จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    รู้ และจะเดินหน้า เพราะไม่ชอบถอยหลัง
    โมทนาสาธุการ
     
  2. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ยินดีต้อนรับอีกครั้งครับท่าน ...
    ตอนนี้ปฎิบัติเป็นอย่างไรบ้างครับ

    พร้อมรึยังครับ
     
  3. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ไม่ใช่เลยพี่เพ็ญ .. คุณเกษไม่ใช่เจ๊ดัน แต่เค้าคือ หมู..เอ้ย แมวมองคร้าบบบบบบ
    ส่ง PM ไป ..ไม่รอดสักราย สงสัย ร่ายมนต์มัดใจไปด้วย ..แต่มนต์นี้คือ ธรรมะในจิตของคุณเกษ ที่ไปสะดุดใจเค้านะครับ

    จึงมากันเพียบบบบบ

    เอาละ พจน์ อานนท์ มีคู่แข่งแล้ว .... ขอ ป้าดดดดดดดดดดด ด้วยคนนะครับ 5555
     
  4. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ช่วงนี้รู้สึกกระทู้เราจี้ดจ้าดมั่กๆๆๆๆ
    เหตุเป็นเพราะ ท่านพี่เรา กลับมาจากทาสีหลังคาแล้วนั่นเอง....

    เมื่อแม่ทัพหญิงมาจับคู่กับแม่ทัพชาย ... บรื้อๆๆๆๆๆๆๆ
     
  5. ่jarunee

    ่jarunee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +1,917
    [​IMG]
    หลวงปู่ขาว อนาลโย



    สติ
    สตินี่ ทำให้มันมีกำลังดีแล้วจิตมันจึงจะล่วง เพราะสติคุ้มครองจิต ตัวสติก็คือจิตนั่นแหละ แต่ว่าลุ่มลึกกว่า

    สตินั่นอบรมจิต ครั้นอบรมจนขั้นจิตรู้เท่าตามความเป็นจริงแล้ว มันจึงหายความหลง พบความสว่าง ความหลงนั้นก็คือไม่มีสติ ครั้งมีสติคุ้มครองหัดไปจนแน่วแน่แล้ว ให้มันแม่นยำ ให้มันสำเหนียกแล้ว มันจะรู้แจ้งทุกสิ่งทุกอย่าง


    สติแก่กล้าจิตย่อมทนไม่ได้ เมื่อทนไม่ได้ก็สงบลง ครั้งสงบลงแล้วมันก็รู้ เดี๋ยวนี้มันไม่มีปัญญา มันก็ส่ายไปมาเพราะมันไปหลายทาง จิตไปหลายทางเพราะเป็นอาการของมัน


    เมื่อผู้วางภาระ คือว่าง ไม่ยึดถือว่าขันธ์ห้านี้เป็นตัวเป็นตนแล้ว ไม่ยึดถือแล้วปลงเป็นผู้วางภาระก็มีความสุข จะยืน เดิน นั่ง ก็มีความสุข ไม่ยึดถือเพราะรู้ตามความเป็นจริงของมันแล้ว ไม่ถือเอา ไม่ยึดเอา ได้ชื่อว่าเป็นผู้ขุดตัณหาขึ้นได้ทั้งราก เป็นผู้เที่ยงแล้ว เที่ยงว่าจะเขาสู่ความสุข ตามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้เที่ยงแล้ว เมื่อจิตมันรวมมันก็รู้ตามความเป็นจริง มันจะวางขันธ์นี้ เมื่อมันรวมนั้นแหละ ถ้าจิตรวมแล้วมันก็วาง วางแล้วก็มีแต่ว่าง ๆ แล้วค้นหาตัวก็ไม่มี เมื่อค้นหาตัวไม่มีแล้ว ก็อันนั้นแหละ จิตพอสงบลงแล้วปัญญาก็เกิดขึ้นเองน่ะแหละ ถึงตอนนั้น แม้จิตมันฟุ้งขึ้นมาแล้วมันก็ไป มันไม่มีอันใด แม้แสงสว่างหมดทั้งโลกก็ตาม มันไม่ไปยึด


     
  6. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->natthapatpun<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_6414453", true); </SCRIPT>
    สมาชิก
    ทุกอย่างอยู่ที่เรา(จิต)กำหนดพี่ภู
    จิตบุญไม่ต้องให้กรรมมากำหนด

    เพราะจิตเหนือกรรมแล้ว
    กรรมเป็นของขันธ์ห้าไม่ใช่ของเรา(จิต)
    -------------------------------------------

    ฮิ้วววว(ส่งเสียงเลียนแบบ ครูดัช);k06
     
  7. camrymax

    camrymax นายองครักษ์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    468
    ค่าพลัง:
    +1,257
    ดึกแล้วยังไม่นอน กันเหรอครับ..พี่ๆ.
     
  8. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    natthapatpun, ภูทยานฌาน2

    555 เหลือเราสองคนตายายเฝ้ากระทู้
    งั้นยายขอลาตาไปนอนก่อนนะจ๊ะ
    ราตรีสวัสดิ์จ้ะตาจ๋า^.^
     
  9. natthapatpun

    natthapatpun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,124
    ค่าพลัง:
    +25,214
    ยายกำลังจะไปนอนจ้ะลูกหลาน
    เหอ ๆ ลูกหลานก็นอนดึกเหมือนกันเด้อ
    ยังไงก็ดูแลขันธ์ห้าบ้างเด้อ
    เพราะเราต้องอาศัยขันธ์ห้า
    เป็นฐานการงานของจิต
    ไปจนกว่าจะถึงนิพพานเด้อลูกหลานเอ้ย
    ราตรีสวัสดิ์เด้อครั้บ
     
  10. Plapersia

    Plapersia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2012
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +775
    สวัสดีค่ะ แวะมาทักทาย ^^
    ในที่สุดก็ได้เล่มนี้มาครอบครองฮ่าๆ ไว้จะเอาบทความเด็ดๆมาฝากนะคะ

    [​IMG]

    วันนี้ขอฝากไว้ว่า

    เราสามารถเอา "ตัณหา"(ความอยาก) ไปละความอยากได้ เหมือนที่เราใช้มือล้างมือ
    เท้าล้างเท้า เช่น พอเราเห็นคนอื่นพัฒนาตนจนเป็นพระอรหันต์ เราก็บอกตัวเองว่า
    คนอื่นก็คน เขาเป็นพระอรหัตถ์ได้ ทำไมฉันจะเป็นบ้างไม่ได้ กิเลสในทางมีมานะ
    และเป็นแรงขับให้พัฒนาตนอย่างนี้ ท่านเรียกว่า เอาตัณหามากำจัดตัณหา
    พอกำจักตัณหาได้แล้ว ตัณหาก็หายไป


    นี่คือตัวอย่าง แม้แต่กิเลสก็มีคุณเหมือนกันถ้า บริหารจัดการ ให้เป็น
    แต่ถ้าบริหารจัดการไม่เป็น เราจะเป็นฝ่ายถูกกิเลสจัดการ
    เปรียบอีกนัยนึง กิเลส เหมือน ไฟ ไฟนั้นถ้าเรารู้จักใช้อย่างมี ปัญญา
    ก็เป็นประโยชน์ในการหุงหาอาหาร แต่ถ้าเราปล่อยละเลยไป
    ไฟที่เคยใช้หุงหาอาหารอันมีประโยชน์นั่นแหละก็อาจจะลุกพรึบขึ้นมา
    ไหม้บ้านเรือนได้ แต่ก็นั่นแหละ การใช้กิเลสชนะกิเลสเป็นภาวะที่ไม่ปลอดภัย
    ท่านจึงสอนให้ เราเอาชนะกิเลสด้วยสติปัญญา ซึ่งเป็นวิธีการที่ถูกต้อง
    รับรองได้ผลแท้จริง เหมือนเรารักษาโรคด้วยวิทยาการจากแพทย์
    ซึ่งเชื่อถือได้มากกว่าการวางใจพ่อมดหมอผีมารักษา

    ว.วชิรเมธี


    ขออนุโมทนาบุญให้ท่านมากๆนะคะ ธรรมะท่านโดนใจจริงๆ^^
    มาทำ จิตเกาะพระ เยอะๆนะคะ มาทำด้วยกันนะคะ

    ขออุทิศบุญกุศลที่ข้าพเจ้ามีทั้หมดให้บิดามารดาของข้าพเจ้า พี่ๆน้องๆกลุ่มจิตบุญ
    และผู้ปฏิบัตจิตเกาะพระทุกๆคนนะคะ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะคะ ^^
     
  11. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    ความฝัน

    [​IMG]



    หลายคนอาจเคยฝันหลายครั้งในชีวิต
    บางคนฝันวันหนึ่งก็หลายเรื่อง
    บางเรื่องมีทั้งเรื่องดี ทำให้อยากฝันต่อ
    บางเรื่องมีแต่เรื่องร้าย อยากตื่นเท่าไรก็ตื่นไม่ได้

    ความฝัน ที่เราฝันๆ กันนั้นอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ
    ตั้งแต่ธาตุขันธ์มีการปรับตัวระหว่างที่เรานอน
    ไปจนถึงอาจมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    หรือพลังงานเหนือธรรมชาติทำให้เราฝันแปลกๆ








    แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตามที
    ความฝันที่เกิดขึ้นคนส่วนใหญ่มักขาดสติ
    ฝันดี ก็เข้าข้างตัวเองหน่อยว่าที่กำลังเจอในฝันอยู่นี่
    ช่างหอมหวานเสียจริง

    หรือที่ฝันร้ายอยู่นี่มันช่างทุกข์ทนเหลือเกิน
    ฝันถึงอดีตวันวานที่ขื่นขม









    เจอความสุขในความฝันก็อยากจะเสพให้สุขสม
    เจอความทุกข์ในความฝันก็อยากจะวิ่งหนีไปให้ไกล
    แต่วิ่งเท่าไรกายเราก็ไม่ตื่นสักที
    แล้วเพราะเราขาดอะไรกันถึงตื่นกันไม่ได้?


    แต่เมื่อเราตื่นมาจากฝันดี ก็คร่ำครวญ
    นึกถึงฝันนั้นว่าหอมหวานเช่นไร

    หรือเมื่อเราตื่นมาจากฝันร้ายก็ร้อนรน
    กลัวที่ตนฝันนั้นจะเป็นจริง









    แต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะถามตัวเองหลังตื่นจากฝันว่า...
    เราจะเอาอะไรจากความฝันกัน?
    เราจะเอาอะไรกับเรื่องสมมติ?
    เราจะอะไรกับความสุขชั่วคราว?

    และไม่หวนนึกไปถึงว่า...
    ทำไมมนุษย์ถึงชอบความสุขชั่วคราว?
    ทำไมมนุษย์ชอบจมปลักกับความทุกข์ของวันวาน และอนาคต?







    แต่ที่เรานอนหลับแล้วฝันไปทั้งหมดมันก็ไม่มีตัวตน
    ฝันแล้วก็จบไป
    กับเรื่องสมมติที่บางทีก็มีสติตามทันบ้าง ตามไม่ทันบ้าง

    รู้ตัวว่าฝันอะไรบ้าง หรือไม่รู้ตัวเลยว่าฝันอยู่
    (มันเหมือนจริงมากๆ)


    สิ่งเหล่านี้มันเกิดและดับอยู่ทุกวัน
    แต่เราก็ยังฝัน และหลับๆ ตื่นๆ อยู่ดี...







    แต่ฝันที่เจอในตอนที่กายหลับก็ยังไม่เท่า
    ความฝันที่เราเจอตอนกายตื่น

    ท่านว่าจริงไหม?




    ฝันตอนลืมตาตื่นมันเป็นอะไรที่ซับซ้อน ยอกย้อน
    ตรงจิตบ้าง ไม่ตรงจิตบ้าง
    เช่น อยากไปช้อปปิ้งที่ห้างดัง แต่ดันได้ไปแค่ร้านขายของชำ
    หรืออยากได้ไอโฟนก็ไปซื้อมาตอบสนอง
    ความต้องการของตัวเองทันที

    ฝันอยากได้นู้น ฝันอยากกินนี่ ฝันอยากไปเที่ยวที่นั่น ฝันอยากรวย อยากสวยหล่อเหมือนคนนี้ ฝันๆๆๆ






    แต่เราฝันเท่าไรก็ไม่รู้จักพอหรอก
    เพราะต่ิอให้รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไร หรือทำอะไร
    แค่สติอย่างเดียวก็ไม่พอ...






    ในความฝันที่กายหลับ...
    ถ้าสติตามทัน เราก็ตื่น เกมก็จบ ฝันนั้นก็จบลง


    แต่ในความฝันที่กายลืมตาตื่น...
    ถึงสติตามทัน รู้ว่ากายอยากไปไหน อยากทำอะไร

    มีสติอย่างเดียวอาจจะไม่ทันสิ่งนั้นก็ได้...
    สิ่งนั้นคืออะไร?









    แล้วทำอย่างไรให้เราตามกิเลสทัน?
    ก็ฝึกมีสติมากๆ
    พยายามอยู่กับพระทุกขณะจิตเท่านั้นเอง
    แค่เราอยู่กับปัจจุบัน ไม่ปรุงแต่ง ไม่ฟุ้งซ่าน
    จะฝันกายหลับ จะฝันกายตื่นเราก็รู้ๆๆ และวางได้...
    แต่ก็ไม่แน่..
    ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวว่าจะหลอกตัวเองไปอีกนานแค่ไหน





    หลอกตัวเองว่า
    ความฝันตอนกายตื่นที่ชอบตอบสนองกิเลสเล็กๆ น้อยๆ เนี่ย
    คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง?

    มันก็แค่ของเล็กน้อย
    ใครๆ ก็ทำแบบนี้กัน
    ใครๆ ก็มีกัน
    ใครก็ฝันอยากได้กันทั้งนั้น







    แต่ใครจะรู้ละว่าตื่นจากฝันที่แท้จริงนั้นเป็นเช่้นไร?

    แล้ววันนี้ท่านเป็น "ผู้ตื่น"หรือยัง?



    ปล. ที่หายไปน่ะงานวิชาเรียนเยอะ หมูก็ยังคิดถึงพี่ๆ ที่นี่เหมือนเดิม มาอ่านบ้าง ไม่ไ้ด้อ่านบ้างก็แล้วแต่วัน... ขออภัยที่ทำให้หลายท่านถามหา ที่แวะมาพิมพ์เรื่องนี้ เพราะหมูเพิ่งตื่นจากฝันร้าย แหะๆ... เลยรีบมาเล่าให้อ่าน เดี๋ยวจะลืม..
    หมูไปนอนล่ะนะ เผื่อเจอฝันดี (นั่นไง.. ) ล้อเล่นค่ะ กายเราใช้งานหนัก เราก็ต้องพากายไปพักผ่อน... ขอให้ทุกท่านมีแต่ความสุขกาย สบายจิตตลอดวันนะคะ

     
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จิตคุณอยู่โลกมายา หรือโลกทิพย์?

    ***โลกมายา คือโลกจอมปลอม โลกแห่งความหลอกลวง โลกแห่งความทุกข์ โลกกิเลส ตันหาและอุปทาน
    คือ โลกสุขชั่วคราว ส่วนที่เหลือคือ ทุกข์ทั้งนั้น และเรากำลังหลอกตัวเองยังไม่พอ ยังจะหลอกคนอื่นตามไปด้วย หยุดเถิดผู้ที่กำลังหาสุข วิ่งหนีทุกข์
    หรือโดยเฉพาะพวกที่ฝากความสุของตนเองไว้กับคนอื่น(โดยเฉพาะคนที่เรารัก) หรือสิ่งอื่นๆ
    ขอให้คิดกันใหม่นะ คุณกำลังประมาท เพราะทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง เพราะมันจะกลับมาทำร้ายคุณทีหลัง คอยชม!

    ***โลกทิพย์ คือโลกจิตวิญญาณ โลกแห่งสติปัญญา โลกแห่งความจริง
    คือ โลกสุขชั่วถาวร เพราะผู้ที่ดูจิต ดูแล้ว รู้แล้ว เข้าใจแล้ว เพราะจิตเข้าไปถึงที่สุดแห่งธรรมชาติ
    หรือจิตไปรู้ความจริงธรรมชาติของจิตตนเอง คือ รู้ความเกิดดับของธรรมชาติแห่งจิต

    และคุณเท่านั้นที่จะเป็นฝ่ายที่ต้องเลือกเอง
    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

    คำว่า "หลง"
    ไม่รู้จะหลงอะไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดปรารถนา
    และมีความหมายไปในทางที่ไม่ดีนัก
    แต่ถ้าใครรู้ตนเองว่า กำลังหลง
    จงรีบหันกลับ คำว่า หลง นั้นกันซะให้ไว
    เพราะทางที่ท่านกำลังเดินอยู่นั้น ก็คือ โลกมายา หรือโลกแห่งการตามใจ คือกิเลสล้วนๆ
    และอีกไม่นานนัก ความทุกข์นั้นจะต้องมาเยือนแน่ๆ
    อย่ามัวหลงไปยึดร่างกายตนเองอยู่เลย แต่ถ้าใครยึด นั่นก็แสดงว่า กำลังยอมรับเอาความทุกข์นั้น
    เพราะร่างกายของคนเรานั้น ซึ่งเปรียบเสมือนโรงงานผลิตแห่งทุกข์
    พวกเราไม่มีทางจะหนีทุกข์ของตนเองกันได้หรอก มีอยู่ทางเดียวสำหรับผู้ที่ไม่อยากเป็นทุกข์
    ก็คือ มาเรียนรู้กับทุกข์ มาอยู่กับทุกข์ให้ได้ เพราะร่างกาย = ความทุกข์
    โดยการแยกกายอยู่ที่นึง แยกจิตอยู่ที่นึง
    นี่ก็คือ กระบวนการ แยกสุข แยกทุกข์คนละกอง อย่านำมาปนกัน
    ผู้ฝึกจิตมาดีเท่านั้น ที่จะรู้จัก คำว่าทุกข์นั้น คืออะไร และอยู่กับทุกข์อย่างเป็นสุขได้อย่างไร
    แต่สำหรับผู้ที่ชอบพูดว่า มีธรรมะเข้าข่ม อันนั้นแสดงว่าคนนั้นไม่มีความรู้ หรือไม่รู้จักธรรมดีพอ
    พวกคุณรู้ไหม๊ ธรรมชาติของจิตคนเรานั้น ก็ไม่ชอบการบังคับ ขู่เข็ญเหมือนกัน เหมือนเราทุกประการ
    มีอยู่ทางเดียวก็คือ เราจะต้องนำจิตตนเองมาเรียนรู้ คำว่าทุกข์ จู่ๆจะมาเรียนแล้วเข้าใจเลยนั้น ตอบได้คำเดียวว่า No way(มิใช่นอร์เวย์) ไม่มีทาง
    จนกว่าพวกเราจะเข้ามาเรียนรู้เรื่อง สติกับจิตกันก่อน และให้ถูกต้อง+เข้าใจก่อนด้วย แล้วจึงเริ่มลงมือปฎิบัติธรรม หรือเจริญสติภาวนา
    ส่วนธรรมะอื่น พวกเราอย่าไปอ่านตำรามาก เพราะมีวิธีเดียวที่จิตจะเข้าถึงธรรมะกันได้ก็คือ นำจิตตนเองไปเรีนยรู้ มิใช่ตัวคุณไปเรียนรู้ซะเอง
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ถามว่า ทำไม? ​

    แต่ผู้ฝึกจิตมาดี หรือผู้มีดวงตาเห็น เขาจะเข้าใจหมด และไม่มีคำถามกับผู้อื่น แต่ผู้เขียนเองก็ไม่มีคำถาม หรืออยากจะถามใคร
    แต่ที่ถามว่าทำไมนั้น ก็เพื่ออยากกระทุ้งกิเลสในจิตบางคน(เท่านั้น)
    ให้สำเนียก ให้รู้สึกตัวเสียบ้าง ที่พวกเรากำลังดำเนิน หรือกำลังเดินทางผิดกันอยู่นั้น ยังไม่สาย ตราบใดยังมีลมหายใจกันอยู่
    แต่บางคนก็รู้หมดนะ แต่มีอยู่อย่างเดียวที่ไม่รู้ นั่นก็คือ ไม่มีตนเอง(ซะงั้น)
    เขาเรียกว่า อวิชชาเต็มตัว ปล่อยเขาก่อน สำนึกผิดเมื่อไหร่ สติมีมากกันเมื่อไหร่ ค่อยว่ากัน
    สำหรับคนฉลาดในทางโลก (แต่ทางโลกจิตวิญญาณ โลกทิพย์นั้นเขาเรียกว่า คนโง่เขลาเบาสติและปัญญา)
    Don't get mad! ...555

    วันนี้อยากจะเตือนผู้หลงผิด ผู้กำลังเดินทางผิด เพราะผู้เขียนเดินเกือบจะทางเดินหรือเดินจะสุดซอยมาแล้ว สำหรับคำว่า โลกมายา
    (ทำไม่ดี ทำผิดศีล ผู้เขียนทำมาหมดแล้ว นี่ผู้เขียนกำลังจะมาบอกกับพวกเราว่า หยุดเถิด เลิกเถิด นั่นจิตเรากำลังหลงอยู่)
    บอกกัน เตือนกัน แต่รู้กันไหม๊ มีคนฟังผมไหม๊ (ตอบว่า รู้แล้ว ฟังอ่าน แต่ไม่ทำตามกันหรอก) 555 (ยังทำผิดศีล5กันอยู่เลย)
    พูดไปเห่อ ปากจะซีกถึงหูแล้ว

    แต่ผู้เขียนพอจะมีบุญเก่าอยู่บ้าง ก็มีโอกาสได้เดินทางตรงเข้าสู่สายอริยมรรคได้ทันพอดี
    ก่อนจะหน้ามืดตามัว ตกนรกหมกไหม้ ตัวทั้งตัว เสียทั้งใจ และ อีกเมื่อจะได้หูตาสว่างกัน
    ไม่มีใครผิดใครถูก ไม่มีใครดีใครเลวได้100% ไม่มีใครอยากทำผิดกันหรอก ที่ผิดนั้นเพราะ ความพลั้งเผลอ ขาดสติ
    แต่ถ้าใครรู้สึกตัวว่าตนเองได้ทำผิดไปแล้ว และพร้อมที่จะแก้ไขถูกต้องให้ดีขึ้นนั้น
    ถามว่า จะมีสักกี่คนที่กลับตัว กลับใจได้ทันแบบนี้

    วันนี้ผู้เขียนอยากจะพูดเรื่องโลกมายา กับโลกทิพย์(โลกแห่งความเป็นจริง)
    เพราะทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ มัวหลงไปเดินในโลกมายากันมาก จึงพากันทำผิดศีล เพราะสติมีไม่มากพอ และไม่ทำภาวนา
    ด้วยเหตุคนเราเกิดมามีอายตนะทั้งนอกใน ไว้คอยรับรู้ เรียนรู้ทั้งทุกข์และสุขพร้อมๆกัน โดยธรรมชาติ เราจะมาปฎิบัติธรรม แบบปิดหู ปิดตาก็หาไม่
    มีคนจำนวนไม่น้อย ที่สติมักเกิดน้อยกับผู้คนในโลกมายา
    เมื่อพวกเรา(จิต)มีสติและปัญญามีน้อยกัน จึงพากันหลงใหลไปท่องโลกมายา
    แต่พวกเราจะรู้ตัวกันก็ต่อเมื่อ ใกล้จะหมดวาระกรรม ใกล้จะหมดการชดใช้กรรม(กรรมที่ไม่ดี ที่เรากระทำกันไว้ตั้งแต่อดีตชาติ จนถึงปัจจุบัน)
    คำว่ากรรมนั้น จะมีความหมายกลางๆ ไม่ว่ากรรมดีหรือไม่ดี ก็มักจะส่งผลช้าหรือว่าเร็ว ก็จะขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัยเป็นหลัก
    กรรมที่ผ่านมาไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีใครจะแก้กรรมให้กันได้ นอกเสียจากตนเอง
    แต่จะบอกว่าอะไรที่ทำให้ผลกรรมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ไวขึ้น ก็คือการสร้างบุญภายใน หรือที่พวกเรากำลังเจริญกรรมฐานกองใด กองหนึ่ง
    นั่นหมายถึง เราจะต้องเปลี่ยนดวงจิตกันใหม่(เท่านั้น) แต่ไม่ได้หมายถึงพากันไปบวชเนกขัมมะ(ถือศีล8) คือบวชแต่กาย แต่มิได้บวชใจ
    อันนั้นได้บุญนิดเดียว แต่ก็ยังดีกว่าผู้ที่ไม่ยอมทำความดี

    โลกมายา(โลกจอมปลอม) กับโลกทิพย์(โลกแห่งความจริง หรือโลกจิตวิญญาณ) จึงแแตกต่างกันมากราวฟ้ากับดิน หรือเหมือนอยู่คนละมิติ
    ด้วยเหตุนี้เอง จึงมีช่องว่างมาก ระหว่างคนสองคนในโลกนี้ ถึงเราพยายามพูดกรอกหูกันทุกวัน เขาเหล่านั้นก็ไม่เก็ต ไม่ยอมที่จะรับรู้เรื่องราวใดๆทั้งสิ้น
    ด้วยเหตุนี้เอง ที่ธรรมะนั้นจึงสอนกันยาก
    เพราะจิตคนมันหยาบ(ความหมาย คำว่าหยาบนั้น มิได้หมายไม่ดีนะ)
    ธรรมะเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน แต่ทุกคนก็สามารถรับธรรมะเข้าสู่ใจของตนเองได้
    แต่สำหรับคนที่มีจิตหยาบนั้น ถ้าจะรู้+เข้าใจธรรมะนั้นได้ โดยจะต้องผ่านการเจริญสติภาวนากันก่อน (ทำสมาธิ)
    หรือปฎิบัติธรรม หรือที่พวกเรากำลังทำจิตเกาะพระกันอยู่ในเวลานี้

    คนที่อยู่ทางโลก(มายา)มากเกินไป มักมีสติกันน้อย หรือรู้กาย รู้ใจมันก็ยาก เพราะจิตไปหลง จิตไปยึดเกาะกับทางโลกมากเกินไป
    ถึงพูดธรรมะไปกันเถ๊อะ คือเข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา
    หรือบางคนชอบเอาแต่ฟัง/อ่านธรรมะกัน แต่เสียอย่างเดียวคือ ฟัง/อ่านธรรมะไปแล้ว ไม่ยอมปฎิบัติตาม
    ก็จบเห่

    ด้วยเหตุนี้เองธรรมะนั้นสอนกันไม่ได้จริงๆ
    นอกเสียจากผู้ที่สนใจธรรมะจริงๆ และก็รอจนกว่าพวกเขาจะมีกำลังใจ(บุญหรือบารมีเกือบจะเต็ม) พวกเขาจึงจะยอมลงมือปฎิบัติธรรมกัน

    *พอแร๊ะ ให้คนอื่นพร่ำมั่ง
    ขอเวลาไปดูความเลวของตนเองก่อนนะ

    โดยเฉพาะอุปาทาน อัตา มานะ อันนี้ถ้าใครเจอนะ ต้องตีให้ตายก่อน
    ถ้าไม่อย่างนั้น มันจะฆ่าเราก่อน
    หรือถ้าเราเจองู เจอแขก เขาให้ตีแขกก่อน

    ***แต่ถ้าคุณเจอทั้งงู แขกและอัตตา-มานะ คุณจะเลือกตีอันไหนก่อนดี
    หรือว่าจะเก็บเอาไว้ดี ฮ่าๆ (ตอบเองนะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 กรกฎาคม 2012
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สวัสดีธรรมะรอบดึก
    สวัสดีคุณนิวเวป คุณสุภาทร และทุกๆท่าน

    ถึงอย่างไรเสีย
    พวกเราก็ควรเรียนรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไป
    เพราะภาระหน้าที่ของกายหยาบจะต้องอยู่กับทางโลกไป มีแต่เพียงจิตเท่านั้น
    คือ เราจะต้องค้นหา ตามหา ฝึกจิตตนเอง
    แต่ถ้าใครมัวแต่เอาทางโลก หรือปยุ่งกับทางโลกกันมาก
    ก็มีแต่จะทุกข์กันเท่านั้นเอง

    ผู้เจริญแล้ว ผู้หลุดพ้นแล้ว พวกเขาส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับเรื่องจิต ดวงจิต หรือจิตวิญญาณมากกว่า ทางโลกมายากันนะ
    ดูได้ง่ายๆก็คือ พระพุทธเจ้าของพวกเรา หรือพระอริยเจ้าทุกๆองค์
    ท่านได้กระทำเป็นตัวอย่างให้กับพวกเราดูกันแล้ว

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภัยพิบัติ(เป็นเรื่องของธรรมชาติ)
    ไม่ว่าเรื่องขันธ์5ของตนเอง หรือเรื่องทางโลก
    แต่ถ้าพวกเราฝึกฝนจิตมาดีแล้ว ต่อไปนี้ก็ไม่มีอะไรมีผลต่อจิตใจกันอีกแล้ว

    แต่สำหรับจิตผู้ที่ยังไม่พ้น(ตัวเองเท่านั้นที่จะตอบตนเองได้ โดยไม่ต้องไปถามใคร)
    ก็คงจะหนีทุกข์ พยายามหนีภัยพิบัติกันต่อไป
    ที่คุณๆท่านๆกำลังหนีกันอยู่นั้น พอดีตายก่อนภัยพิบัติมาพอดี(เดี๋ยวไม่ได้ดู อย่าเพิ่งตายก่อน) ฮ่าๆ

    จิตยก คือจิตยกอยู่เหนือขันธ์5 ใครอยากรู้ว่า อาการเป็นเช่นไร
    โปรดอย่าถามว่าฉันเป็นใคร เมื่อในอดีต....เอ๊ยม่ะช่ายยย
    และโปรดอย่าถามว่าอดีตฉันเคยรักใคร...เอ๊ยม่ะช่ายยหน๋า
    คุณก็อย่าไปถามใครๆซะให้เมื่อย ถึงคุณถามไปก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจอยู่ดี
    นอกเสียจากจะต้องพิสูจน์ หรือลงมือปฎิบัติทำเอง รู้เอง เห็นเอง จะดีกว่าไหม๊!

    แต่ถ้าคุณคิดว่า มีปัญญาเป็นของตนเอง เพราะฉะนั้นคุณก็อย่าเพิ่งเชื่อ หรือไม่เชื่อ
    จนกว่าตนเองจะลงมือปฎิบัติ และต้องทำให้ได้ด้วยนะ ถึงจะได้คำว่า ปฎิเวธ(ผล)

    คืนนี้เอาแค่ 3มะก็พอ




    ***อย่าไปห่วงร่างกายตนเอง หรือร่างกายคนอื่นๆมากนัก เดี๋ยวบุญใหญ่จะหาย บารมีจะเตลิด
    ไปๆมาๆคุณจะได้รับแต่ทุกข์อย่างเดียว

    กำลังบอกว่าถ้าอยากได้บุญใหญ่+บารมี= สนใจจิตตนเองมากๆ
    และหมั่นระลึกถึงพระพุทธเจ้าให้มากๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 กรกฎาคม 2012
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,029
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    โดนเข้าเต็มๆเลย ถ้าท่านภูมีไม้คงถูกเคาะ...(กระโหลกศรีษะ)กันไปแล้ว แต่มันจะกระเทือนไปถึงสมองไหมนี่??ขอน้อมรับค่ะ


    ท่านภูอยู่ถึงตีห้าเลยนะคะ ทางลูกศิษย์ก็5โมงเย็น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2012
  16. newwave1959

    newwave1959 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +2,681
    ขอโมทนา สาธุ ในการให้ธรรมะเป็นทานที่คุณภู ได้นำเสนอมาให้พวกเรา

    ได้อ่านและพิจารณากัน อย่างสม่ำเสมอมามิได้ขาด สาธุ





    เปรียบได้ดั่งสายธารแห่งธรรม อันชุ่มชื่น และชุ่มฉ่ำ ช่วยหล่อเลี้ยงดวงจิต

    ของชาวจิตบุญ
    ชาวจิตเกาะพระ และกัลยาณมิตร กัลยาณธรรม

    ที่ได้เข้ามาแวะเวียน เข้ามาอ่านและเข้ามาฝึก จิตเกาะพระ กันอย่างทั่วถึง


    ขอน้อมรับธรรมทานทั้งหลาย และขอนำไปพิจารณาจิตของตัวเอง ที่ยังเลวอยู่มาก

    ว่ายังคงดำเนินอยู่ในร่องในรอยที่ถูกต้องอยู่หรือไม่ ดูจิตของเราเองอยู่เนืองๆ

    แล้วปรับปรุงแก้ไขในสิ่งเลวทั้งหลายอย่าให้มันเกิดขึ้นอีก



    โดยเฉพาะคำเตือนในสองย่อหน้าสุดท้าย มีความหมายและสำคัญอย่างยิ่ง


    ขอจดจำไว้เพื่อเตือนใจ เตือนจิต และเตือนสติ ไม่ให้เกิดการ หลง

    และให้จิตระลึกถึงพระพุทธเจ้า อยู่เสมอๆ ทุกขณะจิต



    ขอเจริญในธรรม ด้วยจิตคารวะ


    นิวเวป จบ.14

     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,029
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    คําสอนของท่านภู อ่านทีไร2-3ครั้งขึ้นไปค่ะ บางทีกอปใส่Email ให้เพื่อน ซึ่งก็กําลังปฎิบัติกันอยู่ค่ะ (แอบไปใส่หลายกระทู้อีก)catt1
     
  18. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027

    สาธุ กราบขอบพระคุณสำหรับคำตอบ+เดือนค่ะ ครูใหญ่พี่ภู เข้าใจ+รับทราบค่ะ และน้อมนำมาปฏิบัติทันทีค่ะ (สังเกตุดูไม่มีคำว่า จะ อิๆ) สาธุ๊
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ธาตุขันธ์
    องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    ทุกส่วนเป็นพระธาตุทั้งหมด น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก


    [​IMG] [​IMG]
    พระอัฐิธาตุ-พระเกษาธาตุ
    [​IMG][​IMG]
    น้ำหมาก-พระธาตุบุพโพธาตุ (น้ำเหลือง)

    [​IMG][​IMG]
    พระมุตตังธาตุ(ปัสสาวะ)-มูตร/คูต(อุจจาระ)​

    พวกเราเคยดูพระธาตุขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน กันหรือยัง?
    นี่ขนาดกายหยาบ หรือพระธาตุของหลวงตามหาบัวฯ ยังขาว-สวยใสขนาดนี้
    แล้วท่านลองนั่งหลับตาแล้วกำหนดจิตไปดูดวงจิตของท่านสิ! ว่าเป็นอย่างไร นั่น!เห็นรึยัง?

    ไหนลองหลับตากำหนดจิตไปดูดวงจิตของพระพุทธเจ้ากันบ้างสิ! นั่น!เป็นอย่างไรบ้าง?
    ใครเคยเห็นแสงฉัพพรรณรังสีกันไหม๊? (สีรุ้ง หรือสีประกายพรึก) เอ่อนะๆ
    พระสารีริกธาตุของพระองค์จะเป็นอย่างนั้นเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 กรกฎาคม 2012
  20. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    5555 ป๊าดดดดดด....คือซิให้เป็นหลายอย่างแท้หล่ะ 55555 จะสมมุติให้เป็นแบบไหน ต่อไปก็จะตามมากันอีกเพียบค๊าาาา พี่น้อง ทั้งในและ ตปท. อิๆๆ

    ปล.ครูวิทย์ค่ะ พจน์ อานนท์ นั้นมันสมัย เต๋า มอส นัท อะไรเทือกนี้ (รุ่นเดียวกะครูวิทย์เลย อิๆ) พอมา พศ.นี้ ต้อง เอ ศุภชัย ค๊าาา (อั้ม,ป๋อ) อิๆ ทราบแล้วเปลี่ยน ไปก่อนนะค่ะ มาอยู่กระทู้เยอะไป เดี๋ยวครูเพ็ญดุเอาอีก อิๆ:boo:
     

แชร์หน้านี้

Loading...