จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    “ความผิดพลาดอาจมีได้ด้วยกันทุกคน ความเห็นโทษความผิดนั่นแลเป็นความดี พระพุทธเจ้าท่านก็เคยผิดมาก่อนพวกเรา ตรงไหนที่เห็นว่าผิดท่านก็เห็นโทษในจุดนั้น และพยายามแก้ไขไปทุกระยะที่เห็นว่าผิด ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้นอาจมีได้ด้วยกันทุกคน ฉะนั้นจึงควรสำรวมระวังไปในทุกกรณี เพราะความมีสติระวังตัวทุกโอกาสเป็นทางของนักปราชญ์

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ
    บันทึกโดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโณ
    ที่มา fb Motanaboon.Com
     
  2. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    /Users/mac/Pictures/iPhoto Library/Originals/2011/Apr 30, 2011/IMG_6034.JPG
    วางจิตเป็นกลาง ไม่สูงเกินไป ไม่ต่ำเกินไป ไม่ดีใจเกินไป ไม่เสียใจเกินไป ฯลฯ ถอยมาอยูู่ในความพอดี
    คติธรรม วิปัสสนาสังโยชน์ 10
     
  3. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    อย่ามารัก เอ้ย คิดถึงผมเล้ย
    อย่ายึดเน้อ อย่าสร้างอะไรเพิ่มเน้อ
    เราสอนให้วางเน้อ อย่าลืมเน้อ

    เราก้อเป็นเพียงสภาวะหนึ่งเท่านั้น ไม่มีเรา ไม่มี แล้วจะมายึดหรือคิดถึงทำไมละขอรับ

    ถ้าจะระลึกถึงเรา ขอให้คิดถึงพระ นะขอรับ

    แล้วจะแจ้งใน(อันนี้ทางดี)

    อย่าแจ้งแต่นอก(อันนี้ของหลอกๆ จะทำให้หลง)



    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  4. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    ความดีไม่มีวันตาย แต่ระวังจะตายก่อนได้ทำดี

    ดี คือ จิตเป็นสุข
    จิตเป็นสุข คือ จิตตื่นจากความหลง
    ต้องมีสติ แล้ว จิตจะนิ่ง
    นิ่งแล้วจะเกิดสมาธินะ
    เมื่อมีสมาธิ มีฌาน แล้ว จะได้พบสุข แต่จะได้พบสุขแท้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับท่านๆเอง ว่าจะเพียร และมีศรัทธาพอหรือไม่
    เอาจริงไหม


    การทำดีนั้น อย่าให้เสียของนะ ...
    อย่างหยาบ กับอย่างละเอียด ใช้เวลาเท่ากัน แต่ผลที่ได้ต่างกัน แล้วจะทำแบบหยาบๆไปทำไม เน้นภายในนะครับ


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  5. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    555555 คิดถึงได้ แต่บ่อยึดคร้าบบบบบบบบ สมองมันก็สรรหาโน้น นี่ มาเรื่อยเปื่อยของมันไป จิตเราก็ไม่ไปปรุงแต่งเพิ่มเท่านั้นขอรับ
     
  6. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    สัพเพ ธัมมานาลัง อะภินิเวสายะ "

    ใดใดในโลกอันบุคคลไม่ควรยึดติดถือมั่น”

    ทำไมจึงไม่ควรยึดติดถือมั่น

    เพราะที่ใดมีความถือมั่น ที่นั่นก็มีความทุกข์

    ความทุกข์ขยายตัวตามระดับความเข้มข้นของความยึดติด

    ยึดมาก ติดมาก จึงทุกข์มาก

    ไม่ยึด ไม่ติด จึงไม่ทุกข์

    ความไม่ยึดติดถือมั่น กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า “ความปล่อยวาง”

    ทำไมจึงต้องปล่อยวาง

    เพราะทุกอย่าง “มีความว่าง” มาแต่เดิม

    คนที่หลงกอด “ความว่าง”

    โดยคิดว่าเป็น “ความมี” ทำไมจะไม่ทุกข์ ?
     
  7. ทิวลิปขาว

    ทิวลิปขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    134
    ค่าพลัง:
    +1,555
     
  8. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    แปลกแต่จริง.

    ทางโลก ผู้ใดยืนอยู่ที่จุดกึ่งกลาง จะกลายเป็นเป้าให้ลูกกระสุนยิงถูกอย่างจัง

    ทางธรรม จิตใดยืนอยู่ตรงกลาง จิตนั้นจะไม่ถูกลูกกระสุนเลย มันรอดได้

    เพราะจิตยืนอยู่ตรงกลางเท่านั้น แปลกไหม.

    ทางโลก เครื่องจักรต่างๆ เมื่อใช้เกียร์ว่าง มันจะหยุดทำงานทันที.

    ทางธรรม ขณะใดที่ใช้จิตว่างทำงาน งาน
    นั้นจะมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2013
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสาธุด้วยครับ
    แหม๊เป็นธรรมะดีมากจริงๆ
    อยากให้ทุกคนเขียนธรรมะที่ออกมาจากจิตแบบนี้ ดีมากๆเลย
    เก่งมากๆๆๆๆ
     
  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสาธุด้วยครับ
    เห็นไหม๊ นี่ก็ธรรมะผุดออกมาจากจิตของท่านตลอดเวลาเลยนะครับ
    ใครอย่าเอาอะไรมากวนบ่อน้ำของท่านให้ขุ่นอีกนะ ฮ่าๆ
    เดี๋ยวจะให้ดื่มน้ำแบบขุ่นๆให้ดื่มกินซะเลยดีไหม๊...
     
  11. PlaiifarPP

    PlaiifarPP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +1,194
    วิปัสสนาญาณ

    ญาณในวิปัสสนา, ญาณที่นับเข้าในวิปัสสนาหรือที่จัดเป็นวิปัสสนา คือ เป็นความรู้ที่ทำให้เกิดความเห็นแจ้ง เข้าใจสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง (insight-knowledge)

    1. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ คือ ญาณอันตามเห็นความเกิดและความดับ คือ พิจารณาความเกิดขึ้นและความดับไปแห่งเบญจขันธ์ จนเห็นชัดว่า สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นครั้นแล้วก็ต้องดับไป ล้วนเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปทั้งหมด (knowledge of contemplation on rise and fall)
    2. ภังคานุปัสสนาญาณ คือ ญาณอันตามเห็นความสลาย คือ เมื่อเห็นความเกิดดับเช่นนั้นแล้ว คำนึงเด่นชัดในส่วนความดับอันเป็นจุดจบสิ้น ก็เห็นว่าสังขารทั้งปวงล้วนจะต้องสลายไปทั้งหมด (knowledge of contemplation on dissolution)
    3. ภยตูปัฏฐานญาณ คือ ญาณอันมองเห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลัว เพราะล้วนแต่จะต้องสลายไป ไม่ปลอดภัยทั้งสิ้น (knowledge of the appearance as terror)
    4. อาทีนวานุปัสสนาญาณ คือ ญาณอันคำนึงเห็นโทษ คือ เมื่อพิจารณาเห็นสังขารทั้งปวงซึ่งล้วนต้องแตกสลายไป เป็นของน่ากลัวไม่ปลอดภัยทั้งสิ้นแล้ว ย่อมคำนึงเห็นสังขารทั้งปวงนั้นว่าเป็นโทษ เป็นสิ่งที่มีความบกพร่อง จะต้องระคนอยู่ด้วยทุกข์ (knowledge of contemplation on disadvantages)
    5. นิพพทานุปัสสนาญาณ คือ ญาณอันคำนึงเห็นด้วยความหน่าย คือ เมื่อพิจารณาเห็นสังขารว่าเป็นโทษเช่นนั้นแล้ว ย่อมเกิดความหน่าย ไม่เพลิดเพลินติดใจ (knowledge of contemplation on dispassion)
    6. มุญฺจิตุกัมยตาญาณ คือ ญาณอันคำนึงด้วยใคร่จะพ้นไปเสีย คือ เมื่อหน่ายสังขารทั้งหลายแล้ว ย่อมปรารถนาที่จะพ้นไปจากสังขารเหล่านั้น (knowledge of the desire for deliverance)
    7. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ คือ ญาณอันคำนึงพิจารณาหาทาง คือ เมื่อต้องการจะพ้นไปเสีย จึงกลับหันไปยกเอาสังขารทั้งหลายขึ้นมาพิจารณากำหนดด้วยไตรลักษณ์ เพื่อมองหาอุบายที่จะปลดเปลื้องออกไป (knowledge of reflective contemplation)
    8. สังขารุเปกขาญาณ คือ ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางต่อสังขาร, คือ เมื่อพิจารณาสังขารต่อไป ย่อมเกิดความรู้เห็นสภาวะของสังขารตามความเป็นจริง ว่า มีความเป็นอยู่เป็นไปของมันอย่างนั้นเป็นธรรมดา จึงวางใจเป็นกลางได้ ไม่ยินดียินร้ายในสังขารทั้งหลาย แต่นั้นมองเห็นนิพพานเป็นสันติบท ญาณจึงแล่นมุ่งไปยังนิพพาน เลิกละความเกี่ยวเกาะกับสังขารเสียได้ (knowledge of equanimity regarding all formations)
    9. สัจจานุโลมิกญาณ หรือ อนุโลมญาณ คือ ญาณอันเป็นไปโดยอนุโลมแก่การหยั่งรู้อริยสัจ คือ เมื่อวางใจเป็นกลางต่อสังขารทั้งหลาย ไม่พะวง และญาณแล่นมุ่งตรงไปสู่นิพพานแล้ว ญาณอันคล้อยต่อการตรัสรู้อริยสัจ ย่อมเกิดขึ้นในลำดับถัดไป เป็นขั้นสุดท้ายของวิปัสสนาญาณ ต่อจากนั้นก็จะเกิดโคตรภูญาณมาคั่นกลาง แล้วเกิดมรรคญาณให้สำเร็จความเป็นอริยบุคคลต่อไป (conformity-knowledge; adaptation-knowledge)

    ความหยั่งรู้ ในที่นี้หมายถึงญาณที่เกิดขึ้นแก่ผู้เจริญวิปัสสนาตามลำดับ ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด (insight; knowledge)

    10. นามรูปปริจเฉทญาณ คือ ญาณกำหนดจำแนกรู้นามและรูป คือ รู้ว่าสิ่งทั้งหลายมีแต่รูปเป็นธรรมและนามธรรม และกำหนดแยกได้ว่า อะไรเป็นรูปธรรม อะไรเป็นนามธรรม (knowledge of the delimitation of mentality-materiality)
    11. ปัจจยปริคคหญาณ คือ ญาณกำหนดรู้ปัจจัยของนามและรูป คือรู้ว่า รูปธรรมและนามธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุปัจจัยและเป็นปัจจัยแก่กัน อาศัยกัน โดยรู้ตามแนวปฏิจจสมุปบาท ก็ดี ตามแนวกฏแห่งกรรม ก็ดี ตามแนววัฏฏะ 3 ก็ดี เป็นต้น (knowledge of discerning the conditions of mentality-materiality)
    12. สัมมสนญาณ คือ ญาณกำหนดรู้ด้วยพิจารณาเห็นนามและรูปโดยไตรลักษณ์ คือ ยกรูปธรรมและนามธรรมทั้งหลายขึ้นพิจารณาโดยเห็นตามลักษณะที่เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มิใช่ตัวตน (knowledge of comprehending mentality-materiality as impermanent, unsatisfactory and not-self) 4-12 ได้แก่ วิปัสสนาญาณ 9 
    13. โคตรภูญาณ คือ ญาณครอบโคตร คือ ความหยั่งรู้ที่เป็นหัวต่อแห่งการข้ามพ้นจากภาวะปุถุชนเข้าสู่ภาวะอริยบุคคล (knowledge at the moment of the Change-of-lineage’)
    14. มัคคญาณ คือ ญาณในอริยมรรค คือ ความหยั่งรู้ที่ให้สำเร็จภาวะอริยบุคคลแต่ละขั้น (knowledge of the Path)
    15. ผลญาณ คือ ญาณในอริยผล คือ ความหยั่งรู้ที่เป็นผลสำเร็จของพระอริยบุคคลชั้นนั้นๆ (knowledge of Fruition)
    16. ปัจจเวกขณญาณ คือ ญาณหยั่งรู้ด้วยการพิจารณาทบทวน คือ สำรวจรู้มรรค ผล กิเลสที่ละแล้ว กิเลสที่เหลืออยู่ และนิพพาน เว้นแต่ว่าพระอรหันต์ไม่มีการพิจารณากิเลสที่ยังเหลืออยู่ (knowledge of reviewing)

    ญาณ 16 นี้ 14 อย่าง (ข้อ 1-13 และ 16) เป็นโลกียญาณ, 2 อย่าง (ข้อ 14 และ 15) เป็นโลกุตตรญาณ
    ญาณ 16 ที่จัดลำดับเป็นชุดและเรียกชื่อเฉพาะอย่างนี้ มิใช่มาในพระบาลีเดิมโดยตรง พระอาจารย์ในสายวงการวิปัสสนาธุระได้สอนสืบกันมา โดยประมวลจากคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค และวิสุทธิมรรค ในกาลต่อมา
     
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=XMoLb2MhHqQ&feature=endscreen&NR=1]รักต้องห้าม..อรวี สัจจานนท์ - YouTube[/ame]​
    ฟังเพลง..รักต้องห้าม
    แล้วห้ามจิตแล่นไปตามบทเพลงกันนะ
    จริงอยู่ ความคิดห้ามไม่ได้
    แต่จิตบุญ..ฝึกจิตเหนือความคิด เหนือเจตสิกกันแล้วนี่
    สอบผ่านวิปัสสนาญาณไปกันแล้ว
    หรือยังไม่ลืมความเป็นคราบมนุษย์
    หรือสติเปลี่ยนใจไปคบกิเลสเรียบร้อยแล้ว
    อันนี้ช่วยไม่ได้นะ..ตะเอง
     
  13. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]

    Awwh!! Don't Be Angry, Baby.

    ผู้หวงความโกรธไว้ ได้ชื่อว่าหวงทุกข์ไว้
    ย่อมได้ชื่อว่ายังทำตัวเป็นทาสของโทสะ

    โทสะเป็นเพียงความกระเพื่อมไหวของจิต
    จิตเป็นเพียงธรรมชาติที่ถูกกระทบได้
    เกิดความกระเพื่อมไหวได้ แล้วกลับสงบลงได้เอง


    วิธีรับมือกับความโกรธที่ดีที่สุด
    คือการไม่คาดหวังเอากับตัวเองว่าจะไม่โกรธ
    และ เมื่อโกรธแล้วก็ให้ยอมรับตามจริง
    เมื่อยอมรับตามจริง ก็ย่อมเห็นความจริงอันไม่ควรยึดมั่นถือมั่น


    ขอเพียงหมั่นทบทวนบ่อยๆ
    เฝ้าดู เฝ้ารู้ อาการเกิด-ดับของจิตบ่อยๆ
    เมื่อผ่านไปนานวันเข้า
    ท่านจะเรียนรู้ และเลิกยึดมั่นถือมั่นลงได้เอง

    "โกรธอย่างรู้ ดีกว่าหายโกรธอย่างไม่รู้"
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาสาธุกับน้องฟ้าด้วย
    แหม๊..ไวจริงๆ
    พี่ภูว่าจะขอเอ่ย คำว่า วิปัสสนาญาณ อีกสักครั้งนึง

    ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค และคัมภีร์วิสุทธิมรรค มีการบรรยายขั้นต่างของการวิปัสสนา เป็น 16 ขั้น หรือเรียกว่า ญาณ16 (โสฬสญาณ) เป็นญาณที่เกิดแก่ผู้บำเพ็ญวิปัสสนา โดยลำดับตั้งแต่ต้น จนถึงจุดหมายคือมรรคผลนิพพาน

    แต่เมื่อกล่าวถึงวิปัสสนาญาณโดยเฉพาะ อันหมายถึงญาณที่นับเข้าในวิปัสสนา หรือญาณที่จัดเป็นวิปัสสนา จะมีเพียง 9 ขั้น คือ ตั้งแต่ อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ถึง สัจจานุโลมิกญาณ (ตามปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ (ขั้นหนึ่งใน วิสุทธิ7) ที่บรรยายในคัมภีร์วิสุทธิมรรค

    1.วิปัสสนาญาณ คืออุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ภังคานุปัสสนาญาณ นั้นเห็นอนิจจัง
    2.วิปัสสนาญาณ คือภยตูปัฏฐานญาณ อาทีนวานุปัสสนาญาณ นิพพิทานุปัสสนาญาณ นั้นเห็นทุกขัง
    3.วิปัสสนาญาณ คือมุจจิตุกัมยตาญาณ ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ สังขารุเบกขาญาณ นั้นเห็นอนัตตา
     
  15. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2013
  16. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คำขวัญวันเด็กปี 2556
    "รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา นำพาไทยสู่อาเซียน"

    อย่าลืม!
    เด็กเล็กๆที่อยู่ภายในตนเองกันนะครับ
    นั่นก็หมายถึง จิตตนเอง
    โดยเฉพาะ จิตที่ยังอนุบาล คือยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่
    คือ จิตที่ตกเป็นทาสกิเลสตนเองและผู้อื่น อยู่ร่ำไป

    เพราะฉะนั้นให้รีบฝึกสติ ฝึกจิตไวๆ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    เพราะถ้าหากผู้ใดไม่ฝึกจิตตนเอง ผู้นั้นก็ออกจากทุกข์กันไม่ได้สักที
    และเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น ไปตลอดชีวิต
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,956
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    ข่าวด่วนพระเล่ามา ...ไม่บอกไม่ได้แล้ว.

    พระนอนไม่หลับ เลยไปหาหมอใหม่จบมาจากเมืองนอก
    หมอ: เป็นอะไรครับ
    พระ : จำวัดไม่ได้จ๊ะโยมหมอ

    หมอ: (ทำหน้างง) แล้วจะกลับวัดยังไง
    พระ: (ทำหน้างงด้วย) มามอไซรับจ้างก็ต้องกลับมอไซนะโยม

    หมอ: (ทำหน้าง๊งงง) แล้วมอไซรับจ้างจำวัดได้เหรอ
    พระ: (ทำหน้าง๊งงงด้วย) มอไซรับจ้างจำวัดไม่ได้หรอกโยม มีแต่พระที่จำวัดได้

    หมอ: (ทำหน้างงง๊งงง) อ้าวไหนบอกว่าจำวัดไม่ได้ไง
    พระ : !=-+#@ %^&*( +๐"ฯ, ?


    จำวัดเป็นภาษาพระแปลว่านอน.........................

    หมอ: อ๋ออออออออออออออออออออออออออ
    ***********************************************

    ญาติ โยมหลายท่านมักถามว่า "ท่านบวชเรียนมาตั้งแต่อายุยังน้อย อยู่ในเพศบรรพชิตมามากกว่าครึ่งชีวิต มีโอกาสสัมผัสชีวิตฆราวาสไม่มากนัก แล้วเอาข้อมูลวัตถุดิบหรือมุกมาจากไหนหนักหนา"

    อาตมาก็ตอบว่า หลักๆเลยก็คือ การอ่าน นอกจากนั้นก็หนัง ละครที่ญาติโยมดูกันนั่นแหละ พอตอบออกไปอย่างนี้ โยมก็สวนกลับทันที "ไม่ผิดข้อห้ามหรือท่าน"

    อาตมา ก็จะอธิบา ยไปว่า ดูเพื่อให้เท่าทันกิเลสจะได้สกัดมันถูก และที่สำคัญหากอาตมาไม่รู้หรือไม่เข้าใจ ตลอดจนไม่เท่าทันเรื่องราวทางโลก และจะมาบรรยายธรรมให้ญาติโยมรู้สึกอินกันได้อย่างไร ซึ่งนอกจากการอ่าน การดูและการฟังแล้ว หลายวัตถุดิบที่นำมาสร้างเป็นมุกฮาก็ได้มาจากการพูดคุยกับเหล่าโยมๆนี่แหละ

    อย่างวันหนึ่งระหว่างที่อาตมากำลังฉันเพลอยู่ก็มีโยมท่านหนึ่งโทร.มา
    "พระอาจารย์เหรอคะ นี่อาตมาเองนะคะ"
    "หา อะไรนะ"
    "พระอาจารย์เหรอคะ นี่อาตมาเองค่ะ"
    "ถ้าโยมแทนตัวว่าอาตมา แล้วอาตมาจะแทนตัวอาตมาว่าอะไร"
    "อ๋อ ขอโทษค่ะ"
    หลังจากนั้นก็คุยธุระกันจนจบ อาตมาก็กล่าวว่า "เจริญพร"
    "ค่ะ เจริญพรเช่นกัน"
    แน่ะ มีอวยพรให้พระด้วย
    *******************************************

    ข้างต้นก็คือ สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆระหว่างพูดคุยกับเหล่าญาติโยม จนถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับอาตมาไปแล้ว หรืออย่างก่อนหน้านี้มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง เดินถือสังฆทานมาอย่างมาดมั่น พอเข้ามาในกุฏิแล้ว เธอก็มุ่งตรงไปที่พระบวชใหม่รูปหนึ่งทันที
    "ถวายสังฆทานค่ะ"

    พระบวชใหม่ด้วยความที่ยังจำบทสวดต่างๆ ไม่ค่อยคล่องนัก จึงหยิบหนังสือขึ้นมาดู
    "ไม่ต้องค่ะ" โยมผู้หญิงคนนั้นกล่าวอย่างหนักแน่นตามสไตล์สาวมั่น
    "ดิฉันท่องได้ค่ะ เพราะคุณยายพาเข้าวัดตั้งแต่เด็กๆ" เธอพนมมือขึ้น ก่อนกล่าวว่า

    "อิมานิ มะยัง ภันเต สะปะริวารานิ คิกขุ สังโฆ" (ที่ถูกต้องจะต้องเป็น ภิกขุ สังโฆ)

    พระบวชใหม่มีสีหน้างุนงง ก่อนหันมาถามอาตมา "คิกขุสังโฆ นี่มันฟังทะแม่งๆ
    นะหลวงพี่"

    อาตมาเกรงว่าโยมผู้นั้นจะหน้าแตก ก็เลยตอบไปว่า "คิกขุ แปลว่า น่ารัก

    สังโฆ แปลว่า สงฆ์ คิกขุสังโฆ ก็คือ แด่พระสงฆ์ผู้น่ารัก" เท่านั้นแหละ
    พระใหม่รูปนั้นนั่งยืดทั้ง วันเลย
    **********************************************

    แต่ ก็มีบางกรณีที่การพูดผิดของคุณโยมทำให้อาตมาแทบจะสำลัก อย่างเมื่อเร็วๆนี้ มีโยมท่านหนึ่งโทรศัพท์มา "หลวงพี่ขา ขอเรียนเชิญนิมนต์ค่ะ"
    "ไปไหนล่ะโยม" "ไปมรณภาพที่บ้านน่ะค่ะ"

    โห นิมนต์พระไปตายถึงที่บ้านเลย อาตมาจึงบอกไปว่า ถ้านิมนต์ไปงานศพไปให้ได้ แต่ถ้าเชิญไปมรณภาพนี่ ช่วงนี้อาตมาไม่ว่างจริงๆ ขอตัวเถอะนะโยม :b9: :b13:
    **************************************
    จาก ตัวอย่างข้างต้น คุณโยมอาจจะเห็นเป็นเรื่องขบขัน แต่มันก็สะท้อนให้เห็นความห่างเหินระหว่างคนกับวัดได้ในระดับหนึ่ง ปัจจุบันนี้คนจะนึกถึงวัดในกรณีพิเศษ เท่านั้น เช่นงานบวช งานศพ

    ต่างกับสมัยก่อนที่วัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน ฆราวาสกับพระจึงสนทนากันไหลลื่น
    ไม่มีคำแปลกๆ หรือผิดที่ผิดทางออกมาให้พระสะดุ้งแต่อย่างใด

    ซึ่งถ้าพูดถึงศัพท์แสงที่แสลงใจแล้ว ตอนไปบิณฑบาตอาตมาจะเจอบ่อยมาก

    เช่นมีอยู่ครั้งหนึ่งระหว่างที่กำลังเดินๆอยู่ ก็ได้ยินเสียงใสๆ แว่วขึ้นมา
    "แม่ๆ พระมาขอข้าว"
    "มาเยอะไหมลูก" "มา 2 อัน"
    โห เรียกอย่างกับชิ้นส่วนรถยนต์ นี่ถ้ามาเยอะๆไม่เรียกเป็นฝูงเลยเหรอ

    ***********************************************
    ดังนั้นเวลาไปบรรยายธรรมให้นักเรียนฟังอาตมาจะนำเรื่องนี้ไปสอดแทรกเพื่อสอนเด็กๆด้วย

    "ถ้าพระกิน เรียก ฉัน"
    " พระนอน เรียก จำวัด" (บางคนเรียกขี้เกียจเป็นพระนอนไม่ได้)
    " พระป่วย เรียก อาพาธ"
    " พระตาย เรียก มรณภาพ" (ไม่ใช่เรียกป่อเต็กตึ๊งนะ)
    " แล้วพระอาบน้ำล่ะ เรียกอะไรเอ่ย" คราวนี้อาตมาถามให้เด็กๆ ตอบบ้าง

    "เรียกคนมาดู!!!"
    *********************************************

    ถ้าตอนใส่บาตรแล้วที่ยืนสกปรกมาก จะต้องถอดรองเท้าใส่บาตรด้วยหรือไม่ ?
    “ พระไม่ฉันรองเท้านะโยม”...ไม่ต้องเอารองเท้าใส่มานะ.....

    *********************************************
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,956
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    ดูมันเถียงพระ

    เรื่องจาก : เทศนา...ฮาสุดขีด ของพระพยอม กัลยาโณ

    วันนั้น ไปเทศน์ที่...สิงห์บุรี...
    เทศน์ให้ครูฟัง...
    ครูนั่งกันเต็มห้องประชุม... ๒-๓ ร้อยคน...
    พวกครูผู้ใหญ่...พวกผู้อำนวยการ... ก็นั่งโซฟาข้างหน้า...
    มีครูผู้ชายคนหนึ่ง...
    นั่งเก้าอี้ข้างหน้า...เหยียดขา...ตาแดง...โงนไป...โงนมา...
    เมา....
    ชาวบ้านเวลาฟังพระเทศน์.เขาพนมมือกันหมด...
    มันไม่พนมมือ...
    แถมเวลาพระเทศน์...มันกระดิกขา...เคาะจังหวะอีก.
    ผู้อำนวยการอยู่ข้างหน้า...พยายามจ้องหน้ามัน...
    มันหันหนี...ไม่สบตา...
    ทำเป็นไม่รู้ ไม่ชี้...
    อาตมาเทศน์ไปสักพัก...ทนไม่ไหว...
    เลยถามว่า...
    โยม...ทำไมไม่ไหว้พระล่ะ...
    พระเดี๋ยวนี้ประพฤติตัวไม่ค่อยดี...ไหว้แล้วเสียมือ...
    แน๊ะ...มันเมาเหล้ากลิ่นคลุ้ง...จนโงหัวไม่ขึ้น...
    ยังเสือกมาสอนพระอีก...
    โยม...ที่พระเทศน์นี่...
    ท่านเอาธรรมะของพระพุทธเจ้า.มาสอนเรา...
    ไม่ใช่ความคิดของท่าน...
    การที่เราไหว้...เวลาพระเทศน์...เป็นการบูชาธรรม...
    เป็นการแสดงความเคารพพระพุทธเจ้า...
    ไม่ไหว้...
    โยม...อาตมาขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?
    ถามอะไร...?
    ระหว่างเรายกมือไหว้พระเอง...กับมีคนจับมือให้ไหว้พระ...อันไหนดีกว่ากัน...?
    ระหว่างสวดมนต์เอง...กับนอนให้พระสวดให้...อันไหนดีกว่ากัน..?
    มันเงียบ...ไม่ตอบ...
    คงเริ่มสำนึกบาปแล้วล่ะ...
    อาตมารีบถามต่อเลย...เดี๋ยวจะช้าไป...
    โยม...เคยไปวัดบ้างไหม...?
    ไม่ไป...ไม่ชอบวัด...
    โยม...ระหว่างเดินไปวัดเอง...กับเขาหามไปวัด...อันไหนดีกว่ากัน...?
    มันจ้องตาเขม็งเลย...
    แล้วลุกขึ้นยืน....
    นี่...หลวงพี่...ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม...?
    ได้...
    ระหว่างเดินกลับวัดเอง.กับมีคนหามกลับวัด...อันไหนดีกว่ากัน...?
    ...???

    *******************************************
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,956
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    ชาติคน !

    เรื่องนี้เล่าสืบกันมาแต่โบราณว่า...

    กาล ครั้งหนึ่ง..มีสุนัขสองแม่ลูกพากันเดินไปที่วัด ระหว่างทางจะต้องผ่านป่าช้าที่ทิ้งศพ ขณะนั้นได้เห็นศพ ๆ หนึ่งขึ้นอืดอยู่ข้างทาง สองแม่ลูกหยุดดู ลูกหมาเกิดนึกใคร่จะได้ลิ้มรสศพ จึงกล่าวกับแม่ว่า
    “แม่จ๋า ให้ลูกกินลูกนัยตาของศพนี้เสียก่อนเถอะ แล้วเราค่อยไปกัน”
    แม่หมาเองกำลังยืนพิจารณาซากศพด้วยสังเวช เมื่อได้ยินลูกกล่าวดังนั้นก็ถึงกับสะดุ้ง ท้วงขึ้นทันทีว่า
    “อย่า ! อย่าเชียวนะลูกไอ้ลูกนัยตาของคนนี่หละมันชั่วช้าสิ้นดี มีแต่จะสอดส่องส่ายมองหาแต่สิ่งสวย ๆ งาม ๆ สิ่งที่เป็นอัปมงคล ภาพยนตร์ ละคร ดนตรี มีแต่จองเอา ๆ จนจิตใจฟุ้งซ่าน เจ้าขืนกินเข้าไปซิ จิตของเจ้าจะทราม ?”
    ลูกหมาได้ยินดังนั้น ก็เปลี่ยนมาวิงวอนแม่อีกว่า
    “ถ้าเช่นนั้นให้ลูกกินหูมันเถอะ”
    แม่หมารีบสวนขึ้นทันได้ว่า “ถึงหูก็ดีเสียเมื่อไหร่ล่ะ มันเฝ้าแต่จะเงี่ยฟังเสียงประจบสอพลอ เสียงดนตรีที่แสนจะแสบแก้วหูเสียงอุบาทว์ที่ยั่วยุกามารมณ์ส่วนคำสอนรสพระ ธรรมนั้น เขาไม่ยอมให้ลอดเข้าหูไป อย่าเลยลูก ?”
    ลูกหมาไม่สิ้นพยายาม กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น ให้ลูกกินจมูกมันก็แล้วกัน”
    แม่หมาขึ้นเสียง “ก็อีกนั้นหละ ! ไอ้จมูกของมันชอบแต่จะสูดดมกลิ่นที่เป็นต้นเหตุแห่งความใคร่ กลิ่นธูปควันเทียนอันเป็นสัญลักษณ์ทางธรรมเสียอีก ไม่ยักมีใครใฝ่หา ชั่วสิ้นดี อย่าเลยลูก
    ได้ยินดังนั้น ลูกหมาก็วอนต่อไปว่า
    “ถ้าอย่างนั้นลูกขอกินลิ้นมันนะ”
    แม่หมาขัดขึ้นอีกว่า “ลิ้นนั่นหรือ ก็เลวร้ายพอ ๆ กัน มันมีแต่จะตวัดไปตวัดมาด้วยความสับปลับปลิ้นปล้อน โกหกมกเท็จสิ้นดี”
    ลูกหมาจึงว่า
    “ถ้าอย่างนั้นกินมือมันดีกว่า”
    แม่หมาร้องดังขึ้นอีกว่า “มือก็ใช่จะดีเสียเมื่อไหร่ล่ะ มันชอบแต่จะหยิบฉวยเอาสิ่งของของคนอื่นด้วยการลักขโมย ตบโน่นตีนี่แม้พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ก็ใช่มือประทุษร้ายได้”
    ลูกหมาพยายามเปลี่ยนความตั้งใจว่า
    “ถ้างั้นลูกกัดกินเท้ามันเถอะ”
    แม่หมาปรามอีกว่า “ตีนคนก็อีกนั้นหละ มันมีแต่จะเยื้องย่างเข้าทางอุบายมุข หรือย่องหนักย่องเบา ไอ้ที่เต้นแร้งเต้นกาสะบัดเร่า ๆ ไปมาจนไม่รู้ว่าลิงหรือคน นั่นก็มิใช่ตีนดอกหรือ ? อย่าดีกว่าลูก
    ลูกหมาอ้อนวอนเป็นครั้งสุดท้าย
    “งั้นลูกกินหัวใจมันก็แล้วกัน”
    แม่หมาได้ยินดังนั้น ตกใจร้องเสียงหลงตวาดว่า
    “อย่านะ อย่าเป็นอันขาด หัวใจนั่นมันร้ายเสียยิ่งกว่าอะไรหมดมันเต็มอักอยู่ด้วยโทสะ โมหะ เต็มอัดไปด้วยความโลภความเห็นแก่ตัว มีแต่มุ่งกอบโกยเอา ไม่รู้จักพอไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนทุกข์ยากของผู้อื่น อิจฉาริษยาพยาบาท อาฆาตมุ่งร้ายต่อกัน ชั่วสิ้นดี เจ้ากินเข้าไป
    ซิ เจ้าจะเสียศักดิ์ศรีแห่งตระกลู”
    ได้ยินแม่ว่าดังนั้น สุนัขน้อยก็ถ่มน้ำลายรดศพนั้นพลางสะบัดหน้าชวนแม่ให้รีบ ๆ เดินต่อไป พร้อมกับรำพึงในใจว่า
    “โธ่เอ๋ย ช่างไม่มีอะไรดีเลยนะ ไ ..อ้.....ชาติคน..!”

    ********************************
     

แชร์หน้านี้

Loading...