จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    เยี่ยมยอดที่สุดดดดด

    อนุโมทนาบุญครับท่านพี่ลูกพลัง

    ท่านที่มาใหม่อ่านไว้นะ นี่เคล็ดลับสุดยอดวิชาไหมฟ้าเลยนะนั่นนนนน
     
  2. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    เรื่องนี้ต้องขยายตัวใหญ่ ๆ

    ลูกพลัง : การปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระ.. โดยสังเขป

    สืบเนื่องมาจากมีผู้คนสงสัยในการปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระกันมาก คือว่าเป็นของใหม่สำหรับท่านๆเหล่านั้น จึงมีการดำริขึ้นมาว่าควรที่จะทำการรวบรวมข้อมูลอธิบายความการปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระโดยสังเขป เพื่อเป็นธรรมทานแก่ผู้อ่านทั่วไปหรือผู้สนใจจะปฎิบัติธรรมอย่างจริงจัง จะได้รับทราบโดยองค์รวมของการปฎิบัติรวมถึงเป้าหมายปลายทางว่าเป็นเช่นไร

    ที่มา: สมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้าทรงมีเมตตา แนะนำถ่ายทอดผ่านท่านพี่ภูลงมา โดยมีท่านพี่ภูเป็นผู้ปฎิบัติสำเร็จเป็นคนแรกแล้วก็ถ่ายทอดต่อมายังบุคคลท่านอื่นๆตามลำดับต่อมา แล้วในวันหนึ่งกาลภายภาคหน้า การปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระนี้จะเป็นที่แพร่หลายแก่พุทธศาสนิกชนสืบต่อไป ตั้งแต่ยุคกึ่งพุทธกาลนี้เป็นต้นไป..

    วัตถุประสงค์: เป็นการปฎิบัติธรรมซึ่งเจริญรอยตามอริยมรรควิธีของพุทธศาสนา (ศีล สมาธิ ปัญญา) เพื่อนำไปสู่ความหลุดพ้นมีดวงตาเห็นธรรมโดยใช้เวลาไม่นานนัก คือนอกจากจะเป็นทางสายตรงแล้วก็ยังเป็นทางลัดด้วย..(คำว่าทางลัดในที่นี้หมายถึง ผลแห่งการปฎิบัติจะเกิดประสิทธิผลด้านเวลาอยู่มาก)

    อานิสงค์: มีดวงตาเห็นธรรม สามารถตัดสิ้นอาสาวะกิเลสทั้งปวง ถึงมรรค ผล นิพพานในภพชาตินี้

    อรรถาบรรยาย: ความจริงแล้วก็เป็นการปฎิบัติธรรมเชกเช่นเดียวกับการปฎิบัติธรรมในรูปแบบอื่นๆ สายอื่นๆสำนักอื่นๆ แต่ที่มีความต่างอย่างเห็นได้ชัดเจนคือ รูปแบบการปฎิบัติสามารถเข้ากับภาระกิจทางโลกได้ง่ายไม่ยุ่งยาก สามารถปฎิบัติได้ทุกที่ทุกเวลา มีความคล่องตัวในการปฎิบัติไม่มีเงื่อนไขมาก ทำแบบสบายๆ ทำไปเรื่อยๆ และที่สำคัญคือ ประสิทธิภาพประสิทธิผลแห่งการปฎิบัติเมื่อเทียบกับเวลาที่สูญเสียไปทุกวันๆ (ลองไปหาดูในกระทู้เก่าๆที่เขียนข้อเด่นเอาไว้แล้ว)

    วิธีการปฎิบัติ: แบ่งออกได้เป็น4ขั้น

    (ขออนุญาติใช้ภาษาทางโลกตอนที่เราๆท่านๆเข้าโรงเรียน เรียนหนังสือเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับทางธรรม..) ตามลำดับดังนี้:-

    ขั้นที่ 0: อนุบาล - ทาน (ทานศีลภาวนาพื้นฐานทั่วๆไป)

    วัตถุประสงค์: เพื่อเตรียมความพร้อมพื้นฐานทางจิตและ/หรือข้อปฎิบัติสำหรับพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปที่ใฝ่ดี

    อานิสงค์: ของการทำบุญทำทานหรือการสร้างทานบารมีนั้นยังผลให้เกิดความไม่อับจนในโภคทรัพย์ และยังผลให้มีกำลังใจ(เมื่อบารมีมากขึ้นๆ) ในการปฎิบัติธรรมขั้นสูงๆต่อไป โดยที่ไม่อับจนข้นแค้นในทางโภคทรัพย์จนเกินไป

    อรรถาบรรยาย: การสร้างทานบารมีคือการทำบุญภายนอก ลดความตระหนี่ถี่เหนียวแห่งใจ มีเมตตาจิตช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ผู้อื่นที่ตกทุกข์ได้ยากหรือจะช่วยส่งเสริมพุทธศาสนะกิจให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป มีกำลังใจเป็นบาตรฐานในการรักษาศีล มีหิริโอตัปปะ เมื่อสิ้นอายุขัยก็จะไปจุติยังเทวโลก เมื่อกลับมาเกิดยังโลกมนุษย์อีกก็จะมีความเป็นอยู่ไม่ขัดสนไม่อับจน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการสร้างทานบารมี ในความเป็นจริงแล้วการสร้างทานบารมี มีข้อรายละเอียดอยู่อีกมากแต่ในที่นี้ก็ขอละไว้เท่านี้ก่อน

    วิธีการปฎิบัติ: ก็ไม่มีอะไรมากคือว่า หมั่นทำบุญทำทานตามกาล ฟังเทศน์ฟังธรรม อ่านธรรมะ รักษาศีล(ปุถุชน-ศีล5) สวดมนต์ ภาวนาเบื้องต้นตามกาล ซึ่งโดยทั่วๆไปแล้วพุทธศาสนิกชนใฝ่ดีก็ได้ปฎิบัติตนกันอยู่แล้ว เมื่อปฎิบัติมากๆเข้าก็จะเกิดมีกำลังใจสูงขึ้นๆ "กำลังใจ"หรือบารมีนี้แหล่ะจะเป็นบาตรฐานในการก้าวเข้าสู่การปฎิบัติธรรมขั้นสูงขึ้นๆ ต่อไป

    หมายเหตุ: ในกรณีท่านที่มีบุญบารมีเดิมหรือบุญเก่ามานั้นแท้จริงแล้วคือ ท่านได้สั่งสมบารมีต่างๆมาในภพชาติก่อนๆ เช่น ทานบารมี ศีลบารมี (บารมี10ทัศ) ดังนั้นแล้วกำลังใจของท่านในการที่จะปฎิบัติธรรมในขั้นที่สูงๆขึ้นไปจึงไม่เป็นปัญหาเมื่อเทียบกับบุคคลที่ยังต้องหวังพึ่งการให้กำลังใจจากผู้อื่นอยู่ (คือท่านสามารถเติมกำลังใจให้แก่ตนเองได้..ว่างั้นเถอะ)

    การเจริญอริยมรรควิธี (แก่นแท้แห่งพระพุทธศาสนา)

    ขั้นที่ 1: ประถม - ศีล

    วัตถุประสงค์: การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ แบ่งเป็นศีลหยาบ กลาง ละเอียด (กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม)

    อานิสงค์: เมื่อรักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้แล้วก็ยังผลให้เกิดบารมีหรือกำลังใจที่สูงขึ้นเป็นบาตรฐานแห่งสมาธิในขั้นต่อไป

    อรรถาบรรยาย: การทรงศีลให้บริสุทธิ์เป็นการชำระกิเลสเบื้องต้น(ปิดประตูอบายภูมิ) ทำให้จิตมีความสงบและนิ่งมากยิ่งขึ้น เหมาะสมควรแก่งานด้านการเจริญสมาธิภาวนาให้ได้ผลมากยิ่งๆขึ้นไป

    วิธีการปฎิบัติ: หมั่นมีสติระลึกรู้ที่จะไม่ทำผิดศีล รักษาศีลยิ่งชีวิต จนกระทั่งจิตจะทำการรักษาศีลให้เราเองโดยอัตโนมัติ (นี่..ต้องทำให้ได้ถึงขั้นนี้ จนศีลเป็นฝ่ายรักษาเรา)

    เพิ่มเติม: กรรมเก่า คือการกระทำในครั้งอดีตของตนเองทั้งในอดีตชาติหรือปัจจุบันชาติโดยเฉพาะในทางอกุศล ก็จะมีเจ้ากรรมนายเวรมาคอยขัดขวางการเจริญปฎิบัติธรรมของเราทำให้ไม่ก้าวหน้า (คือเหนี่ยวรั้ง ขัดขวางหรือมีเหตุให้ไม่สามารถปฎิบัติได้ต่อเนื่อง) แล้วจะทำอย่างไร? เพราะว่าไม่มีใครย้อนอดีตไปแก้ไขกรรมนั้นได้

    วิธีแก้ไขคือ ให้อุทิศบุญให้แก่เจ้ากรรมนายเวรและขออโหสิกรรม ทุกๆครั้งที่เราได้กุศลผลบุญมา เช่น ทำบุญทำทานมา(กุศลยังน้อยนัก..บุญภายนอก) รักษาศีลบริสุทธิ์ เจริญสมาธิ (กุศลมากโข) แล้วหมั่นอุทิศบุญ(อย่าลืม ขอบารมีพระรัตนตรัยช่วยแปรเปลี่ยนบุญกุศลนี้ให้เป็นบุญกุศลที่เขาสามารถรับได้ และเมื่อได้รับแล้วก็ขออนุโมทนาสาธุกา อโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ..) ทำอยู่เนืองๆทำบ่อยๆภายหลังจากได้บุญกุศลมาทุกครั้ง นานวันไปเจ้ากรรมก็จะอโหสิกรรมและละวางกรรมเก่าของเราเอง (แต่ว่าไม่ใช่เขาจะละวางทั้งหมดนา อย่าเข้าใจผิดคือมันจะมีกรรมบางประเภทที่ จะอย่างไรก็มิอาจหลีกหนีได้..อีอันนี้ก็วิบากใครวิบากมัน..รับกันไป)

    อีกกรรมหนึ่งที่สำคัญมากๆคือ อกุศลกรรมกับบุพการี ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ อย่ารอช้าให้รีบไปขอขมาแล้วให้ท่านอโหสิกรรมให้แก่ตัวเรา เพื่อเป็นการตัดเวรตัดกรรม ไม่เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งในการเจริญธรรม

    อย่าลืม.. แล้วก็ตัวโตๆเอาไว้ด้วยว่า

    "จะไม่สร้างอกุศลกรรมใหม่ใดๆขึ้นมาอีก"

    มิฉะนั้นตามโหสิกรรมจนตายก็ไม่หมดซักที..

    สรุปว่า เมื่อทรงศีลบริสุทธิ์และจัดการเรื่องโหสิกรรมแล้ว บารมีหรือกำลังใจก็จะทะยานพุ่งขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง อันเป็นบาตรฐานแห่งการเจริญสมาธิสืบต่อไป (เริ่มเข้าสู่กระแสแห่งธรรมแล้ว มองเห็นโลกุตระอยู่ไม่ไกลแล้ว)

    ขั้นที่ 2: มัธยม - สมาธิ

    วัตถุประสงค์: การทำจิตเกาะพระเพื่อเจริญสมถกรรมฐาน(แถมวิปัสสนากรรมฐานบางส่วน) เพื่อเสริมสร้างกำลังแห่งสมาธิ อันประกอบด้วยองค์ฌานทั้ง5ได้แก่ วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข เอกัตคตา ให้ได้ตลอดทั้งวันทั้งคืนหรือตลอดเวลานั่นเอง

    อานิสงค์: การทำสมาธิจิตเกาะพระยังผลให้เกิดกำลังฌานสมบัติ(แถมสติตามรู้)คือทรงฌานได้ตลอดเวลา เพื่อเป็นบาตรฐานในการเข้าสู่การเจริญวิปัสสนากรรมฐานในขั้นปัญญาต่อไป

    อรรถาบรรยาย: การเจริญวิปัสสนาโดยขาดกำลังฌานสมาบัติเป็นบาตรฐาน พระท่านเรียกว่า "วิปัสสนึก" คือไม่อาจทำให้เกิดปัญญาอย่างแท้จริงในการตัดสิ้นซึ่งอาสวะกิเลสได้ ขอให้ทุกท่านได้โปรดเข้าใจตามนี้ด้วย ปัญญาทางธรรมหรือเรียกว่า ปัญญาวิมุติจะต้องมีกำลังฌานสมาบัติเป็นบาตรฐานเท่านั้นจึงจะเกิดได้ (มิฉะนั้นมันก็เป็นปัญญาทางโลกเท่านั้นเอง) ดังนั้นเราจึงจะเห็นได้ว่าการเจริญสมถกรรมฐานนี้เป็นบาตรฐานที่สำคัญยิ่งทางพุทธศาสนา และก็เป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ติดกันอยู่ตรงนี้มากๆเลย คือว่า บางท่านก็ปฎิบัติมาเป็นสิบๆปีก็ยังไม่ไปถึงไหน ติดเวทนาปวดขาปวดหลังฟุ้งซ่านไปเรื่อย หรือเข้าได้แค่ฌาน1(ก็บุญแล้ว..) หรือเข้าได้แค่ฌาน2-3 ติดสุขอีก หรือเข้าฌาน4ได้ ติดฤทธิ์ติดอภิญญาอีก เพิ่มทิฏฐิมานะ ทรงคุณวิเศษเหนือบุคคลธรรมดา หลงตัวหลงตนหนักข้อเข้าไปใหญ่ โน้นออกทะเลไปเลย (เห็นแก่อามิส วันหนึ่งกิเลสเข้าครอบงำอภิญญาเสื่อมถอย ก็ต้องโป้ปดมดเท็จไปเรื่อย ผิดศีลข้อ4มุสาอีก ดันสร้างอกุศลกรรมขึ้นมาใหม่อีก ยิ่งแย่เข้าไปอีก) หรือปฎิบัติได้ทุกวันวันละ1-2ชม. ขาดความต่อเนื่องในการปฎิบัติ ติดๆดับๆ เป็นเวรเป็นกรรมเสียช่างกระไรนี่ จนท้อแท้กำลังใจหดลงก็พาลโทษว่าบุญเก่าเรามีน้อย..

    การทำจิตเกาะพระถือเป็นสมถกรรมฐานที่เป็น พุทธานุสติ+กสิน สามารถเจริญกรรมฐานกองนี้ไปได้ถึงฌาน4 เพิ่มความรวดเร็วและความต่อเนื่องในการปฎิบัติให้ได้ผลเป็นอย่างดี(สำหรับผู้ที่ตั้งใจปฎิบัติจริงนะ) และสามารถเข้าออกฌานได้อย่างคล่องแคล่ว คือทรงฌานได้ตลอดเวลานาที จนกระทั่งจิตทำหน้าที่ทรงฌานเองเป็นอัตโนมัติ
    (ลองไปหาดูในกระทู้เก่าๆที่ได้เขียนข้อเปรียบเทียบที่เด่นๆเอาไว้แล้ว)

    วิธีการปฎิบัติ: เนื่องจากมีรายละเอียดยาวมากๆจึงละไว้ว่าให้ไปหาอ่านในกระทู้ว่ามีวิธีการปฎิบัติอย่างไร

    บางครั้งการปฎิบัติไม่ก้าวหน้า ก็ให้หมั่นกลับไปสำรวจตรวจสอบขั้นอนุบาลและขั้นประถม(ทาน ศีล กรรมเก่า) อยู่เป็นนิจว่าได้ชำระสะสางไปมากน้อยแค่ไหนด้วย เพราะว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้นะเป็นเส้นผมบังภูเขาเลย จะบอกให้..

    การระลึกนึกถึงพระให้ได้ทั้งวันทั้งคืนนั้นได้อานิสงค์2ประการคือ 1)สามารถทรงฌานได้ตลอด 2)มีสติที่ไวไม่เผลอ ในความเป็นจริงแล้วเจ้าสองสิ่งนี้คือ ฌานกับสติ (คล้ายๆไก่กับไข่หรืองูกินหาง) ถ้ามาก็จะมาคู่กัน ถ้าหายก็หายไปพร้อมกัน คือมันเป็นสิ่งที่หนุนเนื่องซึ่งกันและกัน แล้วจะต้องทำให้ได้อย่างต่อเนื่องจนกระทั่ง จิตของเราจนจำได้ นี่ข้อนี้คือข้อสำคัญ "ความต่อเนื่องแห่งการปฎิบัติ" บางท่านปฎิบัติมาเป็นสิบๆปีแต่ไปไม่ถึงไหนก็เพราะว่าขาดความต่อเนื่องคือทำเฉพาะก่อนนอน1-2ชม. จิตยังไม่ทันได้จำ เอ้าพอรุ่งขึ้นก็ไปวิ่งตามกระแสแห่งกิเลสต่อ จิตมันก็เพลินกับกิเลส จิตมันก็ลืมต่อ พอตกค่ำก็มาบอกกับมันใหม่ ทำอยู่อย่างนี้เป็นสิบๆปี มันก็ไม่ไปถึงไหนนะซีครับ..

    เพราะว่าเวลางานก็ไม่ทรงฌาน(สติก็หาย) จึงสรุปว่ามีแต่พระชีเณรเท่านั้นที่จะทำได้เพราะว่าท่านๆเหล่านั้นมีเวลา แต่อันตัวเราไม่มีเวลาแถมต่อว่าบุญเก่ามันน้อยไปอีก.. ท่านทั้งหลายเหล่านี้คือข้อเท็จจริงและเป็น"อวิชชา" คือความไม่รู้(บางท่านเรียกว่าความโง่) จึงทำให้ผู้ปฎิบัติหลายๆท่านยังติดอยู่ในวังวนอันนี้ ไม่ไปไหน..

    การทำจิตเกาะพระสามารถแก้ปัญหาการทรงฌานและทรงสติระหว่างวันหรือตลอดเวลาอย่างต่อเนื่องได้ อย่างน่าอัศจรรย์

    ที่พูดมาทั้งหมดไม่ได้ต้องการให้ท่านผู้อ่านเชื่อ แต่ต้องการให้ท่านผู้อ่านลองไปปฎิบัติแล้วค่อยมาตัดสินกันว่าจะเชื่อหรือไม่..

    เมื่อผู้ปฎิบัติสามารถทรงฌานได้แล้วถึงขั้น "เมาฌาน" คือจิตมันจะดิ่งอย่างเดียว ครูฝึกก็จะเริ่มสอนการวิปัสสนาขั้นต่อไป

    ผู้สำเร็จขั้นอุปจาระสมาธิหรืออัปปนาสมาธิขั้นต้นคือฌาน1-2ก็สามารถตัดสังโยชน์ขั้นต้นบรรลุเป็นอริยบุคคลขั้นต้นได้คือขั้นโสดาบัน สกิทาคามี
    กำลังฌาน4มีความสำคัญมากในการวิปัสสนาตัดสังโยชน์ในขั้นอริยบุคคลขั้นอนาคามีขึ้นไป มิให้กิเลสกลับมากำเริบอีก ตัดขาดจริงๆ

    ดังนั้นสมถะเป็นบาตรฐานของวิปัสสนา เป็นเนื้อเดียวกันมิอาจจะแยกออกจากกันได้ การเขียนตำราทางโลกเราสามารถแยกเป็นหมวดหมู่ออกจากกันได้ แต่ว่าเวลาปฎิบัติทั้งสองนี้หนุนเนื่องเกื้อกูลซึ่งกันและกันไม่สามารถแยกจากกันได้จริงๆ..

    ขั้นที่ 3: มหาลัย - ปัญญา

    วัตถุประสงค์: ภายหลังจากที่ผู้ปฎิบัติสามารถทรงฌานได้เป็นวสี(ชำนาญ)แล้ว ก็จะเจริญวิปัสสนากรรมฐานต่อไปเพื่อที่จะบังเกิด"ปัญญาวิมุติ" คือรู้แจ้งแทงตลอดในสภาวะธรรมต่างๆแห่งธรรมชาติ มีดวงตาเห็นธรรมเป็นอันจบกิจ

    อานิสงค์: ผลแห่งการปฎิบัติจะนำมาซึ่งการละ เลิก วาง หลุดพ้นจากอาสาวะกิเลสต่างๆ ตามลำดับๆ จนจิตยกเข้าสู่โลกุตระ สำเร็จเป็น อริยบุคคลในขั้น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และอรหันต์ ตามลำดับชั้นในการละสังโยชน์10ได้

    อรรถาบรรยาย: การเจริญวิปัสสนากรรมฐานนี้ก็ได้อาศัยตามคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าคือ การเจริญมหาสติปัฏฐาน4 หนทางสายเอกแห่งปัญญาวิมุติ

    วิธีการปฎิบัติ: การมีสติอยู่ตลอด(จะทำได้เมื่อทรงฌานได้ตลอด) และนำสติตามรู้ปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบ แล้วก็ปลงลงพระไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หมั่นปฎิบัติอยู่เนืองๆทั้ง กาย(ขันธ์5) เวทนา จิต ธรรม จนบังเกิดเป็นวิปัสสนาญาณ (จิตจะทำงานเองเป็นอัตโนมัติ) จนอินทรีย์แก่กล้าบารมีเต็มเปี่ยม สำเร็จมรรคผล เป็นลำดับขั้นขึ้นไปจนถึงอรหันต์ปฎิผล.. ก็เป็นอันเสร็จกิจแห่งการปฎิบัติธรรมทางพุทธศาสนา

    เมื่อยังมีอายุขัยอยู่ก็หมั่นบำรุงและสืบสานพุทธศาสนา ประกอบกิจทางโลกบ้าง ช่วยยกจิตผู้คนเป็นธรรมทานเสริมสร้างบารมีต่อไปบ้าง จวบจนละสังขารขันธ์..

    ประโยชน์ของครูฝึก:-
    - เราจะเห็นได้ว่าการปฎิบัติธรรมจนถึงขั้นสมถะและวิปัสสนาแล้วจะเริ่มมีความสลับซับซ้อนมากยิ่งๆขึ้น ถ้าเราคิดเองคือใชัสัญญา(ความจำ) ทางโลกเข้านำการปฎิบัติเอง บางครั้งมันจะเป็นเรื่องเสียเวลาหรือว่าอาจจะหลงทางไปเลย เพราะครูฝึกท่านผ่านมาหมดแล้ว ท่านจะช่วยตอบแล้วให้ผู้ปฎิบัติได้วางกำลังใจได้อย่างถูกต้องและปฎิบัติได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

    - ครูฝึกจะทำการสอบอารมณ์ในการปฎิบัติทั้งสมถะและวิปัสสนา แล้วแนะนำต่อยอด

    - และอื่นๆอีกมากมาย
    ถามว่า:ไม่จำเป็นต้องมีครูฝึกสามารถปฎิบัติได้หรือไม่? คำตอบ: ได้ถ้ามีผู้รู้ช่วยชี้แนะตามขั้นๆไป

    แต่เหนือสิ่งอื่นใดดังคำพูดที่กล่าวไว้ว่า "จิตสำนึกไม่สามารถจับยัดใส่หัวกันได้ มันจะต้องเกิดจากตัวเราเองขึ้นมา" ฉันใด "อันผู้ใดปฎิบัติ ผู้นั้นพึงได้" หรือ "ผู้ใดกินผู้นั้นก็อิ่ม ไม่สามารถกินแทนกันได้จริงๆ" ก็ฉันนั้น..

    แต่เราก็พอจะเข้าใจผู้ที่ยังถนัดการปฎิบัติเอง ว่าก็มีเหตุปัจจัยในเรื่องความพร้อมทางด้านจิตใจตนเอง (เราก็เคยเป็นมาก่อนจึงพอที่จะเข้าใจ หลายๆท่านที่ขอซุ่มแอบฝึก เกาะขอบกระทู้ฝึก ความจริงแล้วดีกว่าหลายๆท่านมากๆที่ยัง"หลง"ตามกระแสโลกอยู่)

    จึงเป็นเหตุปัจจัย ให้เราเขียนภาพรวมของการปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระโดยสังเขป เพื่อให้ผู้ปฎิบัติได้เข้าใจว่าเรากำลังทำอะไร ทำแล้วไปที่ไหน เป็นแผนที่นำทางฉบับย่อๆ โดยเฉพาะกับบุคคลจำพวกพุทธจริต(ปัญญาจริต) ได้เข้าใจแล้วก็จะได้ลงมือปฎิบัติ รวมถึงท่านพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปด้วย ที่มีวาสนาบารมีเกี่ยวเนื่องกันด้วย.. ก็ขอเอวังด้วยประการละฉะนี้..

    สุดท้ายนี้ก็ขออวยชัยอวยพรให้ทุกๆท่านจงถึง บารมี10ทัศ ศีลบริสุทธิ์ ฌานสมาบัติ ปัญญาวิมุติและมรรคผลนิพพานโดยเร็ววันด้วยเทอญ..

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยครับ.. สาธุสวัสดี..


    ขออนุญาตขยายตัวใหญ่ ๆ เหมาะแก่สายตาของพี่เพ็ญ
     
  3. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    การฝึกสติจากการทำจิตเกาะพระ

    การฝึกสติจากการทำจิตเกาะพระ

    สืบเนื่องจากมีสมาชิกท่านหนึ่งได้สอบถามเข้ามาเกี่ยวกับ"การฝึกสติ" จึงเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นๆด้วย จึงขออนุญาตินำมาตอบลงในกระทู้เพื่อเป็นธรรมทานแก่ผู้อื่นๆด้วย ขอโมทนาสาธุกับท่านที่ถามมาด้วย..สาธุ สาธุ

    การฝึกสติในทางพุทธศาสนา
    การปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ส่วนใหญ่ทุกๆสายทุกๆสำนักก็ได้นำคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    นั่นก็คือ การเจริญมหาสติปัฏฐาน4 กาย เวทนา จิต ธรรม มาถ่ายทอดสอนสั่งกันมา
    โดยการเริ่มต้นจากการนำสติไปตามแค่รู้ก่อน(ยังไม่ได้วิปัสสนา) เช่นตามรู้อริยบทของกายเป็นพื้นฐาน ยืน เดิน นั่ง นอน ตามรู้อริยบทต่างๆของกายเพื่อฝึกให้สติมีความไวคล่องตัวในการตามรู้ รู้ๆๆๆๆทุกอย่างที่เข้ามากระทบ
    สติคือ การระลึกรู้ รู้อะไร?ก็รู้ปัจจัยที่มากระทบต่อตัวเรา(จิต)
    ผู้คนมากมายก็แห่กันไปปฎิบัติถือศีล8อยู่วัดก็ได้ผลดี แต่พอกลับมาบ้านสักพักก็เหมือนเดิมคือ สติเผลอเหมือนเดิม
    ส่วนใหญ่ผู้คนที่ปฎิบัติจะไม่ค่อยได้ผล หรือได้ผลแต่ก็น้อยและเชื่องช้า สาเหตุเกิดจากไม่มีกำลังแห่งฌานสมาบัติเป็นบาตรฐานและการปฎิบัติขาดความต่อเนื่องและยังไม่สามารถทำให้จิต จดจำการปฎิบัติได้ ยังติดๆดับๆอยู่ลำ่ไป ผลก็คือ"สติเผลอ"(สติหายไปเลย..ปี๊ดแตกเลย), "สติมาสาย"(ยังดีตามมาทัน..ยังยับยั้งชั่งใจได้), "สติรู้เท่าทัน" (นี่อันนี้ที่เราต้องการ)
    ซึ่งเมื่อพยายามทำซำ้ไปซำ้มาก็แล้ว มันก็ยังเผลออีกอยู่ลำ่ไป ก็เลยกำลังใจหดคิดว่าตนบุญน้อย บางคนเลิกเลย

    ถามว่าแล้วจะทำยังไงไม่ให้"สติเผลอ"น่ะ? ก็มันชอบเผลอนี่..
    ถ้าจิตเรานิ่ง(ไม่แส่สายไปที่อื่นๆ) สติก็จะไม่เผลอ ถ้าจิตเรานิ่งได้นาน สติก็จะรู้เท่าทัน รู้สึกตัวทั่วพร้อมได้นานเช่นกัน
    ถามแล้วทำยังไงให้จิตมันนิ่ง และให้นิ่งนานๆด้วย?
    จิตจะนิ่งได้ก็แปลว่าจิตต้องเป็นสมาธิ และจะให้จิตนิ่งได้นานก็แปลว่าจิตจะต้องทรงสมาธิ(ทรงฌาน)ได้นานๆนะซี่..
    ถามแล้วจะทำงัยให้จิตทรงสมาธิทรงฌานได้ยาวนานๆล่ะ?
    ก็ทำจิตเกาะพระซิครับ.. นอกจากจะได้ทรงฌานตลอดเวลาแล้วยังได้ทรงสติด้วย(คือระลึกรู้ถึงพระอยู่ตลอดสติไม่เผลอ ถ้าลืมนึกถึงพระก็แปลว่าสติเผลอ.. อันนี้ขอตอบคำถามท่านผู้ที่ถามมาว่า การทำจิตเกาะพระแล้วมันฝึกสติยังงัย?)
    สรุปว่าการทำจิตเกาะพระเป็นการทำให้จิตทรงฌานได้ยาวนานตลอดเวลา จึงเป็นผลให้จิตนิ่งและนิ่งได้นานๆด้วย จึงเป็นผลให้"สติไม่เผลอ" สติรู้เท่าทันจิต รู้เท่าทันปัจจัยกระทบที่มาจากทั้งภายในและภายนอกขันธ์
    แล้วตอนนี้แหล่ะ พอสติเรารู้เท่าทันหรือสติไวพอแล้ว เราก็สามารถเจริญสติปัฏฐาน4ต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผลแล้วจึงจะสามารถที่จะวิปัสสนาให้เกิดปัญญาวิมุติต่อไปได้
    จะเห็นได้ว่า สมาธิ(ฌานหรือจิตนิ่งสงบ)กับสติ สองอันนี้เป็นสิ่งที่ยึดโยงกัน หนุนเนื่องเกื้อกูลซึ่งกันและกันไม่อาจแยกจากกันได้
    จิตไม่นิ่ง-สติก็เผลอตลอด
    จิตนิ่ง-สติก็รู้เท่าทัน
    หลายๆท่านกระโดดเข้าไปปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐานโดยที่ไม่มีกำลังฌานสมาบัติเป็นบาตรฐาน จึงไม่ค่อยที่จะประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ยิ่งถ้าไปพิจารณาไตรลักษณ์แล้วก็จะตัดไม่ขาดปลงไม่ลง มันแค่เป็น "วิปัสสนึก" พอกลับถึงบ้านก็เหมือนเดิมแล้ว
    ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่บางท่านปฎิบัติมีความเพียรมาหลายๆปีแต่ไม่ก้าวหน้าเพราะว่าไม่มีกำลังแห่งฌานสมาบัติที่ต่อเนื่องยาวนานนั่นเอง..

    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยครับ.. สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2012
  4. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ลูกพลัง : การฝึกสติจากการทำจิตเกาะพระ

    สืบเนื่องจากมีสมาชิกท่านหนึ่งได้สอบถามเข้ามาเกี่ยวกับ"การฝึกสติ" จึงเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นๆด้วย จึงขออนุญาตินำมาตอบลงในกระทู้เพื่อเป็นธรรมทานแก่ผู้อื่นๆด้วย ขอโมทนาสาธุกับท่านที่ถามมาด้วย..สาธุ สาธุ

    การฝึกสติในทางพุทธศาสนา
    การปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ส่วนใหญ่ทุกๆ สายทุกๆ สำนักก็ได้นำคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    นั่นก็คือ การเจริญมหาสติปัฏฐาน4 กาย เวทนา จิต ธรรม มาถ่ายทอดสอนสั่งกันมา

    โดยการเริ่มต้นจากการนำสติไปตามแค่รู้ก่อน(ยังไม่ได้วิปัสสนา) เช่นตามรู้อริยบทของกายเป็นพื้นฐาน ยืน เดิน นั่ง นอน ตามรู้อริยบทต่างๆของกายเพื่อฝึกให้สติมีความไวคล่องตัวในการตามรู้ รู้ๆๆๆๆ ทุกอย่างที่เข้ามากระทบ

    สติคือ การระลึกรู้ รู้อะไร? ก็รู้ปัจจัยที่มากระทบต่อตัวเรา(จิต)

    ผู้คนมากมายก็แห่กันไปปฎิบัติถือศีล8อยู่วัดก็ได้ผลดี แต่พอกลับมาบ้านสักพักก็เหมือนเดิมคือ สติเผลอเหมือนเดิม

    ส่วนใหญ่ผู้คนที่ปฎิบัติจะไม่ค่อยได้ผล หรือได้ผลแต่ก็น้อยและเชื่องช้า สาเหตุเกิดจากไม่มีกำลังแห่งฌานสมาบัติเป็นบาตรฐานและการปฎิบัติขาดความต่อเนื่องและยังไม่สามารถทำให้จิต จดจำการปฎิบัติได้ ยังติดๆดับๆอยู่ร่ำไป

    ผลก็คือ "สติเผลอ"(สติหายไปเลย..ปี๊ดแตกเลย),

    "สติมาสาย"(ยังดีตามมาทัน..ยังยับยั้งชั่งใจได้),

    "สติรู้เท่าทัน" (นี่อันนี้ที่เราต้องการ)

    ซึ่งเมื่อพยายามทำซ้ำไปซ้ำมาก็แล้ว มันก็ยังเผลออีกอยู่ร่ำไป ก็เลยกำลังใจหดคิดว่าตนบุญน้อย บางคนเลิกเลย

    ถามว่าแล้วจะทำยังไงไม่ให้"สติเผลอ"น่ะ? ก็มันชอบเผลอนี่..

    ถ้าจิตเรานิ่ง(ไม่แส่สายไปที่อื่นๆ) สติก็จะไม่เผลอ ถ้าจิตเรานิ่งได้นาน สติก็จะรู้เท่าทัน รู้สึกตัวทั่วพร้อมได้นานเช่นกัน

    ถามแล้วทำยังไงให้จิตมันนิ่ง และให้นิ่งนานๆด้วย?

    จิตจะนิ่งได้ก็แปลว่าจิตต้องเป็นสมาธิ และจะให้จิตนิ่งได้นานก็แปลว่าจิตจะต้องทรงสมาธิ(ทรงฌาน)ได้นานๆนะซี่..

    ถามแล้วจะทำงัยให้จิตทรงสมาธิทรงฌานได้ยาวนานๆล่ะ?

    ก็ทำจิตเกาะพระซิครับ.. นอกจากจะได้ทรงฌานตลอดเวลาแล้วยังได้ทรงสติด้วย(คือระลึกรู้ถึงพระอยู่ตลอดสติไม่เผลอ ถ้าลืมนึกถึงพระก็แปลว่าสติเผลอ.. อันนี้ขอตอบคำถามท่านผู้ที่ถามมาว่า การทำจิตเกาะพระแล้วมันฝึกสติยังงัย?)

    สรุปว่าการทำจิตเกาะพระเป็นการทำให้จิตทรงฌานได้ยาวนานตลอดเวลา จึงเป็นผลให้จิตนิ่งและนิ่งได้นานๆด้วย จึงเป็นผลให้"สติไม่เผลอ" สติรู้เท่าทันจิต รู้เท่าทันปัจจัยกระทบที่มาจากทั้งภายในและภายนอกขันธ์

    แล้วตอนนี้แหล่ะ พอสติเรารู้เท่าทันหรือสติไวพอแล้ว เราก็สามารถเจริญสติปัฏฐาน 4 ต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผลแล้วจึงจะสามารถที่จะวิปัสสนาให้เกิดปัญญาวิมุติต่อไปได้

    จะเห็นได้ว่า สมาธิ(ฌานหรือจิตนิ่งสงบ)กับสติ สองอันนี้เป็นสิ่งที่ยึดโยงกัน หนุนเนื่องเกื้อกูลซึ่งกันและกันไม่อาจแยกจากกันได้

    จิตไม่นิ่ง-สติก็เผลอตลอด

    จิตนิ่ง-สติก็รู้เท่าทัน

    หลายๆท่านกระโดดเข้าไปปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐานโดยที่ไม่มีกำลังฌานสมาบัติเป็นบาตรฐาน จึงไม่ค่อยที่จะประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

    ยิ่งถ้าไปพิจารณาไตรลักษณ์แล้วก็จะตัดไม่ขาดปลงไม่ลง มันแค่เป็น "วิปัสสนึก" พอกลับถึงบ้านก็เหมือนเดิมแล้ว
    ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่บางท่านปฎิบัติมีความเพียรมาหลายๆ ปี แต่ไม่ก้าวหน้าเพราะว่าไม่มีกำลังแห่งฌานสมาบัติที่ต่อเนื่องยาวนานนั่นเอง..

    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยครับ.. สาธุ สาธุ

    แอบมาขยายตัวใหญ่อีกแล้ว เห็นใจสายตาคนแก่หน๋อยเน้อ ขยายจากแว่นในจอไม่ถนัดอ่ะ คอมมันช้า อิอิ
     
  5. ่jarunee

    ่jarunee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +1,917
    สาธุโมทนาบุญคะ คุณแสงจันทร
    ขอบุญกุศลทั้งหมดที่ท่านส่งมาและบุญกุศลทั้งหมดที้งมวลของแอ๋วย้อนกลับไปหาคุณแสงจันทรแสนเท่าล้านทวีนะคะ
    สาธุ
     
  6. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    ประกาศ!!!



    ศิษย์ท่านใดห่างครู ไม่ส่งการบ้าน กรุณาติดต่อครูด่วน!!
    ศิษย์ท่านใดแอบพาจิตไปพักร้อน กรุณาติดต่อครูด่วน!!
    ศิษย์ท่านใดยังทุกข์ ยังสุข กรุณาติดต่อครูด่วน!!
    ศิษย์ท่านใดยังไม่มีครู กรุณาติดต่อครูด่วน!!
    ศิษย์ท่านใดรู้ตัวว่าเกาะพระยังไม่ดี หนีไปทางโลกมากกรุณาติดต่อครูของตนด่วนจ้า!!!

    โดยเฉพาะศิษย์ครูนกชาย กรุณาติดต่อครูด่วนจ้า
    ถ้าช้า เรื่องนี้ถึงหูครูดัชนีแน่!!!


    **ใครอยากเจอครูสดๆ ในขณะนี้ กรุณาไปที่ jitkohphra.com จ้า**


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2012
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุ ขอบรับผลบุญนั้นไว้และขอบุญที่ได้นำส่งให้มากันนั้น จงกลับให้กับคุณแสงจันทร์ เป็นแสน เป็นล้านเท่านะครับ
    ขอให้ผลกรรมของคุณแสงจันทรร่วมโมทนาบุญ และอโหสิกรรมให้กับคุณทั้งหมด ทั้งมวลด้วยนะครับ
    และตอนนี้คุณแสงจันทรก็เหมือนตายไปแล้ว คือได้จิตเดิมแท้กลับไป แต่จะยังคงอยู่ร่างกายเดิมอยู่ต่อไป และรอเปลี่ยนภพภูมิตนเองที่สูงขึ้นไป
    แต่ผมจะไม่กล่าวถึงพระนิพพานกันอีก เพราะถ้าพวกเราจิตยกแล้ว หรือที่พวกเราเรียกในนามสสมุติกันว่า "จิตบุญ"นั้น ทุกท่านจะทราบกันดี

    และขอให้คุณแสงจันทร อย่าหยุดเพียรภาวนาไปจนตัวตาย แล้วท่านจะพบของดีพกติดตัวไป แต่ตอนนี้แสงในกาย แสงในดวงจิตเริ่มผุดออกมาเยอะแล้วนะ จะผุดออกมามากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับผู้ปฎิบัติเอง

    ปล.ว่างๆก็ลองไปถ่ายภาพออล่ามาฝากเพื่อนๆดูกันด้วยนะ
    แต่ถ้าผมมีเวลาจะพาชาวจิตบุญมาร่วมถ่ายทุกท่านไป เพราะก็อยากให้คนอื่นๆได้เห็น ได้รู้กันไปเลยว่า มีอะไรเปลี่ยนแปลงกับผู้ปฎิบัติจิตเกาะพระกันนี้ จริงหรือไม่ อย่างไร
    เพราะในขณะนี้ซึ่งจะมีอยู่วิธีเดียว ที่พอจะพิสูจน์ หรือสามารถพิสูจน์ในทางทางโลก หรือทางวิทยาศาสตร์ให้กับพวกเราได้
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ความหมายของสีออร่า ​

    ***สำหรับผู้สนใจ***
    [​IMG]

    สีของความคิดและอารมณ์ จะมีลักษณะเป็นหมอก มีความไหลปรากฏเป็นหย่อม ๆ จะเห็นได้ชัดเจนบริเวณรอบศีรษะเหนือบ่า มีสีสันต่าง ๆ เช่น

    1.สีชมพู หมายถึงพลังที่แจ่มใส เต็มไปด้วยความรัก อารมณ์ขัน ถ่อมตน และสามารถปลอบ ประโลมผู้อื่น โรมแมนติค มักจะพบในเด็กและผู้ใหญ่ที่จิตใจดีมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ หญิงมีครรภ์และมีสีชมพู ออกมามากเช่นกันข้อเสียของคนทีมีแสงสีนี้คือมักจะใจคอโลเล

    2.สีแดง เป็นสีที่แสดงถึงความทะเยอทะยาน เต็มไปด้วยพลังงาน มีความกระฉับกระเฉงและพลังทางเพศถ้าเป็นสีแดงมืดอาจหมายถึง อารมณ์ที่รุนแรงถ้าเป็นสีแดงสดใน หมายถึง ความภาคภูมิใจและทะเยอทะยานในทางที่ถูกที่ควร ถ้าสีแดงขุ่นเป็นพวกใจคอโหดร้าย

    3.สีส้ม / แสด เป็นสีของความกระฉับกระเฉงว่องไว มีความสุข สุขภาพที่เต็มไปด้วยพลัง ถ้ามีแสงสีนี้มากเกิดไปจะกลายเป็นคนเย่อหยิ่ง สีนี้ยังเป็นสีที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อด้วย สีส้มมัวหม่นหรือส้มปนน้ำตาล แสดงถึงปัญญาต่ำ ถ้าสีส้มแดงหมายถึงเย่อหยิ่ง อวดฉลาด

    4.สีเหลือง เป็นสีที่มองเห็นง่ายที่สุดในออร่า เป็นสีของความฉลาด ความมีเมตตา มองโลกในแง่ดี รักเพื่อนมนุษย์นอกจากนั้นยังเป็นสีของภูมิคุ้มกันโรค สีเหลืองส้มแสดงถึงความฉลาดปราดเปรื่อง สีเหลืองขุ่นข้นแสดงถึงความอิจฉาริษยา หรือความคลางแคลงใจ

    5.สีเขียว เป็นสีของจิตใจที่ละเอียดอ่อน มีความเข้าใจผู้อื่น นอกจากนั้นยังเป็นสีของความรักการเปลี่ยนแปลงการรักษาโรค ความสามารถในการใช้มือ และยังเป็นสีที่แสดงถึงความสมดุล ถ้าเป็นสีเขียวสดใสแสดงว่าเป็นคนปรับตัวเก่ง ใจดี ชอบอิสระ ถ้าเป็นสีเขียวมืดจะเป็นพวกขี้โกงขี้อิจฉา ถ้าเป็นสีเขียวอมฟ้า เป็นพวกชอบช่วยเหลือผู้อื่นไว้วางใจได้เข้าอกเข้าใจผู้อื่นและ แสดงถึงความสามารถ ในการรักษาโรค ถ้าเป็นสีเขียวขี้ม้าเป็น พวกชอบหลอกลวง ต้มตุ๋น ขี้โกง และขี้เหนียว

    6.สีน้ำเงิน เป็นสีของความสงบและสัจจะ เป็นสีของการสื่อสาร พลังจิต ความฉลาด ความมีอุดมคติ ขยันขันแข็งและ ความสำเร็จ สามารถยืนหยัดอยู่บนของของตัวเอง มีความเชื่อมมั่นในตนเอง ซื่อตรง จริงใจและชอบช่วยเหลือผู้อื่น มักจะเป็นพวกสมถะ แต่ใจคอหงุดหงิดง่าย สีน้ำเงินขุ่นแสดงว่าทัศนวิสัยถูกปิดกั่น กลายเป็นคนขี้กังวล และขี้ลืม

    7.สีคราม เป็นสีของพลังจิต สัมผัสที่ 6 โทรจิต ความฉลาดล้ำลึก ความคิดสร้างสรรค์และความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ มีความจริงใจ ชอบค้นหาสัจจะความจริงของชีวิต

    8.สีม่วง เป็นพวกจิตใจละเอียดอ่อน เป็นตัวของตัวเอง มีสัมผัสที่ 6 ชองทางสมาธิและโน้มเอียงไปในทางศาสนาชอบเรื่องลี้ลับ คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีสีนี้ ผู้ที่มีสีนี้มักจะมีพลังจิตสูง แต่อาจมีปัญหาเกี่ยวกับบริเวณท้องเนื่องจากจักระช่วงบนพัฒนา ล้ำหน้าจักระชั้นล่าง

    9. สีน้ำตาล เป็นสีที่แสดงถึงความคิดแคบ ๆ ไม่ยอมรับฟัง ความคิดเห็นของผู้อื่น เห็นแก่ตัว ชอบคุยแต่เรื่องของตัวเอง เป็นคนน่าเบื่อ สีน้ำตาลยังเป็นสีของจักระท้า พลังธรณี และอดีตที่ผ่านมา ข้อดีของสีนี้คือเป็นสีของความขยันขันแข็ง ความมีระเบียบ และอาจหมายถึงความมุ่งมั่นที่จะให้สู่จุดหมายและความสำเร็จ

    10.สีดำ หมายถึง การสิ้นสุด ซึ่งในที่นี้อาจหมายถึง การสิ้นสุดของสถานการณ์หนึ่งเพื่อเปิดโอกาสให้สถานการณ์ใหม่เข้ามา อาจหมายถึงการเกิดใหม่ หรือความล่าช้าก็ได้ บางครั้งอาจหมายถึง โรคร้ายแรงหรือเรื้อรัง อิทธิพลมืดบางครั้งอาจหมายถึงการปกป้อง ตัวเองจากพลังภายนอก หรือคนผู้นั้นอาจจะมีความลับ ถ้าสีดำเกิดปะปนอยู่ในสีอื่น ๆ เช่น ปะปนอยู่กับสีแดง แสดงถึงความโกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท ถ้าปนกับสีเหลืองแสดงถึงความคิดชั่วร้าย ถ้าปนกับสีเขียวแสดงถึงความคิดหักหลัง อิจฉา

    11.สีขาว เป็นแสงที่มีความสมดุล และสมบูรณ์แบบมากที่สุด จะปรากฏกับพวกนักบุญ พระหรือผู้ฝึกสมาธิวิปัสสนาสม่ำเสมอ ถ้าปรากฏเป็นเส้นแสงสีขาวผ่านเข้ามาในแสงอาจหมายถึง ข่าวสารจากมิติอื่นเข้ามา พวกที่เข้าทรงจะมีสีขาวเข้ามาในแสงในระหว่างการเข้าทรง ผู้ที่มีสีขาวปรากฏอยู่ในออร่า หมายถึงว่า กายแสงได้รับการชำระและฟอกให้บริสุทธิ์ หรืออาจหมายถึงสภาพจิตใจที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และบริสุทธิ์

    12.สีน้ำเงิน หมายถึง แรงบันดาลใจ หรือข่าวสารข้อมูลจากโลกวิญญาณ หรือจากมิติอื่น

    13.สีทอง เป็นพลังของจักรวาลหรือพลังจากเทพที่เข้ามาช่วยถ่ายโรคออกจากร่างกาย

    14.สีเทา เป็นพวกขาดจินตนาการ คร่ำครึ หัวโบราณ ยึดถือความคิดเป็นใหญ่ เจ้าระเบียบ ถ้าเป็นสีเทามืดยิ่งมืดทึบมากยิ่งแสดงถึงอารมณ์ที่เหี่ยวเฉา สลดหดหู่ คนพวกนี้มักจะว้าเหว่ ถ้ามีจุดมืดสีนี้ในแสงแสดงถึงความคิดแง่ลบ ได้แก่ ความเกลียด เคียดแค้น หรือแม้แต่อารมณ์ฆาตกร สีเทาค่อนไปทางสีเงิน แสดงถึงว่าสมองซีกขวาได้รับการกระตุ้นก่อให้เกิดจินตนาการและสัมผัสที่ 6

    ที่มา : หนังสือ “พลังออร่า เพื่อสุขภาพบำบัด รักษา และสมดุลแห่งชีวิต "
    ที่มา: เรื่องลึกลับจากทั่วโลก mystery world: "พลังออร่า" เพื่อสุขภาพบำบัด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 มิถุนายน 2012
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุ..สาธุ
    ในธรรมาทานทั้งหลาย ทั้งปวงของท่าน คุณลูกพลัง
    ผมขอขอบใจด้วยความจริงใจ และขอน้อมรับด้วยความเคารพเป็นอย่างยิ่ง

    แต่...กระผมมิอาจรับไว้แต่เพียงผู้เดียว เพราะถ้าไม่มีครูเพ็ญกับคุณแม่สุมาลีละก็ ...จะไม่มีพี่ภูในวันนี้ เช่นกัน
    โดยเฉพาะกับครูเพ็ญ ซึ่งกระผมรักและยกย่อง และเทิดทูลท่านมากเป็นพิเศษ เพราะท่านทำให้ผมได้มีวันนี้ และเห็นธรรมกระจ่างแจ้งนี้ หมดความสงสัยในธรรมนี้ ก็เพราะท่าน..ครูละเอียดท่านนี้แลฯ
    เพราะมาวันนี้ผมยกความดี ความชอบ และยกบุญทั้งหมดนี้ให้กับครูเพ็ญฯ คุณแม่สุมาลี และกับจิตบุญทุกๆท่าน

    และโดยเฉพาะจิตบุญนั้น จะเป็นกำลังสำคัญเพื่อสืบสาน และสานต่อ หน้าที่การงานของพระพุทธศาสนาของพวกเราทุกคน ต่อไปวันในวันข้างหน้า

    ปล. ผมขอยกย่องคุณนะ คุณคือ นักวิชาการแห่งบ้านทรายทอง บ้านรากแก่นแห่งโพธิญาณ
    และขอขอบคุณท่านพ่อที่ส่งคุณลูกพลัง และจิตบุญท่านอื่นๆมาให้ ซึ่งล้วนก็มีคุณภาพทุกๆท่าน
    และผมกำลังมองเห็นอีกสองท่าน กำลังแอบซุ่มทำ ได้แก่ คุณตาดำดำ คุณKongkiatm เพราะสองท่านนี้จะไม่มีทางเชื่อใครง่ายๆ ท่านจะยอมรับก็ต่อเมื่อปฎิบัติได้ เพราะปัญญาท่านมีเยอะ คล้ายๆคุณลูกพลัง นั่นแหล่ะ!
    ทำให้นึกถึง พระอานนท์ที่ท่านสำเร็จพระอรหันต์ช้ากว่าพระสาวกท่านอื่นๆ ก็เพราะว่า
    ติดตัวรู้ ติดตัวปัญญา(ทางโลก)นี้เอง


    โมทนาสาูธุ..สาธุ กับธรรมาทานอีกสักครั้งนึ่ง
    กระผมซาบซึ้งใจ และดีใจที่พระจัดสรร และได้ส่งท่านมาให้กับพวกเรา
    เพราะชาวคณะจิตบุญนั้น จะต้องมีผู้ซึ่งมีความสามารถหลายๆด้าน ที่จะมาช่วยกันทำหน้าที่นี้
    ตามลำพังผมคนเดียว หรือผมกับครูเพ็ญ ก็ไม่สามารถทำภาระหน้าที่ตรงนี้เพียงลำพังคนเดียว หรือสองคนได้
    เพราะอีกไม่นานัก สองคนนี้จักต้องตาย และต้องจากโลกนี้ จากพวกเราไป ไม่วันใด ก็วันหนึ่ง
    เพราะฉะนั้นแล้ว ผมกับครูเพ็ญได้เคยสนทนาธรรมมาครั้งก่อนหน้าแล้ว ว่าจะมีคนมาช่วยเรานะ โดยที่พระท่านจะจัดสรรมาให้พวกเรา แต่เราสองคนจะต้องสร้างบุญ สร้างบารมีของตนเองขึ้นมาเยอะๆก่อน แล้วจึงจะสมหวังที่เราสองคนเคยพูดกันหน้านี้ไว้แล้ว
    เราสองคนก็เคยพูดปลอบใจกันมาตลอด โดยเฉพาะครูเพ็ญ ผู้ที่เคยถอดใจมานานมากแล้ว จนวันหนึ่งเหมือนพระท่านได้จัดสรรให้เราต้องมาพบกันโดยบังเอิญ เพราะเวปพลังจิตนี้ก่อนที่ผมจะได้มาเจอกับครูเพ็ญ ผมก็เคยชอบมาอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีลิงดำจนเกือบจะหมด
    และผมก็หายไปสองปี คือหนีทางโลก ไปแอบปฎิบัติธรรมก็หลายสำนัก
    ก็ไม่เคยเข้าถึงกระแสจิต กระแสธรรมเลย เพราะว่าผมกำลังหาคำตอบที่ดีที่สุดให้กับตนเอง ยิ่งตามไปปฎิบัติที่อื่นก็เหมือน เพราะมันไม่เกี่ยวกับสถานที่เลย เราก็มัวหลงไปปฎิบัติกับวัด กับสำนักกันอื่นๆกันอยู่นั่นแหล่ะ!
    แต่เพิ่งมารู้ในวันนี้เองว่า คำตอบของตนเอง มีดวงตาเห็นธรรม พ้นทุกข์ หลุดพ้นนั้น ที่แท้ที่เรากำลังตามหาอยู่นั้น ก็คือ จิตของตนเอง เท่านั้น
    ที่มีให้กับเราทุกอย่าง แต่เรากลับหาคำตอบที่อื่นๆกัน
    และผมก็อยากจะบอกกับพวกเราว่า สำหรับคำตอบที่พวกคุณสงสัย และอยากได้บุญบารมี อยากพ้นทุกข์ อยากหลุดพ้น อยากได้มรรค ผล นิพพานกันนั้น
    ที่แท้ก็อยู่ในกาย ในจิตของคุณ ทุกๆคนนั่นแหล่ะ!
    แล้วเรามัวไปวิ่งทำบุญ โดยเฉพาะบุญภายนอก ซึ่งถือได้ว่า เป็นได้แค่เปลือกธรรมะ หรือเปลือกบุญ กันเท่านั้นเอง
    อันนั้นมิใช่แก่น
    ผมพูดไม่ค่อยเก่ง แต่พูดให้ฟังได้ทุกเรื่อง แต่อย่ามาถามเรื่องปริยัติ เพราะไม่เคยจบนักธรรมโท-เอก แต่พูดได้เต็มปาก เต็มคำ ว่าจบปฎิบัติ โดยเฉพาะเรื่องจิต แต่จะไม่ขอเจาะลึกในทางธรรม เพราะไม่อยากโอ้อวด และอวดตริมนุษยธรรมนั้นไม่ได้ จึงอยากแนะนำกับพวกเราว่า พระธรรมของพระพุทธองค์นั้น เป็นวิชาที่สุดยอดในโลกแล้ว
    ทั้งแขวงวิชาวิทยาศาสตร์ ทั้งปรัชญา ทั้งไสยศาสตร์ และอื่นๆก็มีอยู่จริงทั้งหมดนี้
    จึงขอเชิญชวนทุกท่านให้เข้ามาพิสูจน์ด้วยตนเอง แต่เราจะต้องผ่านการเดินทางของจิตตนเองเสียก่อนนะ ค่อยไปพูดเรื่องธรรมะกัน เพราะธรรมะก็จะผุดมากัน หลังพวกเราไปพบจิตเดิมแท้กันนั้นแล้ว ธรรมะอันบริสุทธิ์ ธรรมะนั้นจะผุดออกมาเหมือนกับตาน้ำ เมื่อถึงพวกเราเป็น จิตพุทธะกันนะ

    แต่สำคัญอยู่ที่เรา คือจิตของเรา หรือเราเข้าไปถึงจิตของตนเองกันได้แค่ไหน
    จิตก็อยู่ที่เรา แต่ทำไมพวกเราไม่สนใจกัน ไม่หมั่นดูจิตตน
    เพราะก็รู้ทั้งรู้ว่า ความสุขหรือความทุกข์นั้น ก็อยู่ที่จิตของตนเอง ทั้งนั้น
    แต่ทำไมคนส่วนใหญ่ ถึงได้สนใจแค่เปลือกภายนอกกัน แต่เมื่อถึงเวลาทุกข์มาเยือน ตัวเราเองนี่แหล่ะ! จะเป็น จะตายกันให้ได้
    เช่ คนอกหัก รักคุด รักขม รักล่ม รักสามเส้า รักสี่ห้าเส้า รักไม่สมหวัง รักผิดคน รักเมีย/ผัวชาวบ้านเขา รักหลายใจ รักกิ๊ก รักกั๊ก รักเผื่อเลือก รักสำรอง รักแบบเมียน้อย/ผัวน้อย หรือแอบรักกันตอนผัวเผลอ/เมียเผลอเป็นต้น
    เมื่อสุดท้าย เมื่อความทุกข์นั้นมาเยือนกันเมื่อ เราก็จะรู้กันเมื่อนั้น
    สำหรับผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนดูจิต อันนั้นก็ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเมื่อทุกข์มากระทบจิตตนเองก็จะมักรับไม่ได้ รับไม่ไหว ทนไม่ได้ จะตายให้ได้ เขาเรียกว่า ตกนรกกันก่อนแล้ว ทั้งๆที่ยังมีลมหายใจ

    วันนี้ เดี๋ยวนี้ ขอให้พวกเรารีบมาฝึกกันให้ไวๆ
    เพราะทุกคนก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ความตายนั้นเป็นของเที่ยง
    เรามีความตายเป็นของตนเอง
    และเมื่อใกล้จะตายกันแล้ว จะไม่มีใคร สิ่งใดช่วยเราได้เลย
    เพราะชีวิตหลังความตายกันนั้น เห็นมีแต่บุญกับบาปที่ยังคงต้องติดตามดวงจิตของพวกท่านไป ทุกภพ ทุกชาติ
    วันนี้ เดี๋ยวนี้ อย่าพูดคำว่า เดี๋ยวก่อน รอลางานก่อน รอเลิกงานก่อน รอวันหยุดก่อน รอคืนนี้ก่อน รอให้ลูกหลับก่อน รอให้แฟนไปก่อน และก็รอๆๆ อีกมากมาย ตามที่มนุษย์จะอ้างกันไป

    แต่ในระหว่างที่ท่านกำลังรอๆกันอยู่นั้น เมื่อความตายมาถึงท่าน เพราะไม่มีใครรู้วันตายของตนเอง แล้วท่านก็จะหมดโอกาสการทำบุญ ทำบาป ทันที
    แต่ถ้าเราหมดลมหายใจกันเมื่อไหร่กันแล้ว ท่านจะไปขอร้องใคร
    เมื่อท่านยังมีลมหายใจ แต่ไม่สนใจ
    คุณอย่าลืมนะว่า โลกนี้คุณยังมีตาเนื้อ กลางคืนมองไม่เห็นแต่คุณยังมีไฟฉายกัน
    แต่โลกทิพย์ หรือโลกวิญญาณนั้น ไม่มีดวงตา ไม่มีแสงไฟ แล้วท่านจะทำอย่างไร ขอให้ท่านลองนึกถึงความตาย ลองหลับตากันเล่นดูกันสิว่า ท่านจะไปทำอะไร ไปที่ไหนกันได้บ้าง
    ที่พูดวันนี้ให้คิด ให้ได้สติกัน ไม่รัก ไม่เมตากันจะไม่มีใครมาเตือนท่านหหรอก เพราะเสียเวลาภาวนาเหมือนกัน

    ต่อไปนี้กรุณา โปรดอย่าใช้คำว่า รอไปก่อน รอเดี๋ยว ประเดี๋ยวน่ะ!!!
    เลิกกันได้แล้ว แต่ถ้าใครพูดแบบนั้นกันละก้อ ที่ไปของดวงจิตของคุณก็คือ ดินแดนแห่งอบายภูมิ นรกภูมิกันเท่านั้น

    โปรดอย่ารอ คุณครูทุกท่านก็พร้อมจะให้ ให้กันแบบเกิน 100% และไม่หวังผลสิ่งตอบแทนใดๆ เพราะครูทุกท่านก็พยายามจะสร้างบุญบารมี หรือสร้างแสงภายในจิตของตนเองกัน เท่านั้น เพราะนอกจากมีดวงตาเห็นธรรมกันแล้ว ท่านก็ยังจะต้องใช้แสงในดวงจิตของตนไปมรรค ผล นิพพานกัน
    หรือขึ้นอยู่ที่กำลังใจ-บุญ-บารมีของผู้ปฎิบัติเท่านั้น

    ขอให้ทุกๆท่าน ทำหน้าที่การงานกับทางโลกไปพร้อมกับหน้าที่ภาระกับทางธรรม ควบคู่ไปด้วยกัน
    อย่าลืมนะ...เพราะถ้าคุณหมดลมเมื่อไหร่ หน้าที่ทางโลกกับทางธรรมก็จะหยุดกันเมื่อนั้น

    ขอให้ทุกๆท่าน เจริญในศีล ในธรรมยิ่งๆขึ้นไป และสมดั่งใจปรารถนาทุกประการ ทุกๆท่านกันด้วยเทอญ

    สวัสดี ธรรมดา ธรรมชาติ ธรรมะ
    (นี่ขนาดคุยไม่เก่งนะ น้องA-4 ยังเรียกพี่)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 มิถุนายน 2012
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    วันนี้
    ขอโมทนาธรรมกับทั้งสองท่าน คือคุณลูกพลัง กับครูเพ็ญ
    และขอขอบพระคุณที่มาช่วยกันเติมให้กับพวกเรา
    โดยเฉพาะเรื่องการทำจิตเกาะพระ ให้กระจ่างมากยิ่งขึ้น

    ท่านผู้ปฎิบัติ ทำจิตเกาะพระกันทั้งหลาย
    ครูละเอียด+คุณลูกพลัง = ???
    เท่ากับ คุณภาพคับแก้ว สมบูรณ์แบบ
    เพราะท่านมาช่วยกันเติมเต็ม เรื่องจิตเกาะพระได้เป็นอย่างดีเยี่ยม

    การปฎิบัติธรรม คุณรู้ไหม๊ ว่ามันเสียเวลาตรงไหนมากที่สุด
    ตอบ... การเข้าให้ถึงกระแสจิตของตนเองนี่แหล่ะ! ใช้เวลานานมาก
    เพราะการเดินทางของจิตนั้น มิใช่เป็นเรื่องง่ายนัก จิตของมนุษย์นั้นละเอียดอ่อนยิ่งนัก

    เช่น คุณลูกพลัง ท่านปฎิบัติธรรมมาประมาณ 15 ปี เพราะติดอยู่กับฌานลึกมานาน
    ถ้าเป็นผมนะ เลิกทำไปนานแล้ว...5555 ความอดทนน้อย

    การปฎิบัติธรรมกันนั้น
    คุณอย่ามารอให้ตนเองนั้น เรียนจบก่อน ทำงานก่อน เกษียณก่อน หรือรอให้แก่ก่อน
    อันนั้นคิดผิดมากๆ เลย
    เพราะว่า ผู้ที่รู้ทางโลกมาก ที่ได้จากการเรียนรู้ จากตำรา
    อันนั้นจะบอกให้นะว่า ตัวอวิชชาตัวยงเลย เพราะจะไปปิดกั้นมิให้ท่านบรรลุธรรม
    เพราะใครสอนก็ไม่ฟัง ถือว่าตนเองเป็นผู้มีปัญญาเลิศกว่าคนอื่นๆ
    นอกเสียจากตนเองปฎิบัติตามได้ โน้นแหล่ะ จึงจะเชื่อได้สนิทใจ

    โดยเฉพาะผู้ที่สูงอายุ หรือคนแก่นั้น มีเวทนาสูง เพราะว่า โรคปวดหลัง กระดูกเสื่อม จะเป็นอุปสรรค์ที่ในทางปฎิบัติำมาก
    พวกเราก็อย่าเพิ่งไปพูดถึงมรรค ผล นิพพานกันเลย

    เพราะในเมื่อท่านยังเข้าไปไม่ถึงกระแสจิตของตนเองเลย
    จิตของเรา จิตอยู่ที่เรา ก็ยังไม่ค่อยจะยอมเรียนรู้กัน ไม่ยอมจะทำความเข้าใจกันเลย
    และก็อย่าไปพูดถึงธรรมะภายในใจกันเลย ฝันไปเถ๊อะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 มิถุนายน 2012
  11. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    การฝึกสติจากการทำจิตเกาะพระ<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "ca-pub-2576485761337625";/* 336x280 */google_ad_slot = "0551074580";google_ad_width = 336;google_ad_height = 280;//--> </SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js"> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20120613/r20120410/show_ads_impl.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><IFRAME id=google_ads_frame1 height=280 marginHeight=0 src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-2576485761337625&output=html&h=280&slotname=0551074580&w=336&lmt=1340577786&ea=0&flash=11.2.202.235&url=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff178%2F%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1-%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4-334019-125.html&dt=1340577786869&shv=r20120613&jsv=r20110914&saldr=1&correlator=1340577786899&frm=20&adk=1194532324&ga_vid=1088550070.1338520660&ga_sid=1340577786&ga_hid=939944071&ga_fc=1&ga_wpids=UA-7034934-1&u_tz=-240&u_his=40&u_java=1&u_h=550&u_w=979&u_ah=550&u_aw=979&u_cd=32&u_nplug=0&u_nmime=0&dff=verdana&dfs=16&adx=-1&ady=-1&biw=964&bih=463&oid=3&ref=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff178%2F%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1-%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4-334019-124.html&docm=8&fu=0&ifi=1&dtd=46" frameBorder=0 width=336 allowTransparency name=google_ads_frame1 marginWidth=0 scrolling=no></IFRAME>
    การฝึกสติจากการทำจิตเกาะพระ

    สืบเนื่องจากมีสมาชิกท่านหนึ่งได้สอบถามเข้ามาเกี่ยวกับ"การฝึกสติ" จึงเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นๆด้วย จึงขออนุญาตินำมาตอบลงในกระทู้เพื่อเป็นธรรมทานแก่ผู้อื่นๆด้วย ขอโมทนาสาธุกับท่านที่ถามมาด้วย..สาธุ สาธุ

    การฝึกสติในทางพุทธศาสนา
    การปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ส่วนใหญ่ทุกๆสายทุกๆสำนักก็ได้นำคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    นั่นก็คือ การเจริญมหาสติปัฏฐาน4 กาย เวทนา จิต ธรรม มาถ่ายทอดสอนสั่งกันมา
    โดยการเริ่มต้นจากการนำสติไปตามแค่รู้ก่อน(ยังไม่ได้วิปัสสนา) เช่นตามรู้อริยบทของกายเป็นพื้นฐาน ยืน เดิน นั่ง นอน ตามรู้อริยบทต่างๆของกายเพื่อฝึกให้สติมีความไวคล่องตัวในการตามรู้ รู้ๆๆๆๆทุกอย่างที่เข้ามากระทบ
    สติคือ การระลึกรู้ รู้อะไร?ก็รู้ปัจจัยที่มากระทบต่อตัวเรา(จิต)
    ผู้คนมากมายก็แห่กันไปปฎิบัติถือศีล8อยู่วัดก็ได้ผลดี แต่พอกลับมาบ้านสักพักก็เหมือนเดิมคือ สติเผลอเหมือนเดิม
    ส่วนใหญ่ผู้คนที่ปฎิบัติจะไม่ค่อยได้ผล หรือได้ผลแต่ก็น้อยและเชื่องช้า สาเหตุเกิดจากไม่มีกำลังแห่งฌานสมาบัติเป็นบาตรฐานและการปฎิบัติขาดความต่อเนื่องและยังไม่สามารถทำให้จิต จดจำการปฎิบัติได้ ยังติดๆดับๆอยู่ลำ่ไป ผลก็คือ"สติเผลอ"(สติหายไปเลย..ปี๊ดแตกเลย), "สติมาสาย"(ยังดีตามมาทัน..ยังยับยั้งชั่งใจได้), "สติรู้เท่าทัน" (นี่อันนี้ที่เราต้องการ)
    ซึ่งเมื่อพยายามทำซำ้ไปซำ้มาก็แล้ว มันก็ยังเผลออีกอยู่ลำ่ไป ก็เลยกำลังใจหดคิดว่าตนบุญน้อย บางคนเลิกเลย

    ถามว่าแล้วจะทำยังไงไม่ให้"สติเผลอ"น่ะ? ก็มันชอบเผลอนี่..
    ถ้าจิตเรานิ่ง(ไม่แส่สายไปที่อื่นๆ) สติก็จะไม่เผลอ ถ้าจิตเรานิ่งได้นาน สติก็จะรู้เท่าทัน รู้สึกตัวทั่วพร้อมได้นานเช่นกัน
    ถามแล้วทำยังไงให้จิตมันนิ่ง และให้นิ่งนานๆด้วย?
    จิตจะนิ่งได้ก็แปลว่าจิตต้องเป็นสมาธิ และจะให้จิตนิ่งได้นานก็แปลว่าจิตจะต้องทรงสมาธิ(ทรงฌาน)ได้นานๆนะซี่..
    ถามแล้วจะทำงัยให้จิตทรงสมาธิทรงฌานได้ยาวนานๆล่ะ?
    ก็ทำจิตเกาะพระซิครับ.. นอกจากจะได้ทรงฌานตลอดเวลาแล้วยังได้ทรงสติด้วย(คือระลึกรู้ถึงพระอยู่ตลอดสติไม่เผลอ ถ้าลืมนึกถึงพระก็แปลว่าสติเผลอ.. อันนี้ขอตอบคำถามท่านผู้ที่ถามมาว่า การทำจิตเกาะพระแล้วมันฝึกสติยังงัย?)
    สรุปว่าการทำจิตเกาะพระเป็นการทำให้จิตทรงฌานได้ยาวนานตลอดเวลา จึงเป็นผลให้จิตนิ่งและนิ่งได้นานๆด้วย จึงเป็นผลให้"สติไม่เผลอ" สติรู้เท่าทันจิต รู้เท่าทันปัจจัยกระทบที่มาจากทั้งภายในและภายนอกขันธ์
    แล้วตอนนี้แหล่ะ พอสติเรารู้เท่าทันหรือสติไวพอแล้ว เราก็สามารถเจริญสติปัฏฐาน4ต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผลแล้วจึงจะสามารถที่จะวิปัสสนาให้เกิดปัญญาวิมุติต่อไปได้
    จะเห็นได้ว่า สมาธิ(ฌานหรือจิตนิ่งสงบ)กับสติ สองอันนี้เป็นสิ่งที่ยึดโยงกัน หนุนเนื่องเกื้อกูลซึ่งกันและกันไม่อาจแยกจากกันได้
    จิตไม่นิ่ง-สติก็เผลอตลอด
    จิตนิ่ง-สติก็รู้เท่าทัน
    หลายๆท่านกระโดดเข้าไปปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐานโดยที่ไม่มีกำลังฌานสมาบัติเป็นบาตรฐาน จึงไม่ค่อยที่จะประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ยิ่งถ้าไปพิจารณาไตรลักษณ์แล้วก็จะตัดไม่ขาดปลงไม่ลง มันแค่เป็น "วิปัสสนึก" พอกลับถึงบ้านก็เหมือนเดิมแล้ว
    ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่บางท่านปฎิบัติมีความเพียรมาหลายๆปีแต่ไม่ก้าวหน้าเพราะว่าไม่มีกำลังแห่งฌานสมาบัติที่ต่อเนื่องยาวนานนั่นเอง..

    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยครับ.. สาธุ สาธุ

    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ความว่าง ก็คือ ความว่าง<!-- google_ad_section_end -->


    สาธุ๊ สาธุ โมทนาบุญกับคำตอบค่ะ พี่ลูกพลัง ได้ของแถมมาด้วยหนึ่งบทใหญ่ ขอก๊อปไปให้เพื่อนๆ อ่านกันด้วยนะค่ะ สาธุ ดีใจกับคุณพี่ภูและชุมชนบ้านรากแก่นแห่งโพธิญาณค่ะ ที่ได้คุณลูกพลังมาเป็นฝ่ายวิชาการ ท่านเหมาะสมจริงๆ กับตำแหน่งนี้..
     
  12. urairatvi

    urairatvi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +2,401
    ขออนุญาติคุณลูกพลัง กอปปี้ข้อความด้านบนไปแจกเพื่อนนะคะ จะได้ขยายชุมชนจิตเกาะพระกระจายไปทั่วคะ ขอบพระคุณคะ...
    ขอบพระคุณคุณครูภูสำหรับการcheer up ในทุกคำ่เช้าและธรรมมะดีๆไม่ให้จิตไหลลงตำ่คะ...
    ขอบพระคุณคุณครูวิทย์ที่เมตตาคอยตรวจการบ้านให้ทุกวัน จะตั้งใจให้มากสมกับที่เป็นศิษย์ครูคะ และที่ครูช่วยสละเวลาในการช่วยยกจิตคะ ตอนนี้จิตเกาะพระได้ดีขึ้นเรื่อยๆคะ...
    ขอบพระคุณจิตบุญทุกท่านที่คอยเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน ไม่ทอดทิ้งกันและนำสิ่งดีๆมาให้กันเสมอ อบอุ่นๆจริงๆคะ...
    เราจะก้าวไปด้วยกันคะ สู้ตายคะ!!!
    ขออนุโมทนาบุญทุกประการกับชาวจิตบุญทุกท่านคะ...
    บุญรักษาคะ...
     
  13. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    ขณะใดที่เราภาวนา แล้วจิตของเราสงบ นิ่ง สว่าง
    หรือไปรู้สึกนิ่งแจ่มๆ อยู่ในจิตในใจก็ตาม

    นั่นแสดงว่า จิตใต้สำนึกของเรากำลังเริ่มตื่นขึ้นแล้ว
    ทีนี้เมื่อเราฝึกต่อเนื่องกันทุกวัน จนคล่องชำนิชำนาญ
    เราสามารถทำจิตให้สงบได้ ตามที่เราต้องการ
    เมื่อจิตสงบลงนิดหน่อย
    เราจะน้อมไปใช้ประโยชน์ในทางไหนก็ได้
    อยากจะเป็นหมอรักษาคนไข้
    ก็สำรวมจิต อธิษฐานแผ่เมตตาให้คนไข้
    แม้เพื่อนฝูงของเราเจ็บไข้ อยู่ในที่ห่างไกล
    เรานั่งสมาธิสำรวมจิต แล้วอธิษฐานจิตแผ่เมตตา
    ให้เพื่อนของเราที่กำลังป่วยไข้ ก็สามารถที่จะหายได้


    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จิตเป็นทิพย์ หมายถึง?​


    (แบบอานาปานสติ)
    ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลายเธอจงเป็นผู้มีสติ หายใจเข้า จงรู้ว่าเป็นผู้หายใจเข้า เมื่อหายใจออกก็จงรู้ว่าเป็นผู้หายใจออก" หมายความว่า การรู้ลมหายใจเข้า รู้ลมหายใจออกนี่เราไม่ต้องระวังกัน ไม่ต้องตั้งท่า ไม่ต้องหาเวลา เป็นเวลาใดก็ตาม เวลาที่กินข้าวอยู่ก็ดี หรือว่าทำการงานก็ดี เวลาพูดคุยกับเพื่อนฝูงก็ดี เดินไปก็ดี ยืนอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดี ทุกอิริยาบทเราสามารถรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออกได้อย่างสบาย อย่างนี้เรียกว่าเข้าถึงอานาปานาสติ มหาสติปัฏฐานสูตรข้อนี้แล้ว

    เรื่องของพระกรรมฐานกับนิมิตเป็นของธรรมดา นิมิตของอานาปานาสติกรรมฐานก็มี เช่น สีเขียว สีแดง สีสว่างคล้าย ๆ แสงไฟฉาย หรือเหมือนแสงฟ้าแลบ การที่จะได้บุญ อยู่ตรงที่จิตเป็นสมาธิ ตัวบุญอยู่ที่จิตเป็นสมาธิที่มีอารมณ์ตั้งมั่น ไม่ใช่อยู่ที่องค์ภาวนาอย่างเดียว การภาวนาด้วย ก็เพื่อจะใช้อารมณ์ยึด คือ สติ ให้รู้อยู่ว่าเรากำหนดลมหายใจเข้าออก หรือว่าเราภาวนาว่ายังไง แล้วก็ควบคุมอารมณ์อยู่เฉพาะอย่างนั้นอย่างเดียวให้เป็นเอกัคคตารมณ์ คำว่า เอกัคคตารมณ์ แปลว่า เป็นหนึ่ง ตัวบุญใหญ่คือ การทรงสมาธิจิต ถ้าสมาธิทรงได้สูงมากเพียงใด นิวรณ์ที่จะมากั้นความดีคืออารมณ์ของความชั่ว คำว่านิวรณ์ได้แก่ อารมณ์ของความชั่ว ถ้าขณะใดจิตทรงสมาธิที่เรียกกันว่าเป็นฌาน คำว่าฌานนี้ แปลว่า การเพ่ง การทรงอยู่ของจิต จิตเพ่งอยู่เฉพาะอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง อันนี้เราเรียกกันว่า ฌาน

    เมื่อเรามีสติสามารถจะรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ที่กระทบเข้าและกระทบออกที่จมูกได้ เข้าก็รู้ออกก็รู้ จิตก็จะเริ่มเป็นสมาธิ สมาธิขั้นต้นเรียกว่า ขณิกสมาธิ แปลว่า สมาธิเล็กน้อย เมื่อขณิกสมาธิละเอียดขึ้น จิตก็จะเข้าสู่อุปจารสมาธิ ตอนนี้อารมณ์ของที่เป็นทิพย์จะปรากฎ จิตเป็นทิพย์ คือ จิตย่อมว่าจากกิเลส จิตว่างจากนิวรณ์ทั้ง ๕ เมื่อจิตว่างจากนิวรณ์ ๕ ประการแล้ว จิตก็สามารถจะเป็นทิพย์ แต่จะเป็นมากหรือเป็นน้อยขึ้นอยู่กับสมาธิจิต จะเห็นแสง เห็นภาพ แต่ภาพที่ปรากฎก็ดี แสงสีที่ปรากฎก็ดี จงอย่าเอาจิตเข้าไปเกาะ เพียงกำหนดว่า ถ้าหากว่าเราเห็นนานหรือเร็ว จงรู้ตัวว่า นี่จิตของเราเป็นทิพย์ เข้าสู่อุปจารสมาธิ
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เกรงว่าจะมีคนเบื่อทำจิตเกาะพระกัน

    แต่ถ้าวันใด จิตของตนเบื่อ อนุญาตให้ทำอานาปานนุสติกรรมฐาน ไปพลางๆก่อนก็ได้ เป็นการชั่วคราว
    แต่สำหรับผู้มาใหม่ จะให้ดีที่สุด พยายามปฎิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง
    หรือทำจิตเกาะพระเพียงอย่างเดียวไปก่อน จนจิตจะชิน จนจิตจับภาพพระได้แนบแน่นแล้ว ค่อยมาทำกรรมฐานกองอื่นๆ สลับกันไป

    กรรมฐานมี 40 กอง เมื่อท่านทั้งหลายลองกันมาก็หลายกอง ปฎิบัติธรรมกันมาก็หลายปีแล้ว แต่รู้สึกเหมือนว่า พายเรือในอ่างน้ำ คือไม่ค่อยจะเจริญในศีล ในธรรม สาเหตุหลักๆก็ขาดความต่อเนื่อง นั่นเอง
    แต่การปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระนี้ เป็นการรวมกรรมฐานทั้งสองควบคู่กันไป ก็คือ พุทธานุสติ+กสิณ คือการเพ่งพระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าอื่นๆ เป็นอารมณ์ จนภาพพระปรากฎขึ้นอยู่ภายในจิตของเรา
    และนี่คือ เป็นกระบวนการเดินทางของจิตที่รวดเร็ว และเป็นทางลัด ที่จะทำให้จิตรวมตัวเป็นหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว

    เพราะฉะนั้นการปฎิบัติธรรม จะได้มรรค ผล นิพพานกันไวๆนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับ จิตเป็นทิพย์ไวหรือไม่ หรือยากตรงครั้งแรกๆที่จะเข้าไปดูจิตของตนนั้น
    ทั้งหลาย ทั้งปวง ก็เพราะว่า สติตัวเดียวที่จะสามารถเข้าให้ไปถึงจิตกันได้เมื่อไหร่ ตอนไหนกันเท่านั้น
    เมื่อพวกเราสามารถเข้าไปได้กันแล้ว แต่ก็ต้องอาศัยเร่งความเพียรให้มาก คือเราจะต้องทำบ่อยๆ ขยันทำบ่อย
    ใหม่ๆขอให้สร้างสติเพียงอย่างเดียว

    จริงๆแล้ว ผู้ปฎิบัติแทบจะไม่ต้องเข้ามาอ่านจากกระทู้ก็ได้ แต่สำหรับผู้ที่ทำความเข้าใจแล้วนะ ก้มหน้า ก้มตาปฎิบัติลูกเดียวกันนะ และก็ขยันส่งการบ้าน
    ข้อดีสำหรับผู้ที่ส่งการบ้านก็คือ ส่งการบ้านอะไร ก็ส่งที่คุณขณะมีสติกันแล้ว คุณก็สามารถดูและรู้ว่าจิตกำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน
    แต่สำหรับผู้ไม่มีการบ้านส่งครูก็คือ ผู้ไม่มีสติเพียงพอ นั่นเอง
    เพราะการจะส่งการบ้าน ก็คือ การเขียนรายงานอาการ หรืออารมณ์ของจิตตนเอง เพียงเท่านี้เอง

    สำหรับผู้ที่บอกว่า ไม่รู้จะเขียนอะไรส่งครู ก็ให้รู้เลยนะว่า คุณมีสติไม่มากพอ จึงไม่รู้ว่าจิตของตนกำลังทำอะไร หรืออยู่ที่ไหน

    พอจะจับทิศทางของตนกันได้หรือยัง?
    คนที่ตั้งใจนะ บอกได้คำเดียวว่า จิตยกทุกคน
    แต่ถ้าจิตดื้อ จิตแข็ง จิตมีอวิชชาเยอะ อันนั้นก็ต้องขออาราธนาบารมีกับท่านพ่อเอากันเอง เพราะครูๆทั้งหลายก็หมดปัญญาเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่หมด
    เพราะครูไม่ใช่เทวดานะ กิน นอน เดินบนดิน ขับถ่ายเหมือนกันหมด
    ผิดแต่ ครูไม่รู้สึกเป็นทุกข์ เพราะจิตยกเหนือกาย เหนือสิ่งที่มากระทบทั้งปวง
    เพราะจิตไม่ได้ไปยึดถือ หรือเกี่ยวข้องกับ คำว่า ขันธ์5 กันมากนัก
    จิตไม่รู้สึกว่าเป็นทุกข์กันนั้น ก็คือ รู้ว่าร่างกายนี้ มิใช่ของตนเองจริงๆ
    แต่เป็นของทางโลก เสร็จจากการหายใจกันแล้ว ก็คือ ตาย ที่เหลือก็เป็นสมบัติของโลก
    จริงไหม๊? ถ้าไม่จริงก็ยึดกันไปนะ ทุกข์กันมากเมื่อไหร่ ก็ค่อยมาทำจิตเกาะพระกันต่อไป

    พร่ำจนคอแห้ง พร่ำไปจนกว่านักวิชาการ นักเทศน์จะออกมากัน...555

    จิตผู้ใดรวมตัวเป็นหนึ่ง อยู่ภายในกาย ภายในจิต = จิตเป็นบุญ เป็นกุศล
    แต่จิตผู้ใด ตรงกันข้าม = จิตไม่ได้บุญ เป็นบาป เป็นอกุศล เผลอๆไปรับเอาความทุกข์เข้ามาใส่ตนเอง

    เลือกกันเอาเองนะ

    ครูทั้งหลายกำลังคอยช่วยปรับ/จูน/แก้ไข จิตของพวกเรากันอยู่นะครับ
    แต่ถ้าเมื่อไหร่ เน็ตใช้ไม่ได้ตลอดไป คุณก็นั่งหลับตานึกกันเอาเองนะ
    บ้านใครบ้านมัน หลับตานึกถึง/ระลึกถึงพระพุทธเจ้ากันเอาเองนะจ๊ะ...ที่รัก

    ยาวจนได้...
     
  16. แสงจันทร

    แสงจันทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +2,618
    สวัสดีค่ะพี่ภู ครูเพ็ญ ครูดัชนี ครูอัญญะมณี ครูวิทย์ ครูลูกหว้า ครูลูกพลัง ครูนิวเวฟ ครูนก ครูจารุณีและทุกท่านค่ะ

    ขอรบกวนถามพี่ภูว่าให้ถ่ายภาพออร่านั้นต้องไปถ่ายที่ไหนค่ะ เพราะไม่ทราบค่ะ แต่เคยมีคนมาทักว่ามีแสงออร่าที่ดี ตอนนั้นก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจมากนัก ช่วงไม่นานมานี้รู้สึกตอนนั่งสมาธิเห็นมีแสงสีขาวออกมา ไม่ทราบว่าเป็นแสงออร่าหรือเปล่า พอพี่ภูให้ดูความหมายของสีออร่ารีบอ่านสีขาวก่อนเลยค่ะ ขอบคุณพี่ภูมากนะค่ะ
    ตอนนี้ฝนตั้งเค้ามาแล้วเดี๋ยวต้องไปจัดการก่อนแล้วจะมาใหม่นะค่ะ ทุกบ่ายจะทำสมาธิเพิ่มขึ้นและแผ่เมตตาด้วยเป็นกำลังส่วนหนึ่งแม้จะเล็กเล็กให้พี่ภู ครูเพ็ญ ครูดัชนี ครูวิทย์ ครูลูกหว้า ครูลูกพลัง ครูนก ครูจารุณี ครูนิวเวฟ ครูอัญญะมณี รวมถึงท่านจิตบุญทุกท่านและผู้ที่กำลังฝึกจิตเกาะพระทุกท่าน เราจะก้าวไปสู่แดนนิพพานด้วยกัน เพื่อไม่ต้องเกิด ไม่ต้องตาย ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องสุขอีกตราบนิรันดร์กาล
     
  17. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    หุหุ ขาดหายไปหลายวัน ได้เข้ามาอ่านธรรมะ อร่อยเหาะ
    อ้าว ไหงมาเกี่ยวกับ ดชน ล่ะ พี่ภู บ๊เกี่ยวกันเด้อ 5555
    ยังอารมณ์ดีเมี๊ยนเดิม 55555
     
  18. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    โมทนาสาธุกับคุณแสงจันทรจริงๆค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  19. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    555555 เข้าไปดูในเมลล์เลยนะ เวลาตรงกันดีเจงๆ 555555
     
  20. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    พึ่งกลับมาจากหาหมอครับ

    กายนี้ ไม่เที่ยงเลย เดี๋ยวป่วย เดี๋ยวงอแง

    ......

    ถ้าพรุ่งนี้ผมทำอะไรไม่ได้เลย ผมจะทำไง คนที่สอนอยู่จะทำไง ครอบครัวจะทำไง

    คำตอบคือ ไม่ทำไง มันยังเป้นอนาคต

    ถ้าเกิดจริง ทุกคนก้อยังอยู่กันได้ ตามอรรถภาพ

    แต่จิตนี่สิ จะไปยังงัย

    คนที่เรียน ก้อไปเรียนกับจิตบุญดวงอื่นต่อไปได้

    แต่คนที่ยังไม่เจอเรานี่สิ เค้าจะไปยังงัย น่าสงสารเนอะ

    ปวดนะ ตอนนี้ แต่ก้อปวดไง จะให้ทำไง กายก้อปวดไป แต่จิตยังทำงาน ยังน้อมรับใช้พระพุทธองค์ทุกขณะจิต

    ขอให้ทุกท่านน้อมรับบุญทั้งหมดทั้งมวลที่ข้าพเจ้าทำมา พลังพุทธะจากข้าพเจ้าด้วย

    ขอให้ทุกท่านถึงนิพพานในชาตินี้ด้วยเทอญ

    สาธุ

    เิกิด มาแล้ว จะกลัวอะไร กับ แก่ เจ็บ ตาย ... ก้อแค่นั้น

    ธรรมชาตสวัสดี

    วิทย์ จบ.11
     

แชร์หน้านี้

Loading...