อีกพวกก็คือพระธุดงค์ แต่ผมยังสงสัยอยู่มากว่ายุคก่อนมีสถานีรถไฟจากกรุงเทพ ฯ ไปโคราช คนอีสานเดินทางสู่กรุงเทพ ฯ ทางไหน เพราะการเดินผ่านดงพญาไฟนั้นที่ก็สูง ต้องปีนป่ายภูเขาและโขดหิน ทั้งป่าก็รกทึบ เป็นป่าดงดิบล้วน ๆ เนื้อที่กว้างมหาศาล ยากนักที่จะฝ่าทะลุด้วยร่างที่ยังมีชีวิต แล้วเขาเดินทางกันทางไหน ผมแสวงหาข้อมูลไม่พบเลยครับ ใครพบข้อมูลที่ไหนโดปรดนำมาเล่าสู่กันฟังด้วย

    เล่ากันว่าสมัยนั้น พวกโจรผู้ร้ายได้หนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองขึ้นไปอยู่บนเขาใหญ่ มีการชักชวนกันไปอยู่เพิ่มมากขึ้น ๆ จนกลายเป็นหมู่บ้านโจร ก็ตรงที่เขาเรียกหนองผักชี ที่เป็นที่ส่องดูสัตว์ทุกวันนี้นั่นแหละคือที่ตั้งของหมู่บ้านยุคโน้น จนทางการส่งเจ้าหน้าที่ขึ้นไปปราบ ชื่อขุนอะไรก็ลืมไปแล้ว (เคยอ่านมานานแล้ว) ท่านขุนไปอยู่นั่นก็รอดพ้นพ้นลูกปืนและคมหอกคมดาบของโจรร้ายมาตลอด แต่ที่สุดก็มาเสียท่าเจ้ามาลาเรียตาย แล้วกลายเป็นเทวดาเจ้าป่าเจ้าเขาอยู่ที่เขาใหญ่ เขาเรียกกันว่าเจ้าพ่อเขาใหญ่ มีศาลอยู่ที่ปากทางขึ้นอุทยานนั่นแหละ

    แต่นั่นเป็นเจ้าพ่อเขาใหญ่ของทางการนะครับ ส่วนเจ้าพ่อเขาใหญ่ของชาวบ้านที่พวกเขาเคารพนับถือกันมาแต่โบราณเรียกชื่อว่าพญาบุญลือ ศาลของท่านจะมีอยู่ทุกขุนเขา

    ผมลืมไปแล้วว่าทางการให้ชาวบ้านโจรป่าอพยพลงมาจากเขาใหญ่มาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านจันทึกแต่เมื่อไร รู้แต่ว่านั่นแหละคือหมู่บ้านแรกของปากช่อง บ้านจันทึกอยู่ตรงเขื่อนลำตะคองทุกวันนี้ เมื่อทางการสร้างเขื่อนก็ได้ย้ายชาวบ้านจันทึกขึ้นไปอยู่ริมเขื่อน ที่ตั้งหมู่บ้านเดิมก็จมน้ำไป ยังเหลือถนนเดิมวิ่งลงน้ำตรงจุดนั้นให้เห็น(น่าจะปี 2511) อีกด้านของถนนมิตรภาพ ต้องใช้สายปากช่อง-วังสมพุง จึงไปหมู่บ้านจันทึกได้
    หมู่บ้านที่สองของปากช่องคือบ้านขนงพระ เมื่อจันทึกเป็นตำบล บ้านขนงพระก็ขึ้นกับตำบลจันทึก ส่วนบ้านปากช่องเกิดเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างทางรถไฟไปโคราช เมื่อถึงดงพญาไฟบริเวณนี้จึงได้ระเบิดหินที่ขวางทางเพื่อวางรางรถไฟ ที่ตรงนั้นได้ชื่อว่าปากช่อง แต่มันไม่น่าจะอยู่แถวตลาดปากช่องปัจจุบันนี้หรอกนะ มันน่้าจะเป็นผาเสด็จนั่นแหละที่เป็นปากช่องที่แท้จริง ปัจจุบันน่าจะขึ้นกับตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย แต่เมื่อเกิดชุมชนใหม่ขึ้นตรงบริเวณนั้นซึ่งเป็นสถานีรถไฟของชาวบ้านป่า จึงได้ชื่อว่าปากช่อง และบ้านปากช่องขึ้นอยู่กับตำบลขนงพระ ขนงพระขึ้นกับอำเภอจันทึก มีประวัติสั้น ๆ มาจากเว็บของอำเภอปากช่องว่า
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]
    ประวัติความเป็นมาของอำเภอ[/FONT]

    [FONT=&quot]เมื่อ พ.ศ.[/FONT]2430 [FONT=&quot]ชาวบ้านปากช่องขึ้นกับ[/FONT] [FONT=&quot]ต.ขนงพระ อ.จันทึก ต่อมาปีพ.ศ. [/FONT]2434 [FONT=&quot]พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ [/FONT]5 [FONT=&quot]มีพระราชประสงค์ให้ก่อสร้างทางรถไฟสายแรก กรุงเทพฯ -โคราช[/FONT] [FONT=&quot]สร้างทางผ่านกลางหมู่บ้าน จำเป็นต้องระเบิดภูเขาเพื่อวางทางรถไฟ[/FONT] [FONT=&quot]จึงทำให้หมู่บ้านถูกระเบิดหินทำทางรถไฟเป็นช่อง จึงเรียกว่า "บ้านปากช่อง"[/FONT]
    [FONT=&quot]พ.ศ. [/FONT]2482 [FONT=&quot]ทางการสั่งยุบ ต.ขนงพระ อ.จันทึก ให้บ้านปากช่องไปขึ้นกับตำบลจันทึก อำเภอสีคิ้ว[/FONT]
    [FONT=&quot]พ.ศ.[/FONT]2492 [FONT=&quot]บ้านปากช่องได้รับการยกฐานะเป็นตำบลปากช่อง[/FONT]
    [FONT=&quot]พ.ศ. [/FONT]2500 [FONT=&quot]มีพระราชกฤษฎีกาลงวันที่ [/FONT]12 [FONT=&quot]กรกฎาคม [/FONT]2501 [FONT=&quot]ให้กิ่งอำเภอปากช่องยกฐานะเป็น "อำเภอปากช่อง"[/FONT]
    [FONT=&quot]พ.ศ. [/FONT]2500 [FONT=&quot]ทหารสหรัฐอเมริกาเข้ามาฝึกซ้อมรบในประเทศไทย[/FONT] [FONT=&quot]ที่จังหวัดนครราชสีมา ได้ก่อสร้างถนนเฟรนชิป หรือถนน "มิตรภาพ"[/FONT] [FONT=&quot]จากสระบุรี-ปากช่อง-นครราชสีมา ไว้เป็นอนุสรณ์ โดยมีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์[/FONT] [FONT=&quot]นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับมอบ[/FONT]
    [FONT=&quot]พ.ศ. [/FONT]2534 [FONT=&quot]พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ[/FONT] [FONT=&quot]รัชกาลที่ [/FONT]9 [FONT=&quot]เสด็จประพาสนครราชสีมาโดยทางรถไฟ ขณะเสด็จผ่านสถานีรถไฟปากช่อง[/FONT] [FONT=&quot]เสด็จพระราชดำเนินตลาดสุขาภิบาลปากช่อง และกองวัคซีน[/FONT]

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]ในสมัย[FONT=&quot]รัชกาลที่ [/FONT]4 [FONT=&quot]บาทหลวงปาลเลกัวซ์ ได้เขียนว่า[/FONT] [FONT=&quot]ตัวเมืองโคราชล้อมรอบด้วยกำแพงตั้งอยู่บนที่ราบสูง เดินทางจากบางกอกใช้เวลา[/FONT] 6 [FONT=&quot]วันโดยไต่ระดับสูงขึ้นไปตามเส้นทาง ดงพญาไฟ ประชากรโคราชมีประมาณ [/FONT]60,000 [FONT=&quot]คน ครึ่งหนึ่งเป็นคนสยาม อีกครึ่งหนึ่งเป็นคนเขมร ในตัวเมืองมีประชากร[/FONT] 7,000 [FONT=&quot]คน มีคนจีนประมาณ [/FONT]700 [FONT=&quot]คน มีเหมืองแร่ทองแดง มีโรงหีบอ้อย สินค้า คือ[/FONT] [FONT=&quot]ข้าว งาช้าง หนังสัตว์ เขาสัตว์ ไม้เต็ง อบเชย[/FONT][/FONT]


    เอากันแค่นี้แระ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2012
  13. Thaveechai

    Thaveechai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +112
    ถ้่าย้ายเมืองหลวงมาอยู่ปากช่องคงจะดีนะ คุณ kingkong1 ว่าดีไหม
     
  14. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ดีมากครับ ปากช่องเหมาะสมที่สุดกับการเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงใหม่ เพราะพื้นที่สูงที่สุด อยู่ใกล้กรุงเทพ ฯ ที่สุด มีพื้นที่มากที่สุด อากาศดีที่สุด แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
     
  15. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    อยากรู้ว่าคนเมื่อร้อยปีก่อนเดินทางผ่านดงพญาไฟอย่างไร ก็เลยค้นหาดู พบแต่เมื่อ 60-70 ปีที่ผ่านมานี่เอง จากเว็บ Esanclic ลองอ่านดูครับ สนุกดีเหมือนกัน ได้บรรยากาศเก่า ๆ

    ยายเล่าว่าคน อีสานสมัยก่อนไม่นิยมเดินทางย้ายถิ่น สาเหตุสำคัญนั้นเป็นเพราะมีดงพญาไฟกั้นไว้ ผู้คนจะพากันล้มตายกันมากเมื่อผ่านดงพญาไฟ บ้างก็ตกเหวตาย บ้างก็เป็นไข้ป่าตาย บ้างก็ถูกโจรป่าฆ่าตาย เพื่อนที่ไปด้วยกันทำได้อย่างมากก็แค่ช่วยกันเผาจี่กันกลางป่าเพื่อไม่ให้ อุจาดตาแก่ผู้ที่ผ่านไปมา ต่อมา หลวงจึงเปลี่ยนชื่อเป็นดงพญาเย็นเพื่อเอาเคล็ดและเป็นการสร้างขวัญให้กับ ประชาชน

    แต่จุดเปลี่ยนที่แท้จริงเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อโปรดเกล้าให้สร้างทางรถไฟสายกรุงเทพฯ-โคราชขึ้นเพื่อเชื่อมระหว่างภาค กลางและภาคอีสาน ทำให้ดงพญาไฟไม่น่ากลัวเช่นเดิมอีกต่อไป จนเมื่อยายเป็นสาว ทางรถไฟจึงได้ขยายมาถึงอำเภอวารินทร์ชำราบ อุบลราชธานี แต่ก็หยุดลงที่นั่นเพราะยังไม่มีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำมูล ดังนั้น คนอีสานที่อยู่ไกลกว่านั้นจึงต้องลงเรือข้ามแม่น้ำมูลอีกทอดหนึ่งก่อนจะมา ขึ้นรถไฟที่อำเภอวารินทร์ชำราบได้

    ผู้ที่เดินทางลงมากรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ในสมัยนั้นยังคงเป็นกลุ่มของพระสงฆ์ที่เดินทางไปเพื่อศึกษาต่อ โดยจะพักรวมกันที่วัดบรมนิวาสหรือวัดสัมพันธวงศ์ เนื่องจากความยากลำบากในการเดินทาง กอปรกับกลุ่มที่เดินทางมักเป็นพระสงฆ์ คนอีสานจึงถือว่าผู้ที่เดินทางมากรุงเทพฯ ได้นั้นเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการสูง และการเดินทางมากรุงเทพฯ จัดเป็นความโชคดีอย่างยิ่งในชั่วชีวิตของคนคนหนึ่ง
    แต่หากการมากรุงเทพฯ เป็นเพราะแต่งงานกับคนต่างถิ่นแล้วละก็ จะถือว่าเป็นเรื่องเลวร้ายอย่างยิ่ง คนอีสานนิยมแต่งงานกับคนในถิ่นเดียวกัน เพราะการแต่งงานกับคนต่างถิ่นอาจทำให้ต้องย้ายตามคู่ไปอยู่ที่อื่น ไม่มีโอกาสได้เลี้ยงดูพ่อแม่ตอนแก่ ซึ่งจะเป็นตราบาปติดตัวไปชั่วชีวิต การแต่งงานกับคนต่างถิ่นจึงมักได้รับการประณามจากสังคมอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากแต่งงานกับคนที่พูดภาษาอีสานไม่เป็น กินข้าวเหนียวเลอะมือเลอะไม้ หรือแม้แต่กินตำบักหุ่ง กินปลาแดก กินลาบไม่เป็น ก็จะถูกคนอีสานดูถูกดูแคลน
    ที่ร้ายแรงที่สุดเห็นจะเป็นการแต่งงานกับคน ต่างชาติต่างภาษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนญวนหรือคนจีน ซึ่งจะกลายเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของสังคมเพียงในชั่วพริบตา ไม่เว้นแม้แต่ตา ทนายความหนุ่มผู้มีอนาคตไกล ผู้ทำงานอย่างมีเกียรติในศาลประจำจังหวัด ผู้มีพี่น้องเป็นผู้พิพากษาและต่างก็มีการศึกษาสูง แต่การที่ตามีเชื้อสายจีนทำให้สังคมอีสานยอมรับไม่ได้
    ยายน้ำตาซึมทุกครั้งเมื่อเล่าถึงความรักบนทาง เลือกว่าแม่ขาดใจตายหลังจากยายจากบ้านมาไม่นาน จะเพราะความห่วงกังวลลูกสาวคนโตที่แต่งงานกับคนจีนและต้องจากบ้านไปไกล เพราะแรงกดดันจากสังคมรอบข้างที่ลูกสาวลาออกจากอาชีพครู (สมัยนั้น การได้ทำงานในกระทรวงธรรมการถือเป็นเกียรติประวัติอันสูงสุดของวงศ์ตระกูล) หรือเพราะอะไรก็สุดจะเดา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นความจริงที่ว่าความแตกต่างทางวัฒนธรรม ระหว่างอีสานและภาคกลาง ความแตกต่างทางเชื้อชาติและระยะทางที่ไกลกันนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวเหลือ เกินสำหรับคนสมัยก่อน แม้เวลาจะผ่านไปแล้วหลายสิบปี ยายก็ยังคงติดอยู่กับตราบาปนั้น ยายเชื่อว่ายายเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้แม่ของตัวเองอายุสั้น...
    การเตรียมตัวเดินทาง
    การผจญภัยครั้งสำคัญเริ่มต้นขึ้นเมื่อยายต้องเดินทางจากบ้านมากรุงเทพฯ แม้ว่าระยะทางประมาณ 500 กิโลเมตรนั้นต้องใช้เวลาถึง 3 วันเต็มๆ แต่ยายเล่าว่ายายใช้เวลาในการเตรียมตัวไม่นานเท่ากับการเตรียมใจ แล้วยายก็หาใจตัวเองแทบไม่เจอในวันที่ต้องออกเดินทางจริง เสียงของแม่และน้องๆ ที่นั่งกอดกันร้องไห้ระงม รวมทั้งน้ำตาจากผู้คนรอบข้างเป็นอดีตที่คอยไล่ทิ่มแทงหัวใจยายทุกครั้งที่ นึกถึง

    สิ่งที่ยายนำติดตัวมาด้วยนั้นมีอยู่ไม่กี่อย่าง อย่างแรกคือเสบียงอัน ได้แก่ห่อข้าวเหนียวกับเกลือ มีเพื่อนบางคนทำข้าวจี่มาให้ 3-4 ก้อน ข้าวจี่นั้นทำง่ายและสะดวกต่อการพกพา เพียงเอาข้าวเหนียวปั้นขนาดเท่าฝ่ามือ ทำให้
    แปแล่บแซ่บ (บีบให้แบน) ก่อนโรยเกลือแล้วนำไปย่างไฟ จากนั้นก็นำมาห่อด้วยใบตองมัดด้วยเชือกกล้วยอย่างดี เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้ท้องอิ่มไปได้หลายมื้อทีเดียว

    อย่างที่สองที่ต้องนำติดตัวไปคือ ‘ดิน’ คนอีสานทุกคนต้องนำดินติดตัวไปด้วย ดินที่ว่านี้คือดินเหนียวที่เอามาจากโพน (ลักษณะคล้ายจอมปลวกขึ้นอยู่ตามริมแม่น้ำ) ดินโพนนั้นถือว่าสะอาด มีรสชาติดีและมีกลิ่นหอมของดิน คนนิยมขุดดินโพนมาตากแห้งแล้วห่อด้วยผ้าขาว ใช้เป็นยาแก้โรคปวดมวนท้องได้ผลชะงัดนัก หรือถ้าแพ้ท้อง เพียงเอาดินโพนมาละลายน้ำกิน อาการก็จะทุเลาลง ยายให้เหตุผลว่าคนอีสานชอบกินดิน ไม่ใช่เพราะไม่มีจะกินแต่เพราะกินแล้วสบายใจดี
    สิ่งที่สามที่ยายนำติดตัวมาด้วยคือเงินที่ญาติพี่น้องให้มาเพื่อ เป็นขวัญในการเดินทาง ประเพณีที่สำคัญอย่างหนึ่งของคนอีสานคือเมื่อมีญาติต้องเดินทางไปที่อื่น พี่น้องหรือเพื่อนจะต้องช่วยสมทบเงินเป็นค่าเดินทางคนละบาทสองบาท ยายเล่าว่ามันเป็นเคล็ดที่หมายถึงทุกคนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเดินทาง ครั้งนี้ด้วย นิสัยนี้ดูจะติดตัวยายมาถึงปัจจุบัน ไม่ว่าลูกหลานจะเดินทางไปที่ไหนก็ตาม ยายจะต้องร่วมสมทบทุนด้วยทุกครั้งไป ยอดเงินที่ยายนิยมให้คือเหรียญ 5 บาท 3 เหรียญเพราะจะได้หัวเราะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า หรือไม่ก็แบงค์ร้อยสามใบเพราะจะได้ให้พระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์คุ้มครอง
    สิ่งสุดท้ายที่ยายนำติดตัวมาด้วยคือตะกร้าหวายสำหรับใส่เสื้อผ้า 2-3 ชุดโดยมีฝาปิดมิดชิด ซึ่งเป็น ‘กระเป๋าเดินทาง’ ของยายนั่นเอง
    การเดินทาง
    ยายเล่าถึงวันแรกของการเดินทางว่าเป็น การเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 100 กิโลเมตรไปตามถนนลูกรังเพื่อไปที่อำเภอวารินทร์ชำราบ สองข้างทางมีแต่ป่าทึบสูงท่วมหัว หากออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ก็จะถึงที่หมายตอนพลบค่ำ แต่ถึงแม้จะค่ำมืดอย่างไร ก็ต้องหาเรือข้ามแม่น้ำมูลต่อไปอีกทอดหนึ่ง เรือที่ว่านี้เป็นเรือพายลำเล็กๆ ขนาด 4-5 คนนั่ง มีฝีพายถือท้ายเพียงคนเดียว และฝีพายต้องมือแน่จริงๆ เพราะน้ำในแม่น้ำนั้นไหลแรงและไหลลงอย่างเดียว สนนราคาคนละสตางค์ พอขึ้นฝั่ง ก็ต้องหารถสองแถวต่อไปยังบ้านคนรู้จักเพื่อพักค้างคืนหนึ่ง

    การเดินทางในวันที่สองนั้น ยายต้องตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อให้มาถึงสถานีรถไฟทันขบวนรถที่จะไป นครราชสีมาซึ่งมีเพียงวันละ 1 เที่ยว ยายเล่าว่าเกิดมาก็เพิ่งจะเคยเห็นรถไฟกับเขาครั้งนี้เอง กลัวก็กลัว ตื่นเต้นก็ตื่นเต้น รถไฟในสมัยนั้นยังใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิง หากชะโงกออกไปนอกตัวรถ เขม่าควันดำๆ จะปลิวเข้าตาจนแสบหูแสบตาไปหมด เสียงร้องของเครื่องจักรรถไฟนั้นเล่าก็แสนเศร้า มันร้องเตือนใจลูกอีสานทุกคนมาตลอดทางว่า “จะไปก็ช่าง จะมาก็ช่าง” ครั้นจะหันไปทางไหนก็มีแต่คนแปลกหน้า ส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาวและวัยทำงานซึ่งมุ่งหน้าไปหางานทำนอกฤดูกาลเก็บ เกี่ยว
    การที่ยายร้องไห้มาตลอดทางจึงไม่รู้ว่าเป็น เพราะเขม่าควันปลิวมาเข้าตา หรือเพราะเพิ่งเคยเดินทางไกลกว่า 20 กิโลเมตรจากบ้านไปโรงเรียน หรือเพราะต้องจากบ้านมาเป็นครั้งแรกในชีวิต หรือเพราะความกลัวที่จะต้องไปเผชิญกับโลกใหม่ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนกันแน่ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุอะไร ทันทีที่มาถึงโคราช ยายก็ต้องรีบสลัดความในใจทิ้งเพราะต้องรีบหาโรงแรมเพื่อพักค้างคืนก่อนออก เดินทางต่ออีกครั้งในวันรุ่งขึ้น
    วันที่สามของ การเดินทางจากโคราชมุ่งเข้ากรุงเทพฯ นั้นน่าสะพรึงกลัวเป็นที่สุด เพราะต้องผ่านดงพญาไฟ ดินแดนแห่งขุนเขา ภูตผีปีศาจและความลับที่ดำมืดสำหรับยาย ยายเล่าว่าได้แต่นั่งยกมือไหว้มาตลอดทางเพื่อขอความเห็นใจ เห็นภูเขาก็ยกมือไหว้ภูเขา ผ่านเหวก็ไหว้เหว เห็นต้นไม้ใหญ่ก็ไหว้ต้นไม้ใหญ่ ไหว้ไปถึงผีสางนางไม้ เจ้าป่าเจ้าเขาให้ช่วยคุ้มครอง ยายนั่งไหว้จนรถไฟถึงหัวลำโพง ซึ่งก็เป็นเวลาเย็นย่ำค่ำมืดแล้ว


    ถ้าค้นพบอีกก็จะเอามาแบ่งปันให้อ่านอีกนะครับ
     
  16. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ได้ประวัติเพิ่มอีกแล้วครับ จากวิกิพีเดีย

    ในสมัยก่อน การเดินทางติดต่อระหว่างภาคกลางกับภาคอีสานนั้น มีอุปสรรคคือจะต้องผ่านป่าดงดิบขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายมากมายทั้ง สัตว์ร้ายและไข้ป่า ผู้คนที่เดินทางผ่านป่านี้ล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงได้ขนานนามว่า ดงพญาไฟ ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จผ่านในคราวเปิดทางรถไฟสายกรุงเทพ-นครราชสีมา ทรงเห็นว่าชื่อดงพญาไฟนี้ ฟังดูน่ากลัว จึงโปรดให้เปลี่ยนชื่อเป็นดงพญาเย็นตั้งแต่นั้นเป็นมา
    เมื่อมีการสร้างทางรถไฟ ชาวบ้านก็ได้เข้ามาจับจองพื้นที่กัน โดยเฉพาะบนยอดเขา โดยถางป่าเพื่อทำไร่ และในปี 2465 ได้ขอจัดตั้งเป็นตำบลเขาใหญ่ แต่ด้วยการที่จะเดินทางมายังยอดเขานี้ค่อนข้างลำบากห่างไกลจากการปกครองของ เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ตำบลเขาใหญ่จึงเป็นแหล่งซ่องสุมของโจรผู้ร้าย จนกระทั่งปี 2475 ทางราชการได้ส่งปลัดจ่างมาปราบโจรผู้ร้ายจนหมด แต่สุดท้ายปลัดจ่างก็เสียชีวิตด้วยไข้ป่า ได้ตั้งเป็นศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ เป็นที่เคารพนับถือจนปัจจุบันนี้<sup id="cite_ref-2" class="reference">[3]</sup>
    หลังจากปราบโจรผู้ร้ายหมดลงแล้ว ทางราชการเห็นว่าตำบลเขาใหญ่นี้ยากแก่การปกครอง อีกทั้งปล่อยไว้จะเป็นแหล่งซ่องสุมโจรผู้ร้ายอีก จึงได้ยุบตำบลเขาใหญ่ และให้ผู้คนที่อาศัยอยู่บนเขาทั้งหมดย้ายลงมาอาศัยอยู่ข้างล่าง ป่าที่ถูกถางเพื่อทำไร่นั้นปัจจุบันคือยังมีร่องรอยให้เห็นเป็นทุ่งหญ้า โล่งๆ บนเขาใหญ่นั่นเอง
    ปี 2502 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เล็งเห็นว่าบริเวณเขาใหญ่นี้ มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งมีความสวยงาม เหมาะใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ แต่มีปัญหาคือมีการตัดไม้ทำลายป่า จึงได้ให้มีการสำรวจพื้นที่บริเวณตำบลเขาใหญ่เดิมและบริเวณโดยรอบและได้ตรา พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติขึ้น ตั้งเขาใหญ่เป็นอุทยานแห่งชาติในปี 2505 โดยเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทย และได้ตัดถนนธนะรัชต์แยกออกมาจากถนนมิตรภาพมายังตัวเขาใหญ่ โดยถนนนี้ขึ้นมาบนเขาใหญ่แล้วจะแยกเป็นสองสาย คือไปสิ้นสุดที่น้ำตกเหวสุวัตสายหนึ่ง และไปสิ้นสุดที่เขาเขียวอีกสายหนึ่ง ซึ่งก่อนปี 2525 ถนนธนะรัชต์นี้เป็นเพียงถนนสายเดียวที่จะมายังเขาใหญ่ได้
    ในปี 2523 ได้มีการตัดถนนสายปราจีนบุรี-เขาใหญ่ <sup id="cite_ref-3" class="reference">[4]</sup> โดยถนนนี้เปิดใช้งานในปี 2525 ทำให้สามารถเดินทางได้สะดวกขึ้น และเดินทางจากกรุงเทพมหานครใช้ระยะทางสั้นกว่า อีกทั้งเส้นทางยังชันและมีโค้งหักศอกน้อยกว่าถนนธนะรัชต์เดิม อีกทั้งยังทำให้การท่องเที่ยวในส่วนใต้ของอุทยานสะดวกขึ้น เช่น สามารถเดินทางมายังน้ำตกเหวนรกได้โดยตรง ซึ่งแต่เดิมจะต้องเดินเท้าเข้ามาจากอำเภอปากพลีแล้วเลาะมาตามหน้าผา แต่การตัดถนนใหม่สามารถนำรถยนต์เข้าไปจอดแล้วเดินเท้าประมาณ 1 กิโลเมตรก็ถึงน้ำตกเหวนรกได้แล้ว

    ชมภาพเขาใหญ่ https://picasaweb.google.com/lh/myphotos
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2012
  17. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ปากช่องก็มีน้ำท่วมเหมือนกันนะครับ แต่เป็นน้ำป่า ครั้งแรกเลยคือปี 2551 คนปากช่องที่สูงอายุแล้วบอกว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเกิดขึ้น หลังจากนั้นเว้นปีเดียว 2553 ก็เกิดน้ำท่วมอีก มากกว่าเดิม พอปี 2554 ฝนตกติดต่อกันจนน้ำเอ่อขึ้นมาเรื่อย ๆ ปริ่มฝั่งแล้ว องค์ญาณของท้าวกุเวรได้้ปักธูปขอพรจากพระองค์ท่าน โปรดระงับยับยั้งอย่าให้ฝนตกบริเวณเขตโคราช น้ำจะท่วมอีกแล้ว สงสารชาวบ้านเถิด ไม่กี่นาทีท้องฟ้าก็เปิดโล่ง ฝนหายไปสิ้น โทร.ถามคนที่โคราช ที่โชคชัย ได้รับคำตอบเหมือนกัน ฝนหยุดแล้ว ท้องฟ้าเปิดแล้ว เมื่อฝนหยุดระดับน้ำในลำตะคองก็ลดลงเรื่อย ๆ จนถึงระดับปกติ ฝนจึงตกลงอีก ดังนั้นปี 2554 ถึงแม้น้ำจะท่วมแทบจะทุกหนทุกแห่ง จนหลากเข้าท่วมกรุงเทพ ฯ ครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของทุก ๆ คน แต่ปากช่องน้ำไม่ท่วมครับ

    สำหรับปีนี้ องค์ญาณป้องกันแต่เนิ่น ๆ เมื่อพายุแกมีกำลังตีเข้ามาเรื่อย ๆ องค์ญาณก็ขอพรองค์พ่อกุเวร ให้ช่วยต้านพายุอย่าให้พัดเข้ามาในแผ่นดิน ฝนตกมาก น้ำจะท่วม เพราะกรุงเทพ ฯ น้ำกำลังเจิ่ง ทาง กทม.หมดปัญญาไขน้ำทัน ถ้าพายุนี้เข้ามาน้ำก็ท่วมกรุงเทพ ฯ อีก "สงสารคนกรุงนะพ่อ อย่าให้พายุเข้ามาเลย" ผมก็รอดูผลนะครับ ปรากฎพายุสลายตัวกลายเป็นความหย่อม ผมถึงได้โพสต์ไว้ในห้อง Warroom ของคุณ Falkman ว่าจ้างก็ไม่เข้ามา มันจะถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผลักออกไป หรือไม่ก็สลายให้มันกลายเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ ซึ่งแม้จะมีฝนบ้างแต่ก็ไม่หนัก แต่ผลที่ได้มันทำให้แล้งครับ โลกนี้มันได้อย่างเสียอย่าง

    ขอบ่อยก็ไม่ได้นะครับ ท่านด่าเอา คือองค์ญาณเป็นลูกสาวที่ท้าวกุเวรรักมาก ขออะไรท่านก็ให้ทั้งนั้น แต่องค์ญาณก็ไม่ค่อยขออะไร แต่เวลาเดินทางฝนจะตกองค์ญาณมักขอว่า"องค์พ่ออย่าให้ฝนตกนะ ถนนลื่น รถติด วิ่งเร็วไม่ได้" ไปเถอะครับ ถ้าฝนจะตกมันก็ตกก่อนที่เราจะไปถึง หรือไม่ก็ตกตามหลังเมื่อเราผ่านแล้ว กลายเป็นเรื่องชาชินเมื่อไปไหนกับองค์ญาณ ถ้่จะถามว่าขอเงินขอทองได้มั้ย ก็ได้ทั้งนั้นแหละครับ ตอนนี้ผมกำลังให้องค์ญาณขอสถานที่ไม่ต่ำกว่า 50 ไร่ เพื่อสร้างสำนักกรรมฐาน ทำท่าจะได้แล้ว เดือนหน้าคงรู้ผล ถ้าได้เมื่อไรจะประกาศให้ทราบ เป็นสถานที่ที่เห็นแล้วถูกใจ ก็เลยขอจากพระองค์ท่าน ดูว่าจะได้หรือไม่ พอได้ที่ก็ต้องขอเงินสร้างอีก ท่านก็คงไม่ขัด เพราะท่านก็บ่นอยู่บ่อย ๆ ว่าองค์ญาณไม่เคยขออะไรเลย ถ้าขอท่านก็ให้

    ถ้าจะถามว่าคนอื่นขอได้มั้ย ได้เป็นบางคนนะครับ คนนั้นต้องมีบุญบารมีพอตัว และมีความเกี่ยวเนื่องกับท่านด้วย ต้องถึงพร้อมด้วยศรัทธาด้วย ลองเข้าไปอ่านรายละเอียดดูนะครับในเว็บ www.sanyasi.org

    ภาพน้ำท่วมปากช่อง https://picasaweb.google.com/lh/myphotos
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF4243.JPG
      DSCF4243.JPG
      ขนาดไฟล์:
      53.8 KB
      เปิดดู:
      54
    • DSCF4240.JPG
      DSCF4240.JPG
      ขนาดไฟล์:
      51.4 KB
      เปิดดู:
      54
    • DSCF4247.JPG
      DSCF4247.JPG
      ขนาดไฟล์:
      86.8 KB
      เปิดดู:
      67
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2012
  18. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    เคยอ่านพบแล้วบันทึกไว้นานแล้ว แต่ลืมว่าได้มาจากเว็บไหน บางท่านคงอ่านแล้ว แต่คนที่ยังไม่ได้อ่านก็มีอยู่ ถึงอย่างไรมันก็เป็นเครื่องประดับกระทู้ของผมเองครับ เชิญอ่านดู จะได้ไม่ตกใจฟุ้งซ่านกันจนเกินไป

    <!--[if !mso]> <style> v\:* {behavior:url(#default#VML);} o\:* {behavior:url(#default#VML);} w\:* {behavior:url(#default#VML);} .shape {behavior:url(#default#VML);} </style> <![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if !mso]><object classid="clsid:38481807-CA0E-42D2-BF39-B33AF135CC4D" id=ieooui></object> <style> st1\:*{behavior:url(#ieooui) } </style> <![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
    "2012" [FONT=&quot]โลกจะแตก จริงหรือ[/FONT]?

    [FONT=&quot]เป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างมากสำหรับปรากฏการณ์[/FONT] "[FONT=&quot]วันสิ้นโลก"[/FONT] [FONT=&quot]ในปี "ค.ศ.[/FONT]2012" [FONT=&quot]ซึ่งก็คือปีนี้นี่เอง![/FONT]

    [FONT=&quot]ความ[/FONT] [FONT=&quot]เข้มข้นของกระแสข่าวนี้ เพิ่มขึ้นตามตัวเลขในหน้าปฏิทินที่เปลี่ยนไป[/FONT] [FONT=&quot]จากในโลกสังคมออนไลน์ ขยับขยายไปสู่การพูดคุยปากต่อปาก[/FONT] [FONT=&quot]จากห้องสุดหรูบนตึกระฟ้าในเมืองกรุง ไปไกลถึงท้องไร่ท้องนาไกลปืนเที่ยง[/FONT] [FONT=&quot]แน่นอน เหตุที่ทำให้เรื่องนี้เป็นที่พูดถึงกันอย่างมาก เพราะนี่คือ[/FONT] "[FONT=&quot]ความเป็นความตายของเผ่าพันธุ์มนุษย์"[/FONT]

    [FONT=&quot]สำหรับ[/FONT] [FONT=&quot]สิ่งที่ทำให้ "ความเชื่อ" นี้กลายเป็นกระแส จนถึงกับมีการกล่าว "ยืนยัน"[/FONT] [FONT=&quot]หลักใหญ่ใจความแล้วน่าจะประจวบเหมาะกับสิ่งที่มีการพูดถึง อย่างเรื่อง[/FONT] [FONT=&quot]ปฏิทิน[/FONT] [FONT=&quot]วันสิ้นโลกของชาวมายา[/FONT], [FONT=&quot]ดาวนิบิรูที่จะพุ่งชนโลกเชื่อมโยงจากตราประทับของชาวสุเมเรียน[/FONT], [FONT=&quot]การเรียงตัวกันของดาวเคราะห์ที่จะทำให้เกิดแรงดึงดูดมหาศาลระหว่างกัน[/FONT], [FONT=&quot]พายุสุริยะที่อาจโหมซัดใส่โลก[/FONT], [FONT=&quot]การกลับขั้วของแม่เหล็กโลก[/FONT] [FONT=&quot]หรือแม้แต่เรื่องราวของ "หลุมดำ"[/FONT] [FONT=&quot]ที่อยู่ใจกลางแกแล็กซี่ช้างเผือกที่อาจดูดกลืนโลกให้หายวับไปได้[/FONT]

    [FONT=&quot]หลากเรื่องหลายราวนี้ เมื่อผนวกเข้ากับสภาพที่มนุษย์เผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม หนาวจัด แห้งแล้งยาวนาน ฯลฯ[/FONT] [FONT=&quot]จึงไม่แปลกที่จะทำให้ใครหลายคน "หวาดกลัว" บางคนถึงขั้น "เชื่อมั่น" ว่าวันสิ้นโลกได้เดินทางมาถึงแล้วจริง ๆ[/FONT]

    [FONT=&quot]เพื่อเป็นการไขปริศนานี้ เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าในปี [/FONT]2012 [FONT=&quot]โลกจะแตกจริงหรือไม่[/FONT] [FONT=&quot]องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ[/FONT] [FONT=&quot]จึงได้จับมือกับ[/FONT] [FONT=&quot]สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ[/FONT] [FONT=&quot]จัดเวทีเสวนาในหัวข้อ[/FONT] "2012 [FONT=&quot]ฤาโลกจะสูญสิ้น"[/FONT] [FONT=&quot]ณ จัตุรัสวิทยาศาสตร์ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ จามจุรีสแควร์ สามย่าน ในงานมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมฟังเป็นจำนวนมาก[/FONT]

    [FONT=&quot]กรณีต่าง ๆ ที่ถูกอ้างว่าจะทำให้เกิด "วันสิ้นโลก" ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาชำแหละเป็นข้อ ๆ[/FONT]

    [FONT=&quot]ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ[/FONT] [FONT=&quot]นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ สำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)[/FONT] [FONT=&quot]กล่าวว่า[/FONT] [FONT=&quot]เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับวันสิ้นโลกนั้นมีสืบเนื่องมาตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว[/FONT] [FONT=&quot]จนกระทั่งยุคที่วิทยาศาสตร์ก้าวหน้า[/FONT] [FONT=&quot]ก็มีการใช้วิทยาศาสตร์อ้างให้เข้ากับคำทำนายมากขึ้น[/FONT]

    [FONT=&quot]เรื่อง[/FONT] [FONT=&quot]ปฏิทินของชาวมายา เปิดประเด็นโดยหนังสือชื่อ "[/FONT]The Maya" [FONT=&quot]ของ[/FONT] Michael D.Coe [FONT=&quot]ซึ่งในเรื่องเชื่อมโยงวันสิ้นโลกเข้ากับวันสุดท้ายในปฏิทินแบบ "ลองเคาท์"[/FONT] (Long Count Calendar) [FONT=&quot]ระบุว่าจะตรงกับวันที่ [/FONT]23 [FONT=&quot]ธันวาคม ค.ศ.[/FONT]2012
    [FONT=&quot]ปฏิทิน[/FONT] [FONT=&quot]ของชาวมายานั้นมีอยู่ [/FONT]3 [FONT=&quot]แบบใหญ่ ๆ[/FONT] [FONT=&quot]มีการนับวันและใช้ในวัตถุประสงค์ที่ต่างกันออกไป "ลองเคาท์"[/FONT] [FONT=&quot]เป็นเพียงแบบหนึ่ง คือเมื่อวันในปฏิทินสิ้นสุดแล้วจะเริ่มนับวันใหม่[/FONT] [FONT=&quot]หากแต่ว่ากลับถูกเชื่อมโยงว่าเป็น "วันสิ้นโลก"[/FONT]

    [FONT=&quot]ต่อ[/FONT] [FONT=&quot]มา ดร.บัญชา พาไปรู้จักกับปรากฏการณ์ "การกลับขั้วของแม่เหล็กโลก ([/FONT]Pole Shif)" [FONT=&quot]โดยบอกว่า จากการเก็บข้อมูลของนักวิทยาศาสตร์ พบว่า[/FONT] [FONT=&quot]โลกมีการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กอยู่เป็นระยะ[/FONT] [FONT=&quot]อันเนื่องมาจากการเคลื่อนไหลของโลหะที่หลอมเหลวอยู่ใต้โลก[/FONT] [FONT=&quot]บางช่วงอาจจะยาวนานเป็นพิเศษ[/FONT] [FONT=&quot]จะสลับไปสลับมา สิ่งที่หลายคนกังวลคือ[/FONT] [FONT=&quot]การกลับขั้วของแม่เหล็กโลก อาจจะทำให้มีบางช่วงสนามแม่เหล็กหายไป[/FONT] [FONT=&quot]ทำให้โลกไม่สามารถป้องพายสุริยะ หรืออานุภาคต่าง ๆ ที่จะพุ่งมาสู่โลกได้[/FONT]

    "[FONT=&quot]ใน[/FONT] [FONT=&quot]ทางวิทยาศาสตร์พบว่า ในระหว่างโลกกลับขั้วแม่เหล็ก[/FONT] [FONT=&quot]ไม่มีเลยที่สนามแม่เหล็กจะหายไปอย่างสิ้นเชิง อาจมีอ่อนกำลังลงบ้าง[/FONT] [FONT=&quot]แต่เนื่องจากช่วงการเปลี่ยนขั้วแม่เหล็กนั้นไม่ได้เกิดในระยะเวลาสั้น ๆ[/FONT] [FONT=&quot]ต้องใช้เวลาราว [/FONT]1,000-10,000 [FONT=&quot]ปี ก็จะทำให้ขั้วเดิมค่อย ๆ[/FONT] [FONT=&quot]อ่อนกำลังแล้วก็จะมีขั้วใหม่ผุดขึ้นมาจนครบสมบูรณ์" ดร.บัญชา กล่าว[/FONT]

    [FONT=&quot]อีกเรื่องหนึ่งคือ "พายุสุริยะ" ซึ่งนักสื่อสารวิทยาศาตร์จาก สวทช.ยืนยันว่าแม้เกิดขึ้นก็ไม่ถึงขั้นสิ้นโลก[/FONT]

    "[FONT=&quot]เรื่อง[/FONT] [FONT=&quot]วันสิ้นโลกได้ถูกพูดถึงในสังคมอินเตอร์เน็ตซึ่งเป็นสังคมแห่งความเห็น[/FONT] [FONT=&quot]มีการแสดงความเห็นโดยไม่มีฐานความรู้ที่แน่น และเมื่อผนวกเข้ากับลัทธิ[/FONT] [FONT=&quot]ความเชื่อ ที่ยึดถือกันก็ยิ่งซ้ำเติมให้เรื่องราวต่าง ๆ ร้ายแรงมากขึ้นอีก[/FONT] [FONT=&quot]โดยเฉพาะในสังคมไทย[/FONT]

    "[FONT=&quot]อย่างกรณี[/FONT] [FONT=&quot]ด.ช.ปลาบู่ เป็นต้น ซึ่งในการแก้ปัญหาก็แก้ปัญหาแบบคนไทย คือ[/FONT] [FONT=&quot]จัดปาร์ตี้พิสูจน์ การจัดปาร์ตี้นั้นไม่ผิด[/FONT] [FONT=&quot]แต่ต้องอธิบายด้วยหลักวิทยาศาสตร์ด้วยว่า[/FONT] [FONT=&quot]เขื่อนที่สร้างนี้มีความแข็งแรงอย่างไร ในแง่ของวิศวกรรม ให้ข้อมูลออกไป[/FONT] [FONT=&quot]หรือถ้าเขื่อนมันแตกจริงแล้วน้ำจะไปทางไหน อย่างไร[/FONT] [FONT=&quot]ใช้เวลาเท่าไหร่ในการอพยพโยกย้าย แถมความรู้เป็นข้อมูลไปให้ด้วย[/FONT] [FONT=&quot]จะเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนกว่า" ดร.บัญชา กล่าว[/FONT]

    [FONT=&quot]ถาม ดร.บัญชาว่า แล้วเป็นไปได้ไหมที่จะโลกจะสูญสิ้น[/FONT]?

    [FONT=&quot]คำตอบอยู่ในคลิปต่อไปนี้นักวิทยาศาสตร์อีกผู้หนึ่งที่มาร่วมไขปริศนาเรื่อง "วันสิ้นโลก" ในครั้งนี้ คือ[/FONT] [FONT=&quot]ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา[/FONT] [FONT=&quot]รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.)[/FONT]

    [FONT=&quot]ดร.ศรัณย์[FONT=&quot] [/FONT]กล่าวถึง กรณีดาวนิบิรุพุ่งชนโลกว่า[/FONT] [FONT=&quot]คนที่กล่าวอ้างถึงดาวนี้คือ [/FONT]Zecharia sitchin [FONT=&quot]ปรากฏอยู่ในหนังสือชื่อ [/FONT]The 12th Planet [FONT=&quot]ซึ่งตีพิมพ์ในปี [/FONT]1976 [FONT=&quot]โดยอ้างว่า นิบิรุเป็นหนึ่งในสิบสองดวงดาวที่ชาวสุเมเรียนค้นพบเมื่อ [/FONT]2500 [FONT=&quot]ปีก่อนคริสตกาล เป็นหนึ่งในดวงดาวที่มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์[/FONT] [FONT=&quot]เหตุที่นักวิทยาศาสตร์มองไม่เห็นดาวดวงนี้ในช่วงที่ผ่านมาเป็นเพราะว่ามีวง[/FONT] [FONT=&quot]โคจรที่รีมาก ๆ ขณะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มาก ๆ จะเคลื่อนที่ช้า[/FONT] [FONT=&quot]จนเหมือนหยุดนิ่งเป็นดาวฤกษ์ธรรมดาดวงหนึ่ง แต่เมื่อใกล้แล้วจะเร็วขึ้น[/FONT] [FONT=&quot]และจะชนโลกในช่วงสิ้นปีนี้[/FONT]

    "[FONT=&quot]ถ้าจะชนโลกสิ้น[/FONT] [FONT=&quot]ปีนี้จริง วันนี้เราย่อมต้องมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแล้ว[/FONT] [FONT=&quot]และถ้าดาวนิบิรุมีจริง[/FONT] [FONT=&quot]ในตอนกลางคืนย่อมต้องส่องสว่างมากกว่าพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ[/FONT] [FONT=&quot]เพราะใกล้โลกมาแล้ว สำหรับเหตุการณ์ดาวเคราะห์น้อยชนโลก[/FONT] [FONT=&quot]ในอดีตก็เคยเกิดขึ้น ครั้งสุดท้ายคือที่ ทังกัสก้า ในเขตไซบีเรีย[/FONT] [FONT=&quot]เมื่อวันที่ [/FONT]30 [FONT=&quot]มิถุนายน [/FONT]1980 [FONT=&quot]แรงระเบิดครั้งนั้นเทียบเท่ากับระเบิดทีเอ็นทีขนาด [/FONT]30 [FONT=&quot]เมกะตัน[/FONT] [FONT=&quot]จากการศึกษาหลุมที่เกิดเชื่อว่าเป็นผลจากอุกาบาตขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง [/FONT]20-30 [FONT=&quot]เมตร[/FONT][FONT=&quot] [/FONT]

    "[FONT=&quot]สำหรับในปี [/FONT]2012 [FONT=&quot]มีดาวเคราะห์น้อยที่จะผ่านมาเหมือนกัน[/FONT] [FONT=&quot]แต่ข้อมูลที่นักวิทยาศาสตร์มี[/FONT] [FONT=&quot]พบว่าอยู่ไกลมาก ๆ ไม่มีการชนอย่างแน่นอน[/FONT] [FONT=&quot]นักวิทยาศาสตร์นั้นมีโครงการติดตามวัตถุที่จากนอกโลกที่มีขนาดใหญ่กว่า [/FONT]200 [FONT=&quot]เมตร[/FONT][FONT=&quot] วงโคจรเข้าใกล้และจะเป็นภัยกับโลกอยู่แล้ว[/FONT] [FONT=&quot]พบว่า มีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่คาดว่าจะชนกับโลก นั่นคือ ดาวเคราะห์น้อย [/FONT]1950 DA [FONT=&quot]จะชนโลกในวันที่ [/FONT]16 [FONT=&quot]มีนาคม ค.ศ.[/FONT]2880 [FONT=&quot]คืออีก [/FONT]800 [FONT=&quot]กว่าปีข้างหน้า[/FONT] [FONT=&quot]ถึงวันนั้นมนุษย์คงมีวิทยาการในการป้องกันได้แล้ว แต่ที่สำคัญ[/FONT] [FONT=&quot]ความเป็นไปได้ที่ดาวดวงนี้จะชนโลก มีเพียงแค่ [/FONT]0.33 [FONT=&quot]เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น"[/FONT] [FONT=&quot]ดร.สรัณย์ กล่าว[/FONT]


    [FONT=&quot]เหตุการณ์ที่ลือกันว่าจะทำให้ถึงวันสิ้นโลกอีกอย่างคือ "การเรียงตัวกันของดาวเคราะห์"[/FONT]

    [FONT=&quot]รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ บอกว่า[/FONT] [FONT=&quot]เรื่อง[/FONT] [FONT=&quot]นี้ก็มีผู้กล่าวอ้างเยอะ มีการทำนายวันที่จะเกิดไว้ว่าตรงกับวันที่ [/FONT]21 [FONT=&quot]ธันวาคม ค.ศ.[/FONT]2012 [FONT=&quot]แต่ในทางวิทยาศาสตร์แล้ว[/FONT] [FONT=&quot]การเรียงตัวกันของดาวเคราะห์นั้นมีผลกับโลกน้อยมาก[/FONT] [FONT=&quot]เทียบไม่ได้เลยกับแรงที่ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงผลจากดวงจันทร์[/FONT] [FONT=&quot]และที่สำคัญก็คือ จากการตรวจสอบพบว่าในวันที่ [/FONT]21 [FONT=&quot]ธันวาคม ค.ศ.[/FONT]2012 [FONT=&quot]ดาวเคราะห์ต่าง ๆ ก็ไม่ได้เรียงตัวกันดังคำทำนาย[/FONT]

    [FONT=&quot]และเรื่องสุดท้ายที่ได้รับการพูดถึงมากเกี่ยวกับวันสิ้นโลก คือการที่โลกจะถูก "หลุมดำ" ดูดกลืนเข้าไปความ[/FONT] [FONT=&quot]เชื่อนี้ อ้างจากการที่แกแล็กซี่ทางช้างเผือกที่เราอาศัยอยู่ มีดาวฤกษ์ถึง[/FONT] 100,000 [FONT=&quot]ล้านดวง ดวงอาทิตย์คือ [/FONT]1 [FONT=&quot]ในนี้ ที่ใจกลางแกแล็กซี่นั้นพบหลักฐาน[/FONT] "[FONT=&quot]หลุมดำ" ที่มีชื่อว่า "ซาจิทาเรียส" อยู่ในกลุ่มดาวคนยิงธนู[/FONT] [FONT=&quot]ซึ่งมีขนาดใหญ่ถึง [/FONT]4.1 [FONT=&quot]ล้านเท่าของดวงอาทิตย์ โดยอยู่ห่างออกไป [/FONT]26,000 [FONT=&quot]ปีแสง กล้องดูดาวสามารถศึกษาการโคจรดาวฤกษ์ที่อยู่ ใกล้ ๆ[/FONT] [FONT=&quot]หลุมดำซาจิทาเรียสนี้ได้[/FONT]

    "[FONT=&quot]ถาม[/FONT] [FONT=&quot]ว่าเราจะถูกดูดง่าย ๆ มั้ย ผมว่าไม่อย่างแน่นอน[/FONT] [FONT=&quot]เพราะทุกปีดวงอาทิตย์ก็เปลี่ยนทางเดินและเข้าใกล้กลุ่มดาวคนยิงธนูในเดือน[/FONT] [FONT=&quot]ธันวาคมอยู่แล้ว แต่ต่อให้โดนดูดเข้าไปจริง[/FONT] [FONT=&quot]โลกก็จะต้องใช้เวลาถึง [/FONT]26,000 [FONT=&quot]ปีในการพุ่งเข้าหาหลุุมดำ ขอยืนยันว่าโลกจะไม่ถูกดูดเข้าไปอย่างแน่นอน[/FONT] [FONT=&quot]และที่สำคัญแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ที่กระทำต่อโลก[/FONT] [FONT=&quot]มากกว่าแรงโน้มถ่วงของหลุมดำที่กระทำต่อโลก"[/FONT] [FONT=&quot]ดร.สรัณย์ ย้ำหนักแน่น[/FONT]

    [FONT=&quot]ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:[/FONT] [FONT=&quot]หนังสือพิมพ์มติชน[/FONT]
    [​IMG]
     
  19. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    ไปพบเรื่องเล่าเกี่ยวกับเขาใหญ่ในเว็บผู้จัดการออนไลน์ จึงนำมาฝาก

    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> ป่าแถบนี้สมัยก่อนมีเสือสมิงด้วยนะ

    คุณลุงพรานใหญ่(ที่ไม่ใช่รพินทร์ ไพรวัลย์ในเพชรพระอุมา)แห่งป่าทับลานเล่าให้ฟังในระหว่างที่แกพาผมไปปลูกป่า ทำโป่งเทียมในพื้นที่ป่าทับลาน

    เขาใหญ่ในวิถีป่า

    สมัยก่อนลุงพรานใหญ่แกช่ำชองป่าดงพญาเย็น(ชื่อเดิม)ในแถบเขาใหญ่-ทับ ลานในปัจจุบันมาก แต่มาวันนี้ลุงพรานใหญ่วางปืนไม่ล่าสัตว์ยิงสัตว์ หันมาจับจอบเสียม ทำหน้าที่เป็นอาสาสมัครพิทักษ์ป่าทับลานคอยพานักท่องเที่ยวปลูกป่า ปลูกต้นไม้ ทำโป่งเทียม พร้อมกับถ่ายทอดประสบการณ์ในราวป่าให้ผู้สนใจฟัง

    “แล้วลุงเคยเจอเสือสมิงมั้ย เล่าให้ฟังหน่อยสิว่ามันเหมือนในเพชรพระอุมาหรือเปล่า” ผมซักต่อ

    “ไม่เคยอ่ะ พ่อของลุงเล่าให้ฟังตอนเป็นเด็ก และพรานรุ่นๆเดียวกับพ่อก็เล่าว่าเขาเคยเจอกันมาหลายคน”

    อ้าว!?! ลุงทำเอาเซ็งเป็ดเซ็งไก่เลย

    “แต่มันก็เหมือนอย่างที่เขาเล่าๆกันมานั่นแหละ เสือมันแปลงเป็นคนได้ เวลาพรานคนไหนมีเมียท้องแก่ ออกนั่งห้าง มันชอบแปลงเป็นเมียมาตามผัวกลับบ้าน บอกเจ็บท้องหนัก ใครลงไปมันขบหัวขาด”

    อืม เรื่องเสือสมิงนี่ผมพอได้ฟังมาบ้าง ได้อ่านหนังสือมาบ้าง มันถือเป็นความเชื่อส่วนบุคคลแต่เวลาฟังทีไรก็สนุกทุกที แต่กับเรื่องนี้สิไม่เคยฟังมาก่อนเลย

    “อ้อ แต่ลุงเคยเจอโป่งค่างนะ สมัยเป็นพรานวัยรุ่นออกป่าใหม่ๆกับพ่อ”

    ลุงทิ้งจังหวะเว้นช่วงนิดนึงก่อนเล่าต่อว่า โป่งค่างมันเป็นผีป่าแปลงกายเป็นคนมาหลอก ใครหลงเข้าไปหามันจะถูกดูดเลือดเอา

    “ตอนนั้นลุงยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร(พ่อมาเฉลยทีหลัง) แต่พ่อลุงพอเห็นมัน รีบส่อง(ยิงปืน)ทันที มันกระโดดเหย็งๆขึ้นต้นไม้กลายเป็นตัวเหมือนลิงไป”

    ลุงพรานใหญ่รำลึกความหลัง พร้อมกับบอกว่าแต่ก่อนป่าดงพญาเย็นแถวนี้มันดิบมาก มีสัตว์ใหญ่เพียบ แถมเรื่องราวอาถรรพ์ลี้ลับก็มีมาก ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเจอแบบไหน

    “แต่เดี๋ยวนี้มันไม่มีแล้ว อย่าว่าแต่เสือสมิง เสือธรรมดายังหายากเลย นับวันๆสัตว์ป่ามันยิ่งหายไปเรื่อยๆ ไหนจะคนล่าไปกิน ล่าไปขาย ไหนจะป่าไม้บ้านของสัตว์ถูกทำลายลงทุกวัน”ลุงพรานใหญ่เล่าเชิงตัดพ้อ

    เรื่องนี้ผมไม่มีข้อกังขาใดๆ เพราะถ้าป่ามันยังสมบูรณ์อยู่เราคงไม่ต้องบุกป่า(เสื่อมโทรม)เข้ามาปลูกป่า ทำโป่งเทียมกันอย่างนี้หรอก

    จากคำบอกเล่าของลุงพรานใหญ่บ่งชีให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์มากของผืน ป่าดงพญาเย็นที่วันนี้กลายเป็นมรดกโลกเขาใหญ่-ดงพญาเย็น ซึ่งตำนานของผืนป่าแห่งนี้มีบันทึกไว้ว่าเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ที่นี่คือป่าดงดิบ“ดงพญาไฟ”ที่เต็มไปด้วยภยันอันตรายมาก มายทั้งจากสัตว์ป่า ไข้ป่า และความอาถรรพ์ลี้ลับ ที่หากใครไม่ใช่พรานป่ามือฉมังอย่าคิดหวังที่จะย่างกรายเข้าไปในผืนป่าแห่ง นี้

    แต่เมื่อบ้านเมืองพัฒนาขึ้น ป่าดงพญาไฟเริ่มถูกผู้คนบุกรุกแผ้วถาง ลดความดงดิบลง พร้อมๆกับการมีชื่อใหม่ของป่าแห่งนี้ที่ฟังแล้วลดความน่ากลัวลง นั่นก็คือ “ป่าดงพญาเย็น”(โดยพระราชดำริของรัชกาลที่ 5 เมื่อประมาณ 120 ปีที่แล้ว)

    หลังจากนั้นป่าดงพญาเย็นเริ่มมีผู้คนเข้าไปอยู่อาศัยมากขึ้น จนเกิดเป็นชุมชนเล็กๆขึ้นมา ก่อนจะหนาแน่นขึ้นจนถูกยกฐานะเป็น “ตำบลเขาใหญ่” ขึ้นอยู่กับ อ.ปากพลี จ.นครนายก

    กระทั่งในปี 2505 รัฐบาลไทยได้ประกาศให้ผืนป่าส่วนหนึ่งของป่าดงพญาเย็นเป็น “อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่”อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของเมืองไทย(จากการผลักดันของ กลุ่มนิยมไพรสมาคม) ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านเขาใหญ่จากวิถีป่าเข้าสู่วิถีทุนที่มีภาคการท่อง เที่ยวเป็นตัวดำเนินเรื่อง

    เขาใหญ่ในวิถีทุน

    ด้วยความอุดมสมบูรณ์สวยงามของธรรมชาติกอปรกับเป็นผืนป่าใหญ่ใกล้กรุง ทำให้ป่าเขาใหญ่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในอันดับต้นๆ ของเมืองไทย

    จนช่วงหนึ่ง(เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว) บนอุทยานฯ เขาใหญ่มีการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆไม่ว่าจะเป็นโรงแรม สนามกอล์ฟ ร้านอาหาร ร้านค้า ไว้ตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว ซึ่งผมก็เป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสขึ้นไปสัมผัสเขาใหญ่ครั้งแรกในยุคนี้

    ช่วงนั้น(เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว) ผมยังอยู่ในวัยคะนอง ใช้ชีวิตอย่าง ระห่ำ มัน ฝัน แสวงหา และบ้าบอคอแตกไปตามเรื่องตามราว จำได้ว่าตอนขึ้นเขาใหญ่ครั้งแรกผมกับเพื่อนๆไม่ประสีประสาเอาเสียเลย รู้แต่เพียงว่าที่หมอชิต(เก่า)มีรถทัวร์วิ่งขึ้นเขาใหญ่ก็นั่งกันขึ้นไป

    เมื่อถึงบนเขาใหญ่“ปาก”ของพวกเราก็ทำหน้าที่ ทั้งถามไถ่นักท่องเที่ยวคนอื่น ขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่อุทยานฯ พร้อมๆกับการเบิกฤกษ์เปิดปฐมบทการโบกรถที่นี่ ตามแนวทางของซำเหมาแมนที่มีคอนเซ็ปต์ประจำกลุ่มว่า“ถึงไม่มีตังค์ แต่ก็ดันทุรังอยากเที่ยว”

    เขาใหญ่ยุคนั้น ในช่วงวันเย็นวันศุกร์ต่อไปถึงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ มีคนขึ้นไปเที่ยวเยอะมาก เยอะกว่ายุคนี้เสียอีก ทั้งรถทัวร์ รถบัส รถเก๋ง กระบะ หกล้อ มอเตอร์ไซค์ มีวิ่งขึ้นเขาใหญ่มากันเพียบ โดยเฉพาะพวกที่มาเป็นกลุ่มใหญ่นั่งรถขึ้นมาเป็นบัสๆนี่ ส่วนใหญ่เมากันขึ้นมา พอมาถึงก็ตั้งวงกินเหล้าต่อ ก่อกองไฟ(ที่ผากล้วยไม้) เล่นกีตาร์ ร้องเพลง ส่งเสียงดังลั่น แถมบางกลุ่มเมาแล้วยังต่อยตีกันเองเสียอีก

    เรียกได้ว่าช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เขาใหญ่เป็นดังตลาดนัด เป็นดังแหล่งรวมมหกรรม และเป็นดังแหล่งเปลี่ยนที่กินเหล้าของคนที่ขึ้นลงสะดวก ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้สุดท้ายไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้คนที่ขึ้นไป หากแต่ส่งผลกระทบต่อสัตว์ป่า ต่อผืนป่า จนหลายคนบอกว่านี่หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ป่าเขาใหญ่ไม่ได้รับการคัด เลือกเป็นมรดกโลกในการเสนอชื่อครั้งก่อนๆ

    จนกระทั่งทางอุทยานมีการจัดการพื้นที่ใหม่ ปิดโรงแรมและสนามกอล์ฟเพื่อให้ผืนป่ากลับคืนสู่สภาพความเป็นป่าอีกครั้ง ทำให้ผืนป่าเขาใหญ่และดงพญาเย็นได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกในปี 2548

    หลังได้รับเลือกเป็นมรดกโลกใครหลายคน คาดหวังป่าเขาใหญ่จะได้รับการบริหารจัดการอย่างดี เพื่อให้เป็นแหล่งศึกษา เรียนรู้ ควบคู่ไปกับการท่องเที่ยวที่น่าจะทำเป็นกิจกรรมรอง

    แต่สุดท้ายดีกรีมรดกโลกยิ่งทำให้คนขึ้นไปเที่ยวเขาใหญ่มากขึ้น จนรถติดในวันหยุด ที่พักบนอุทยานไม่พอ นำมาสู่การสร้างโรงแรม รีสอร์ท ที่พัก และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายรอบๆเขาใหญ่ รวมถึงเป็นแหล่งปลดปล่อยของคนเมือง ไม่ว่าจะเป็นที่จัดคอนเสิร์ต ที่ทำกิจกรรมต่างๆเป็นต้น กลายเป็นเมืองพักแห่งที่ 2 ของคนกรุงขึ้นมา อันเป็นข้ออ้างของนายซาเล้งในการขยายถนนขึ้นเขาใหญ่จาก 2 เลน เป็น 4 เลน ว่า ชาวบ้านเดือดร้อนจากรถติด ซึ่งก็ถูกผู้รู้หลายคนแย้งมาว่าอันที่จริงเขาทำเพื่อรองรับบรรดาโรงแรม รีสอร์ทที่ผุดขึ้นมามากมายรอบๆเขาใหญ่มากกว่า

    ในขณะที่อีกกระทรวงหนึ่งก็ใช่ย่อย เพราะตอนที่เขาตัดถนน ตัดต้นไม้ กลับวางเฉย แล้วค่อยมาโวยภายหลังเพื่อให้เป็นข่าวพร้อมกับทำเรื่องของบฟื้นฟูพื้นที่ที่ เสียหาย นอกจากนี้ยังมีเรื่องของแผนพัฒนาและการปรับปรุงที่พักบนเขาใหญ่ ที่แม้เพียงแค่เริ่มต้นก็มีข่าวไม่ดีว่ามีการล็อคสเปกเอื้อเอกชนกันแล้ว

    นี่ยังไม่นับโครงการอภิมหาโปรเจคก์อย่างการปิดถนนสาย 304 บางช่วงเพื่อเชื่อมผืนป่าเขาใหญ่กับป่าทับลานให้เป็นผืนเดียวกันตามข้อตกลง ที่ให้ไว้กับยูเนสโกเพื่อไม่ให้ถอดถอนออกจากมรดกโลกที่ต้องใช้งบประมาณเป็น หลักพันล้าน ซึ่งเรื่องต่างๆเหล่านี้เป็นดังหนังชีวิตที่ต้องติดตามกันให้ดีๆ

    วันนี้แม้เขาใหญ่จะไม่มีเสือสมิงแล้ว แต่ก็ยังนอนใจไม่ได้ เพราะบ้านเรายังมีบรรดาเสือหิวที่จำแลงมาในคราบนักการเมือง และข้าราชการ คอยรุมทึ้งเม็ดเงินจากโครงการบนเขาใหญ่ ซึ่งถ้าเราเผลอเมื่อไหร่ บรรดาเสือหิวพวกนี้จะพุ่งเข้าขย้ำทันที
     
  20. Kingkong1

    Kingkong1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    776
    ค่าพลัง:
    +2,262
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> ดงพญาไฟ ประสบการณ์ขนหัวลุกจากตำบลมวกเหล็กในอดีต
    "
    ป้าผ่อง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากตำบลมวกเหล็กในอดีต

    สมัยก่อน ดิฉันเป็นเด็กอยู่ตลาดมวกเหล็ก สระบุรี ไข้มาลาเรียชุมมากค่ะ ชาวบ้านเรียกไข้ป่า มีคนเจ็บป่วยล้มตายมากๆ สมัยสงคราม เพราะขาดแคลนยาควินินที่ใช้ป้องกันและรักษา ป่าดิบดงดำที่นั่นจึงมีชื่อน่ากลัวว่า "ดงพญาไฟ"

    ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น "ดงพญาเย็น" ก็ยังไม่วายมีคนตายด้วยไข้ป่าตามเดิม

    เมื่อสงครามสงบ ความเจริญก็เริ่มต้นขึ้นช้าๆ เพราะการคมนาคมยังไม่สะดวกเหมือนปัจจุบัน มีรถไฟเป็นพาหนะอย่างเดียวเท่านั้น ที่ติดต่อระหว่างภาคอีสานกับภาคกลาง

    ถนนมิตรภาพยังไม่ได้สร้าง คนที่ต้องไปค้าขายหรือติดต่อเยี่ยมเยียน ไปมาหาสู่กันก็ต้องขึ้นรถไฟระยะสั้นๆ อย่าง หินลับ-ทับกวาง-ผาเสด็จ หรือไม่ก็ล่องไปสระบุรีบ้าง ขึ้นโคราชบ้าง

    ไข้ป่ายังคร่าชีวิตคนไปบ่อยๆ เพราะยาควินินยังหายากและราคาแพง ชาวบ้านมักอาศัยหมอกลางบ้าน ใช้ยาหม้อบ้าง กินน้ำมนต์บ้าง เป็นไข้จับสั่นกันเสียส่วนมาก หน้าเหลืองตัวเหลืองกันแทบทั้งนั้น โดยเฉพาะพวกที่ต้องออกไปทำไร่ข้าวโพด และไร่น้อยหน่า มักจะหนีไข้ป่าไม่ค่อยพ้น

    ทำงานได้วันสองวันก็จับไข้นอนซม หนาวสะท้าน พอทุเลาก็ต้องออกไปทำไร่อีกแล้ว หลายๆ คนเป็นเรื้อรังนับปีกว่าจะตาย

    ขณะนั้น มีคนต่างถิ่นเข้าไปทำมาหากินกันหนาตาขึ้นเรื่อยๆ ทั้งถางป่าทำไร่เลื่อนลอยก็มี ทั้งซื้อของป่าก็มี ไปซื้อสินค้าพวกของกินของใช้ อุปกรณ์ทำไร่จากสระบุรีมาขายบ้าง เป็นแม่ค้าในตลาดบ้าง

    มีแม่ลูกคู่หนึ่งอพยพจากโคราชมายึดอาชีพซื้อ-ขายของป่าที่นั่น บางทีก็ขนขึ้นรถไฟไปขายที่สระบุรี ตอนนั้นยังเรียกกันว่า "ปากเพรียว"

    แม่ชื่อนวล เป็นคนขาวสวย รูปร่างสูงโปร่ง อายุ 30 เศษ สามีตายแล้ว ลูกสาวชื่อจริงว่าอะไรไม่ทราบแน่ค่ะ เรียกกันแต่ชื่อเล่นคือ นก หรือ "ไอ้นก" อายุรุ่นเดียวกับดิฉันคือราว 10 ขวบ

    "
    ซิ้มไท" คนมวกเหล็กดั้งเดิม อาชีพค้าขายสนิทสนมกับสองแม่ลูกคู่นี้มาก บางคนก็บอกว่าซิ้มไทเป็นคนชักชวนน้านวลกับลูกสาวมาทำมาหากินที่มวกเหล็กด้วย ซ้ำ...ไม่ช้าดิฉันกับเพื่อนๆ ก็ได้นกมาเป็นเพื่อนใหม่อีกคน

    น้ำตกมวกเหล็กเป็นเส้นเลือดใหญ่ของพวกเราทั้งตำบลก็ว่าได้ เพราะสายน้ำกลายเป็นลำธารที่ใช้อาบกิน ตอนเช้าและเย็นจะมีคนไปตักน้ำ ซักผ้าและอาบน้ำ พวกเราก็ไปวิ่งเล่นกันแถวๆ นั้น ถ้าอาบน้ำก็ต้องรีบขึ้นค่ะ เพราะใครๆ ก็พูดตรงกันหมดว่า ผีดุ!

    เชื่อว่าในลำน้ำค่อนข้างเปลี่ยว ดูลึกลับ มีเจ้าพ่อสิงสู่อยู่ช้านานแล้ว ใครเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไปบนบานศาลกล่าว ต้นไทรใหญ่ริมน้ำก็มีผ้าเขียวผ้าแดงผูกอยู่เต็ม ทั้งเก่าและใหม่ มีก้านธูปเกลื่อนกลาด ตอนเย็นเราเคยได้กลิ่นธูปอ้อยอิ่งมาเข้าจมูกบ่อยๆ

    มีเสียงลือว่าเจ้าพ่อจะเอาชีวิตผู้หญิงที่ถูกใจไปเป็นเมียปีละ 1 คน พ่อแม่ดิฉันก็เคยเล่าว่าจะต้องมีผู้หญิงจมน้ำตายเป็นประจำทุกปี!

    น้านวลกับไอ้นกมาอยู่มวกเหล็กได้ราว 6-7 เดือนก็เกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้น

    สองแม่ลูกไปซักผ้าและอาบน้ำที่นั่นบ่อยๆ วันหนึ่งก็เกิดเป็นไข้ทั้งคู่ เมื่อซิ้มไทกับชาวบ้านรู้ข่าวก็มาเยี่ยม หายามาให้กินตามมีตามเกิด อาการไข้ของสองแม่ลูกก็ทรุดลงทุกที คิดจะนำส่งสุขศาลาที่เมืองปากเพรียวก็สายเกินไปแล้ว

    น้านวลผ่ายผอมจนน่ากลัว ลูกสาวก็นอนแซ่วอยู่กับที่ มีคนพูดว่าเจ้าพ่อต้องมาเอาตัวไปแน่ๆ ไม่รู้ว่าแม่หรือลูก? เพราะถ้าเป็นไข้ป่าจะจับไข้วันเว้นวัน ไม่ใช่ทรุดหนักจนไม่ได้สติแบบนี้

    วันหนึ่ง พ่อแม่กับเพื่อนบ้านก็ไปเยี่ยมไข้ มีซิ้มไทคอยดูแลอยู่ น้านวลที่นอนหลับตาแน่นิ่งก็พลันลืมตาโพลง แผดร้องโหยหวนว่า...ไม่ไป! ฉันไม่ไปด้วยหรอก...เล่นเอาทุกคนสะดุ้งเฮือก หน้าตาซีดเซียวด้วยความหวาดกลัวไปตามๆ กัน

    ซิ้มไทน้ำตาไหล จุดธูปบอกกล่าวเสียงสั่นเครือว่า

    "
    ถ้าเจ้าพ่อต้องการจริงๆ ก็เอาคนลูกไปเถิด แม่ทำมาหากินได้แล้ว อย่าเอาชีวิตไปเลย ไหนจะมีลูกเล็กๆ ที่โคราชอีกสองคนต้องเลี้ยงดู"

    ชาวบ้านเพิ่งรู้ว่านกมีน้องที่อยู่กับยายอีกสองคน ข้างน้านวลลุกพรวดขึ้นโบกมือว่อน นัยน์ตาเหลือกลาน ร้องลั่นๆ ไล่ใครที่มองไม่เห็น จนเพื่อนบ้านขนลุกขนชัน เหลียวซ้ายแลขวาไปตามๆ กัน...

    ได้ยินเสียงลมพัดกราว ยอดไม้สะบัดใบซู่ซ่า ฟังเผินๆ เหมือนเสียงใครกำลังหัวเราะอย่างเบิกบานใจเหลือประมาณ

    เชื่อกันว่า ถ้ามีคนเจ็บหนักสองคนในบ้านจะต้องตายหนึ่งคน แม้ซิ้มไทจะวิงวอนเพียงไรก็ไร้ผล...วันรุ่งขึ้นน้านวลก็สิ้นลม ชาวบ้านช่วยกันจัดงานศพให้จนเสร็จสรรพเรียบร้อย

    นกหายดีแล้ว ซิ้มไทก็ส่งกลับไปอยู่กับยายและน้องๆ ที่โคราชตามเดิม...ไม่เคยได้พบปะกันอีกเลยจนถึงทุกวันนี้

    คอลัมน์ ขนหัวลุก
    โดย ใบหนาด
    -
    ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 14 พค. 47
     

แชร์หน้านี้

Loading...