จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Spammer

    Spammer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    976
    ค่าพลัง:
    +3,498
    จากประเด็น การกล่าวหากัน ในสิ่งที่ได้เคยเสนอข่าวสารไว้ในห้วงอดีตนั้น
    ทำไมไม่ออกมาท้วง มาแย้งกันในตอนนั้นเลย พอผลลัพธ์ออกมาเป็นอีกอย่าง
    ก็ออกมากล่าวหากันไปมาไม่มีที่สิ้นสุด อ่านแล้วล่ะเบื่อหน่ายจริงๆ

    ...ก็ปล่อยไปเหอะครับ พูดเพื่อหวังให้เขาสำนึกได้นั้นคงจะมีไม่
    กรรมใครก่อก็รับไป อย่าเอาตัวเราไปกระทบกรรมของใครเลยครับ...

    ...ก็อยากให้เพื่อนๆก้าวเดินต่อไปข้างหน้า เพราะอดีตนั้นเราก็รับรู้รับทราบพอๆกันอยู่แล้ว
    จึงไม่มีประโยชน์ที่จะออกมากล่าวหาอะไรกันอีก สู้นำสิ่งที่ดีกว่ามาเสนอให้รับรู้กันดีกว่าครับ
    ส่วนการตัดสินใจนั้น ขึ้นกับสติปัญญาของตัวท่านเองทั้งนั้น...

    "เซื่อในสิ่งที่เฮ็ด เฮ็ดในสิ่งที่เซื่อ" (เซื่อ = เชื่อ, เฮ็ด = ทำ)

    ...แล้วท่านอยากเป็นคนประเภทไหนล่ะ ระหว่าง

    - คนโง่
    - คนฉลาด
    - คนเจ้าปัญญา

    อุปนิสัยของคนโง่นั้น ก็ต้องเคยประพฤติปฏิบัติมาบ้างแหล่ะ โง่ย่อมมาก่อนฉลาด
    อุปนิสัยของคนฉลาด ทำแล้วเพื่อนๆ มักไม่กล้าคบหากันอย่างจริงใจ ฉลาดมี ปัญญาเกิด

    อุปนิสัยของคนเจ้าปัญญา คือ

    ไม่กล่าวหาใคร
    ด้วยแท้จริงไม่มีใครอยากผิด
    แต่พลาดไป เพราะไม่เห็นความผิด
    หรือเห็น แต่ไม่มีโอกาสเลือกสิ่งที่ถูก
    หรือมีโอกาส แต่ไม่มีกำลังพอที่จะตัดสินใจเลือก
    เขาจึงให้กำลังใจทุกคนสู่ความแกล้วกล้า
    ทุกคนจึงเป็นหนี้บุญคุณเขา และยอมรับเขาดั่งมิตรผู้ประเสริฐ

    เอาธุรกิจเป็นธารณะ
    จัดระบบเกื้อกูลมหาชน

    เมื่อเกื้อกูลแล้วก็เก็บเกี่ยวเพื่อการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่
    เมื่อโลกเปลี่ยนความต้องการก็เปลี่ยนการเกื้อกูล
    เมื่อโลกหยุดต้องการก็หยุดเกื้อกูล
    แต่เนื่องจากโลกไม่เคยสิ้นสุดในความต้องการ
    เขาจึงมีงานธุรกิจเสมอตราบที่เขาประสงค์เกื้อกูล

    เอาสันโดษเป็นมาตรการปล่อยวาง
    จึงได้บุญมากและสำเร็จได้ด้วยบุญฤทธิ์

    บริโภคคุณค่าแห่งทรัพย์
    เป็นสุขกับการสร้าง รักษา สละ
    และพัฒนาค่าของทรัพย์เป็นคุณสมบัติอื่นที่ยิ่งกว่า


    ยึดประโยชน์สุขสำหรับทุกฝ่ายในทุกกาลเวลาเป็นสำคัญ
    เขาจึงได้รับศรัทธาและมหามิตรเป็นกำนัล

    อาสาสละ
    เขาจึงเอาชนะใจคนทั้งหลาย
    ได้รับความรักและความนับถือเป็นผลตอบแทน

    ไม่เอาแต่ใจตนเอง ไม่เอาใจคนอื่น
    เพราะรู้ชัดว่าคือกิเลสหรือตัณหาทั้งคู่
    แต่เอาสัจจะที่ก่อให้เกิดประโยชน์สุขแท้ สำหรับทุกฝ่ายเป็นที่ตั้ง

    จึงได้รับคุณค่าเป็นผล และได้รับความสุขสบายเป็นรางวัล

    บ้าความสงบ
    จึงพบสติเต็มตื่นรู้อยู่
    เป็นหลักให้ตนและคนอื่นได้

    มั่นใจตน แต่ไม่นิยมแสดงตัว
    ไม่ยกตนและไม่ถ่อมตัว แต่บริหารสัมพันธภาพเพียงเพื่อผล
    วางตนและสำแดงบทบาทตามหน้าที่

    เขาจึงได้รับความเคารพและความเชื่อถือเป็นรางวัล

    ชวนทุกคนที่เกี่ยวข้อง ร่วมพันธสัญญา
    จึงได้พลังร่วมของส่วนรวม
    ที่จะขับเคลื่อนภารกิจไปสู่ความสำเร็จ

    มองทั้งความดีและความชั่วในตัวทุกคน
    พยายามควบคุมโทษแม้เล็กน้อยที่อาจเกิดระหว่างกัน
    แล้วหยิบยื่นคุณค่าให้เพื่อการพัฒนาร่วมกัน
    ปฏิสัมพันธ์ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขทุกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง

    จึงได้รับความเจริญและความอบอุ่น อันยั่งยืนเป็นของกำนัล

    จัดระบบการรับและการให้ ให้สมดุลกัน
    โดยคุณค่าแห่งความแตกต่าง

    จึงพอดีและเป็นที่พอใจ

    ชอบบริหารประโยชน์สุขทุกฝ่าย
    จึงเป็นสุขใจ ได้ความรัก ความศรัทธา
    และสถาปนาระบบประโยชน์อันยั่งยืน

    ยกระดับผู้มีบุญคุณให้สูงส่งขึ้น
    จึงทดแทนบุญคุณกับได้หมด
    ผู้มีพระคุณกลายเป็นหนี้บุญคุณ
    และพร้อมที่จะให้พระคุณทียิ่งกว่า
    เกิดวงจรการให้และการรับที่พัฒนาต่อเนื่อง
    ทุกฝ่ายจึงได้ประโยชน์อย่างยิ่ง

    หลงสภาวะอันเป็นที่สุด
    จึงได้สัมผัสสัจจะแท้ที่ยิ่ง ๆ ขึ้นโดยลำดับ
    ได้ดูดซับคุณค่าทุกระดับวิวัฒนาการอย่างเต็มเปี่ยม

    ชื่นชมส่วนดีในชนชาติของตนเอง
    ทั้งชื่นชมส่วนดีในชนชาติอื่น แล้วนำมาใช้

    จิตใจเขาจึงเป็นสากล รุ่งเรืองในโลกกว้างอย่างไร้ศัตรู

    อยู่เหนือธรรมชาติ
    จึงบริหารตนบนกระแสธรรมชาติได้
    และบริหารพลังธรรมชาติสัมพัทธ์ได้ตามปรารถนา
    ได้ประโยชน์สูงสุดทั้งจากชีวิตและธรรมชาติ

    บริโภคธรรมชาติอย่างเหนือชั้น
    อิสระไม่พัวพันแม้ในธรรมชาติ บริโภคอย่างพอดีแล้วละวาง

    จึงคงทุกอย่างไว้ให้สมบูรณ์ได้อย่างที่มันเป็น

    เห็นอะไรที่ทำสืบๆ กันมาและสืบๆ กันไป
    ก็พยายามพัฒนาต่อเพื่อสิ่งที่ดีกว่า

    จึงได้ความเจริญโดยลำดับ และเป็นผู้บริหารวัฒนธรรม

    ยืนอยู่บนปัจจุบัน
    แล้วยืดอดีต ปัจจุบัน อนาคต ให้เป็นเส้นตรงเดียวกัน
    เอาพลังแห่งอดีต มาสร้างปัจจุบันให้สมบูรณ์ เพื่อสานสร้างอนาคตที่งดงาม

    จึงดำรงอยู่อย่างมีความหมาย มีความหวัง และมีโอกาสสำเร็จใหญ่ยิ่ง


    ขออนุญาตคัดมาบางส่วน: ไชย ณ พล, "The Foolish The Clever The Wise"
    (คนโง่ คนฉลาด คนเจ้าปัญญา), กรุงเทพฯ : เคล็ดไทย

    ขอบคุณครับ
     
  2. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=6TCL-8Ehqn8&feature=player_detailpage#t=241s]เพลง สบาย สบาย - YouTube[/ame]
    ฟังเพลง สบาย สบาย กัน นะกะ
     
  3. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    เอ้า..กำลังจะชวนมาฝึกอยู่พอดีเลย ดั้นบอกมาก่อนซะแล้ว ว่าขี้เกียจ..555

    แต่ไม่เป็นไรค่ะ เกาะขอบกระทู้ไปก่อน เห็นทุกข์ อยากออกจากทุกข์เมื่อไร ก็บอกมาค่ะ...ที่นี้ พวกเราช่วยคุณได้..:cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มกราคม 2013
  4. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    อดีต.....ฉันวิ่งหาความพ้นทุกข์ทางภายนอก โดยการแสวงหาทางพ้นทุกข์.

    โดยการไปดูหมอดู แล้วถามหมอดูว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะพ้นทุกข์ หมอดูก็แนะนำให้ไป

    ทำบุญ ที่นั่นที่นี่ ไปปล่อยนก ปล่อยปลา พอเราได้ทำบุญแล้วเราก็จะพบความสุข สุขที่

    ได้ทำบุญ แต่พอเรามาอยู่บ้านทุกข์นั้นก็กลับมาอีก เพราะเรามัวแต่วิ่งหาทางพ้นทุกข์ภาย

    นอกโดยลืมไปว่าความทุกข์นั้นมันอยู่ในใจเรา เมื่อมันอยู่ในใจเราต้องหาทางดับทุกข์ที่ใจ

    ไม่ต้องไปวิ่งหาที่ไหน อยู่นิ่งๆเฉยๆแล้วเอาสติที่อยู่กับเราอยู่แล้วมาฝึกมาทำให้ตนเองพ้น

    ทุกข์ที่ใจเรา ถ้าเรามีสติ เราก็จะมีปัญญา ที่จะนำมาแก้ทุกข์ที่ใจเราเอง โดยไม่ต้องวิ่งหา

    ข้างนอกให้เสียเวลา เอาเวลานั้นมาฝึกดูใจตนเอง สติเป็นฐานที่จะช่วยให้เรามีปัญญาเพื่อ

    ที่จะได้นำมาซึ่งการปฏิบัติของเรา เมื่อเราได้ฝึกได้ปฏิบัติแล้ว เราจะรู้ว่าที่เราต้องวิ่งหา

    ความพ้นทุกข์ภายนอกนั้นมันมิใช่. ต่อมาเมื่อเราได้ฝึกแล้วปฏิบัติแล้ว เราจะพบว่าต้องหา

    ที่ไหน เมื่อเราพบแล้ว เราจะไม่วิ่งหาข้างนอกอีกต่อไป เพราะเรารู้แล้วว่าทุกข์มันอยู่

    ในใจเรา เมื่อเราทำตรงนี้ได้แล้วไม่ว่าเราจะทำอะไรตรงไหนเมื่อไร เราก็จะพบแต่ความสุข

    แล้วก็ไม่ต้องไปวิ่งหาทางพ้นทุกข์ข้างนอกแล้ว เพราะใจเราตอนนี้มันไม่มีทุกข์แล้ว เพราะ

    หายารักษาทุกข์ได้แล้ว เจอแล้วเป็นยาขนานวิเศษ ที่ไม่ต้องไปวิ่งซื้อวิ่งหา เพราะเรามีฐาน

    และรากดี เมื่อเรามีฐานดีการทำสติของเราก็จะงอกงามและเป็นยาขนานวิเศษรักษาใจเรา

    ไม่ให้เกิดทุกข์อีก ถ้าเราขยันมั่นเพียรทำไปสม่ำเสมอรากแก่นของเราก็จะแน่นขึ้นๆจนไม่มี

    อะไรสามารถแทรกได้ เพราะเราได้ดูแลใจของเรามาอย่างดีแล้ว เราก็จะอยู่อย่างปกติธรรม

    ดา นิ่งแล้วก็เฉยเพราะใจเรามันไม่ต้องวิ่งหาแล้ว นี่แหละคือความสุขที่แท้จริง.

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2013
  5. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    ที่นี่ต้องการผู้ที่ตั้งใจจริงครับ และมีอารมณ์รักในนิพพาน
    ส่วนของจริงของปลอมท่านต้องเข้ามารู้เองครับ ลำพังการอ่านนั้นก็เหมือนเขาบอกว่าเผ็ด แต่ไม่เคยกินพริก นั่นแหละครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2013
  6. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937

    พี่ไม่ได้ถามน้อง แต่น้องอยากตอบ แฮ่...



    ถ้าในทางโลกคงอยากไม่อยากได้ "คนโง่และขี้เกียจ"
    แต่ในทางธรรม เราอยากได้ "คนโง่ แต่ขยัน"

    ถึงมันจะต่างกันนิดหน่อย แต่สำหรับทางธรรมถือว่าเป็นนักปฏิบัติที่โง่นั่นล่ะดี
    ปฏิบัติไปแบบโง่ๆ มันก็เรียนรู้ได้ไว

    แต่ถ้าฉลาด รู้มาก มันก็มีแต่จะช้า เพราะตำรา อัตตาเต็มหัว


    ถ้าเราติดขี้เกียจก็เพิ่มความเพียรเข้าไปอีกสักหน่อย มันก็ดีเอง
    ขี้้เกียจก็รู้ว่าขี้เกียจ
    แต่เมื่อรู้แล้วก็ต้องใส่ความเพียรเข้าไป
    มันจะได้ดีทั้งทางโลก ทางธรรมคู่กันไป
    ดีกว่าขี้เกียจแล้วอยู่เรื่อยๆ เฉื่อยๆ รอวันตาย...

    (ไหม?... )
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คนเรานี่นะ ธรรมชาติให้ร่างกายมาแล้ว
    บางคนใช้ซะคุ้มเลย บางคนขาดทุน
    ผมหมายถึงทางโลกนะ ใช้ซะให้มันคุ้มค่าเลย
    คือวิ่งตามกิเลสแห่งตน ซะทุกข์
    ทุกข์ทีไรก็ร้องไห้ คือทุกข์มาเยือนเราทำไม๊ เราไม่อยากได้
    นี่ไง๊เล่า คนที่ไม่รู้จริง คนที่รู้ทุกข์ๆจริงๆนั้น ก็คือ อริยบุุคคคล เช่น พระอรหันต์เป็นต้น

    แต่ปุถุชนนี่นะ
    หลงวิ่งไปหาแต่สุขกัน โดยไม่ได้ไปสนใจ คำว่า ทุกข์
    เพราะไม่มีคนอยากได้ อยากเป็นกันหรอก ทุกข์น่ะ
    แต่ไม่เห็นมีใครหลีกหนีกันพ้นได้สักคนเดียว แต่ก็พยายามหนีกันอยู่นั่นแหล่ะ
    แต่ในขณะที่อริยบุคคลหรือพระอรหันต์ ท่านนหนีทุกข์โดยการ ไม่กลับมากเกิดอีก
    นี่สิ! ถึงจะถูกต้อง
    คนกลัวทุกข์จริงๆ คนเบื่อทุกข์จริงๆ เขาทำกันแบบนี้
    มิใช่มีทุกข์ทีไรก็วิ่งไปหาวัด หาพระ ไปปล่อยนก ปล่อยปลาสักโหลนึง
    แล้วทำแบบนั้น ทุกข์มันหายไปไหม หายแค่ตอนปล่อยนกปลาเท่านั้นเอง
    แก้ปัญหาทุกข์ ต้องแก้ที่ต้นเหตุ นั่นก็คือ แก้ที่จิตคนๆนั้น
    ทุกข์ใคร จิตใคร คนๆนั้นจะต้องแก้เอง ไปแก้แทนกันก็ไม่ได้อีก
    ไม่ใช่แก้กางเกง เออ อันนี้ถึงจะแก้แทนกันได้

    มาม๊ะ คนที่กำลังเป็นทุกข์กันอยู่ อย่ามัวอาย ที่นี่ก็ฟรี ไม่เสียตังค์สักบาทเดียว
    ไปแก้ทุกข์ที่อื่นๆ เสียตังค์เป็นร้อย เป็นพันบาท แล้วมันหายไหม
    ไปแก้กันที่ปลายเหตุกันทั้งนั้น
    เห็นมีแต่พระกรรมฐานเท่านั้น ที่จะนำพาให้เราออกจากทุกข์ได้ นอกนั้นไม่มี
    มีแต่จะเพิ่มทุกข์ให้มากเท่านั้นเอง

    เพราะฉะนั้นแล้ว
    ใครอยากจะออกจากทุกข์ได้นั้น จะต้องมีปัญญาในทางธรรม ไม่ใช่ปัญญาในทางโลก
    พวกเราก็อย่าเอาแต่อ่าน/ฟัง ตราบใดไม่นำจิตมาปฎิบัติ บอกได้คำเดียวว่า ไม่มีทาง
    หรือผู้ปฎิบัติที่ชอบเอาตนเอง(สติ)ไปนำจิตก็ผิดทางอีกเหมือนกัน
    ถึงว่าทำไม๊ ไม่เจริญในทางธรรมสักทีนึง ก็เพราะว่าติดตัวรู้ทางโลกมาก
    หรือไม่สนใจเรื่องศีล หรือเวลาปฎิบัตินั้น เห็นพวกเรา(สติ)ไปแทนแทนจิตซะแร๊ะ
    พอปฎิบัติๆไปได้สักพักนึง ไม่เกิดผลอะไรเลย ก็เลิกทำ ปิดโอกาสตนเองพบกับความจริงแห่งชีวิตตนเองไปโดยปริยาย

    จิตฝึกยาก ก็จริงอยู่ แต่เราก็ต้องฝึกกันนะ เพราะถ้าไม่ฝึก เราก็จะต้องได้พบเจอกับความทุกข์อย่างนี้ไปตลอดชีวิตเลย

    คนที่ไม่ฝึกจิต จิตก็ไม่นิ่ง ก็ไม่มีความสุข เพราะจิตมันหลงไปวิ่งตามกิเลส
    สรุปสุดท้าย ก็ไปรับเอาความทุกข์จากข้างนอกเข้ามาหาตนจนได้
    รู้ตัวกันบ้างไหม๊ แต่ถ้ารู้ ถ้าเข้าใจธรรมชาติแห่งจิตของตน ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น
    ขอให้เราเข้าใจตนเท่านั้นเอง เดี๋ยวต่อๆไป เราถึงจะเข้าใจคนอื่นๆทั้งโลกเลย ไม่เชื่อลองดูดิ
    บางคนยังหลงไปโทษๆคนอื่นๆอยู่ได้ ว่าทำไม๊ คนอื่นทำให้เราผิดหวัง เสียใจ ร้องไห้ หรือไม่เข้าใจเราเลย
    ใครจะไปเข้าใจเล่า เพราะตัวของเราเองก็ยัง ไม่เข้าใจตนเองเลย
    แล้วใครเขาจะไปเข้าใจเราหล่ะที่นี้น่ะ จริงไหม?


    พี่ภู..พร่ำเสร็จแร๊ะ
     
  8. samrung

    samrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +1,258
    ผิด ถูก ไม่มีใช่ ครับ มีแต่เป็นไปตามกรรม
    Thank for your comment
    ผมทำงาน อยู่ ตอนนึ้เป็น ช่วงเช้า ที่ LA
    key board ก็ต้องเดา key ช้ามาก
    ชอบอ่าน ธรรมะสั้นๆ ไม่เครียด อาจจะมาแหย่ โทสะ ใคร เขาเข้า
    ทำผิด 2 กระทง คือ ไม่ทำงาน แล้ว มาถามปํญหา บ้า ๆ 5555
    ผม ไม่เครียดอยู่แล้ว
    anyway nice to chat with you
    อ่าน web นี่ คลายเครียดดี
    ทำงาน computer ที่นี่ idiot มากกว่า มาก ..

    รอ ให้น้อง Kim_UoonSo อ่าน ก่อน แล้ว ถ้าน้องเขาตื่น มาอ่าน กด delete
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2013
  9. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    วันนี้คุณทำความสะอาดดวงจิตคุณหรือยัง?

    อย่าปล่อยเวลาผ่านไป... แบบไร้ค่า..ไป วัน วัน
    หมดเวลา...ลั้ลล้า...กับเรื่องโลกๆได้แล้ว
    ทำไมไม่หันมาใส่ใจดูแลดวงจิตกันบ้าง
    ปัดฝุ่น ทำความสะอาด มันบ้าง
    มันต้องการ การดูแลนะ มิใช่ดูแลแต่กายเท่านั้น
    กายน่ะต้องทิ้งไว้เป็นสมบัติของโลกอยู่แล้ว
    ช่างมันเถอะ อย่าเสียเวลากับมันมากนักเลย
    อยู่กับตัวเอง(จิต)ค้นหาตัวเอง(จิต)ให้เจอ
    แล้วหยุดวิ่งตามกระแสโลกได้แล้ว
    ถึงเวลา...ที่จะอบรมสั่งสอนตัวเอง(จิต)
    ด้วยธรรมะ ของพระพุทธองค์ น้อมนำมาปฏิบัติให้เกิดผล
    แล้วจะพบ ความสุข สุขที่แท้จริง
    สุขจากความสงบ ที่เกิดขึ้นในจิต
    ที่จิตจะเป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวง
    และคุณก็จะสามารถยึนอยู่ท่ามกลาง
    ความทุกข์ทั้งหลายได้อย่างสง่างาม
    เมื่อนั้นแหละ...คุณจะรู้ว่า


    " จิต..พร้อมรับ? ภัยพิบัติ หรือยัง?"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2013
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    กระทู้นี้มีความยินดีคุณทั้งสองท่านเป็นอย่างยิ่ง
    ที่มาเยี่ยมชม นึกว่าเป็นบ้านของตนเองก็แล้วกันนะ

    คุณ samrung และ คุณข้าวฮางงอก
    ไม่ต้องลบข้อความออกหรอก ​

    ใครไม่ฟัง ใครไม่เข้าใจ ก็ปล่อยเขานะ แต่พี่ภูเข้าใจท่านทั้งสองคน
    ใครระบายที่ไหนไม่ได้ ก็ให้มาระบายที่นี่ ที่กระทู้รั่ว(เจาะรูใหญ่ไว้รอแร๊ะ)...อิอิ
    อย่าไปคิดมาก
    เพราะโลกนี้น่าอยู่ก็เพราะจิตใจของเราเองนะ เพราะไม่มีคนรักเรา100%เต็มหรอก
    ขอให้เราเป็นคนดี ไม่ต้องดีมากหรอก เอาดีพอใช้ ดีพอคบได้ก็พอ
    ดีเกินไป แต่คบไม่ได้ อันนี้ก็ถือว่าไม่ดีจริง
    ขอให้เรามองในแง่บวกเข้าไว้ ส่วนใครไม่บวกก็ปล่อยเขาไป
    เอาตรงที่จิตของเราให้ดีเสียก่อน เพราะเราไม่สามารถไปเปลี่ยนจิตใจใครๆได้
    ที่พอจะเปลี่ยนได้บ้างก็เห็นแต่ จิตตนเอง เท่านั้น

    แต่คุณข้าวฮางงอกนี่ท่านเข้าใจธรรมะได้ดีแล้ว
    เพราะคนที่เข้าใจธรรมะนั้น ต้องเข้าใจธรรมชาติหรือจิตใจผู้อื่นเขามากๆ
    มิใช่ ให้คนอื่นๆ จะต้องมาเข้าใจเรามากๆ

    ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
    ภูทยานฌาน2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มกราคม 2013
  11. samrung

    samrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +1,258
    โมทนา ความต้องการธรรมแต่ละท่านไม่เหมือนกัน
    exactly ! !

    เอ ผม โมทนา มากๆ ใครๆ เขาบอก ว่า
    คนโมทนา จะได้รับ ก็ต่อเมื่อ ผู้ทำ สำเร็จ หรือ ได้บุญไปก่อน
    คนโมทนา จะได้ later
    ตั้งแต่เกิดมา พึ่ง โมทนา เป็นจำนวนคร้ง มากๆ เพราะ web นี้
     
  12. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    คำสอน สมเด็จองค์ปฐม

    ศัตรู ของเราคือ อารมณ์จิตของเราทำร้ายจิตตนเอง ดังนั้นจงอย่าหาศัตรูนอกตัวเรา วันหนึ่งๆ ไม่มีใครมาทำร้ายเราได้มากเท่าอารมณ์จิตตนเองทำร้ายจิตตนเอง การที่จักพ้นภัยตนเอง พ้นได้ยากที่จุดนี้ พรหมวิหาร ๔ จึงเป็นธรรมปฏิบัติที่ละเอียดลึกซึ้ง-ปราณีต ยากที่บุคคลธรรมดาๆ จักพึงเข้าถึงได้ เพราะผู้ที่พ้นภัยตนเองได้ก็คือ พระอรหันต์​

    ธรรมที่นำไปสูความหลุดพ้น เล่ม ๑๖
    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พลังพุทธะหรือพลังจิต
    แต่จะมีความศักดิ์สิทธิ์ หรือ จะใช้ให้ได้ผลจริงๆนั้น
    ก็คือ สติ+จิต=1 หรือ ฌานลึกๆ

    หรือนิมิตจะเป็นจริง ก็ต้องอาศัยสติ+จิต=1 เช่นกัน
    แต่เมื่อไหร่ ถ้ามีกิเลสเจือปนกับสติ นิมิตส่วนใหญ่มักจะปลอม

    สรุปแล้ว
    ทั้งพลังจิตกับนิมิตนั้น ต่างจะต้องอาศัยความว่างของจิตมากๆ
    แต่เมื่อไหร่ ถ้าคนใช้พลังจิตหรือฌานไปในทางที่ไม่ถูกหรือไม่ดี
    พลังจิตหรือฌานนั้น ก็จะเสื่อมไปในที่สุด
    เหตุเกิดขึ้น ก็เพราะว่า จิตไม่บริสุทธิ์
    เพราะว่า มีกิเลสตัวใด ตัวหนึ่งเข้ามาปะปน พลังจิตหรือฌาน ก็จะเริ่มเสื่อมลงทีละน้อยๆ

    ปล.ผิด-ถูกอย่างไร เข้ามาแชร์กัน
    แชร์นะ..แชร์ ไม่ใช่ให้มาถกเถียงกัน
     
  14. ข้าวฮาง

    ข้าวฮาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2012
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +608
    "ขอขอบพระคุณสำหรับน้ำใจที่ให้กันเสมอมาเช่นกันขอรับ"

    "คงไม่รบกวนคุณภูฯ และสมาชิกชาวจิตบุญฯ ไปมากกว่านี้ ตามสบายนะขอรับ ยังไงส่งใจสาธุฯ อยู่เสมอ ๆ กับสิ่งที่ทุก ๆ ท่านในที่นี้ทำอยู่ ปลื้มใจอยู่ลึก ๆ ยังไงก็ขอให้ทุก ๆ ท่าน สำเร็จดังใจหมาย"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มกราคม 2013
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]

    การคิดถึงอนาคต เป็นเรื่องที่ดี
    แต่คนเรา จะมีพรุ่งนี้ได้อีกกี่วัน

    อย่าอายที่เราจน แต่...จงอายที่เราเลว
     
  16. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    คนส่วนมากมักจะพูดว่า. เราปฏิบัติธรรมมานานแล้ว ไม่เห็นได้อะไรเลย.

    จริงๆแล้วถ้าเรามีความตั้งใจปฏิบัติ แล้วก็ปฏิบัติมานานแล้ว ยังไม่เห็นได้อะไร นั่นแสดง

    ว่ายังปฏิบัติไม่ถึงธรรม ปฏิบัติแบบไม่ได้ใส่ใจ และไม่ได้ใช้สติ และปัญญามาปฏิบัติ ถ้า

    เราปฏิบัติด้วยความศรัทธา และมีความแน่วแน่ว่าเราจะปฏิธรรมเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์

    ทั้งปวง หากบุคคลใดปฏิบัติธรรมแล้ว กลับทุกข์และกังวลใจมากกว่าเดิม นั่นแสดงว่าเกิด

    ความเข้าใจผิดในการปฏิบัติของตน ที่ภาษาธรรมเรียกว่าเกิด มิจฉาทิฐิ แล้วนั่นเอง.

    การปฏิบัติธรรมนั้นมิใช่การปฏิบัติเพื่อได้อะไรมันเป็นไปเพื่อความออกจากทุกข์

    ต่างหาก มันเป็นเรื่องตนเห็นตน ซึ่งภาษาธรรม เรียกว่า ปัจจัตตัง.

    หมายถึง ปฏิบัติไปๆ ตนจะเห็นความโลภ ความโกรธ ความหลง จะเห็น

    อารมณ์ยินดียินร้ายของตนเองที่เคยมีอยู่ในจิตตนนั้น มันจะค่อยๆลดลงไปๆ และในขณะ

    เดียวกัน ความทุกข์ใจก็จะค่อยๆ น้อยลงๆ ความเป็นอยู่ก็จะง่ายขึ้นไม่ยึดมั่นเหมือนเมื่อ

    ก่อน หากความโลภ ความหลง ลดลงมากเท่าไหร่ ทุกข์ก็จะลดลงมากเท่านั้น นี่แหละคือ

    สิ่งที่เราได้จากการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรม มิใช่เพื่อความได้ความมีหรือความเป็นใดๆ

    ทั้งสิ้น จุดหมายที่แท้ก็คือความหลุดพ้นจากทุกข์ การปฏิบัติของเราก็คือ.

    อยู่กับกิเลสได้โดยใจไม่เป็นทาสของกเลส. เหมือนหมออยู่กับโรคได้โดยไม่ติดโรค

    อยู่กับการทุกข์กาย โดยไม่ทุกข์ใจ อยู่กับงานที่วุ่น โดยใจไม่วุ่น อยู่กับการรีบเร่ง โดยใจ

    สบายๆ นี่ก็ทำให้เราได้เห็นแล้วว่า. เราได้อะไรจากการปฏิบัติธรรม.

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2013
  17. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,080
    ค่าพลัง:
    +10,246
    ศรัทธาในศาสนาพุทธ

    ศรัทธา ๔

    ศรัทธาในทางพระพุทธศาสนามีสี่อย่าง คือ

    ๑. กัมมสัทธา เชื่อกรรม เชื่อกฎแห่งกรรม เชื่อว่ากรรมมีอยู่จริง คือ เชื่อว่า เมื่อทำอะไรโดยมีเจตนา คือ จงใจทำทั้งรู้ ย่อมเป็นกรรม คือ เป็นความชั่วความดีมีขึ้นในตน เป็นเหตุปัจจัยก่อให้เกิดผลดีผลร้ายสืบเนื่องต่อไป การกระทำไม่ว่างเปล่า และเชื่อว่าผลที่ต้องการ จะสำเร็จได้ด้วยการกระทำ มิใช่ด้วยอ้อนวอนหรือนอนคอยโชค เป็นต้น

    ๒. วิปากสัทธา เชื่อวิบาก เชื่อผลของกรรม เชื่อว่าผลของกรรมมีจริง คือ เชื่อว่ากรรมที่ทำแล้วย่อมมีผล และผลต้องมีเหตุ ผลดีเกิดจากกรรมดี ผลชั่วเกิดจากกรรมชั่ว

    ๓. กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน เชื่อว่าแต่ละคนเป็นเจ้าของ จะต้องรับผิดชอบเสวยวิบาก เป็นไปตามกรรมของตน

    ๔. ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มั่นใจในองค์พระตถาคต ว่าทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ทรงพระคุณทั้ง 9 ประการ ตรัสธรรม บัญญัติวินัยไว้ด้วยดี
    ทรงเป็นผู้นำทางที่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์ คือเราทุกคนนี้ หากฝึกตนด้วยดีก็สามารถเข้าถึงภูมิธรรมสูงสุด บริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ดังที่พระองค์ทรงบำเพ็ญไว้

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
     
  18. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937

    อ้าว... แต่สำหรับหมู... เก่งไม่กลัว, กลัวไม่ขยันมากกว่า
    ถ้าชาตินี้น้องมีปัญญานิดนึง ชาติหน้าก็ต้องมีความเพียรมากกว่านี้ ปัญญาจะได้มากกว่านี้
    แต่ถ้าคิดแค่ชาตินี้ น้องก็โง่ในทางโลกมาตั้งแต่เกิด โตมาก็ยังต้องเรียนรู้ เรียนทำงาน เรียนหนังสือ
    น้องก็ยังโง่อยู่ และน้องก็จะโง่ไปจนวันตายด้วย
    เพราะโลกนี้มีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะ เรียนเท่าไรก็ไม่หมด
    ฉลาดเรื่องนึง โง่เรื่องนึง สลับกันไป
    คนเรามีความถนัดไม่เหมือนกัน ก็ดีแล้วเนอะท่านพี่

    ขื่นเก่งเหมือนกัน ฉลาดเหมือนกัน แล้วการงานบ้านเมืองมันก็ไม่ก้าวหน้าเพราะมีแค่คนแบบเดียว กลุ่มเดียว ทำงานเหมือนกันจิ


    เราต้องเรียนรู้กัน โง่เรื่องนี้ก็รู้ ฉลาดเรื่องนี้ก็รู้... รู้แล้วก็สู้ต่อไป ปรับปรุงต่อไป คิคิ





    ส่วนโพสท์ของคุณ watjojoj ที่ตอบท่านพี่มานั้น เป็นมุมทางธรรม
    น้ำเสียงที่พิมพ์ตอบมาจึงดูเข้มข้นหน่อย ท่านพี่อย่าไปคิดมาเลยจ้ะ
    เพราะว่าใครจะว่าเราอยู่มุมไหนก็ตาม เป็นแบบไหนก็ตาม
    ก็ไม่สู้เรารู้เจตนาตนเองดี
    อะไรที่เราโพสท์ไป เรากลั่นกรองดีแล้ว
    น้องเชื่อว่าท่านพี่ samrung, ท่านพี่ watjojoj และ ท่านพี่ข้าวฮางงอก
    ต่างมีเจตนาดีทั้งนั้น


    อย่างอนนะ... เราเพิ่งได้คุยกันไม่นานเองง่าาาาาา
    มามะ มากอดกันๆ


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2013
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    การเพ่งจิต
    บุคคลใด ยิ่งเพ่งจิตตน ก็ยิ่งแจ่มใสและชัดเจน
    แต่ถ้าบุคคลใด มัวหลงไปเพ่งแต่จิตผู้อื่น จิตมีแต่ความขุ่นมัว เท่านั้นเอง

    เพราะฉะนั้น
    ถ้าหากผู้ปฎิบัติสนใจแต่จิตตนเองเพียงอย่างเดียว ก็ยิ่งพบแต่ความจริง
    ก็ยิ่งพบแต่ความสุขและความบริสุทธิ์

    และท้ายที่สุด
    ผู้ปฎิบัติย่อมจะเข้าถึงแห่งมรรค ผล นิพพาน เป็นที่สุดได้ โดยไม่ยากเย็นนัก
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ไม่มีผู้ใด สอนสั่งเราได้ดีเท่ากับจิตของตนเอง

    เพราะฉะนั้น
    การเจริญสติภาวนา เพื่อหล่อเลี้ยงสมาธิ
    สมาธิหล่อเลี้ยงปัญญา ปัญญาหล่อเลี้ยงจิต
    และจิตปัญญา หรือ จิตปัญญาญาณนี้เอง
    ก็จะย้อนกลับมาสอนสั่งตัวเรา(สติ) อีกทีนึง

    เมื่อผู้ปฎิบัติมีความตั้งใจจริง ก็ย่อมได้ของจริงๆกลับคืนไป
    ของจริงๆนั้น ก็คือ จิตปัญญา หรือ จิตธรรม
    จิตธรรม หมายถึง จิตเป็นธรรม หรือ จิตเข้าถึงธรรม

    แต่ผู้ปฎิบัติจะต้องอาศัยจิตในจิตเสียก่อน หรือ เข้าให้ถึงกระแสจิตตนเองก่อน
    ต่อไปเราจึงจะถึงกระแสธรรมในภายหลังเอง

    การปฎิบัติธรรมที่ถูกต้องนั้น จะต้องนำจิตตนเองไปเรียน มิใช่ตัวเรา
    เพราะถ้าเรานำสมองไปเรียนแทนจิต ก็เท่ากับเราหรือสติเรา ไปเรียนแทนจิต
    แล้วปัญญาจะเกิดได้อย่าไร เกิดแต่สัญญาเท่านั้น เพราะเมื่อสมองเสื่อมลง เราก็ลืมเมื่อนั้น
    เพราะฉะนั้น ให้ปฎิบัติมากๆ ไม่ใช่อ่านตำรามากๆ แต่มิได้ปฎิเสธปริยัตินะ
    เพราะการบรรลุธรรม เขาบรรลุที่จิต มิใช่สมองของคนเรา

     

แชร์หน้านี้

Loading...